วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2013, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑
โดย
พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี

:b45:

ตอนที่ ๘
พระสกิทาคามีมรรค


ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ท่านทั้งหลาย
ได้พากันสมาทานพระกรรมฐาน สมาทานศีลแล้ว
ณ โอกาสต่อนี้ไป ก็จะขอแนะนำท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติในพระกรรมฐานด้านพระสกิทาคามี

สำหรับเรื่องราวของพระโสดาบัน ก็คิดว่าท่านทั้งหลาย
คงจะมีความเข้าใจและก็คงจะปฏิบัติได้เพราะเป็นของไม่ยากนัก
และขอย้ำอีกนิดหนึ่งว่า พระโสดาบันนี่ยังตัดกิเลสไม่หมด
เป็นแต่เพียงว่าผู้เข้าถึงพระรัตนตรัย มีศีลบริสุทธิ์และก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์

แต่เรื่องที่จะน่าสังเกตมีอยู่นิดหนึ่ง ท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงพระโสดาบัน
ตอนนี้จิตมักจะนิยมคำว่าธรรมดาอยู่เสมอ
ในคำว่าธรรมดาก็หมายความว่า เขาจะด่า เขาจะว่า เขาจะนินทา
เขาจะสรรเสริญ ความสะเทือนใจสำหรับท่านที่เป็นพระโสดาบันนี่มีน้อยเต็มที
ถ้าจะเทียบกับอารมณ์ของปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส
ความหวั่นไหวประเภทนั้นไม่มี

และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระโสดาบันไม่เป็นบุคคลที่ถือมงคลตื่นข่าว
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เขาลือกันว่าที่นั่นดี เขาลือกันว่าที่นี่ดี
พระโสดาบันไม่มีอารมณ์อย่างนั้น
มีความมั่นคงอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติที่ตนปฏิบัติได้แล้ว

และก็มีความมั่นคงในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันพระโสดาบันจะมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า
ความดีหรือความชั่ว ผลที่จะปฏิบัติได้หรือไม่ได้เพียงใดนั่น มันขึ้นอยู่แก่ตัวเอง
ไม่ใช่ว่าผลใหญ่จะขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์
ความจริงครูบาอาจารย์มีความสำคัญ

ท่านเป็นคนไม่อกตัญญู รู้คุณครูบาอาจารย์ก็จริงแหล่
แต่ทว่ามีความรู้สึกอยู่เสมอว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
หมายความว่า เราจะดีหรือว่าเราจะชั่ว มันอยู่ที่ตัวของเรา
แต่ครูบาอาจารย์สอนมาแล้ว เราไม่ปฏิบัติตามผลมันก็ไม่มี

โกหิ นาโถ ปโร สิยา ข้อนี้หมายความว่า บุคคลอื่นเล่าใครจะเป็นที่พึ่งได้
อัตตนาหิ สุทันเตนะ เมื่อเราฝึกฝนตนของเราดีแล้วไซร้
นาถัง ลภติ ทุลลภัง เราจะได้ที่พึ่งอันบุคคลอื่นพึงหาได้โดยยาก


ตามพระบาลีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้นี้
พระโสดาบันมีความยึดมั่น ด้วยมีความรู้สึกว่าเราจะดีหรือไม่ดี ครูท่านสอนมาแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านสอนมาแล้ว พระอริยสงฆ์ทั้งหลายสอนเรามาแล้ว
ถ้าหากเราไม่ประพฤติปฏิบัติตาม เราก็ดีไม่ได้
ฉะนั้น ความดีหรือความไม่ดี มันอยู่ที่เราเป็นสำคัญ
ไม่ใช่ว่าอยู่ที่สำนักนั้นสำนักนี้สำนักโน้น สำนักไหนๆ ก็ไม่มีความสำคัญถ้าเราไม่ดี

ให้จำพระบาลีอันนี้ไว้ สำหรับท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน
คือ เป็นพระอริยเจ้าขั้นต้น ท่านจะมีความมั่นคงในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ดิ้นไม่รน นี่ผมไม่ได้กันท่านนะ ไม่ได้กันพวกท่านว่าท่านจะไปทางไหนน่ะผมห้าม ไม่ใช่ยังงั้น
ผมไม่เคยห้ามใคร นี่พูดถึงอารมณ์ของพระโสดาบันกันจริงๆ

ต่อไปนี้ อารมณ์จะต้องใช้หนักกว่าเดิมสักนิดหนึ่ง
เพราะว่าการจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นพระสกิทาคามี
เราเริ่มเดินจุดเข้าหา พระสกิทาคามี อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระสกิทาคามีมรรค

พระสกิทาคามีมรรคนี่ต้องใช้อารมณ์เพิ่ม
อารมณ์เพิ่มที่เราจะพึงใช้ก็คือ
หนึ่งอสุภกรรมฐาน
สองพรหมวิหารสี่
สามจาคานุสสติกรรมฐาน
และก็สี่ร่วมด้วยกายคตานุสสติ

จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่จะก้าวเข้าไปหาจุดใหม่
ก็จะต้องนั่งไล่เบี้ยกันทีละน้อยๆ เพื่อความเข้าใจของพวกท่าน

ทั้งนี้ก็เพราะอะไร ก็ต้องขออภัย ที่บางท่านอาจจะคิดว่า
แหม พูดอย่างนี้นี่ดูถูกเราเกินไป แต่ความจริงการพูดอย่างนี้
ไม่ได้หมายความว่าจะดูถูกดูหมิ่นพวกท่าน ว่าทำกันมานานแล้ว
แค่พระสกิทาคามีเท่านี้น่ะหรือ ที่เราจะทำไม่ได้
แต่การแนะนำกัน ก็ไม่ได้หวังว่าจะแนะนำเฉพาะผู้ปฏิบัติในชุดนี้เท่านั้น
หวังให้คำแนะนำนี่เป็นตำรายาวนานไปกว่านี้หลายสิบปี หรือเป็นร้อยปี
ฉะนั้น ก็จะต้องขอพูดละเอียดสักนิดหนึ่ง

มาตอนนี้เราก็ต้องเร่งรัดกันด้านสมาธิให้หนักกว่าสักหน่อย
แล้วก็ตอนนี้แหละเป็นจุดที่มีความสำคัญ
เพราะว่าพระสกิทาคามีนี่
มีการบรรเทาในราคะความรัก โลภะความโลภ โทสะความโกรธ โมหะความหลง

เป็นอันว่าอาการทั้งสามประการนี้ต้องมีกำลังน้อย

สำหรับพระสกิทาคามีผล หากว่าจะพึงเข้าถึงโปรดเข้าใจไว้ด้วย
ว่าความรู้สึกในเพศรู้สึกว่ามันเกือบจะไม่มี เห็นคนสวยก็เหมือนกับเห็นซากศพ
เห็นวัตถุที่สวยก็เหมือนกับเห็นไม้ผุ มันไม่มีความหมาย
การดิ้นรนในลาภสักการะไม่มีในพระสกิทาคามี
เพราะกำลังคือความโลภมันตกไป คลานต้วมเตี้ยมๆ เหมือนกับกุ้งใกล้จะตาย
อำนาจความโกรธความหวั่นไหวในถ้อยคำที่บุคคลปรามาสก็หายาก
ความหลงในสรีระร่างกายทรัพย์สมบัติทั้งหลายมันก็เพลียเต็มที
อาการอย่างนี้เป็นอาการของพระสกิทาคามีผล


นี่ผมพูดถึงตอนจบ ถ้าเข้าสกิทาคามีผลมันเป็นอย่างนี้
สำหรับความรักในระหว่างเพศ มันเกือบจะหมดความรู้สึก
ถ้าส่วนใหญ่ของอารมณ์น่ะหมดความรู้สึก แต่บางครั้งนานๆ มันก็โผล่หน้ามานิดหนึ่ง
ฉะนั้น ท่านที่เข้าถึงพระสกิทาคามีนี่ บางทีเผลอ
คิดว่านี่เราเป็นพระอนาคามีเสียแล้วหรือ ตอนนี้คุยสู่กันฟัง

ต่อไปก็จะขอนำวิธีปฏิบัติ วิธีปฏิบัติตอนนี้ต้องรับอารมณ์สมาธิให้มาก
แต่ก็จงอย่าให้มากเกินไปถึงกับเป็นโรคเส้นประสาท เป็นง่อยเปลี้ยเสียขา
อดอาหารการบริโภค เคร่งครัดเกินไป อย่างนี้ไม่มีผล
แทนที่จะมีคุณก็กลายเป็นของมีโทษ

วิธีปฏิบัติในตอนนี้ ก็หมายความว่า เริ่มต้นเราอาจจะใช้อารมณ์พิจารณาอสุภสัญญา
เอาอสุภะ ๑๐ ก่อน พิจารณาด้านอสุภสัญญาก่อนก็ได้
หรือว่าเราจะเริ่มต้นในการจับอานาปานุสสติกรรมฐาน
จับลมหายใจเข้าออกโดยเฉพาะ หรือว่าจะควบคู่กับพุทธานุสสติกรรมฐานก็ได้
พยายามทำสมาธิให้อารมณ์ใจมันสบาย ให้มีความเข้มแข็งในอารมณ์

ความเข้มแข็งในอารมณ์นี่ไม่เหมือนอารมณ์ของคนโกรธ
อารมณ์ของคนโกรธนี่เข้มแข็งในด้านของความชั่ว
ความเข้มแข็งในด้านของการจะก้าวเข้าไปสู่พระสกิทาคามี เป็นความเข้มแข็งด้านดี
คือทรงอานาปานุสสติกับพุทธานุสสติกรรมฐาน ให้จิตมีอารมณ์โปร่ง
มีความสบาย ใจเย็น อย่ารีบอย่าร้อน
หรือว่าท่านจะพิจารณาในด้านอสุภกรรมฐานไปเลยก็ได้ ถ้าอารมณ์ใจยังเป็นเช่นนั้น

ต่อนี้ไปผมก็จะขอพูดถึงวิธีที่ปฏิบัติ ในยามปรกติ เราพยายามลืมเสียให้หมด
ลืมว่าคนนั้นเขาว่าเรา คนนี้เขาด่าเรา คนนั้นเขาเกลียดเรา
คนนี้เขารักเรา คนนั้นเขาสรรเสริญเรา อารมณ์ขุ่นมัวทั้งหลายที่ปรากฎอยู่ในโลกธรรม ลืมมันเสีย
มันจะมีลาภหรือไม่มีลาภก็ช่างมัน ลาภมีแล้วมันจะหมดไปก็ช่างมัน
ยศฐาบรรดาศักดิ์เขาจะให้หรือไม่ให้ก็ช่างมัน ลืมมัน อารมณ์อย่างนี้ลืมมัน
มันได้ยศมาแล้วเขาจะเรียกคืนไปก็ช่างมัน หรือว่าการสรรเสริญนินทาจะมาจากทางไหนก็ช่างมัน
ความสุขความทุกข์จะรุมทางกายทางใจไม่มีความสำคัญสำหรับเรา

เราลืมโลกธรรม ๘ ประการเสีย จงพยายามลืม ฝึกลืม อย่าสนใจ
และก็ลืมคำปรามาสทั้งหลาย ลืมอารมณ์ของความชั่ว
ที่คิดว่าผู้ใหญ่ไม่ดี ลำเอียง รักคนนั้นมาก รักคนนี้มาก คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี
คนนั้นพูดไม่ถูกใจเรา คนนี้เอาใจเรา ลืมมันเสียเพราะว่านั่นเป็นอารมณ์แห่งความเลว

และอารมณ์ของนิวรณ์ ๕ ตอนนี้นิวรณ์ ๕ ยังกวนใจอยู่
กามฉันทะ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
ความโกรธความพยาบาท อารมณ์ฟุ้งซ่านอยากจะด่าอย่างนั้น
อยากจะวิเศษอย่างนี้ คนนั้นดีคนนี้ชั่ว ลืมเสียให้หมด

ถ้าอารมณ์เรายังมีอย่างนี้ เรามันก็เลว
ถ้าเรายังรู้สึกว่าคนอื่นเขาชั่ว ก็แสดงว่าเราชั่วมาก
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ถ้าเราดีแล้ว ไม่มีใครชั่ว
เพราะว่าเรายอมรับนับถือกฎของกรรม อะไรจะไม่ชั่ว
เรายังนินทาว่าร้ายบุคคลอื่นนั่นเรายังชั่วอยู่
อาการอย่างนี้จงลืมเสียให้หมด ต่อไปเราก็เกาะติดอารมณ์

ความจริงปฏิปทานี้เป็นปฏิปทาของฝ่ายที่เขากำลังรุกรานประเทศเขาใช้
เขาใช้ในการรบ ตอนนี้เราก็รบเหมือนกัน เรารบกับกิเลส
เราก็เป็นทหารเหมือนกัน ทหารเขารบ เราก็เป็นทหาร เป็นทหารในกองทัพธรรม
ซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจอมทัพ

นี่ในเมื่อเราลืมจุดนั้น ลืมจุดเสีย เราก็เกาะติด
เกาะติดจุดดี เราก็มานั่งพิจารณากายของเราว่า โอหนอ กายของเรานี้
มันจะทรงอยู่ได้สักกี่วัน วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตของเราก็่ล่วงไปตามกาย
ความหมายในชีวิตไม่มีสำหรับเรา เพราะชีวิตนี้มีสภาพเหมือนกับผีหลอก
ร่างกายของคน ร่างกายของสัตว์ วัตถุธาตุทั้งหมด มันมีสภาพเหมือนผีหลอก
หลอกตรงไหน เกิดมาเป็นเด็กโตขึ้นมาทีละน้อยละน้อย มันก็หลอกเรา
หลอกให้เราเห็นว่ามันโตขึ้นมาๆ พอร่างกายสมบูรณ์ถึงความเป็นหนุ่มสาวมีความเปล่งปลั่ง
ตอนนี้มีความปรารถนากันมาก มึงรักกู กูรักมึง อยากจะเคล้าเคลียอยู่เป็นคู่สามีภรรยาซึ่งกันและกัน
ตอนนี้อารมณ์เราก็หลอกอีก หลอกยังไง หลอกเห็นว่าเขาสวย หลอกเห็นว่าเขาดี
หลอกเห็นว่าเขาน่ารัก เขามีร่างกายสะอาด สดใส มันหลอก

ร่างกายของใครมันดี ร่างกายของใครสวย ร่างกายของใครสะอาด มันมีที่ไหน
คนทุกคนมีมั้ยที่ใครไม่มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เสลด น้ำลาย
ที่มีอยู่ภายในร่างกาย บอกมาทีสิว่าร่างกายของใครเขามีอยู่บ้าง
ร่างกายเรามีมั้ย ร่างกายเขามีมั้ย ถ้ามันมีเหมือนกัน ร่างกายมันก็สกปรกเหมือนกัน
แล้วทำไมเราจะไปหลงรักกับสิ่งที่มีสภาพสกปรก มันเลวแสนเลว

นี่อารมณ์นี่เราต้องเกาะติด เกาะติดอารมณ์ให้ทรงตัว
ว่าร่างกายนี่มันเต็มไปด้วยความสกปรก แล้วมันก็หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้
มีความเสื่อมมีความทรุดมีความโทรมไปทุกวันๆ ไม่ช้ามันก็จะมีสภาพพลันตาย
เราตาย เขาตาย อาการตายนี่ ความจริงจิตไม่ได้ตาย แต่กายมันตาย

ก็ช่างเถอะ ชาวบ้านเขาถือเราถือเขา เราก็คิดว่าเอ๊ะเราก็ตาย เขาก็ตาย
ไอ้เราก็สกปรกเขาก็สกปรก มองดูร่างกายนี้ มันมีอะไรเป็นนิมิตเครื่องหมายที่จะทรงไว้ซึ่งความดี
หาไม่ได้ ไม่มี ไม่มีสภาพใดปรากฎ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า ธาตุ ๔ ที่มันคุมเข้ามาเป็นร่างกาย
แบ่งเป็นอาการ ๓๒ มันเคลื่อนไปหาความพังเป็นปกติ
สภาวะของมันเป็นอย่างนี้ แล้วมันมีอะไรมั้ยที่เราควรจะยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราต่อไป
ที่เรามีความหมายมั่นปั้นมือว่าร่างกายนี้จะทรงตลอดกาลตลอดสมัย

คนที่เรารัก วัตถุที่เรารัก ที่เราปรารถนา
คิดว่าเขาผู้นั้นจะอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย
เวลาที่เรารักเลือกคนสวยที่เราพอใจ แล้วก็ไปดูหรือเปล่า
ว่าคนที่เขาเคยสวยมาแล้วน่ะ แล้วก็หมดสวยน่ะ มันมีบ้างหรือเปล่า
คนที่มีวัยเลยไปแล้วเนี่ยเขาสวยมั้ย ถ้าเรารักลูกสาวเขา รักลูกชายเขา
แล้วก็ดูพ่อดูแม่ดูปู่ย่าตายายของเขา ว่าถ้าหากว่าสภาวะของเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เขาหาเรื่องแต่งงานไม่ได้ เพราะแก่โครกแก่ครากแบบนั้น ไม่มีใครเขาแต่งงานด้วย

สิ่งที่เขาจะแต่งงานด้วย ก็ต้องเป็นคนสวยคนดี
มีร่างกายแข็งแรงพอ มีความเอิบอิ่มของขันธ์ ๕
แต่เวลานี้เรากำลังรักลูกหญิงลูกชายของเขา
อยากจะได้มีคู่ครอง หรือว่าร่างกายของเขาสง่าผ่าเผย มีความสวยสดงดงาม
เฉพาะสตรีมีความอ่อนช้อย หน้าหวานพูดดีพูดไพเราะ

สภาพอย่างนี้ ที่เรามองเห็นมันหลอกหลอนเราเอง
ใครหลอก เราหลอก ไม่ใช่ชาวบ้านเขาหลอก เราหลอกเขา เขาหลอกเรา
ต่างคนต่างหลอกกัน ร่างกายของเราเต็มไปด้วยความสกปรก
ข้างในไม่ต่างกับส้วมเคลื่อนที่ ร่างกายสุภาพบุรุษหรือสตรีที่เรารักก็มีสภาพเหมือนกัน
แต่เราก็ตั้งหน้าตั้งตาหลอกคนอื่น เอาผ้าผ่อนท่อนสไบ
เครื่องแพรพรรณทั้งหลายมาหุ้มกายให้มันเก๋
แต่งหน้าแต่งผมแต่งเนื้อแต่งผิวแต่งพรรณ
แต่งไปหาความทุกข์ ไม่ใช่แต่งไปหาความสุข

เป็นอันว่าเราจะทำยังไงก็ตาม เขาจะทำยังไงก็ตาม
ร่างกายมันก็โทรมเข้าไปหาคนที่แก่กว่าเราอยู่เสมอ
ในเมื่อร่างกายมีสภาพอย่างนี้
ในที่สุดไปถามมนุษย์ตนใดซิว่า มีอายุมาถึงโกฎิปีล้านปีมีมั้ย มันก็ไม่มี
ไปถามคนทุกคนสิว่า ปู่ย่าตายายญาติผู้ใหญ่ขึ้นไปถึงทวดเทิดน่ะมีมั้ย
เขาจะบอกว่าญาติของเขามี แล้วก็ไปถามตัวเขาอีกที
ว่าญาติผู้ใหญ่ของท่านมีเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่บ้างหรือเปล่า
เขาก็จะบอกว่าตายไปหมดแล้ว

นี่เป็นกฎของความจริงที่บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง
ภิกษุสามเณรจะต้องคิดถึงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
ร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดี วัตถุธาตุทั้งหมดก็ดี ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง
มีการสลายตัวไปในที่สุด และร่างกายของแต่ละร่างกายก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก
มันไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเสียจริงๆ

ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง
วันนี้ว่ากันแค่อสุภกรรมฐานอย่างเดียวพอ พิจารณาอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติ
พิจารณาให้เห็นตรงให้เห็น เกาะติดมันจริงๆ เกาะติดตามสภาพความจริงของมัน
ลืมอารมณ์หลังที่เรามีความหลง เห็นคนสวย พยายามไปดูถึงบ้าน ในเวลาที่เขาไม่แต่งตัว
ไปดูเวลาที่เขาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันน่ากินน่าดื่มมั้ย นั่นน่ะคนสวยที่เราคิดว่าสวย
ก็คือคนซวย มันจะสวยตรงไหนเต็มไปด้วยความสกปรก จะเอาคำว่าสวยมาจากไหน

ถ้าจะถามว่าคนซวยคือใคร ก็คือเรา เรามันซวย
เพราะว่าเห็นคนที่สกปรกหาว่าเป็นคนสวย
เห็นคนที่มีสภาวะร่างกายไม่ทรงไว้ซึ่งความจีรังยั่งยืน หาว่ายั่งยืน
เขาเป็นเช่นใด เราก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เรายังจะโง่
เข้าไปรักร่างกายที่มีความสวยสดงดงามตามที่เราคิดด้วยความโง่อีกหรือ
เราจะหลงในวัตถุที่เขาแต่งด้วยสีสันวรรณะให้เห็นว่าสวยสดงดงาม
แต่เนื้อแท้จริงๆ มันเต็มไปด้วยความผุพังเก่าคร่ำคร่าภายใน
มันเดินทางเข้าไปหาความสลายตัวของมัน เรายังพอใจอยู่หรือยังไง

เป็นอันว่าปลงอารมณ์ใจคิดไว้อย่างนี้ ว่าร่างกายของเราก็ดี ของเขาก็ดี
มันเต็มไปด้วยความสกปรก และก็ยังไม่มีการจีรังยั่งยืน
มันทรุดมันโทรมมันจะสลายตัวไปทุกวัน ในที่สุดเราก็กลายเป็นผีที่ไม่มีใครปรารถนา
เมื่ออานาปานุสสติกรรมฐานคือลมปราณสิ้นไป ใครเล่าเขาจะต้องการ

ดูตัวอย่างนางสิริมา สวยแสนสวย แต่ทว่าพอตายแล้วสามวัน
องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาทรงนำพระไปเยี่ยมศพ
การเยี่ยมศพของพระพุทธเจ้ามีความหมาย
ที่ให้บรรดาพระท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในขันธ์ ๕ ว่ามันสกปรก
ในที่สุดประกาศขายนางสิริมาพันบาท พันกหาปนะ ไม่มีใครซื้อ
ถ้ายกให้เปล่าๆ นางเน่าแล้ว ไม่มีใครซื้อ
ยกให้และแถมเงินให้อีก ก็ไม่มีใครซื้อ นั่นเพราะอะไร
ตอนที่นางสิริมามีลมปราณ เธอเป็นหญิงที่มีความสวยงามมาก
เป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดาแขกเมืองทั้งหลาย
แต่ว่าตายไปแล้วสามวันมีสภาพอย่างนั้น

สำหรับการพิจารณาแบบนี้ ขอท่านทั้งหลายทำใจสลับกัน
ระหว่างสมาธิกับการพิจารณา ถ้าพิจารณาไปอารมณ์มันซ่าน
เราก็ถอยหลังเข้ามาจับอารมณ์ให้ทรงตัว
คือทิ้งการพิจารณาเสียมาจับอานาปานุสสติกับพุทธานุสสติควบกัน
สลับกันไปสลับกันมาแบบนี้

ในที่สุดจิตใจของพวกท่าน ก็จะเกาะติดอยู่ในอารมณ์ของอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติ
และสักกายทิฎฐิ เป็นตัวตัดกิเลสในด้านของราคะจริต
คือกามราคะจะค่อยๆ สลายตัวไป และขอให้ท่านทั้งหลายจงลืมความหลัง
ที่เราเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีความจีรังยั่งยืน มีความสวยสดงดงาม
ที่เราน่ารัก น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ
จงทำกำลังใจของท่านยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริงตามที่กล่าวมา

มองดูเวลาก็หมดเสียแล้วสำหรับวันนี้ สำหรับอสุภสัญญา
กับกายคตานุสสติ กับสักกายทิฎฐิ วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
ต่อนี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น
กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย
จนกว่าจะเห็นว่าเวลานั้นเป็นภาวะอันสมควร สำหรับท่าน สวัสดี


:b48: จบตอนที่ ๘ พระสกิทาคามีมรรค :b48:

ที่มา
http://buddhasattha.com/2010/04/23

:b46: รวมคำสอน “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38703

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2016, 10:23 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร