วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 09:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2015, 18:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีการเดินจงกรม
โดย พระวิปัสสนาจารย์โสภณ สติปุณโณ


จังหวะที่หนึ่ง มีขวาย่างหนอกับซ้ายย่างหนอ พอเราบอกว่าขวา ก็ยกเท้าขึ้น พอย่างก็ยกเท้าไป พอหนอก็แตะลงกับพื้น เพื่อให้ได้อารมณ์ปัจจุบัน

ตั้งความรู้ทันไว้ที่หัวแม่โป้งเท้า ส่งใจของเราไปไว้ตรงหัวแม่โป้งเท้า ให้เห็นเท้าของเรายกขึ้น ย่างไป แล้วก็เหยียบลง เค้าเรียกว่าการฝึกอารมณ์ปัจจุบัน แล้วให้มันพร้อมกันไว้ พร้อมกายพร้อมใจ มันจะไม่เซ แต่ถ้าเราไปแยกกาย แยกใจ มันไม่สามัคคีกัน มันก็เซ ดังนั้น รวมตัวให้มันติดไว้ เตรียมตัวเท้าขวาพร้อมกัน ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอนึกเองในใจต่อไป เราไม่ต้องท่อง เดินช้าๆ หน้าไม่ก้ม พยายามหายใจยาวๆ ไว้ เราจะได้สดชื่น จะได้แข็งแรง จะได้ไม่หน้ามืด เค้าเรียกว่า คนเก่งต้องดูแลตนเองเป็น ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าเราจะหวังจะไปพึ่งคนอื่น คนอื่นก็อยากจะหวังพึ่งเรา ก็เลยพากันจม เพราะฉะนั้น เราก็พึ่งเราเค้าก็พึ่งเค้า ต่อไปมันก็พึ่งกันได้ เพราะว่ามันจะปักหลักพึ่งกันได้ทั้งคู่เราจะรู้ทันปัจจุบันได้นั้นการปฏิบัติเค้าต้องได้ผลในตอนปัจจุบัน ไม่ใช่ได้ผลในอนาคต ไม่ใช่ได้ผลในอดีต สิ่งใดที่เลยไปแล้วเค้าเรียกว่าเป็นอดีต เลยไปแค่วินาทีเดียว นั่นแหละ เค้าเรียกว่าอดีตแล้ว ถ้าเราไปคิดเรื่องข้างหน้า เค้าเรียกว่า อนาคต แค่เราคิดไปวินาทีเดียวก็เป็นอนาคต และนั่นแหละจุดพลาดของเราตรงที่เราไม่ได้ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องเห็นต้น กลาง สุด ของเค้าระหว่างที่เราเดินขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ใจมันเผลอคิดไปเรื่องอื่น ก็บอกคิดหนอ แล้วค่อยกำหนดขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ต่อไป เราต้องไวต่อความยึดถือ เพราะความยึดถือเค้าไวกว่าเรา อันนี้เราฝึกความรู้ทันเราต้องให้ไวกว่าเค้า เพราะว่าของดีมันอยู่ที่ความรู้ทัน ของไม่ดีอยู่ในความยึดถือ เพราะความยึดถือมันทำให้เราขาดสติไป นี่แหละเค้าเรียกว่า ปลูกฝังสติ ใส่ใจเข้าไปให้ถึง มันเป็นงานที่ละเอียดที่จะตั้งใจทำจริงนะ แต่ถ้าเราไม่ตั้งใจทำจริง มันจะไม่เห็นผล เพราะฉะนั้น ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้ ยิ่งดูก็ยิ่งเห็น ยิ่งทำก็ยิ่งเป็น มันจะเอียง มันจะเผลอ เป็นกำไรของเราหมดนะ กำหนดเลย เอียงหนอ เผลหนอ ก้าวไม่ถูกหนอ ก็ใช้ได้ เราต้องรู้หลักว่า เรากำหนดเพื่ออะไร เรากำหนดรู้เพื่อรู้ทันความเปลี่ยนแปลง กำหนดเพื่อรู้ทันความรู้ไม่ทันเพราะฉะนั้น มันผิด เราก็รู้ว่าผิด มันถูกเราก็รู้ว่าถูกเสร็จแล้วก็กำหนดยืนหนอ ๓ ครั้ง อยากกลับหนอ ๓ ครั้ง กลับทางขวาพร้อมกัน กลับหนอ วิธีกลับก็ปักส้นขวาเปิดปลายเท้าหมุนไปนิดหนึ่ง ยกเท้าซ้ายให้ลอยแล้วหมุนตามไป ทำให้ได้ ๓ คู่ ก็จะพอดี ๖ หนอ เค้าบอกว่าอ่านตัวให้ออก บอกตัวให้ได้ ใช้ตัวให้เป็นแล้วเราจะเห็นตัวเอง แต่ทุกวันนี้เราไม่เห็นตัวเอง แต่เราอวดว่าเราไปเห็นคนอื่น อันนี้เป็นความเข้าใจผิด ความเข้าใจถูกมันก็ถูกตรงนี้ก่อน


เดินจงกรมจังหวะที่ ๒

ทีนี้เราก็ใส่ไป ๔ ขั้นตอนให้การปฏิบัติละเอียดขึ้น

เราก็จะไม่เซ ไม่ล้ม ไม่ฟุ้ง ไม่เบื่อ ไม่ขี้เกียจ เตรียมตัวเท้าขวาพร้อมกัน

ยกหนอ ยกหนอ ยกหนอ ยกหนอ ก้าวเท้าไปพร้อมกับเหยียบเท้าลง เหยียบหนอ เหยียบหนอ เหยียบหนอ เหยียบหนอ ประคองเองต่อไปทีละนิดๆ ใช้นึกๆ เอา ไม่ต้องท่อง ไม่ต้องรีบร้อน ใช้นึกๆ เอามันจะทัน เดินช้าๆ หน้าไม่ก้ม ยกเตี้ยๆ ก้าวสั้นๆ ทำใจให้อยู่กับเท้าไว้ พอบอกยกหนอก็ยกเท้าขึ้น เยียบหนอก็ก้าวเท้าไปพร้อมกับเหยียบเท้าลง ถ้าเรารีบร้อน เรารู้ไม่ทันหรอก เพราะว่าชั่วพริบตาเดียว จิตเค้าเกิดดับไปแล้วหลายแสนดวง เราทำเร็วๆ ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะว่ามันรูดผ่านไปเลย เพราะความไวของความเกิดดับของจิตสูงมาก เค้าบอกว่าการนึกสามารถนึกได้ ๑๐๐ ครั้งต่อนาที ถ้านึกเก่งๆ นะ แต่ถ้าท่องนี่ ๑๐ ครั้งนี้ยังไม่ได้เลย เหนื่อยนะ เพราะว่าตอนนี้เรากำลังดูของที่ละเอียดอยู่ สังเกต ต้น กลาง สุด แต่ละนิดๆ ให้ดี จิตของเราจะได้ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น เค้าบอกว่าถ้าคิดมากก็ชั่วมาก แม่กระทั่งคิดถึงเรื่องดี มันก็ยังชั่ว จะเชื่อไม่เชื่อก็ลองดูเอา ที่ว่าจะชั่วไม่ชั่วเพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นการปรุงแต่ง มันเป็นความรู้ไม่ทัน มันยังเป็นอวิชชาอยู่ เพราะฉะนั้น เราไม่ควรคิดอะไรได้เป็นการดี แล้วเราจะได้พ้นทุกข์ เพราะทุกข์มันเกิดจากความคิดถึงแม้เราจะคิดเรื่องดีมันก็ทุกข์ เรื่องไม่ดี มันยิ่งทุกข์ใหญ่เลย เพราะฉะนั้น หยุดความคิดได้ก็หยุดทุกข์ได้ ทีนี้ความคิดมันไวกว่าแสง การหยุดความคิด ไม่ใช่หยุดกันได้ง่ายๆ มันต้องกำหนดตัวจะคิดให้ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องหางานให้เค้าทำนะ ให้เค้าดูกายบ้าง ให้เค้าดูเวทนามั่งให้เค้าดูจิตมั่ง ให้เค้าดูธรรมมั่ง แล้วความคิดนั้นมันก็จะแล๊บให้เราเห็น เนี่ยเหมือนเราดูกายในขณะนี้ ยกเท้าเราก็รู้ว่ายกเท้า เหยียบเท้าลงไปเราก็รู้ว่าเหยียบเท้า เดี๋ยวความคิดเค้าก็แล๊บแว็บขึ้นมา เค้าบอกว่าจิตแล๊บความคิดมันแทรกขึ้นมาแล้ว เราก็ดูความคิดเลย คิดหนอ เดี๋ยวความคิดมันก็แล๊บแว็ปขึ้นมาแว็บหนึ่ง เผลอแล้ว เผลอหนอ เดี๋ยวก็บอกว่าเซแล้ว เอ้า เซหนอ เดี๋ยวไปห่วงเรื่องโน้น ไปห่วงเรื่องนี้ ก็บอกห่วงหนอๆ แล้วก็กลับมาเดินต่อ ไม่มีคำว่าเสีย มีได้กับได้ ได้รู้ ได้เห็น ได้ทำ ได้เป็น แม้กระทั่งเราเดินไม่ถูกเราก็บอกเดินไม่ถูกหนอๆ ถ้ามันงง เราก็บอกงงหนอๆ เดี๋ยวมันก็เก็บได้หมดนะ ความคิดก็จะคอยบอกเราตลอดเวลา แต่เราต้องเข้าใจว่าการปฏิบัตินี่ เราต้องปฏิบัติเพื่อกำจัดความคิดนะ เพราะไอ้ความคิดมันทำให้เราทุกข์ ต่อจากนี้ไปเราจะไม่พยายามไปคิดอะไรนะ เราก็จะได้ไม่ทุกข์ แต่มันจะไม่ยอมเราง่ายๆ หรอก ยิ่งเราไม่ให้มันคิดมันยิ่งคิดเก่งกว่าเก่าขึ้นไปอีก แล้วก็คิดฉลาดด้วย บางทีมันเอาของจริงมาให้เลยนะ แล้วคิดอะไรแม่นด้วยนะเดาอะไรถูกอีกต่างหาก เพราะว่ามันกลัวไง มันกลัวว่าเราจะไม่เหลียวแลมัน แล้วโยมลองสังเกตเถอะ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ ความคิด ถ้าเราหยุดความคิดได้ ไม่ใช่มันจะยอมหยุดให้เรานะ มันยิ่งคิดไวกว่าเก่า ตรงกว่าเก่า แล้วดีกว่าเก่าแล้วแม่นยำด้วย เมื่อก่อนมันจะคิดแต่เรื่องหลอกๆ แต่ต่อไปมันจะคิดเรื่องจริงๆ นะ ใครๆ ก็ว่า เอ้อ คนนี้มีหูทิพย์ ตาทิพย์หรือไง ถึงได้รู้เรื่องคนอื่นได้ นั่นแหละมันออกมาจากความคิดนั่นแหละ เพราะฉะนั้น เราต้องจับ ต้น กลาง สุด ให้ได้ เผลอปั๊บเผลอหนอ จะคิด บอกจะคิดหนอ ถ้ามันชมเราดี บอกดีหนอ ถ้าชมเราไม่ดี บอกไม่ดีหนอ เก็บให้เกลี้ยงนะ แล้วเราจะได้เข้าใจการปฏิบัติธรรมได้รวดเร็ว

มีครั้งหนึ่งพระภิกษุไปเห็นคนยิงธนูลอดเข้าไปในช่องลูกดาลได้ ก็มาคุยกันว่า โอ๊ย คนยิงธนูเค้ายิงเก่งนะ ช่องลูกดาลช่องนิดเดียวยังยิงลอดออกไปได้ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เธอกำลังสนทนาด้วยเรื่องอะไร พระภิกษุก็กราบทูลว่า ข้าพระองค์เห็นคนยิงธนูเข้าไปในช่องลูกดาลได้ เค้ายิงได้แม่นยำมากพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า การยิงธนูเข้าไปในช่องลูกดาลกับการเอาขนเนื้อทรายมาผ่า ๑๖ ส่วน และเอามาแทงกัน อันไหนมันจะยากกว่ากัน พระภิกษุบอกว่าขนเนื้อทรายมันเล็กมากนะ เล็กเท่าขนแมวเอามาผ่า ๑๖ ส่วน แทบจะมองไม่เห็นน่ะ แล้วมันแทงกันมันจะไปโดนอะไร เพราะฉะนั้นมันยากกว่า พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่าแต่การแทงตลอดซึ่งอริยสัจ ๔ มันยากยิ่งกว่านั้นหลายเท่า การแทงตลอดซึ่งอริยสัจ ๔ ก็คือการรู้ทันให้มันตรงกับความเป็นจริงนะ อย่างเวลามันเอียง เอียงหนอ จะต้องให้พร้อมกันเลยนะ มันเซปั๊บ เซหนอต้องพร้อมกัน เพราะฉะนั้น ตอนนี้เรากำลังฝึกความพร้อม ยกหนอ ยกหนอ เหยียบหนอ เหยียบหนอเนี่ย เพราะว่าปกติแล้ว มันไม่พร้อม มันแยกกันไป ใจก็ไปทางหนึ่ง กายก็ไปทางหนึ่ง มันก็เลยหาความพร้อมไม่ได้นะ แต่ตอนนี้เราเอามาบวกกันให้มันพร้อม พร้อมเรื่อยๆ ถ้ามันตรงจุดเมื่อไหร่มันจะได้รู้เห็นตามความเป็นจริงทันทีนะ เราต้องอยู่กับตัวเองไปอีกนาน ถ้าเราอยู่ไปกับความรู้ไม่ทันนี่ แย่เลย ขาดทุน บุญไม่เกิด โชคก็ร้าย แต่ถ้าเรารู้ทัน เค้าบอกว่าดีกว่าแก้วสารพัดนึกอีก นึกอย่างไหนก็ได้อย่างนั้น เที่ยวนี้เตรียมหยุดเอาเท้าคู่กัน กำหนดรูปยืน ยืนหนอ ๓ ครั้ง อยากกลับหนอ ๓ ครั้ง กลับทางขวาพร้อมกันกลับหนอ ปักส้นขวาเปิดปลายเท้าหมุนไปนิดหนึ่ง วางปลายเท้าขวาลง แล้วยกเท้าซ้ายให้ลอยแล้วหมุนตามไปทำให้ได้ ๓ คู่ ใจของเราต้องพร้อมจากการทำของเรา แล้วเราจะได้เห็นธรรมะวิเศษที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนนะ มันทำให้เราเบากาย เบาใจ แล้วทำให้เราเกิดความเข้าใจ เกิดความอดทน เกิดความขยัน ไม่งั้นเค้าจะเดินกันได้ยังไง ๘ วัน ๘ คืน ไม่ได้นอนนะความขยันมันขึ้นมา เค้าเรียกว่าวิริยินทรีย์นะ วิริยินทรีย์คือความขยัน เราได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยดูมาก่อน เพราะว่าเราไม่เคยดู นี่แหละ เราถึงได้ทำอะไรผิดพลาด เราถึงได้ทุกข์ เราถึงได้เดือดร้อน แต่นี่เรากำลังดูของจริงอันเป็นสัจจะ เท้าของเราที่กำลังขยับไป เค้าเรียกว่าของจริงอันเป็นสัจจะ เพราะปกตินั่นเราเคยไปคิดเรื่องข้างหน้ามั่ง เรื่องข้างหลังมั่ง เราไม่เคยรู้ทันปัจจุบัน ตอนนี้เรารู้ทันปัจจุบันแล้ว เคยมีนางงามเทพีเล่าให้ฟัง เค้าบอกว่าอาจารย์ เมื่อก่อนนี้หนูเคยเดินสวยใช้หนังสือวางบนศีรษะ เดินแล้วมันก็ยังไม่เรียบร้อย เดินแล้วมันก็ยังไม่สวย แต่พอมาเดินจงกรมของอาจารย์ ๑๘ หนอ มันงามมาจากจิตจากใจ ร่างกายก็งดงามนี่แหละเค้าเรียกว่า อินทรีย์ผ่องใส พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า จิตดวงเก่าดับไปแล้วจิตดวงใหม่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแหละทั้งวันและทั้งคืน กิเลสมันจะเกิดมันก็เกิดพร้อมจิต มันจะดับก็ดับพร้อมจิตเพราะฉะนั้น เราต้องรู้ทันทุกอย่าง ตอนนี้เราต้องเข้าใจว่าทุกวันนี้เราอยู่กับความรู้ไม่ทัน ความรู้ไม่ทันครอบนำชีวิตของเราทุกลมหายใจเข้าออก เราจึงอ่านตัวไม่ออก บอกตัวไม่ได้ ใช้ตัวไม่เป็น มองไม่เห็นตัวเอง ก็เลยกลุ้มใจ ร้องไห้ ไปทะเลาะกับคนโน้นมั่ง ทะเลาะกับคนนี้มั่ง นั่นแหละเค้าเรียกว่าไปด้วยกับความรู้ไม่ทัน แต่ถ้ารู้ทันมันเอาดีได้ที่นี่เดี๋ยวนี้ทันที แม้กระทั่งมันจะป่วยจะไข้ก็ดี เราจะได้ไม่ประมาท เราจะได้เอาความป่วยไข้นั้นมาพิจารณาเป็นอารมณ์ควาเปลี่ยนแปลงของเรา เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรามีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นเอง พยายามใส่ใจไปให้ถึงความเปลี่ยนแปลง ยกเท้าไปก็เปลี่ยนแปลง มันไม่เหมือนกันหรอก สังเกตให้ดี เราอย่าคิดว่า เดินไป ยกหนอ เหยียบหนอยกหนอ เหยียบหนอ แล้วมันจะเหมือนเดิม ไม่เหมือนหรอก มันเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกๆ วินาที มันง่ายขึ้นมันเบาขึ้น มันสนุกขึ้น มันเข้มแข็งขึ้น มันอดทนขึ้น แต่เราไม่เห็นมันหรอก เพราะว่ามันเป็นนามธรรม แต่ถ้าคนเก่งๆ เค้าจะมองเห็นนะ เพราะเค้าเห็น ต้น กลาง สุด ของมันได้ ตรงนี้แหละพระพุทธเจ้า

พระองค์ทรงตรัสว่า ช้าง ม้า วัว ควาย ฝึกได้เป็นการดี แต่คนเรานั้นฝึกได้ดีกว่า มันจะอบอุ่นใจ สบายใจ และก็เข้าใจ จนถึงความเข้าจริง ซึ่งก็ไม่ต้องเถียง กับใคร แต่ถ้ายังเข้าใจอย่างเดียว ร้อยคนก็ร้อยความเข้าใจยังไม่จริง ของจริงมันต้องอยู่ตรง ต้น กลาง สุด อย่างเช่นว่า เรากระพริบตา เราเห็น ต้น กลาง สุด ของกระพริบตาได้มั๊ย กระพริบหนอเนี่ย ถ้าเรารู้ทันตรงนี้ได้ เราก็จะรู้ทันส่วนอื่นๆ ได้ ต่อไปมันจะปวด มันจะเมื่อย มันจะรำคาญต่างๆ นี่มันก็เห็นต้น กลาง สุด อ๋อ! มันมีแค่นั้นจริงๆ เมื่อก่อนเราไปยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของๆ เรา มันถึงได้เครียด ได้ทุกข์ ถึงได้ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ แต่ถ้ารู้ทันเป็นสุขนะ แต่ถ้ารู้ไม่ทัน นี่เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าแปลให้ฟังสั้นๆ แค่นี้

เที่ยวนี้เตรียมหยุดเอาเท้าคู่กัน ยืนหนอ ๓ ครั้ง อยากกลับหนอ ๓ ครั้ง กลับทางขวา กลับหนอ ช้าๆ ปักส้นขวาหมุนปลายเท้าไปนิดหนึ่ง ยกเท้าซ้ายให้ลอยแล้วหมุนตามมา ทำบ่อยๆ มันก็ถูกต้องไปเอง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร