ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

หลักสมถวิปัสสนา (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=37640
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  Hanako [ 05 เม.ย. 2011, 08:49 ]
หัวข้อกระทู้:  หลักสมถวิปัสสนา (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)

หลักสมถวิปัสสนาของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
[พุทธศักราช ๒๓๐๒-๒๔๘๔]

บันทึกตามคำบอกเล่าของ
ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)


รูปภาพ

หลักสมถวิปัสสนาของหลวงปู่เสาร์
พิจารณากายแยกออกเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ


หลักการสอนท่านก็สอนในหลักของสมถวิปัสสนา
ดังที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วนั้น
แต่ท่านจะเน้นหนักในการสอนให้เจริญพุทธคุณเป็นส่วนใหญ่

เมื่อเจริญพุทธคุณจนคล่องตัวจนชำนิชำนาญแล้ว ก็สอนให้พิจารณากายคตาสติ
เมื่อสอนให้พิจารณากายคตาสติ พิจารณาอสุภกรรมฐาน จนคล่องตัวจนชำนิชำนาญแล้ว
ก็สอนให้พิจารณาธาตุกรรมฐาน ให้พิจารณากายแยกออกเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
แล้วก็พยายามพิจารณาว่าในร่างกายของเรานี้ไม่มีอะไร
มีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันอยู่เท่านั้น หาสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี

ในเมื่อฝึกฝนอบรมให้พิจารณาจนคล่องตัว จิตก็จะมองเห็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน
คือเห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัว เป็นอนัตตาทั้งนั้นจะมีตัวมีตนในเมื่อแยกออกไปแล้ว
มันก็มีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี
แต่อาศัยความประชุมพร้อมของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลมไฟ
มีปฏิสนธิจิตปฏิสนธิวิญญามายึดครองอยู่ในร่างอันนี้
เราจึงสมมุติบัญญัติว่า สัตว์บุคคลตัวตนของเรา

อันนี้เป็นแนวการสอนของพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น และพระอาจารย์สิงห์
การพิจารณาเพียงแค่ว่าพิจารณากายคตาสติก็ดี พิจารณาธาตุกรรมฐานก็ดี
ตามหลักวิชาการท่านว่าเป็นอารมณ์ของสมถกรรมฐาน
แต่ท่านก็ย้ำให้พิจารณาอยู่ในกายคตาสติกรรมฐานกับธาตุกรรมฐานนี้เป็นส่วนใหญ่
ที่ท่านย้ำๆ ให้พิจารณาอย่างนี้
ก็เพราะว่าทำให้ภูมิจิตภูมิใจของนักปฏิบัติก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้เร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณากายคตาสติ
แยก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น ออกเป็นส่วนๆ
เราจะมองเห็นว่า ในกายของเรานี้ก็ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
มันเป็นแต่เพียง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกเท่านั้น
ถ้าว่ากายนี้เป็นตัวเป็นตน ทำไมจึงจะเรียกว่าผม ทำไมจึงจะเรียกว่าขน
ทำไมจึงจะเรียกว่าเล็บ ว่าฟัน ว่าเนื้อ ว่าเอ็น ว่ากระดูก
ในเมื่อแยกออกไปเรียกอย่างนั้นแล้ว มันก็ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

นอกจากนั้น ก็จะมองเห็นอสุภกรรมฐาน
เห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยของปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก น่าเบื่อหน่าย
ไม่น่ายึดมั่นถือว่าเป็นอัตตาตัวตน แล้วพิจารณาบ่อยๆ พิจารณาเนืองๆ
จนกระทั่งจิตเกิดความสงบ สงบแล้วจิตจะปฏิบัติตัวไปสู่การพิจารณาโดยอัตโนมัติ
ผู้ภาวนาก็เริ่มจะรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของร่างกายอันนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
พิจารณากายแยกออกเป็นส่วนๆ ส่วนนี้เป็นดิน ส่วนนี้เป็นน้ำ ส่วนนี้เป็นลม ส่วนนี้เป็นไฟ
เราก็จะมองเห็นว่าร่างกายนี้สักแต่ว่าเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ
สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาไม่มี ก็ทำให้จิตของเรามองเห็นอนัตตาได้เร็วขึ้น
เพราะฉะนั้นการเจริญกายคตาสติก็ดี การเจริญธาตุกรรมฐานก็ดี
จึงเป็นแนวทางให้จิตดำเนินก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้


และอีกอันหนึ่ง อานาปานสติ ท่านก็ยึดเป็นหลักการสอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมฐานอานาปานสติ การกำหนดพิจารณากำหนดลมหายใจนั้น
จะไปแทรกอยู่ทุกกรรมฐาน จะบริกรรมภาวนาก็ดี จะพิจารณาก็ดี
ในเมื่อจิตสงบลงไป ปล่อยวางอารมณ์ที่พิจารณาแล้ว
ส่วนใหญ่จิตจะไปรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก
ในเมื่อจิตตามรู้ลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่เป็นปกติ
จิตเอาลมหายใจเป็นสิ่งรู้ สติเอาลมหายใจเป็นสิ่งระลึก

ลมหายใจเข้าออกเป็นไปตามปกติของร่างกาย เมื่อสติไปจับอยู่ที่ลมหายใจ
ลมหายใจก็เป็นฐานที่ตั้งของสติ ลมหายใจเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยกาย
สติไปกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก จดจ่ออยู่ที่ตรงนั้น วิตกถึงลมหายใจ
มีสติรู้พร้อมอยู่ในขณะนั้น จิตก็มีวิตกวิจารอยู่กับลมหายใจ
เมื่อจิตสงบลงไป ลมหายใจก็ค่อยละเอียดๆ ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดลมหายใจหายขาดไป
เมื่อลมหายใจหายขาดไปจากความรู้สึก ร่างกายที่ปรากฏว่ามีอยู่ก็พลอยหายไปด้วย
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าลมหายใจยังไม่หายขาดไป กายก็ยังปรากฏอยู่
เมื่อจิตตามลมหายใจเข้าไปข้างใน จิตจะไปสงบนิ่งอยู่ในท่ามกลางของกาย
แล้วก็แผ่รัศมีออกมารู้ทั่วทั้งกาย จิตสามารถที่จะมองเห็นอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้หมดทั้งตัว
เพราะลมย่อมวิ่งเข้าไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ลมวิ่งไปถึงไหนจิตก็รู้ไปถึงนั่น
ตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่เท้าจรดหัว ตั้งแต่แขนซ้ายแขนขวา ขาขวาขาซ้าย
เมื่อจิตตามลมหายใจเข้าไปแล้ว จิตจะรู้ทั่วกายหมด

ในขณะใดกายยังปรากฏอยู่ จิตสงบอยู่ สงบนิ่ง
รู้กว้างอยู่ในกาย วิตก วิจาร คือจิตรู้อยู่ภายในกาย สติก็รู้พร้อมอยู่ในกาย
ในอันดับนั้นปีติและความสุขย่อมบังเกิดขึ้น เมื่อปีติและความสุขบังเกิดขึ้น
จิตก็เป็นหนึ่ง นิวรณ์ ๕ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ
อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ก็หายไป จิตกลายเป็นสมถะ
มีพลังพอที่จะปราบนิวรณ์ ๕ ให้สงบระงับไป
ผู้ภาวนาก็จะมองเห็นผลประโยชน์ในการเจริญสมถกรรมฐาน


:b44:

เล่าเรื่องภาวนาให้หลวงปู่เสาร์ฟัง
ท่านบอกว่า เร่งเข้าๆ


เมื่อหลวงพ่อไปเล่าเรื่องภาวนาให้ท่านฟัง
ถ้าสิ่งใดที่มันถูกต้อง ท่านบอกว่า เร่งเข้าๆ ๆ แล้วจะไม่อธิบาย
แต่ถ้าหากว่ามันไม่ถูกต้อง เช่น อย่างใครทำสมาธิภาวนามาแล้วมันคล้ายๆ กับว่า
พอจิตสว่าง รู้เห็นนิมิตขึ้นมาแล้วก็น้อมเอานิมิตเข้ามา พอนิมิตเข้ามาถึงตัวถึงใจแล้ว
มันรู้สึกว่าอึดอัดใจเหมือนหัวใจถูกบีบแล้ว สมาธิที่สว่างมืดไปเลย

อันนี้ท่านบอกว่า อย่าทำอย่างนั้น มันไม่ถูกต้อง
เมื่อเกิดนิมิตขึ้นมา ถ้าหากว่าไปเล่าให้อาจารย์องค์ใดฟัง
ถ้าท่านแนะนำว่าให้น้อมให้เอานิมิตนั้นเข้ามาหาตัว อันนี้เป็นการสอนผิด

แต่ถ้าว่าท่านผู้ใดพอบอกไปว่า ภาวนาเห็นนิมิต ท่านแนะนำให้กำหนดรู้จิตเฉยอยู่
คล้ายๆ กับว่าไม่สนใจกับนิมิตนั้น แล้วนิมิตนั้นจะแสดงปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงไปในแง่ต่างๆ
เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะดี มีสมาธิมั่นคง
เราจะอาศัยความเปลี่ยนแปลงของมโนภาพอันเป็นของนิมิตนั้น เป็นเครื่องเตือนใจให้เรารู้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นิมิตที่เปลี่ยนแปลงเป็น ปฏิภาคนิมิต

ถ้าหากว่าเป็นนิมิตที่ปรากฏแล้วมันหยุดนิ่ง ไม่ไหวติง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
บางทีสมาธิของเรามันแน่วแน่ ความทรงจำมันฝังลึกลงไปในส่วนลึกของจิตไปถึงจิตใต้สำนึก
เมื่อออกจากที่นั่งสมาธิมาแล้ว เราไม่ได้นึกถึงเหมือนกับคล้ายๆ มองเห็นนิมิตนั้นอยู่
นึกถึงมันก็เห็น ไม่นึกถึงมันก็เห็น มันติดตาติดใจอยู่อย่างนั้น อันนี้เรียกว่า อุคคหนิมิต

ว่ากันง่ายๆ ถ้าจิตของเรามองเพ่งอยู่ที่ภาพนิ่ง เป็น อุคคหนิมิต
ถ้าจิตเพ่งรู้ความเปลี่ยนแปลงของนิมิตนั้น เป็น ปฏิภาคนิมิต

อุคคหนิมิตเป็นสมาธิขั้นสมถกรรมฐาน แต่ปฏิภาคนิมิตนั้นเป็นสมาธิขั้นวิปัสสนา
เพราะจิตกำหนดรู้ความเปลี่ยนแปลง
อันนี้ถ้าหากว่าใครภาวนาได้นิมิตอย่างนี้ ไปแล้วให้ท่านอาจารย์เสาร์ฟัง
ท่านจะบอกว่า เอ้อ ! ดีแล้ว เร่งเข้าๆ ๆ
แต่ถ้าใครไปบอกว่า ในเมื่อเห็นนิมิตแล้ว ผมหรือดิฉันน้อมเข้ามาในจิตในใจ
แต่ทำไมเมื่อนิมิตเข้ามาถึงจิตถึงใจแล้ว จิตที่สว่างไสวปลอดโปร่ง รู้ ตื่น เบิกบาน
มันมืดมิดลงไปแล้วเหมือนกับหัวใจถูกบีบ หลังจากนั้น จิตของเราไม่เป็นตัวของตัว
คล้ายๆ กับว่าอำนาจสิ่งที่เข้ามานั้นมันครอบไปหมด ถ้าไปเล่าให้ฟังอย่างนี้
ท่านจะบอกว่าทำอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง เมื่อเห็นนิมิตแล้วให้กำหนดรู้เฉยๆ อย่าน้อมเข้ามา
ถ้าน้อมเข้ามาแล้ว นิมิตเข้ามาในตัว มันจะกลายเป็นการทรงวิญญาณ
อันนี้เป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดมาแนะนำเราว่า
ทำสมาธิแล้วให้น้อมจิตไปรับเอาอำนาจเบื้องบน
หรือเห็นนิมิตแล้วให้น้อมเข้ามาในตัว อันนี้อย่าไปเอา มันไม่ถูกต้อง
ในสายหลวงปู่เสาร์นี้ ท่านสอนให้ภาวนาพุทโธ


:b44:

ทำไมหลวงปู่เสาร์สอนภาวนาพุทโธ
เพราะพุทโธเป็นกิริยาของใจ


หลวงพ่อก็เลยเคยแอบถามท่านว่า ทำไมจึงต้องภาวนาพุทโธ

ท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ที่ให้ภาวนาพุทโธนั้น เพราะพุทโธเป็นกิริยาของใจ
ถ้าเราเขียนเป็นตัวหนังสือเราจะเขียน
พ-พาน-สระอุ-ท-ทหาร สะกด สระโอ ตัว ธ-ธง อ่านว่า พุทโธ
อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง
ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้วมันสงบวูบลงไปนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน
พอหลังจากนั้นคำว่า พุทโธ มันก็หายไปแล้ว ทำไมมันจึงหายไป
เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้ว จิตกลายเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนา
พอหลังจากนั้นจิตของเราจะหยุดนึกคำว่าพุทโธ แล้วก็ไปนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว
กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ ยังแถมมีปิติ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
อันนี้มันเป็นพุทธะ พุทโธ โดยธรรมชาติเกิดขึ้นที่จิตแล้ว
พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกริยาของจิตมันใกล้กับความจริง

แล้วทำไมเราจึงมาพร่ำบ่น พุทโธๆ ๆ ในขณะที่จิตเราไม่เป็นเช่นนั้น

ที่เราต้องมาบ่นว่า พุทโธ นั่นก็เพราะว่า เราต้องการจะพบพุทโธ
ในขณะที่พุทโธยังไม่เกิดขึ้นกับจิตนั้นเราก็ต้องท่อง พุทโธๆ ๆ ๆ
เหมือนกับว่า เราต้องการจะพบเพื่อนคนใดคนหนึ่ง เมื่อเรามองไม่เห็นเขา
หรือเขายังไม่มาหาเรา เราก็เรียกชื่อเขา ทีนี้ในเมื่อเขามาพบเราแล้ว
เราได้พูดจาสนทนากันแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเรียกชื่อเขาอีก
ถ้าขืนเรียกซ้ำๆ เขาจะหาว่าเราร่ำไร ประเดี๋ยวเขาด่าเอา

ทีนี้ในทำนองเดียวกัน ในเมื่อเรียก พุทโธๆ ๆ เข้ามาในจิตของเรา
เมื่อจิตของเราได้เกิดเป็นพุทโธเอง คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราก็หยุดเรียกเอง
ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกอันหนึ่งแทรกขึ้นมา เอ้า ควรจะนึกถึงพุทโธอีก
พอเรานึกขึ้นมาอย่างนี้ สมาธิของเราจะถอนทันที
แล้วกิริยาที่จิตมันรู้ ตื่น เบิกบาน จะหายไป เพราะสมาธิถอน

ทีนี้ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำพร่ำสอน ท่านจึงให้คำแนะนำว่า
เมื่อเราภาวนาพุทโธไป จิตสงบวูบลงนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท่านก็ให้ประคองจิตให้อยู่ในสภาพปกติอย่างนั้น
ถ้าเราสามารถประคองจิตให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นได้ตลอดไป
จิตของเราจะค่อยสงบ ละเอียดๆ ๆ ลงไป ในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้น
ถ้าจิตส่งกระแสออกนอกเกิดมโนภาพ ถ้าวิ่งเข้ามาข้างในจะเห็นอวัยวะภายในร่างกายทั่วหมด
ตับ ไต ไส้ พุง เห็นหมด แล้วเราจะรู้สึกว่ากายของเรานี้เหมือนกับแก้วโปร่ง
ดวงจิตที่สงบ สว่างเหมือนกับดวงไฟที่เราจุดไว้ในพลบครอบ
แล้วสามารถเปล่งรัศมีสว่างออกมารอบๆ จนกว่าจิตจะสงบละเอียดลงไป
จนกระทั่งว่ากายหายไปแล้ว จึงจะเหลือแต่จิตสว่างไสวอยู่ดวงเดียว ร่างกายตัวตนหายหมด

ถ้าหากจิตดวงนี้มีสมรรถภาพพอที่จะเกิดความรู้ความเห็นอะไรได้
จิตจะย้อนกายลงมาเบื้องล่าง
เห็นร่างกายตัวเองนอนตายเหยียดยาวอยู่ ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป


:b44:

สมาธิในอริยมรรคอริยผล
สงบละเอียดเรียวไปเหมือนปลายเข็ม


ทีนี้ถ้าหากว่า จิตย้อนมามองรู้เห็นอย่างนี้
จิตของผู้นั้นเดินทางถูกต้องตามแนวทางอริยมรรคอริยผล
ถ้าหากว่า สงบ สว่าง นิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน ร่างกายตัวตนหาย
แล้วก็สงบละเอียดเรียวไปเหมือนปลายเข็ม
อันนี้เรียกว่า สมาธิขั้นฌานสมาบัติ ไปแบบฤๅษีชีไพร
ถ้าหากจิตของผู้ปฏิบัติไปติดอยู่ในสมาธิแบบฌานสมาบัติ มันก็เดินฌานสมาบัติ

ทีนี้ฌานสมาบัตินี้มันเจริญง่ายแล้วก็เสื่อมง่าย ในเมื่อมันเสื่อมไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรเหลือ
แต่ถ้าหากสมาธิแบบอริยมรรคอริยผลนี้ ในเมื่อเราได้สมาธิซึ่งเกิดภูมิความรู้ความเห็น
เช่น เห็นร่างกายเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไปแล้ว
ภายหลังจิตของเราก็จะบอกว่าร่างกายเน่าเปื่อยเป็นของปฏิกูล ก็ได้อสุภกรรมฐาน
เนื้อหนังพังลงไปแล้วยังเหลือแต่โครงกระดูก ก็ได้อัฐิกรรมฐาน
ทีนี้เมื่อโครงกระดูกสลายตัวแหลกไปในผืนแผ่นดิน จิตก็สามารถกำหนดรู้ ได้ธาตุกรรมฐาน
แต่เมื่อในช่วงที่จิตเป็นไปนี่ จิตจะไม่มีความคิด ต่อเมื่อถอนจากสมาธิมาแล้ว สิ่งรู้หายไปหมด
พอรู้ว่ามันมาสัมพันธ์กับกายเท่านั้นเอง จิตตรงนี้จะอธิบายให้ตัวเองฟังว่า นี่คือการตาย
ตายแล้วมันก็ขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล เนื้อหนังพังไปเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก
ในเมื่อเนื้อหนังพังไปหมดแล้วก็ยังเหลือแต่โครงกระดูก
ทีนี้โครงกระดูกมันก็แหลกละเอียดหายจมลงไปในผืนแผ่นดิน ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น
ก็เพราะเหตุว่าร่างกายของคนเรานี้มันมีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ไหนเล่า สัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา มีที่ไหน ถ้าจิตมันเกิดภูมิความรู้ขึ้นมาอย่างนี้
ภาวนาในขณะเดียวความเป็นไปของจิตที่รู้เห็นไปอย่างนี้
ได้ทั้งอสุภกรรมฐาน อัฐิกรรมฐาน ธาตุกรรมฐาน
ประโยคสุดท้าย ไหนเล่าสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขามีที่ไหน จิตรู้อนัตตา
เรียกว่า อนัตตานุปัสสนาญาณ ภาวนาทีเดียวได้ทั้งสมถะ ได้ทั้งวิปัสสนา


:b44:

ความเกี่ยวเนื่องแห่งมรรคและผล
เมื่อไม่มีสมาธิ ไม่มีฌาน ไม่มีฌาน ไม่มีวิปัสสนา


การกำหนดหมายสิ่งปฏิกูลน่าเกลียด หรือกำหนดหมายรู้โครงกระดูก
แล้วก็กำหนดหมายรู้ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสมถกรรมฐาน
ส่วนความรู้ที่ว่าสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขามีที่ไหน เป็นวิปัสสนากรรมฐาน

เพราะฉะนั้นท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน
เป็นคุณธรรมอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อไม่มีสมาธิ ไม่มีฌาน ไม่มีฌาน ไม่มีวิปัสสนา
เมื่อไม่มีวิปัสสนา ก็ไม่มีวิชชา ความรู้แจ้งเห็นจริง
เมื่อไม่รู้แจ้งเห็นจริง จิตไม่ปล่อยวาง ก็ไม่เกิดวิมุตติความหลุดพ้น
สายสัมพันธ์มันก็ไปกันอย่างนั้น
อันนี้เป็นแนวทางการปฏิบัติกรรมฐานในสายของหลวงปู่เสาร์

เพราะฉะนั้นเราอาจจะเคยได้ฟังว่า ภาวนาพุทโธ
แล้วจิตได้แต่สมถกรรมฐานไม่ถึงวิปัสสนา
อนุสติ ๑๐ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ
จาคานุสติ อุปสมานุสติ ภาวนาแล้วจิตสงบ หรือบริกรรมภาวนา
เมื่อจิตสงบแล้วถึงแค่สมถกรรมฐาน เพราะว่าภาวนาไปแล้วมันทิ้งคำภาวนา

ฉะนั้น คำว่า พุทโธๆ ๆ นี้มันไม่ได้ติดตามไปกับสมาธิ
พอจิตสงบเป็นสมาธิแล้วมันทิ้งทันที ทิ้งแล้วมันก็ได้แต่สงบนิ่ง
แต่อนุสติ ๒ คือ กายคตานุสติ อานาปานสติ
ถ้าตามหลักวิชาการท่านว่า ได้ทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา
ทีนี้ถ้าเราภาวนาพุทโธ เมื่อจิตสงบนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน
ถ้ามันเพ่งออกไปข้างนอก ไปเห็นภาพนิมิต
ถ้าหากว่านิมิตนิ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นสมถกรรมฐาน
ถ้าหากนิมิตเปลี่ยนแปลงก็เป็นวิปัสสนากรรมฐาน


ทีนี้ถ้าหากจิตทิ้งพุทโธ แล้วจิตอยู่นิ่งสว่าง จิตวิ่งเข้ามาข้างใน
มารู้เห็นภายในกาย รู้อาการ ๓๒ รู้ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
ซึ่งร่างกายปกติแล้วมันตาย เน่าเปื่อย ผุพัง สลายตัวไป
มันเข้าไปกำหนดรู้ความเปลี่ยนแปลงของสภาวะ คือ กายกับจิต
มันก็เป็นวิปัสสนากรรมฐาน มันก็คลุกเคล้าอยู่ในอันเดียวกันนั้นแหละ

แล้วอีกประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะเคยได้ยินได้ฟังว่า
สมาธิขั้นสมถะมันไม่เกิดภูมิความรู้ อันนี้ก็เข้าใจผิด
ความรู้แจ้งเห็นจริง เราจะรู้ชัดเจนในสมาธิขั้นสมถะ
เพราะสมาธิขั้นสมถะนี่มันเป็นสมาธิที่อยู่ในฌาน
สมาธิที่อยู่ในฌานมันเกิดอภิญญา ความรู้ยิ่งเห็นจริง
แต่ความรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิขั้นสมถะ
มันจะรู้เห็นแบบชนิดไม่มีภาษาที่จะพูดว่าอะไรเป็นอะไร สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น
เช่น มองเห็นการตาย ตายแล้วมันก็ไม่ว่า เน่าแล้วมันก็ไม่ว่า ผุพังสลายตัวไปแล้วมันก็ไม่ว่า
ในขณะที่มันรู้อยู่นั่น แต่เมื่อมันถอนออกมาแล้วยังเหลือแต่ความทรงจำ
จิตจึงจะมาอธิบายให้ตัวเองฟังเพื่อความเข้าใจทีหลัง เรียกว่าเจริญวิปัสสนา


:b44:

หลวงปู่เสาร์ทิพยจักษุ
กรรมฐานนี้ เครื่องรางของขลัง รูปเหรียญหมู่นี้ไม่มี


มีผู้บอกว่า เคยได้ฟังมาว่า หลวงปู่ฝั้นดูหมอเก่ง หลวงพ่อแก้ว่า..ไม่มีน้า..ไม่เคยหรอก
เหมือนๆ กับมีพระองค์หนึ่งว่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ไปตัดเหล็กไหลที่ถ้ำสระบัว ภูเขาควาย
มันไม่ตรงกับความจริงเลยแม้แต่นิดหนึ่ง พระองค์นั้นชื่อพระอาจารย์จันทร์ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่
เขาบอกว่าตั้งแต่เขาเป็นเณรโน่น ที่นี้เหล็กไหลมันเป็นทรัพย์ในดินสินในน้ำ
ท่านผู้เคร่งต่อพระธรรมวินัยท่านจะไปทำได้อย่างไร

ขนาดหลวงพ่อเอาสีผึ้งมาในย่ามนี้ ท่านยังว่าเอาๆ ยังงงยังกะไก่ตาแตกเลย..
โอ๊ย ! หลวงปู่นี่มาค้นดูย่ามเราตั้งแต่เมื่อไร
ตลับสีผึ้งนี่มีโยมเขาทำให้ตั้งแต่เป็นเณรอยู่บ้านนอก
เขาบอกว่าอันนี้จะไปเรียนหนังสือ มันเรียนหนังสือดี ก็เลยเอามา..
หลวงปู่เสาร์ดุ จะมาภาวนาเอามรรคผลนิพพาน
ยังเอาตลับสีผึ้งในย่ามมาด้วยมันจะไปได้อย่างไร..ว้า
หลวงปู่นี้มาค้นย่ามเราตั้งแต่เมื่อไร พอตื่นเช้ามาก็เอามัดติดก้อนอิฐปาลงแม่น้ำมูลเลย
ไม่มีหรอกกรรมฐานนี้ เครื่องรางของขลัง รูปเหรียญหมู่นี้ไม่มี


รูปภาพ
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

รูปภาพ

:b8: คัดลอกบางตอนมาจาก...หนังสือฐานิยตฺเถรวตฺถุ
เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
ณ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=50583

:b47: รวมคำสอน “พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=44193

:b47: รวมคำสอน “หลวงพ่อพุธ ฐานิโย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=40915

เจ้าของ:  ผู้มองทาง [ 05 เม.ย. 2011, 13:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักสมถวิปัสสนา (พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล)

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  วชิรพันธ์ [ 31 พ.ค. 2011, 18:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักสมถวิปัสสนา (พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล)

สาธุ..ครับ

เจ้าของ:  tanaphomcinta [ 08 มิ.ย. 2011, 16:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักสมถวิปัสสนา (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)

อนุโมทนาสาธุได้นำไปลงไว้ที่นี้ด้วยนะ
http://watphrathatkaenggol.com

เจ้าของ:  petermac [ 22 ส.ค. 2011, 14:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักสมถวิปัสสนา (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)

อนุโมทนาสาธุครับ ที่นำความรู้ธรรมดีๆ มาให้อ่าน :b8:

เจ้าของ:  ทักทาย [ 08 ก.ย. 2011, 22:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักสมถวิปัสสนา (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)

อนุโมทนาค่ะ :b8:

เจ้าของ:  bluebird [ 24 ต.ค. 2011, 04:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักสมถวิปัสสนา (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)

อนุโมทนาสาธุค่ะ

:b8: :b44: :b8:

เจ้าของ:  toichi [ 18 มี.ค. 2012, 21:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักสมถวิปัสสนา (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)

:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  Ak-Dhamma [ 02 เม.ย. 2012, 22:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักสมถวิปัสสนา (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)

รู้สึกเข้าใจมากขึ้นเลยครับ

เจ้าของ:  student [ 11 พ.ค. 2012, 01:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักสมถวิปัสสนา (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)

กายหายไปเหมือนประสบการ์ณของหลวงปู่ ขอความกระจ่าง
หน่อยครับว่าหลังจากกายหาย หลวงปู่ท่านน้อมกำหนดอะไรต่อ
รออ่านครับ

เจ้าของ:  Zaru [ 17 พ.ค. 2013, 16:06 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักสมถวิปัสสนา (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)

:b8: อนุโมทนาสาธุขอรับ จักน้อมนำไปปฏิบัติ :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/