วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 02:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2011, 00:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


World2 เขียน:
จิตที่วางเฉยในอุเบกขาในจตุถฌาน ท่านกล่าวว่า นั่นแหละคือ จิต ความรู้ของจิตว่า ขณะนี้มีความพอดีอย่างไร นี่ก็เป็นการรู้มิใช่หรือ

คุณเวิรล เป็นผู้ที่ศึกษาจากสำนักไหนครับ ศึกษาจากสายสฏิปัฏฐานหรอ หรือสายอานาปานสติ
เหนพูดถึงอุเบกขาในฌาน กับสติที่ม่ายได้อยู่ในฌาน เพิ่งเข้ามาเว็บนี้ครั้งแรก หรือเคยเข้ามาแต่
เปลี่ยนเปนชื่ออื่นไปแล้ว แนะนำบอกกล่าวให้หายสงสัยแก่ข้าพเจ้าหน่อย...555


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2011, 14:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 191


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็ศึกษาจากภายนอกรอบตัวและภายในรอบใจของรูปนามผมนี้แหละครับ ภายนอกนั้น ผมศึกษาด้วยการเรียนรู้ปริยัติจากครูอาจารย์และตำรา ภายในนั้น ผมปฏิบัติถวายบูชาพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มาตาปิตุคุณ อาจริยคุณ ตลอดจนถึงผู้มีคุณทั้งหลาย ผมก็เริ่มด้วยการภาวนาด้วยศรัทธาอย่างจริงจัง จริงจังถึงขนาดโลกธรรมไม่อยู่ในความคิด อัศจรรย์นะช่วงเวลานั้นเกิดผลได้เร็วเกินความคาดหมาย ถามว่าแนวไหนน่ะเหรอ ผมก็บริกรรมนึกว่า พุทโธ ตามที่ได้รู้ได้ยินมา ...เคยมาสนทนาในเว็บนี้เหมือนกันแต่ยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก ...เพิ่งสมัครเมื่อต้นเดือนสิงหาคมมานี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2011, 01:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนใหญ่จะได้กันแค่....feel ธรรมเอกไม่มีผุดกันสักนิด...เลยหลงกันว่าตนเคยได้ฌาณกันแล้ว
ก็เลยเหมาเอาว่าฌาณไม่มีอะไรดี :b32:

คุณเช่นนั้นแจ๋วมากๆครับ :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2011, 01:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีการลดฌาณลงเด็ดขาด!มีแต่ต้องทำให้สูงยิ่งขึ้นไป
หาอ่านดูว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพระอุทายีว่าอย่างไร?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2011, 17:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 191


 ข้อมูลส่วนตัว


ลืมตาแล้วจะเคลื่อนไหวเมื่อใด จิตทำงานแล้ว ไม่ได้อยู่ภาวะอย่างเดิมแล้ว มาไกลๆโน่นแล้ว มีความตื่นรู้ธรรมที่จะบังเกิดแล้ว จิตไม่ลดหรอก แต่จิตทำงาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2011, 17:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 191


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ว่าถอยลงมานั้น ไม่ได้ขอแนะนำ ให้ทิ้งฌาณแล้วหาของใหม่ไปเรื่อยๆอย่างนั้นไม่ใช่ แต่ด้วยภาวะการทำงานของจิตขณะนั้นเป็นไปตามของธรรมดา ไม่มีบังคับอย่งนั้นอย่างนี้ คืออยู่ปัจจุบัน
ถ้าจิตจะไม่ทำงานเลยก็คงเป็นการเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติไปเลยอย่างนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2011, 03:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กามโภคี เขียน
จะยกตัวอย่างนะครับ

หายใจเข้า ให้รู้สึกถึงลมที่กระทบในจมูก

อันนี้เข้าใจง่ายเลยครับ ตามดูการกระทบของลม

แต่ ระลึกถึงปัญญาที่เดิมว่าเป็นสัญญาธรรมดา ๆ อ่านแล้วยังมองไม่เห็นชัดๆว่าต้องกำหนดจิตถึงอะไรหรือ
ไม่ แบบไหน เอาอะไรมาเป็นอารมณ์ อย่างไรถ้าจะให้ดี ยกตัวอย่างซักนิดครับ


ในแนวการปฎิบัติของผม จะกำหนดรู้ผัสสะ ถ้าสติมาอยู่ที่ลมหายใจ นั่นคือ สติอยู่ที่การหายใจของเรา ถ้ารู้สึกถึงการกระทบกันระหว่างลมกับจมูก ผัสสะเกิดขึ้นแล้วจากกายวิญญาณ เป็นความจริงของสภาวะธรรม ก็น้อมลงสู่พระไตรลักษณ์ถึงการเกิดดับของธรรมโดยไม่อาศัยสัญญา แต่ถ้าพูดถึงสัญญา ความเข้าใจของผมคือ หากหลับตาอยู่ จักษุวิญญาณทำงานแต่ไม่มีภาพ(มีแต่แสงเล็ดลอด) การจะเห็นแขนตัวเอง เจาะลึกเข้าไปในแขนเพื่อดูกระดูกในแขน หรือกล้ามเนื้อและเลือด ต้องอาศัยสัญญา โดยใช้มโนวิญญาณเป็นตัวเห็นเป็นการนำ จนกระทั่งเกิดผัสสะแล้วน้อมลงสู่พระไตรลักษณ์คือการเสื่อมสลายลงของรูป ถามว่าสภาวะธรรมเกิดขึ้นจริงไหม สำหรับผมนั้นผมว่าไม่จริงเพราะเป็นการทำงานของผัสสะที่เกิดจากมโนวิญญาณ แต่อาศัยสัญญาเป็นตัวนำให้เกิดการกำหนดรู้น้อมลงสู่การพิจารณาถึงทุกข์ สภาวะที่เป็นของจริงคือลมกระทบจมูกแล้วกำหนดรู้ถึงการเกิดขึ้นของผัสสะที่เกิดจากกายวิญญาณ
ตัวผมเองยังกำหนดรู้ผัสสะจากโสตวิญญาณบ้าง ฆาณวิญญาณบ้าง ชิวหาวิญญาณบ้างสลับกันไปโดยใช้อายตนะภายในเป็นตัวรู้ก็จะเกิดเป็นปัญญาว่าเกิดขึ้นจริงเป็นสภาวะธรรมจริงดับลงจริงของ อายตนะในนอก

ก็เป็นแนวทางการปฏิบัติของผม บางท่านอ่านผ่านกระทู้ผมมาก่อนก็จะรู้ว่าแนวทางผมเป็นไปในเรื่องของผัสสะ จากอายตนะทั้ง12 หากคำตอบยังไม่ตรงประเด็นก็ขออภัยมา ณ ที่นี่ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2011, 06:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


กามโภคี เขียน:
จะยกตัวอย่างนะครับ

หายใจเข้า ให้รู้สึกถึงลมที่กระทบในจมูก

อันนี้เข้าใจง่ายเลยครับ ตามดูการกระทบของลม

แต่ ระลึกถึงปัญญาที่เดิมว่าเป็นสัญญาธรรมดา ๆ อ่านแล้วยังมองไม่เห็นชัดๆว่าต้องกำหนดจิตถึงอะไรหรือ
ไม่ แบบไหน เอาอะไรมาเป็นอารมณ์ อย่างไรถ้าจะให้ดี ยกตัวอย่างซักนิดครับ


student เขียน:
ในแนวการปฎิบัติของผม จะกำหนดรู้ผัสสะ ถ้า ฯลฯ
ตัวผมเองยังกำหนดรู้ผัสสะจากโสตวิญญาณบ้าง ฆาณวิญญาณบ้าง ชิวหาวิญญาณบ้างสลับกันไปโดยใช้อายตนะภายในเป็นตัวรู้ก็จะเกิดเป็นปัญญาว่าเกิดขึ้นจริงเป็นสภาวะธรรมจริงดับลงจริงของ อายตนะในนอก

ก็เป็นแนวทางการปฏิบัติของผม บางท่านอ่านผ่านกระทู้ผมมาก่อนก็จะรู้ว่าแนวทางผมเป็นไปในเรื่องของผัสสะ จากอายตนะทั้ง12 หากคำตอบยังไม่ตรงประเด็นก็ขออภัยมา ณ ที่นี่ครับ


อานาปานสติ เป็นทั้งสมถะ และ วิปัสสนาครับ

อนุโมทนาครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2011, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คงไม่แค่ทำฌานแล้วมรรคผลจะตามมาเอง
คงไม่แค่ทำฌานแล้วปัญญาจะเกิดขึ้มาเอง

เพราะก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีคนมากมายที่สามารถทำฌานได้ แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้น

ก็น่าจะสรุปได้ว่า หลังจากฌานแล้วย่อมมีวิธีการปฏิบัติต่อยอดไปอีกแน่นอน


ลองไปฟังของหลวงพ่อ พุธ ครับ
แต่ที่แน่ๆ ถ้าจะไปทางฌาณ ก็ต้องเข้าออกฌาณให้ได้เป็นวสีเสียก่อน
จน สติ สมาธิ แข็งกล้า ฯ ส่วนการเจริญปัญญา หลวงตามหาบัว หลวงพ่อพุธ ฯลฯ ท่านกล่าวไว้มากมาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2011, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีฌาณ1234...จะเข้าไปสู่โลกุตระฌาณไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2011, 18:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งท่าด้วยโลกุตร..แล้วทำฌาณ...1234 แบบนี้ได้รึเปล่า??
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2011, 20:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

คำถาม

ในสมาธิ ถ้าปราศจากวิญญาณเสียแล้ว
จะปรากฎอะไร


:b1:

แล้วเป็นไปได้มั๊ย ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น

:b1:

ถ้าเป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุไร

แต่ถ้าเป็นไปได้ ด้วยเหตุไร


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 10 ต.ค. 2011, 21:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2011, 21:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอกัคคตารมณ์...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2011, 21:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอกัคคตารมณ์...

อะไรที่รู้เอกัคคตารมณ์ ท่านอ๊บซ์

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2011, 21:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b9:

อย่าคิดมากท่านอ๊บซ์

คือ ตอนที่เข้ามาศึกษาธรรม เอกอนค้นหาการกระทำ
เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบนี้ อยู่นาน นะ

แต่อยู่ดี ๆ วันหนึ่งก็ดันหมั่นไส้ตัวเองอีท่าไหนก็ไม่รู้
เกิดคำถามย้อนกลับมาว่า

"แล้วทำไมเอ็งถึงอยากรู้..."
ก็เลยเป็นตัวจุดประกาย
ว่า "เออ...ทำไมเราจึงอยากรู้ และเราก็ถูกสิ่งนี้ปั่นหัวมานาน"
จากการที่เคยชินกับวิถีที่มุ่งหาคำตอบแบบตะลุยไปข้างหน้า
ก็ ได้ลองวิถีสาวกลับไปหาต้นตอแห่งความเป็นมาของความสงสัย

:b1: :b1: :b1:

และมันเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า

เพราะ เมื่อเราสาวเชือกไปข้างหน้า เราจะพบช่องทางไปอันวิจิตร
แต่เมื่อสาวกลับไป เรากลับพบ "ความโง่-ความไม่รู้" เป็นจุดเริ่มต้น

รึเปล่า...


:b1: :b1: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 31 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร