วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 04:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 12:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
eragon_joe เขียน:

:b16: เอกอนไม่ได้คิดถึงสิ่งนั้นเลยกั๊บ
ไม่ได้มองไปที่นัยยะของท่่านเฉลิมศักดิ์
เพียงแต่อาศัยพระสูตรที่ท่านเฉลิมศักดิ์โพสต์ไว้เท่านั้น :b12:

เอกอนกะลังนั่งมองพระสูตรนี้
ในแง่ลำดับที่ลาดไปน่ะ
...


s002
ก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกให้ใครคิด....
พอดีตัวเองคิด....ต่างจากที่เคย...
:b13:


:b16:

คร๊าบ อิอิ ตามนั้น
แค่ช่วยเวียนย้ำ
"ก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกให้ใครคิด....
พอดีตัวเองคิด....ต่างจากที่เคย..."
ไงคร๊าบบบบบ

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 15:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
eragon_joe เขียน:

:b16: เอกอนไม่ได้คิดถึงสิ่งนั้นเลยกั๊บ
ไม่ได้มองไปที่นัยยะของท่่านเฉลิมศักดิ์
เพียงแต่อาศัยพระสูตรที่ท่านเฉลิมศักดิ์โพสต์ไว้เท่านั้น :b12:

เอกอนกะลังนั่งมองพระสูตรนี้
ในแง่ลำดับที่ลาดไปน่ะ
...


s002
ก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกให้ใครคิด....
พอดีตัวเองคิด....ต่างจากที่เคย...
:b13:


ให้สักวันเปลี่ยนเป็นคำว่า
"ก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกให้ใครคิด...
พอดีตัวเอง ไม่คิด อย่างที่เคย ๆ ...." เสียทีนะ ท่านอ๊บซ์

:b22: :b22: :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 15:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้ สิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่รู้ ไม่ตามหลอกหลอนให้หลงคิดไปในมายาเหล่านั้นอีกเลย

ซ๋าาาาาาตุ๊ี...

:b8:

อิอิ


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 31 ก.ค. 2011, 16:01, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 15:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กลิ่นผง ผง ตุตุ

:b22: :b22: :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 20:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


อาชีวกสูตร

[๕๑๒] ๗๓. สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ที่โฆสิตาราม ใกล้กรุง
โกสัมพี ครั้งนั้นแล คฤหบดีผู้เป็นสาวกของอาชีวกคนหนึ่ง เข้าไปหาท่าน
พระอานนท์ถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว นั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถาม
ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ คนพวกไหนเล่า ได้กล่าวธรรมไว้ดีแล้ว พวกไหน
ปฏิบัติดีแล้วในโลก พวกไหนดำเนินไปดีแล้วในโลก
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า
ดูกรคฤหบดี ถ้าเช่นนั้นเราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ท่านชอบใจอย่างใด ก็พึง
กล่าวแก้อย่างนั้น
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คนพวกใดแสดงธรรม
เพื่อละราคะ แสดงธรรมเพื่อละโทสะ แสดงธรรมเพื่อละโมหะ คนพวกนั้น
กล่าวธรรมดีแล้วหรือหาไม่ หรือว่าในข้อนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ฯ

ค. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนพวกใดแสดงธรรมเพื่อละราคะ แสดงธรรม
เพื่อละโทสะ แสดงธรรมเพื่อละโมหะ คนพวกนั้นกล่าวธรรมดีแล้ว
ในข้อนี้
ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ ฯ

อา. ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คนพวกใดปฏิบัติ
เพื่อละราคะ ปฏิบัติเพื่อละโทสะ ปฏิบัติเพื่อละโมหะ คนพวกนั้นปฏิบัติดีแล้ว
ในโลกใช่หรือไม่ หรือว่าในข้อนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ฯ

ค. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนพวกใดปฏิบัติเพื่อละราคะ ปฏิบัติเพื่อละ
โทสะ ปฏิบัติเพื่อละโมหะ คนพวกนั้นปฏิบัติดีแล้วในโลก
ในข้อนี้ข้าพเจ้า
มีความเห็นอย่างนี้ ฯ

อา. ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คนพวกใดละ
ราคะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดุจตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่
ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา คนพวกใดละโทสะได้แล้ว ฯลฯ คนพวกใดละ
โมหะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดุจตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่
ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา คนพวกนั้นดำเนินไปดีแล้วในโลกใช่หรือไม่
หรือว่าในข้อนี้ท่านมีความเห็นอย่างนี้ ฯ

ค. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนพวกใดละราคะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
ทำให้ไม่มีที่ตั้งดุจตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
คนพวกใดละโทสะได้แล้ว ฯลฯ คนพวกใดละโมหะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
ทำไม่ให้มีที่ตั้งดุจตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
คนพวกนั้นดำเนินไปดีแล้วในโลก
ในข้อนี้ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างไร ฯ

อา. ดูกรคฤหบดี ข้อนี้ท่านได้กล่าวแก้แล้วว่า คนพวกใดแสดงธรรม
เพื่อละราคะ แสดงธรรมเพื่อละโทสะ แสดงธรรมเพื่อละโมหะ คนพวกนั้น
กล่าวธรรมดีแล้ว ข้อนี้ท่านได้กล่าวแก้แล้วว่า คนพวกใดปฏิบัติเพื่อละราคะ
ปฏิบัติเพื่อละโทสะ ปฏิบัติเพื่อละโมหะ คนพวกนั้นปฏิบัติดีแล้วในโลก ข้อนี้
ท่านได้กล่าวแก้แล้วว่า คนพวกใดละราคะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มี
ที่ตั้งดุจตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา คนพวกใด
ละโทสะได้แล้ว ฯลฯ คนพวกใดละโมหะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มี
ที่ตั้งดุจตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา คนพวกนั้น
ดำเนินไปดีแล้วในโลก ดังนี้แล ฯ

ค. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อนี้น่าอัศจรรย์ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมี
ธรรมเทศนาจักไม่ชื่อว่าเป็นการยกย่องธรรมของตนเอง และจักไม่เป็นการรุกราน
ธรรมของผู้อื่น เป็นธรรมเทศนาเฉพาะแต่ในเหตุ ท่านกล่าวแต่เนื้อความ และ
มิได้นำตนเข้าไป ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ท่านทั้งหลายแสดงธรรมเพื่อละราคะ
แสดงธรรมเพื่อละโทสะ แสดงธรรมเพื่อละโมหะ ท่านทั้งหลายกล่าวธรรมดีแล้ว
ท่านทั้งหลายปฏิบัติดีแล้วในโลก ท่านทั้งหลายละราคะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
ทำไม่ให้มีที่ตั้งดุจตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายละโทสะได้แล้ว ฯลฯ ท่านทั้งหลายละโมหะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
ทำไม่ให้มีที่ตั้งดุจตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายดำเนินไปดีแล้วในโลก
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก พระผู้เป็นเจ้าอานนท์ประกาศธรรม
โดยอเนกปริยายเปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่
ผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ข้าพเจ้านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค กับทั้งพระธรรมและพระ
ภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้เป็นเจ้าอานนท์จงจำข้าพเจ้าว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึง
สรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 21:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อนข้างบ้านบอกเล่าสภาวะธรรมแชร์ประสพการณ์

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... 3&gblog=90

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... 3&gblog=84

:b8: :b8:

เพราะห้ามลอก จึงทำ link แทน :b4: :b4:

http://www.paramatthasacca.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... 13&gblog=8

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... 3&gblog=10

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 21:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... 3&gblog=73

:b10: :b10: :b10:

มีการนำ ข้าวต้มมัด มาเป็นตัวอย่างด้วย :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 22:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทโธ ธัมโม สังโฆ

onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2011, 12:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


มงคลที่ 38 จิตเกษม

ตัดอาลัยไปนิพพาน

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
เพราะบุคคลมีตนฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลได้โดยยาก

เวลาธรรมกายเป็นเวลาที่ทรงคุณค่ายิ่ง ที่เราจะมาปฏิบัติธรรมร่วมกัน หยุดใจไว้ในที่เดียวกัน คือ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด แม้จะอยู่คนละสถานที่ แต่เราก็สามารถรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อให้กระแสแห่งความสุขและความบริสุทธิ์ของธรรมกายแผ่ขยายไปทั่วโลก การสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะธรรมกายมีอยู่แล้วในตัวของมนุษย์ทุกคนในโลก โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและเผ่าพันธุ์ หากทำใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายได้ ย่อมเข้าถึงได้ทุกคน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา

อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
เพราะบุคคลมีตนฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลได้โดยยาก

การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเฉพาะตน ที่เราจะต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จะทำแทนกันไม่ได้ เราทำเพื่อช่วยตนเองให้พ้นทุกข์ พ้นจากอำนาจกิเลสอาสวะ ฉะนั้นให้ตั้งใจปฏิบัติกันให้เต็มที่ อย่าประมาท อย่าปล่อยวันเวลาให้ล่วงไปเปล่าๆ ให้รีบแสวงหาที่พึ่งที่ระลึก คือ พระรัตนตรัยภายใน ถ้าเราเข้าถึงพระธรรมกาย เราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้ที่พึ่งที่บุคคลได้โดยยาก

ในสมัยพุทธกาล มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อ พระกุมารกัสสปะ เป็นพระมหาเถระผู้ทรงคุณธรรมยิ่ง ประวัติชีวิตของท่านเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับพุทธศาสนิกชน เมื่อศึกษาปฏิปทาของท่านแล้ว จะได้คลายความยึดมั่นถือมั่น ความผูกพันอาลัยอาวรณ์ในบุคคลอันเป็นที่รัก ความรักและความปรารถนาดีที่มีต่อหมู่ญาตินั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติธรรมก็ควรจะปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ไม่ให้มาเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมได้ เรื่องมีอยู่ว่า...

*มารดาของพระกุมารกัสสปะ ซึ่งเป็นธิดาของเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ นางเป็นหญิงผู้มีบุญ ได้อ้อนวอนบิดามารดา ขอบวชตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่พ่อแม่ไม่ยินยอม จนกระทั่งเติบโตเป็นสาว พ่อแม่ให้แต่งงาน แต่นางมีใจอยากจะบวช จึงได้เอาอกเอาใจสามีเป็นอย่างดี เพื่อที่ว่าสามีจะอนุญาตให้ออกบวช ต่อมาสามีก็อนุญาตให้นางบวชในสำนักของภิกษุณี

พอบวชได้เพียงไม่กี่เดือน ครรภ์ของนางก็โตขึ้น เหล่าเพื่อนภิกษุณีจึงสอบถามถึงเรื่องราวความเป็นมา นางยืนยันว่าไม่ทราบจริงๆว่าตั้งครรภ์มาแล้วก่อนบวช แต่ศีลยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่มีด่างพร้อย เหล่าภิกษุณีจึงพานางไปยังสำนักของพระเทวทัต เพื่อปรึกษาในเรื่องนี้ว่าจะทำอย่างไรดี

พระเทวทัตคิดแต่เพียงว่าให้สึกออกไป เพราะกลัวจะเสียชื่อเสียง กลัวคนจะนินทาภิกษุณีในสำนักของตน ไม่สนใจว่านางจะตั้งครรภ์มาก่อนบวชหรือไม่ ส่วนนางเห็นว่าเป็นคำตัดสินที่ไม่ยุติธรรม จึงกล่าวว่า "ฉันบวชถวายพระศาสดา ไม่ได้บวชเพราะพระเทวทัต ขอได้โปรดนำฉันไปยังสำนักของพระศาสดาเถิด"

พระบรมศาสดาทรงทราบอยู่แล้วว่า นางตั้งครรภ์ตั้งแต่ยังเป็นคฤหัสถ์ แต่เพื่อจะเปลื้องความสงสัยของมหาชน จึงให้บุคคลสำคัญๆในแผ่นดินมาร่วมเป็นพยานในการตรวจอายุครรภ์ของนาง ได้แก่ พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านจุลอนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา และตระกูลใหญ่ๆอีกหลายตระกูล โดยมอบหมายให้พระอุบาลีเถระเป็นผู้ชำระคดีความให้หมดจด ท่ามกลางพุทธบริษัทสี่ ส่วนนางวิสาขาสั่งให้กั้นม่าน แล้วตรวจดูมือดูเท้าดูครรภ์ของภิกษุณี เมื่อนับวันนับเดือนดู พบว่านางได้ตั้งครรภ์มาก่อนที่จะบวช

พระอุบาลีเถระจึงประกาศถึงความบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินของภิกษุณีท่ามกลางพุทธบริษัท และต่อมาไม่นานนางคลอดบุตรชาย เป็นผู้มีบุญมีอานุภาพมาก วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จผ่านสำนักภิกษุณี ทรงได้ยินเสียงของทารก จึงทรงเมตตานำทารกไปเลี้ยงในพระราชวัง และให้แม่นมทั้งหลายคอยดูแลดุจพระกุมาร จึงได้ชื่อว่า พระกุมารกัสสปะ

เมื่อพระกุมารเจริญวัยขึ้น ไปเที่ยวเล่นกับเด็กๆในวัยเดียวกัน เกิดทะเลาะกันขึ้น เด็กเหล่านั้นจึงล้อว่า "พวกเราถูกคนไม่มีพ่อแม่ทุบตีเอา"

พระกุมารกัสสปะจึงไปเข้าเฝ้าพระราชา เล่าเรื่องที่เพื่อนๆบอกว่า ตนไม่มีบิดามารดาและรบเร้าให้พระราชาตรัสบอกความเป็นจริงว่า มารดาของตนนั้นเป็นใคร พระราชาตรัสว่า "หญิงแม่นมเหล่านี้ เป็นมารดาของเจ้า"

พระกุมารกัสสปะไม่เชื่อ จึงกราบทูลว่า "มารดาจะมีหลายคนไม่ได้ ต้องมีเพียงคนเดียวเท่านั้น"

พระราชาไม่สามารถจะปิดบังความจริงได้อีก จึงตรัสว่า "กัสสปะ มารดาของเจ้าเป็นภิกษุณี"

เมื่อพระกุมารทราบความจริง จึงเกิดความสลดสังเวชใจและได้ทูลขอออกบวช เมื่อบวชแล้ว พระกุมารกัสสปะได้ตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเอง ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุอรหัตผล

แล้วเหตุการณ์สำคัญในชีวิตนางภิกษุณีผู้เป็นมารดาก็เกิดขึ้น คือ นับตั้งแต่พระกุมารได้แยกจากนางไปถึง 12ปีนั้น นางได้แต่ร้องไห้ด้วยความคิดถึงบุตร มีความทุกข์เพราะความพลัดพราก ใบหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังเดินบิณฑบาตอยู่นั้น ได้เห็นพระกุมารกัสสปะในระหว่างทางจึงดีใจร้องเรียกลูก แล้ววิ่งเข้าไปหาแต่ได้เซล้มลง

พระกุมารกัสสปะปรารถนาจะสงเคราะห์มารดา พลางคิดในใจว่า "ถ้าเราพูดดีกับมารดา ด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน จะไม่เป็นประโยชน์ต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน เราจะกล่าวด้วยถ้อยคำที่แข็งกระด้าง เพื่อให้คลายความผูกพันที่มีต่อเรา"

ท่านจึงกล่าวกับมารดาว่า "อะไรกัน ท่านเป็นภิกษุณีแล้วมัวเที่ยวทำอะไรอยู่ ความรักแค่นี้ ตัดไม่ได้เชียวหรือ"

นางภิกษุณีได้ฟังดังนั้น ยังไม่ค่อยจะแน่ใจนัก จึงถามว่า "นั่นลูกพูดอะไร"

พระกุมารกัสสปะกล่าวซ้ำโดยไม่มีเยื่อใยเลย นางรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ที่บุตรกล่าวอย่างไม่มีเยื่อใยแม้แต่น้อย นางจึงคิดว่า เรามีน้ำตานองหน้า เฝ้าคิดถึงลูกคนนี้อยู่ถึง 12ปี วันนี้ได้พบแล้ว กลับได้ฟังวาจาที่เย็นชากระด้าง จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะเฝ้าคิดถึงลูกคนนี้อีก แล้วได้ตัดความเสน่หาในบุตร ไม่มีความอาลัย ความผูกพันอีกต่อไป จิตใจเริ่มสงบลง นางจึงหันมาประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ปล่อยวางเรื่องของพระลูกชาย ไม่ช้าใจก็หยุดนิ่ง พอหยุดถูกส่วนก็เข้าถึงธรรมไปตามลำดับ และในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นเอง ความทุกข์โศกได้ดับไป มีแต่ความสุขเกษมศานต์ที่เกิดจากการเข้าถึงธรรมมาแทนที่ เป็นความสุขที่ไม่มีประมาณ เป็นความสุขที่แท้จริง

เพราะฉะนั้น อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่เป็นสาระกัน อย่าไปติดอกติดใจ หลงใหลเพลิดเพลินในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ให้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง แล้วใจเราจะสบาย จะได้พบกับความสุขที่แท้จริง คนรักตนเองจะต้องพาตนให้พ้นจากทุกข์ การปฏิบัติธรรมเป็นวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เราพ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง พ้นจากกิเลสอาสวะไปถึงที่สุดแห่งธรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์

ดังนั้น ให้หมั่นปฏิบัติธรรมอย่าให้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว เพราะชีวิตของเราร่อยหรอลงไปทุกวัน รีบทำความดีให้มาก อย่าปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ให้เสียดายเวลาที่ผ่านไป เพราะเวลาที่ผ่านไปได้กลืนกินชีวิตของเราให้เหลือน้อยลงไปทุกที จึงต้องหมั่นฝึกใจของเราให้หยุดนิ่ง เพื่อเข้าถึงพระธรรมกายกันให้ได้


พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


http://buddha.dmc.tv/%E0%B8%98%E0%B8%A3 ... B8%99.html


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 01 ส.ค. 2011, 12:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2011, 12:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=22&p=4

http://www.samyaek.com/tripidok/book42/201_250.htm

นางภิกษุณีได้ฟังดังนั้น ยังไม่ค่อยจะแน่ใจนัก จึงถามว่า "นั่นลูกพูดอะไร"

พระกุมารกัสสปะกล่าวซ้ำโดยไม่มีเยื่อใยเลย นางรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ที่บุตรกล่าวอย่างไม่มีเยื่อใยแม้แต่น้อย นางจึงคิดว่า เรามีน้ำตานองหน้า เฝ้าคิดถึงลูกคนนี้อยู่ถึง 12ปี วันนี้ได้พบแล้ว กลับได้ฟังวาจาที่เย็นชากระด้าง จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะเฝ้าคิดถึงลูกคนนี้อีก แล้วได้ตัดความเสน่หาในบุตร ไม่มีความอาลัย ความผูกพันอีกต่อไป จิตใจเริ่มสงบลง นางจึงหันมาประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ปล่อยวางเรื่องของพระลูกชาย ไม่ช้าใจก็หยุดนิ่ง พอหยุดถูกส่วนก็เข้าถึงธรรมไปตามลำดับ และในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นเอง ความทุกข์โศกได้ดับไป มีแต่ความสุขเกษมศานต์ที่เกิดจากการเข้าถึงธรรมมาแทนที่ เป็นความสุขที่ไม่มีประมาณ เป็นความสุขที่แท้จริง


เช็คดูพระสูตรทั้งสอง link ไม่มีการกล่าวในข้อความทึบ

:b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2011, 20:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: ชักจะ จับฉ่าย :b12:

http://agaligohome.com/index.php?topic= ... n#msg12841


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร