วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 20:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
[color=#400000]เวลาเกิดกิเลสตัญหาก็ตามดูไป ละหรือ

ตามดูไปจนกว่าจะสำเร็จความอยากความใคร่ อย่างนั้นใช่ไหม

จิตใจคนมันโน้มไปในทางต่ำคือกิเลสตัญหาได้ง่ายอยู่แล้ว จึงอย่าหวังเลยว่าวิธีการตามไปดู หรือดูจิต หรือ นึก จะ ลด ละ กิเลสได้ กว่าจะรู้ตัวกิเลสก็ครอบงำแล้ว







walaiporn เขียน:
ถาม เมื่อเกิดกามราคะที่ไม่ใช่ภรรยาของตน ควรทำอย่างไร? จำเป็นต้องใช้พิจรณาอสุภะเข้าช่วยไหม?

ตอบ

คุณต้องเรียนรู้ทุกๆสภาวะด้วยตัวของคุณเอง ลองทำดูในสิ่งที่คิดอยู่ จะใช้การพิจรณาเข้าช่วยก็ได้ ลองทำแล้วถึงจะรู้คำตอบ สภาวะของแต่ละคนแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำมา นี่เป็นเหตุของคุณเอง

แต่สำหรับตัวเราเองนั้น ใช้วิธีดู และรู้อยู่กับสภาวะที่เกิดขึ้น เกิดความรู้สึกกับสภาวะนั้นๆอย่างไร ยอมรับไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในจิต เพราะมันคือ กิเลสของตัวเราเองที่มีอยู่

ยอมรับไปตามนั้น แล้วเจริญสติต่อไป แล้วสภาวะนั้นๆจะจบลงไปด้วยตัวของสภาวะเอง โดยที่เราไปคาดเดาอะไรไม่ได้เลย

ใหม่ๆอาจจะทำใจได้ยากในการยอมรับตามความเป็นจริงที่เรานั้นเป็นอยู่ เพราะสิ่งที่มากระทบอาจมีผลต่อจิตของเรามากมาย

แรกๆต้องใช้ความอดทน อดกลั้น ข่มเอาไว้ก่อน จากข่มแรกๆ มันจะรู้สึกเบามากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปมันจะแค่รู้ ไม่ต้องไปกดข่มอะไรอีกเลย

สภาวะนี้มีความอยากแฝงอยู่ อยากให้หายจากสภาวะที่เป็นอยู่ เมื่ออยากจึงเป็นทุกข์ เลยหาทางแก้ไข ถึงแม้ความอยากตัวนี้จะเป็นกุศลก็ตาม

เพียงเรายอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่เราเป็นอยู่ อย่าปล่อยให้เกิดเป็นการกระทำออกไป แล้วเจริญสติต่อไป เมื่อสติรู้เท่าทันต่อการปรุงแต่งของจิต การปรุงแต่งนั้นๆย่อมดับหายไปเอง


เพียงแต่ที่เราให้เขาทดลองด้วยตัวเอง ไม่งั้นเขาจะมีข้อค้างคาใจว่าอะไร ทำไม อย่างไร การเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรียนรู้จิตของตัวเอง แต่ไม่ได้ปล่อยให้เกิดเป็นการกระทำออกไป



เรามักจะยกตัวอย่างของพระพุทธเจ้าที่ทรงแนะนำพระโมคคัลานะในเรื่องความง่วง พระองค์ทรงให้พระโมคคัลานะเรียนรู้ทุกๆสภาวะด้วยตัวเอง แต่หลายๆคนที่ยังไม่รู้ กลับเข้าใจไปว่า นั่นคืออุบายในการรักษาจิตในขณะที่เกิดความง่วง

เราเองก็เคยเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้น จริงๆแล้วพระองค์ไม่ได้ให้อุบายอะไรเลย เพียงแต่ทรงปิดข้อโต้แย้งหรือข้อสงสัยทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในตัวของผู้ปฏิบัติ โดยการ ให้เรียนรู้ทุกๆสภาวะด้วยตัวเอง แล้วจะได้คำตอบทั้งหมดโดยหมดข้อสงสัย



นำมาจาก viewtopic.php?f=2&t=31887&start=45


นำมาให้อ่านนะคะ มีข้อคิดเห็นอย่างไร สนทนากันได้นะคะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 18:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตนี้มันต้องการเหตุผลนะ...ว่าจริง ๆ แล้ว..ทำไมต้องฆ่ากามราคะ..คือความพอใจในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส..

เมื่อมีเหตุมีผลแล้ว...จึงตั้งใจใว้ในทางที่ชอบ..คือ..ไม่ปรุงแต่งอันจะเป็นเหตุให้เกิดภพเกิดชาติ...

ทีนี่...เมื่อตั้งใจชอบแล้ว...การดูมีสติรู้แล้วไม่ปรุงแต่ง..จึงประกอบด้วยปัญญา

ไม่ปรุง..เพราะรู้...

ไม่ใช่..ไม่ปรุง..เพราะเขาว่า...อย่าไปปรุง
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
mes เขียน:
[color=#400000]เวลาเกิดกิเลสตัญหาก็ตามดูไป ละหรือ

ตามดูไปจนกว่าจะสำเร็จความอยากความใคร่ อย่างนั้นใช่ไหม

จิตใจคนมันโน้มไปในทางต่ำคือกิเลสตัญหาได้ง่ายอยู่แล้ว จึงอย่าหวังเลยว่าวิธีการตามไปดู หรือดูจิต หรือ นึก จะ ลด ละ กิเลสได้ กว่าจะรู้ตัวกิเลสก็ครอบงำแล้ว







walaiporn เขียน:
ถาม เมื่อเกิดกามราคะที่ไม่ใช่ภรรยาของตน ควรทำอย่างไร? จำเป็นต้องใช้พิจรณาอสุภะเข้าช่วยไหม?

ตอบ

คุณต้องเรียนรู้ทุกๆสภาวะด้วยตัวของคุณเอง ลองทำดูในสิ่งที่คิดอยู่ จะใช้การพิจรณาเข้าช่วยก็ได้ ลองทำแล้วถึงจะรู้คำตอบ สภาวะของแต่ละคนแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำมา นี่เป็นเหตุของคุณเอง

แต่สำหรับตัวเราเองนั้น ใช้วิธีดู และรู้อยู่กับสภาวะที่เกิดขึ้น เกิดความรู้สึกกับสภาวะนั้นๆอย่างไร ยอมรับไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในจิต เพราะมันคือ กิเลสของตัวเราเองที่มีอยู่

ยอมรับไปตามนั้น แล้วเจริญสติต่อไป แล้วสภาวะนั้นๆจะจบลงไปด้วยตัวของสภาวะเอง โดยที่เราไปคาดเดาอะไรไม่ได้เลย

ใหม่ๆอาจจะทำใจได้ยากในการยอมรับตามความเป็นจริงที่เรานั้นเป็นอยู่ เพราะสิ่งที่มากระทบอาจมีผลต่อจิตของเรามากมาย

แรกๆต้องใช้ความอดทน อดกลั้น ข่มเอาไว้ก่อน จากข่มแรกๆ มันจะรู้สึกเบามากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปมันจะแค่รู้ ไม่ต้องไปกดข่มอะไรอีกเลย

สภาวะนี้มีความอยากแฝงอยู่ อยากให้หายจากสภาวะที่เป็นอยู่ เมื่ออยากจึงเป็นทุกข์ เลยหาทางแก้ไข ถึงแม้ความอยากตัวนี้จะเป็นกุศลก็ตาม

เพียงเรายอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่เราเป็นอยู่ อย่าปล่อยให้เกิดเป็นการกระทำออกไป แล้วเจริญสติต่อไป เมื่อสติรู้เท่าทันต่อการปรุงแต่งของจิต การปรุงแต่งนั้นๆย่อมดับหายไปเอง


เพียงแต่ที่เราให้เขาทดลองด้วยตัวเอง ไม่งั้นเขาจะมีข้อค้างคาใจว่าอะไร ทำไม อย่างไร การเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรียนรู้จิตของตัวเอง แต่ไม่ได้ปล่อยให้เกิดเป็นการกระทำออกไป



เรามักจะยกตัวอย่างของพระพุทธเจ้าที่ทรงแนะนำพระโมคคัลานะในเรื่องความง่วง พระองค์ทรงให้พระโมคคัลานะเรียนรู้ทุกๆสภาวะด้วยตัวเอง แต่หลายๆคนที่ยังไม่รู้ กลับเข้าใจไปว่า นั่นคืออุบายในการรักษาจิตในขณะที่เกิดความง่วง

เราเองก็เคยเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้น จริงๆแล้วพระองค์ไม่ได้ให้อุบายอะไรเลย เพียงแต่ทรงปิดข้อโต้แย้งหรือข้อสงสัยทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในตัวของผู้ปฏิบัติ โดยการ ให้เรียนรู้ทุกๆสภาวะด้วยตัวเอง แล้วจะได้คำตอบทั้งหมดโดยหมดข้อสงสัย



นำมาจาก viewtopic.php?f=2&t=31887&start=45


นำมาให้อ่านนะคะ มีข้อคิดเห็นอย่างไร สนทนากันได้นะคะ



คุณวลัยพรใช้สติปัฏฐานสี่ผมก็เห็นด้วย

ความจริงสติปัฏฐานสี่ใช้ได้กับทุกกรณีในชีวิต


สำหรับกามราคะ ดีที่สุดคือสำรวมอินทรีย์อย่าให้เกิด

ถ้าเกิดแล้วต้องพยายามใช้สมาธิข่ม ไม่ใช่ตามดูอาการของกามราคะนั้น อย่างนั้เสร็จกิเลสมัน

จะใช้อสุภ พิจารณาธรรมชาติของความจริงในการสืบพันธุ์ของสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิต คือรู้ทันมันก็ได้

ที่สำคัญคือต้องใช้สมาธิ สมถะ เข้าข่ม

ข่มให้ได้กระแล้วจึงโยนิโสมนสิการ ใช้การพิจารณาแบบปลุกเร้าจิตสำนึกทางธรรมะเข้าช่วย

อย่าลืมว่าการเกิดอารมณืทางเพศเป็นเรื่องปกติธรรมดาของปุถุชนไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ผิดทั้งธรรมชาติ และศีลธรรม

แต่สำหรับผู้ที่ปราถนาในโลกุตรก็อยากลาจากเพื่อตัดขากชาติ ภพ


ขอย้ำว่า การละกามราคะต้องใช้ภาพอสุภ ไม่ใช้ภาพโป๊

คุณวลัยพรเห็นด้วยไหมครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
จิตนี้มันต้องการเหตุผลนะ...ว่าจริง ๆ แล้ว..ทำไมต้องฆ่ากามราคะ..คือความพอใจในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส..

เมื่อมีเหตุมีผลแล้ว...จึงตั้งใจใว้ในทางที่ชอบ..คือ..ไม่ปรุงแต่งอันจะเป็นเหตุให้เกิดภพเกิดชาติ...

ทีนี่...เมื่อตั้งใจชอบแล้ว...การดูมีสติรู้แล้วไม่ปรุงแต่ง..จึงประกอบด้วยปัญญา

ไม่ปรุง..เพราะรู้...

ไม่ใช่..ไม่ปรุง..เพราะเขาว่า...อย่าไปปรุง
:b8:


กบนอกกะลา เยี่ยมทั้งวาทะ และ หลักธรรม
:b8:

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
mes เขียน:
เวลาเกิดกิเลสตัญหาก็ตามดูไป ละหรือ

ตามดูไปจนกว่าจะสำเร็จความอยากความใคร่ อย่างนั้นใช่ไหม

จิตใจคนมันโน้มไปในทางต่ำคือกิเลสตัญหาได้ง่ายอยู่แล้ว จึงอย่าหวังเลยว่าวิธีการตามไปดู หรือดูจิต หรือ นึก จะ ลด ละ กิเลสได้ กว่าจะรู้ตัวกิเลสก็ครอบงำแล้ว


สมาธิ สมถะ และ ปัญญาหรือวิชชาเท่านั้น จะละกิเลสได้

ตามหลักศีลสมาธิปัญญา

ต้องฝึกสมาธิที่ไม่ใช้เรื่องง่ายๆ ให้ข่มกิเลสได้

ให้พยายามระวังให้กิเลสเกิดน้อยลงไป

คือเมื่ออยู่ในสมาธิจะไม่ผิดศีล กิเลสก็ไม่เกิด

การไม่มีกิเลสคือ วิชชาเช่นกัน

เมื่อวิชชาเกิด หมายถึงปัญญาเกิด

ปัญญาที่หมายถึงการหลุดพ้นจากกิเลส


ใครจะไปแยกรูปกับจิตได้ นอกจากจินตนาการ นึกเอา

น้ำแข็ง ใครแยกน้ำออกจากความแข็งได้




คุณ mes รู้จักคำว่า " สติรู้เท่าทันจิต " มั๊ยคะ?

แล้วรู้จักคำว่า " สิ้นอาสวะ " มั๊ยคะ?

แล้วทราบมั๊ยว่าหมายถึงอะไร?



อ้างคำพูด:
คุณ mes รู้จักคำว่า " สติรู้เท่าทันจิต " มั๊ยคะ?


กำหนดรู้ ผู้สติรู้ทันจิตโดยสมบูรณ์คือพระอรหันต์


อ้างคำพูด:
แล้วรู้จักคำว่า " สิ้นอาสวะ " มั๊ยคะ?


จิตที่ไม่มีที่ให้กิเลสแทรก คือจิตของพระอรหันต์



อ้างคำพูด:
แล้วทราบมั๊ยว่าหมายถึงอะไร?

[/quote]

หมายถึงจิตของพระอรหันต์ที่รู้ทันกิเลสทุกขณะเวลาจนกิเลสไม่สามารถแทรกเข้าไปได้

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
[ขอย้ำว่า การละกามราคะต้องใช้ภาพอสุภ ไม่ใช้ภาพโป๊

]

การใช้ภาพอสุภะ มาละกามราคะ มันคนละเรื่องครับ
ภาพอสุภะ มันเป็นสิ่งที่จิตรังเกียจอยู่แล้ว มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ
ผัสสะที่ได้รับจากภาพอสุภะ สภาวะที่ตามมา มันเป็นความหลงตามด้วยโทสะเป็นสิ่งที่จิตไม่ต้องการ

ส่วนภาพโป้ มันทำให้เกิดกามราคะ สภาวะที่เกิดความหลงตามด้วยโลภะเป็นสิ่งที่จิตต้องการ

ซึ่งทั้งสองล้วนเป็นกิเลส การละกิเลสอย่างหนึ่ง แต่มีกิเลสอีกอย่างมาแทนที่
เขาไม่เรียกว่าละกิเลสหรือละกามราคะหรอกครับ

การละกามราคะได้อย่างแท้จริง มันต้องได้รับผัสสะที่เป็นเหตุปัจจัย
ให้เกิดกามราคะครับ ในที่นี้ก็คือรูปโป้

ไม่ใช่ว่า ไปรับผัสสะที่น่ารังเกียจ แล้วมาบอกว่า จิตละกามราคะได้
เหตุปัจจัยมันไม่ใช่ กามราคะ จะมาบอกว่าละกามราคะด้วยอสุภะ
มันคนละเรื่อง มันไม่อยู่กับความเป็นจริงครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 13:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:

ใครจะไปแยกรูปกับจิตได้ นอกจากจินตนาการ นึกเอา

น้ำแข็ง ใครแยกน้ำออกจากความแข็งได้


เห็นประโยคนี้แล้วทำให้เอกอนนึกถึงมิตรของเอกอนท่านหนึ่ง

"ใครกันจะแยกพระเจ้าออกจากความเป็นพระเจ้าได้"

:b1:

ทุกครั้งที่คิดมาถึงตรงนี้
เอกอนจะพบความ เงียบ เหมือนโยนหินลงไปในบ่อน้ำแล้วไม่มีเสียงใด ๆ สะท้อนกลับออกมา


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 28 มี.ค. 2011, 15:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาน้ำแข็งไปตากแดดสิ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนรูป
ลักษณะแข็งที่ปรากฏ ก็จะไม่ปรากฏ
แล้วลักษณะแข็งนี้ หายไปไหน ละนี่ :b10:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 15:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
mes เขียน:
[ขอย้ำว่า การละกามราคะต้องใช้ภาพอสุภ ไม่ใช้ภาพโป๊

]

การใช้ภาพอสุภะ มาละกามราคะ มันคนละเรื่องครับ
ภาพอสุภะ มันเป็นสิ่งที่จิตรังเกียจอยู่แล้ว มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ
ผัสสะที่ได้รับจากภาพอสุภะ สภาวะที่ตามมา มันเป็นความหลงตามด้วยโทสะเป็นสิ่งที่จิตไม่ต้องการ

ส่วนภาพโป้ มันทำให้เกิดกามราคะ สภาวะที่เกิดความหลงตามด้วยโลภะเป็นสิ่งที่จิตต้องการ

ซึ่งทั้งสองล้วนเป็นกิเลส การละกิเลสอย่างหนึ่ง แต่มีกิเลสอีกอย่างมาแทนที่
เขาไม่เรียกว่าละกิเลสหรือละกามราคะหรอกครับ

การละกามราคะได้อย่างแท้จริง มันต้องได้รับผัสสะที่เป็นเหตุปัจจัย
ให้เกิดกามราคะครับ ในที่นี้ก็คือรูปโป้

ไม่ใช่ว่า ไปรับผัสสะที่น่ารังเกียจ แล้วมาบอกว่า จิตละกามราคะได้
เหตุปัจจัยมันไม่ใช่ กามราคะ จะมาบอกว่าละกามราคะด้วยอสุภะ
มันคนละเรื่อง มันไม่อยู่กับความเป็นจริงครับ

คุณโฮฮับ

ยินดีที่ร่วมสนทนา

กามราคะคือกิเลสตัญหาเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตเพื่อสืบพันธุ์ เกิดขึ้นจากเมื่อผัสสะกับอารมณ์ที่ธรรมชาติตั้งโปรแกรมไว้ให้เกิดกำหนัด พร้อมจะสืบพันธุ์

กามสุขคือค่าจ้าง

จะว่าค่าจ้างที่ทำให้เกิดมีชาติภพก็ได้

มนุษย์เป็นสัตว์ปัญญา

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า กามสุขที่แท้จริงนั้นคือทุกข

เป็นทั้งทุกขทุกข และทุกขเวทนา

ตามหลักปฏิจจสมุปบาท

สิ่งที่ช่วยให้พ้นทุกข์คือวิชชา

หมายถึงการสิ้นกิเลส

กามาสุขคือกิเลสอย่างหนึ่ง

การละกามาสุขที่เป็นกิเลสได้นั้นวิธีหนึ่งคือ รู้ความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ

รู้ว่าการที่เราเสพกามาสุขแท้จริงเป็นแค่ของสวยงามตามที่ธรรมชาติตั้งโปรแกรมไว้ว่าเมื่อเกิดผัสสะแล้วจะเกิดภาวะอยากสืบพันธุ์

ของสวยงามที่เราเห็นณ.เวลาดังกล่าวคืออสุภะทุกร่างตามธรรมชาติ สิ่งนี้ต่างหากที่กล่าวถึงกันในอสุภะกรรมฐาน

หรือใช้ซากศพเป็นฐานของสติในการภาวนาเพื่อให้สภาพอันสังเวชเป็นเครืองบรรเทาอารมณ์ใคร่

เมื่อปฏิบัติบ่อยๆ ความมักมากในกามคุณก็จะลดน้อยถอยลงไป ในที่สุดถ้าหมดลงก็หมายถึงสิ้นอาสวะกิเลส

คือจิตไม่มีที่ให้กามกิเลสแกาะกุมอีกต่อไป

หมายถึงการบรรลุธรรม



ต่างจากการนำรูปโป๊มาบริกรรมให้เห็นธรรมชาติที่แต่จริงคือเซลที่เรียงรายประกอบเป็นร่างกายอันสวยงาม

หรืออวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยผิวหนังอันสวยงาม

คงเป็นเรื่องยาก เพราะจิตคงจะถูกกิเลสครอบงำก่อนที่สติจะตั้งตัวได้



ฉนั้นอสุภจึงเป็น1 ใน40 กรรมฐานที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีกามราคะรุนแรง


.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผงธุลีดิน เขียน:
เอาน้ำแข็งไปตากแดดสิ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนรูป
ลักษณะแข็งที่ปรากฏ ก็จะไม่ปรากฏ
แล้วลักษณะแข็งนี้ หายไปไหน ละนี่ :b10:

ถ้าเราสามารถแยกน้ำจากน้ำแข็งแล้วความแข็งยังอยู่ จึงแยกจิตจากรูปได้

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
ผงธุลีดิน เขียน:
เอาน้ำแข็งไปตากแดดสิ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนรูป
ลักษณะแข็งที่ปรากฏ ก็จะไม่ปรากฏ
แล้วลักษณะแข็งนี้ หายไปไหน ละนี่ :b10:

ถ้าเราสามารถแยกน้ำจากน้ำแข็งแล้วความแข็งยังอยู่ จึงแยกจิตจากรูปได้


ถ้าแยกแล้ว ลักษณะแข็งยังอยู่ ถ้ามีอยู่ แล้วไปปรากฏ ตั้งอยู่ ตรงไหนอะครับทีนี้ :b24:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผงธุลีดิน เขียน:
mes เขียน:
ผงธุลีดิน เขียน:
เอาน้ำแข็งไปตากแดดสิ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนรูป
ลักษณะแข็งที่ปรากฏ ก็จะไม่ปรากฏ
แล้วลักษณะแข็งนี้ หายไปไหน ละนี่ :b10:

ถ้าเราสามารถแยกน้ำจากน้ำแข็งแล้วความแข็งยังอยู่ จึงแยกจิตจากรูปได้


ถ้าแยกแล้ว ลักษณะแข็งยังอยู่ ถ้ามีอยู่ แล้วไปปรากฏ ตั้งอยู่ ตรงไหนอะครับทีนี้ :b24:


ใช่ครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 19:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

การละกามราคะได้อย่างแท้จริง มันต้องได้รับผัสสะที่เป็นเหตุปัจจัย
ให้เกิดกามราคะครับ ในที่นี้ก็คือรูปโป้

ลองทำดูแล้ว...ปรากฎว่าไม่ได้ผลครับ..ขอยืนยัน :b13: :b13:

อ้างคำพูด:
จะมาบอกว่าละกามราคะด้วยอสุภะ
มันคนละเรื่อง มันไม่อยู่กับความเป็นจริงครับ


ตรงนี้..ความจริงเป็นประเด็นที่น่าสนใจ..มาก..

แต่ที่แน่ ๆ ..อสุภะ..ทำให้ความกำหนัด(เฉพาะหน้า)คลายลง...ไม่ปรุงต่อจนเป็นความยึดมั่น(เฉพาะหน้า)ต่อรูปนั้น ๆ...แต่กามกิเลสก็รอคอยโอกาสแสดงออกในคราวต่อไป..

อาจเป็นเพราะ...ตัวเราเองทำยังไม่ถึง..จึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว...มันเป็นอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 05:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
การละกามราคะได้อย่างแท้จริง มันต้องได้รับผัสสะที่เป็นเหตุปัจจัย
ให้เกิดกามราคะครับ ในที่นี้ก็คือรูปโป้

ลองทำดูแล้ว...ปรากฎว่าไม่ได้ผลครับ..ขอยืนยัน :b13: :b13:

อ้างคำพูด:
จะมาบอกว่าละกามราคะด้วยอสุภะ
มันคนละเรื่อง มันไม่อยู่กับความเป็นจริงครับ


ตรงนี้..ความจริงเป็นประเด็นที่น่าสนใจ..มาก..

แต่ที่แน่ ๆ ..อสุภะ..ทำให้ความกำหนัด(เฉพาะหน้า)คลายลง...ไม่ปรุงต่อจนเป็นความยึดมั่น(เฉพาะหน้า)ต่อรูปนั้น ๆ...แต่กามกิเลสก็รอคอยโอกาสแสดงออกในคราวต่อไป..

อาจเป็นเพราะ...ตัวเราเองทำยังไม่ถึง..จึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว...มันเป็นอย่างไร

ที่คุณว่า อสุภะทำให้ความกำหนัดคลายลง(เฉพาะหน้า) ใช่ครับเพราะจิตเราไปยึด ผัสสะอย่างอื่นแล้ว
จะว่าไปแล้วจิตแบบนี้ มันก็เป็นจิตของปุถุชน ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ จิตก็เป็นแบบนี้ครับ เมื่อผัสสะเปลี่ยน
อารมณ์ก็เปลี่ยนไปตามอายตนะภายนอกที่ได้รับ

หลักการละกิเลสเราต้องรู้ว่าเป็นกิเลสอะไร แล้วละมัน ด้วยสติครับ
แต่การทำอสุภะ มันไม่ใช่การรู้แล้วละ มันเป็นการรู้แล้วปรุงแต่ง คิดไปเอง
การเห็นรูปโป้ มันก็คือรูปโป้ การที่เราไปเปรียบรูปนั้นเป็นซากศพเป็นอสุภะ มันใช่ความจริงที่ไหน
นอกจากเราจะคิดเอง เออเอง มันเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ที่เกิดจากการปรุงแต่ง
การจะละกามราคะที่เกิดจากรูปโป้ เราต้องไปดูที่รูปโป้ อารมณ์ที่เกิด ต้องมีเหตุปัจจัยจากรูปโป้

หลักของละกิเลส ถ้าดูในแบบของวิปัสสนาแล้ว เราต้องเราใช้หลักแห่งไตรลักษณ์
คือสติจะตัดหรือละอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

ถ้าเราจะไปเรื่องของอสุภะมา เขาหลักของวิปัสสนา มันจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง
ต่อสื่งที่เราไปยึดมั่นถือมั่นไว้ อย่างเช่น เรามีแฟนที่เรารักสักคน แฟนเราเป็นคนหุ่นดี
มองที่ไรก็เกิดกามราคะ ต่อมาเราพาหล่อนไปได้รับอุบัติเหตุรถชน ตัวเราไม่เป็นไร
แต่แฟนเรา ไส้ไหลออกมากอง ลิ้นจุกปาก ตาเหลือกโพน
มันต้องแบบนี้ครับ ถึงจะเรียกว่าการละกามราคะด้วยอสุภะ
เพราะเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เราไปยึดมั่นเอาไว้
มันเป็นจริง เราไม่ได้คิดไปเอง

ยามใดเมื่อจิตคิดถึงแฟนตอนที่ยังสวย ทำให้เกิดกามราคะ
อารมณ์ที่เราได้รับตอนแฟนมีลักษณะที่น่าสยดสยองจะมาแทนที่ครับ


และเมื่อเราได้ประสบการณ์จาก อารมณ์อสุภะนี้แล้ว
เราก็สามารถใช้เป็นสัญญา เมื่อเกิดอารมณ์ที่เป็นกามราคะขึ้นมา
ก็สามารถ นำเอาสัญญาเรื่องอสุภะไปเป็นสติตัดหรือละได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 06:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยังมีอีกเรื่องให้เปรียบเทียบครับ ใครเคยมีแฟนตอนวัยรุ่นหรือตอนมัธยมต้น
มีความรักที่เรียกว่ารักแรกไหมครับ ถ้ามันมีเหตุให้เลิกกัน และไม่ได้เจอกันอีกเลย

ถึงแม้จะเลิกกันไปแล้วเราก็ไม่เคยลืม จะห้วนคิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ และหน้าตาของแฟนเรา
มีลูกมีครอบครัวแล้วก็ ยังคิดถึงแต่เด็กวัยรุ่นที่ไม่ใช่แม่ของลูกเรา

ผมจะบอกวิธีให้เราเลิกคิดถึงแฟนเก่าเราครับ คือเราต้องไปพบเธอ ไปเห็นเธอในสภาพปัจจุบัน
แล้วเราก็จะรู้ว่า สิ่งที่เราเฝ้าคิดเฝ้าฝันถึงเด็กวัยรุ่นคนนั้นมันไม่มีแล้ว
มันมีแต่ยัยแร้งทึ้งที่มีชื่อมีนามสกุลเดียวกับเด็กวัยรุ่นที่เราเฝ้าคิดถึง
นี่แหล่ะครับ อสุภะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 21 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร