วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 02:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2010, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วยอธิบายหน่อยครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 14:34
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อัชฌาสัยในการปฏิบัติมี 4 อย่างด้วยกัน คือ

1. อัชฌาสัย สุกขวิปัสสโก
2. อัชฌาสัย เตวิชโช
3. อัชฌาสัย ฉฬภิญโญ
4. อัชฌาสัย ปฏิสัมภิทัปปัตโต
…………………………..

อัชฌาสัยสุกขวิปัสสโก

ท่านไม่เอาดีทางฌานสมาบัติ พอมีสมาธิเล็กน้อย ก็เจริญวิปัสสนาญาณควบกันไปเลย
คุมสมาธิบ้าง เจริญวิปัสสนาบ้าง เมื่อสมาธิเข้าถึงปฐมฌาน วิปัสสนาก็จะมีกำลังตัดกิเลสได้ สามารถจะได้มรรคผลแล้วเมื่อตอนที่สมาธิเข้าถึงปฐมฌาน ท่านก็เริ่มวิปัสสนาเลย (หากสมาธิยังไม่ถึงปฐมฌาน จะบรรลุมรรคผลไม่ได้)

อัชฌาสัยสุกขวิปัสสโก ท่านไม่ใส่ใจที่จะทำสมาธิให้สูง หรือทำสมถะให้สูง เพื่อให้ได้คุณวิเศษที่จะได้ ฤทธิ์ ของฌาน ซึ่งต้องได้ฌาน 4 ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ พอท่านมีกำลังจิตในปฐมฌาน ท่านสามารถเริ่มต้นขบวนการวิปัสสนาตัดหรือละกิเลสได้แล้ว ท่านก็เริ่มวิปัสสนาเลย

ดังนั้น พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก ท่านจึงไม่มีความรู้จริงในเรื่องนรก-สวรรค์ของจริง และไม่รู้ ไม่เห็น เรื่องผี โอปาติกะ เทพ พรหม เปรต ฯลฯ จึงไม่สามารถถอดจิตออกไปตรวจสอบสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนได้

ในครั้งพุทธกาล พระโมคลานะ พระอานนท์ และพระอรหันต์อื่นๆ รวมทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกท่านฝึกสมาธิ หรือทำสมถะจนได้ฌาน 4-8 มาแล้วทั้งนั้น พอได้รับคำชี้แนะจากพระพุทธเจ้า ไม่นานนักท่านก็บรรลุอรหันต์ อรหันต์ในครั้งนั้นจึงเป็นอรหันต์เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต จำนวนมาก

ในปฐมสังคายนา ก็กำหนดกฎให้อรหันต์ฉฬภิญโญและปฏิสัมภิทัปปัตโต ที่มีอภิญญาครบ 6 อย่างเข้าร่วมเท่านั้น ซึ่งยังหาได้มากถึง 500 รูปเพื่อทำสังคายนาพระไตรปิฎก

เหตุที่ห้ามพระอรหันต์สุกขวิปัสสโก เข้าร่วมในปฐมสังคายนา เพราะอรหันต์สุกขวิปัสสโก เป็นอรหันต์แห้งแล้งจากโลกีย์อภิญญาใดๆทั้งสิ้น เพราะท่านได้แค่ปฐมฌาน ในขณะที่ผู้จะได้อภิญญา 5 จะต้องเข้าถึงอย่างน้อย จตุตถฌาน หรือ ฌานที่ ๔ (the Fourth Absorption ) จิตจะมีองค์ฌานเดียว คือ เอกัคคตา จึงมีพลังจิตรู้เห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนในพระไตรปิฎกว่าเป็นความจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 22:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แรก..ๆ ยังไม่ได้..

พอ..เป็นอรหันต์แล้ว..มาฝึกทีหลังได้อะป่าว..คับ :b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 28 ม.ค. 2010, 22:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 23:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


การจะเป็นพระโสดาบันได้ ต้องมีระดับสมาธิปฐมญานขึ้นไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 06:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


- พระอรหันต์ สุขขวิปัสสโก ไม่ต้องมี สมาธิเลยหรือ?

มีครับ ในขณะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก่อนจะบรรลุมรรคผลนิพพาน ท่านก็ อาศัย ขณิกสมาธิ พิจารณา รูป นาม ขันธ์ ๔ จนเกิด วิปัสสนาญาณ

เมื่อบรรลุ มรรคผล นิพพานแล้ว จิตท่านประกอบด้วยองค์ปฐมฌาน


viewtopic.php?f=2&t=21062

อนึ่ง สุกขวิปัสสกบุคคล ผู้ไม่ได้ฌานเจริญวิปัสสนาภาวนากำหนดพิจารณารูปนามที่เป็นกามธรรมเพียงอย่างเดียว เมื่อมรรคจิตเกิดขึ้นก็ย่อมบริบูรณ์พร้อมด้วยองค์ฌานทั้ง ๕ จัดว่าเป็นปฐมฌานโสดาปัตติมัคคจิต สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ของสุกขวิปัสสกบุคคล ก็จัดเข้าเป็นปฐมฌานด้วยกันทั้งสิ้นตามที่อัฏฐสาลินีอรรถกถา แสดงไว้ว่า
วิปสฺสนานิยาเมน สุกฺขวิปสฺสกสฺส อุปฺปนฺนมคฺโคปิ ปฐมชฺฌานิโก โหติ แปลว่า ว่าโดยวิปัสสนานิยาม แม้มรรคที่เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้เจริญ วิปัสสนาล้วนๆ ก็ย่อมประกอบด้วยองค์ปฐมฌาน
พระอริยะสุกขวิปัสสกบุคคล เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปัญญาวิมุตติ พระอริยะนี้มีมากกว่าพระอริยะที่เป็นฌานลาภีบุคคล ก็ฌานลาภีบุคคลนี้สำเร็จเป็นพระอริยะแล้ว

อิเมสํ หิ สารีปุตฺต ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ สฏฺฐิ ภิกฺขู เตวิชฺชา สฏฺฐิ ภิกฺขู ฉฬาภิญฺญา สฏฺฐิ ภิกขู อุภโตภาควิมุตฺตา อถ อิตเร ปญฺญาวิมุตฺตา
แปลว่า ดูก่อนสารีบุตร ในภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ภิกษุ ๖๐ องค์เป็นเตวิชชบุคคล ๖๐ องค์ เป็น ฉฬภิญญาบุคคล ๖๐ องค์ เป็นอุภโตภาควิมุตตบุคคล ที่เหลือเป็นปัญญาวิมุตตบุคคล

ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ผู้สำเร็จมรรคผล เพราะเห็นอนิจจลักษณ์ และอนัตตลักษณ์มีมากกว่าผู้เห็นทุกขลักษณ์ เพราะว่าผู้ที่เห็นทุกขลักษณ์นี้เป็นผู้มีปุพพาธิการ ยิ่งด้วยสมาธิ
เตวิชชบุคคล ได้แก่ พระอรหันต์ผู้มีวิชชา ๓ คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทิพยจักขุญาณ และอาสวักขยญาณ
ฉฬาภิญญาบุคคล ได้แก่ พระอรหันต์ผู้มี อภิญญา ๖ หรือเรียกว่า วิชชา ๖ คือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทิพยจักขุญาณ อาสวักขยญาณ เจโตปริยญาณ ทิพยโสตญาณ และอิทธิวิธญาณ
อุภโตภาควิมุตตบุคคล ได้แก่ พระอรหันต์ผู้เป็นฌานลาภีบุคคล หรือเรียกว่า เจโตวิมุตตบุคคล
ปัญญาวิมุตตบุคคล ได้แก่ พระอรหันต์ผู้เป็นสุกขวิปัสสก


----------------------------------------


อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา
แรก..ๆ ยังไม่ได้..

พอ..เป็นอรหันต์แล้ว..มาฝึกทีหลังได้อะป่าว..คับ


ได้ อะครับ ตามหลักฐาน ในพระไตรปิฏก อรรถกถา และพระวิปัสสนาจารย์ ดังนี้

21049.สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา จากพระไตรปิฏก อรรถกถ
viewtopic.php?f=2&t=21049&p=98655#p98655

ตรงตอนที่ ๒ นี้ก็หมายความว่า ท่านเจริญเฉพาะวิปัสสนาล้วนๆ มาก่อน ...ยังมิทันที่เธอจะทำสมถะให้สมบูรณ์เลย ก็ใช้ปัญญาพิจารณาถึงเบญจขันธ์โดยความเป็นไตรลักษณ์เสียแล้ว...นี่เป็นคำอธิบายตามนัยของฎีกา

ส่วนคำของอรรถกถาท่านหมายความง่ายๆ ว่า ได้วิปัสสนาแล้วแต่อยากได้ฌานก็ทำฌานให้เกิดขึ้นเท่านั้น เราก็พอจะถือเอาความได้ว่า พระอริยะผู้ที่เป็นวิปัสสนาลาภี คือ ผู้ที่ได้วิปัสสนาจนเป็นพระโสดา - สกทาคามี -อนาคามี และพระอรหันต์แล้ว แต่ต้องการที่จะได้ฌาน ก็มาทำฌาน คือ สมาธิ หรือสมถะให้เกิดขึ้นในภายหลังจนกระทั่งได้สมาบัติ ๘ อย่าง นี้เรียกว่า ทำสมถะที่มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นฯ

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 10:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ธ.ค. 2009, 14:59
โพสต์: 31

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระอรหันต์ สุขขวิปัสสโก ไม่ต้องมี สมาธิเลยหรือ?

ต้องมีสมาธิ
การเจริญสติปัฏฐานสี่ เป็นการตามระลึกถึง รูปนาม สมาธิจึงอยู่ในระดับขณิกะถึงฌานหนึ่งเป็นที่สุด
เมื่อหันมาพิจารณารูปนาม ในกฏแห่งไตรลักษณ์ จึงสามารถตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหานได้ เนื่อง
ด้วยคุ้นเคยกับ รูปนาม ตอนที่เจริญสติปัฏฐานสี่


กบนอกกะลา เขียน:
แรก..ๆ ยังไม่ได้..

พอ..เป็นอรหันต์แล้ว..มาฝึกทีหลังได้อะป่าว..คับ :b12: :b12:


ถ้าหมายถึงฝึกอภิญญา พอเป็นพระอริยะเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันแล้ว จะไม่สามารถฝึกใหม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2012, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มี.ค. 2012, 17:36
โพสต์: 210


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
กระบี่อยู่ที่ใจ : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2012, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมตั้งคำถามไปงั้นๆแหละ
ฌานมีก่อนสติปัฏฐานมีภายหลัง(จำไว้ให้ดี)
อย่างน้อยที่สุดปฐมฌานซึ่งถือว่าเป็นสัมมาสมาธิต้องมี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2012, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ

แวะมาเยี่ยมครับ

1. สุกขวิปัสสโก
2. เตวิชโช
3. ฉฬภิญโญ
4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

คุณพิเศษเหล่านี้เป็นผลครับ ไม่ใช่เหตุ
คุณสมบัติที่เป็นเหตุคืออรหัตตมัคคจิตครับ

อรหัตตมัคคจิต คือฌาน 1หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 ฌานใดฌานหนึ่งเป็นบาท ประกอบด้วยปัญญาเครื่องทำลายกิเลสสังโยชน์

เช่นอรหัตตมัคคที่ประกอบด้วยฌาน 1 +ปัญญาเครื่องทำลายกิเลสสังโยชน์ เป็นดังนี้ครับ

มรรคจิตดวงที่ ๔ คืออรหัตตมัคคจิต

[๒๗๓] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญฌานเป็นโลกุตตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก นำไปสู่นิพพาน
เพื่อบรรลุภูมิที่ ๔ เพื่อละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา ไม่ให้มีเหลือ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อัญญินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ


เมื่ออรหัตตมัคคจิต เกิดขึ้นแล้วดับไป จิตดวงต่อมาจะเป็นอรหัตตผล 3 ขณะจิตบ้าง 2 ขณะจิตบ้างตามกำลังอินทรีย์ของผู้บรรลุ

อรหัตตผลจิตนั้นมีความแตกต่างกันในเรื่องของฌานที่มาเป็นบาทรองรับ แต่มีปัญญาเดียวกันคือปัญญาในการสละวาง

อรหัตตผลจิต มีปัญญาเดียวกัน แต่มีฌานเป็นบาทแตกต่างกันดังนี้ครับ
1.อรหัตตผลจิต ที่ประกอบด้วยปัญญา + ฌาน 1 เป็นบาทบรรลุแบบปัญญาวิมุติ
2.อรหัตตผลจิต ที่ประกอบด้วยปัญญา + ฌาน 2 เป็นบาทบรรลุแบบปัญญาวิมุติ
3.อรหัตตผลจิต ที่ประกอบด้วยปัญญา + ฌาน 3 เป็นบาทบรรลุแบบปัญญาวิมุติ
ดับกิเลสสังโยชน์ได้หมดสิ้น แต่ขันธ์ยังเหลืออยู่

พระอรหันต์ 3 ประเภทนี้ ไม่มีอภิญญา เรียกว่า พระสุขวิปัสสโก
ให้จำไว้ว่า สุขวิปัสสโก เป็นผลไม่ใช่เหตุ

4.อรหัตตผลจิต ที่ประกอบด้วยปัญญา + ฌาน 4 เป็นบาท บรรลุแบบปัญญาวิมุติ
ดับกิเลสสังโยชน์ได้หมดสิ้น แต่ขันธ์ยังเหลืออยู่
พระอรหันต์ประเภทนี้มีผล2 อย่าง
คือ วิชชา 3 และหรืออภิญญา 6

5.อรหัตตผลจิต ที่ประกอบด้วยปัญญา + ฌาน 4 เป็นบาท
บรรลุแบบปัญญาวิมุติก่อน เจโตวิมุติภายหลัง
หรือบรรลุเจโตวิมุติก่อน บรรลุปัญญาวิมุติภายหลัง
หรือบรรลุเจโตวิมุติ
ดับกิเลสสังโยชน์ และดับขันธ์ 5 ได้หมดสิ้นด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ

พระอรหันต์ประเภทนี้ย่อมถึงญาณ 67
ที่เรียกกันว่าพระอรหันต์ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 อภิญญา 6 และวิชชา 3


วิบากแห่งมรรคจิตดวงที่ ๒ ดวงที่ ๓ และดวงที่ ๔
[๔๗๐] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก
นำไปสู่นิพพาน เพื่อบรรลุภูมิที่ ๒ เพื่อความเบาบางแห่งกามราคะและพยาบาท
ฯลฯ เพื่อบรรลุภูมิที่ ๓ เพื่อละกามราคะและพยาบาทไม่ให้มีเหลือ ฯลฯ เพื่อ
บรรลุภูมิที่ ๔ เพื่อละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา
ไม่ให้มีเหลือ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน
เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์
ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล
โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ
ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก
เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ใน
สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อัญญาตาวินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก
นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ
บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ
ปัญจมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ใน
สมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา
ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้
กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ
ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ
เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น
ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

พระโมคคัลลานะไม่ได้มีฤทธิ์มาก่อนแต่มีเมื่อบรรลุอรหัตตผล
พระสารีบุตไม่ได้แตกฉานในปฏิสัมภิทามาก่อน แต่มีปัญญาเมื่อบรรลุอรหัตตผล

1. สุกขวิปัสสโก
2. เตวิชโช
3. ฉฬภิญโญ
4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต
จึงเป็นผล ไม่ใช่เหตุ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2012, 06:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 05:40
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: อนุโมทนา :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 11:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


มหาราชันย์ เขียน:
สวัสดีครับ

แวะมาเยี่ยมครับ


เจริญในธรรมครับ


:b20:

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณมหาราชันย์หายไปเป็นปี smiley
อันนี้พระไตรปิฏกมีระบุไว้หรือเปล่าไม่ทราบแต่ถ้าจิตมีปฐมฌานและมีธรรมเอกผุดขึ้น เนี่ยเสกวัตถุมงคลอัดบารมีอธิฐานจิตเข้าวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์ตามกำลังของแต่ละท่านได้แน่นอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


แยกละเอียดดีแล้วแหละครับคุณมหาราชันย์ พวกไม่รู้เรื่องจะเอาแต่ปัญญาวิมุติๆๆๆ อย่างเดียวไม่เอาสมาธิ มีเยอะพวกนี้ชอบใช้จินตนาการผิดๆ มีความเกียจคร้านในการทำใจให้สงบระงับขี้เกียจสวดมนต์ด้วยคนพวกนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 00:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เขาว่า...สิ่งที่เขากำลังฟุ้งซ่าน....คือปัญญา
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2012, 06:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 05:40
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พระอรหันต์ สุขขวิปัสสโก ไม่ต้องมี สมาธิเลยหรือ?


...หนทางแห่งมรรค ย่อลงคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
หากไม่ครบองค์แล้ว จะเป็นมรรคไปได้อย่างไร?

พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า...ดูกรอานนท์...

ศีลที่เป็นกุศล.มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์
อวิปปฏิสาร..มีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์
ปราโมทย์...มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์
ปีติ...มีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์
ปัสสัทธิ...มีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์
สุข...มีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์
สมาธิ.มี..ยถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มี.ยถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์
ยถาภูตญาณทัสสนะ... มีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์
นิพพิทาวิราคะ..มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ด้วยประการดังนี้

ดูกรอานนท์..ศีลที่เป็นกุศล..ย่อมถึงอรหัต โดยลำดับ ด้วยประการดังนี้แล


แก้ไขล่าสุดโดย MiMee เมื่อ 03 พ.ค. 2012, 06:36, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร