วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 18:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 119 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แบบนั้นฝากให้ท่านเช่นนั้นแนะนำเถอะนะครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 16:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)
สำหรับคำถามว่าดึกดื่นเที่ยงคืนทำไมไม่หลับนอนมาเดินจงกรม นั่งสมาธิทำไม ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ทราบว่าท่านกรัชกายมีคำถามในใจอยู่ใช่มั้ยคะไม่งั้นจะได้ชื่อว่าเจ้าหนูจำมัย! ได้อย่างไรนะคะ ตอนเริ่มแรกในการหัดปฎิบัติเริ่มจากเวลานี้ตลอดมาเลยค่ะ ตั้งแต่แรก แรกปฎิบัติก็เพราะหาคำตอบให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ก็เลยมาอ่านพระไตรปิฏก ก็เลยปฎิบัติเรื่อยมา พอปฎิบัติแล้วเวลานี้จึงเป็นเวลาประจำของตัวเองในการปฎิบัติไปน่ะค่ะ การที่ใครจะเห็นว่าปฎิบัติมากหรือน้อยนั้นไม่ทราบนะคะ สำหรับตัวเองเวลาช่วงไหนที่ปฎิบัติมากๆ แล้วจะรู้สึกถึงจิตที่เป็นสุขอย่างมาก สงบอย่างมาก จนบางครั้งที่ไม่ได้ปฎิบัติยังรู้สึกว่าจิตเรียกร้องหาความสงบอย่างที่เคยได้รับมาน่ะค่ะ ถ้ามากไปอย่างไรเกินคนปกติธรรมดาที่เขาปฎิบัติกันต่อไปต้นไม้แก่จะพยายามลดลงค่ะ
เริ่มจากคำที่ท่านกรัชกายเคยเขียนถึงก็แล้วกันนะคะว่าสิ่งนี้คงอยู่ในใจที่ว่าทำไมลอยไปลอยมา ดูๆ แล้วคงเป็นเรื่องการเรียนกับการทำงานแน่ๆ เลย ต้นไม้แก่จบปริญญาใบที่ 2 มาก็น่าจะรับราชการหรืออะไรซักอย่างนะคะ ต้นไม้แก่เคยสอบรับราชการได้ได้รับการบรรจุ แต่ไม่เอา อีกครั้งหนึ่งเพื่อนที่เขาจบปริญญาใบสูงสุดและมีตำแหน่งดีในมหาวิทยาลัยในจังหวัดนี้ก็มาถามว่าอยากจะไปสอนที่นั่นไหม ต้นไม้แก่ปฎิเสธเพราะ ประการแรกถ้าถามว่าต้นไม้แก่จะได้เงินเดือนและสวัสดิการที่ดีจากงานและตำแหน่งที่มีเกียรติด้วยแต่ต้นไม้แก่รู้ตัวเองดีว่าบางครั้งเป็นคนดื้อหัวชนฝา ไม่เหมาะกับงานที่มีสายงานการบังคับบัญชายาวๆ หรอกค่ะ และเพื่อนคนนี้ก็คือคนที่คุยธรรมะ และชวนกันไปทำบุญต่างๆ ในปัจจุบันค่ะ ต้นไม้แก่ชอบมองดูดอกไม้ ชอบดูมด แมลงต่างๆ ไม่มองเห็นเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียงว่ามีความสำคัญนัก อาชีพในปัจจุบันนี้ก็เกิดจากความไม่ตั้งใจคงเป็นวาสนามั้งจะได้ทำอาชีพนี้ เพราะเริ่มแรกที่ทำตั้งใจทำเพียงร้านกาแฟสดเพราะชอบดื่มกาแฟมาก และจะมองดูวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ ทั้งวันและจะช่วยงานของครอบครัวด้วยแต่มันพัฒนาเป็นร้านอาหารได้อย่างไรไม่รู้ ทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้ด้านนี้เลย
ประการสุดท้ายที่น่าจะเป็นคำถามที่อยู่ในใจท่านกรัชกายไม่ทราบว่าจะถูกต้องไหมคะที่จะหาความผิดปกติในตัวต้นไม้แก่ คือเรื่องไม่ได้แต่งงานใช่มั้ย ฮิ ฮิ ตอนต้นไม้แก่อายุ 30 ปี แม่และน้องชายก็ถามว่าทำไมจนถึงอายุ 30 ยังไม่เคยเห็นต้นไม้แก่มีแฟนเลย ต้นไม้แก่ก็ถามว่าทำไมต้องมีแฟน อยู่กับพ่อแม่น้องชายก็มีความสุขที่สุดแล้วไม่รู้จะหาแฟนมาทำไม ก็ต้นไม้แก่คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเขาหาแฟนไปทำไมนี่นา ต้นไม้แก่ไม่ครั่งไคร้คนหล่อ ต้นไม้แก่ไม่ได้ชื่นชมอยากได้คนที่มีเงิน มีตำแหน่ง มียศ มีเกียรติอะไรอยู่แล้ว ต้นไม้แก่ไม่ค่อยจะสนใจโลกที่มั่งคั่งด้วยตำแหน่งเงินทองเท่าไหร่นี่นา หรือเป็นความรักที่บริสุทธิ์ต้นไม้แก่ก็รักคนไม่เป็น ยังคิดเลยว่าคนหนุ่มสาวเขารักกันเขารักกันยังงัย เฮ้อสงสัยท่านกรัชกายต้องหาความผิดปกติให้ต้นไม้แก่แล้วล่ะค่ะ
เห็นคำถามอยู่จึงรู้ว่ายังมีข้อสงสัยไม่ทราบว่าข้อมูลนี้จะเพียงพอที่จะวิเคราะห์หาความผิดปกติของต้นไม้แก่ได้หรือยังคะ ฮิ ฮิ..
รักและเคารพค่ะ
ต้นไม้แก่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 16:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


มันผิดมากเลยหรือคะต่อไปจะพยายามทำแบบเดิมค่ะ ก็อ่านไปหลายๆ อย่างก็เอามาปนกันไงคะ จะใจร้ายทิ้งได้ลงคอหรือคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระนิพพานอยู่ที่ใจใจ
พระนิพพานอยู่ที่ใจ เห็นไหมเล่า ? ไม่มีว่างไม่มีเปล่า อยู่ทั้งนั้น
จะมีอะไรเป็นเรา ที่ไหนกัน ? ทุกสิ่งนั้นดับไป เหลือใจเอย
ชีวิตนี้ น้อยๆและสั้นๆ อย่าพากันปล่อยใจ เลยท่านเอ๋ย
มีสติรู้อยู่ที่ใจ ให้คุ้นเคย ต้องได้เชยชม พระนิพพานอยู่ที่ใจ
เป็นการอยู่กับผู้รู้ ละกิเลส จะมีเพศชั้นวรรณะ กันที่ไหน ?
ทุกขณะที่รู้ อยู่กับใจ จงหมั่นใช้ปัญญา รู้ของจริง
รู้ของจริงทิ้งของเท็จ ได้เด็ดเดี่ยว ไม่เกาะเกี่ยวแม้ความว่าง สว่างยิ่ง
รู้อะไรก็ไม่สู้ รู้ใจจริง ยิ่งรู้ยิ่งหลุดพ้น ไม่ต้องเบิกบาน
ความร้อนร้นหม่นไหม้ ไกลใจหมด พระนิพพานปรากฏ ก็ไม่ยึดเป็นแก่นสาร
มีสติรู้ให้ได้ ทุกอาการ จะพบพระนิพพานจริงๆ ที่ใจเอย !
พระนิพพาน
พระนิพพาน พ้นจากความมีและไม่มีให้คนเห็น
พระนิพพาน พ้นจากความเป็นและไม่เป็นเช่นสังขาร
พระนิพพาน พ้นจากความหมายและไม่หมายให้วิจารณ์
พระนิพพาน ไม่เกิด-ไม่ดับ คือจิตหรือรู้ล้วนๆที่บริสุทธิ์เอย !


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์ นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบ พระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลาปฏิบัติเวลาใหนเห็นได้เวลานั้น ไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆที่ไม่เกิด-ไม่ดับนั่นเองคืออายตนะนิพาน)

this nation is last our nation , we don't come back to are born again time stump
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราไม่กลับมาเกิดอีกตลอตอนันตกาล suthee


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool มากไปหรือน้อยไป ตัวเราก็รู้ได้เอง... จะวัดจากจากคนอื่นได้ไง พื้นฐานของแต่ละคนไม่เท่ากัน

แล้วก็... ถ้าไม่มีเวทนา ก็อย่าสร้างเวทนาขึ้นมา คิดว่าไม่น่าจะดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดี ต้นไม้แก่

เช่นนั้น ไม่ใช่อาจารย์นะ ต้องทำความเข้าใจไว้ก่อน
เช่นนั้น เป็นเพียงผู้ดำเนินไปตามทางที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้

เพิ่งตั้งใจอ่านข้อความตั้งแต่ต้นจนจบ
และสังเกตว่า ข้อความอย่างหนึ่งหายไป
คือ ก่อนวันที่ 14 กพ. 53

ท่านไว กับ งมงาย แนะนำอะไรให้ต้นไม้แก่

พอจำได้ไหม...

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 12:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ คุณsuthee ท่านเช่นนั้น และคุณmurano
กราบขอบพระคุณทุกท่านค่ะ ต้นไม้แก่เก็บใจความคำสอนทั้งหมดไว้แล้วและจะนำไปปฎิบัตินะคะ กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ

สวัสดีค่ะ ท่านกรัชกายที่เคารพ
ต้นไม้แก่คิดว่าอย่างไรคงต้องขอคำปรึกษาจากท่านกรัชกายเพราะต้นไม้แก่รักเคารพและแคร์ ท่านกรัชกายเพราะท่านกรัชกายให้ความเมตตากับต้นไม้แก่เรื่อยมาเป็นผู้มีพระคุณของต้นไม้แก่อย่างมาก ต้นไม้แก่พูดในลักษณะขอคำปรึกษานะคะ ต้นไม้แก่กลับมาคิดว่าอะไรน้า...ที่กลัวก็ไม่พบคำตอบเลยไม่รู้จะกลัวอะไรเพราะแม้ความตายหรือความทุกข์อันจะเกิดขึ้นจากสังขารใดๆ ก็ยังไม่กลัวเลยค่ะ และอะไรน้า...ที่เป็นปัญหาทำให้ต้นไม้แก่หมกมุ่นในการปฎิบัติธรรมที่มากเกินไปในสายตาทั่วไป ก็หาคำตอบไม่เจอ ต้นไม้แก่ขอคำปรึกษานะคะถ้าเราไม่มีปัญหาในความคิดของเราเราจะต้องเป็นบุคคลที่มีปัญหาในสายตาคนอื่นด้วยหรือไม่น้า... การเดินจงกรมและการนั่งสมาธิในเวลาเที่ยงคืนเกิดจากปัญหาอะไรเราจะใช้ทฤษฎีทางจิตวิทยาอะไรมาวิเคราะห์ดีคะ สำหรับต้นไม้แก่เองคิดออกอย่างเดียวคือ ประโยคที่ว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ต้นไม้แก่คงมีกรรมอะไรสักอย่างที่ทำให้เป็นอย่างนี้(ทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี)ไม่รู้กรรมอะไร ต้นไม้แก่ขอคำปรึกษาอีกครั้งนะคะ ถ้าให้คนอื่นๆ ต้องอ่านเรื่องไร้สาระของต้นไม้แก่หลายๆ หน้าต้นไม้แก่สงสารผู้อ่านน่ะค่ะ อีกทั้งต้นไม้แก่กลัวว่าจะกระทบกับบุคคลอื่นๆ ด้วยทั้งนี้เพราะพฤติกรรมของคนก็ต้องมีความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ด้วยน่ะค่ะ
ขอท่านกรัชกายคิดช่วยต้นไม้แก่ด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ต้นไม้แก่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระนิพพานอยู่ที่ใจ การปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะให้มีความรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งในพระนิพพานนั้น ไม่ใช่เรื่องอยากเย็นแสนเข็นแต่ประการใดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงแสดงไว้ล้วนเป็นนิยานิกะธรรมพร้อมที่จะนำพาจิตใจของสัตว์โลกทั้งหลาย ที่หลงจมอยู่ในวังวนของวัฏฏะจักรให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้จึงมีมากมายเพื่อให้เหมาะสมกับจริตนิสัยของสัตว์โลกทั้งหลาย และที่สำคัญการปฏิบัติธรรมก็เพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนับตั้งแต่ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความประสพสิ่งที่ไม่น่ารักไม่น่าชอบใจเป็นทุกข์ ความเศร้าโสกเสียใจพิไรรำพัน ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ในสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ว่าโดยย่อความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์๕เป็นทุกข์ การปฏิบัติธรรมนั้นก็เพื่ออบรมจิตใจให้ได้รู้เห็นตามความเป็นจริงของรูปนามกายใจ ว่าสิ่งใดเป็นเราเป็นของๆเรากันแน่ สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือรูปร่างกายของเราท่านทั้งหลายที่พากันยึดมั่นถือมั่นมาไม่รู้ว่ากี่กัปป์กี่กัลป์เป็นอเนกชาติเรียกว่านับภพนับชาติไม่ได้ ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงของรูปกายว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตนให้รู้เห็นด้วยใจของตนเอง ขณะที่จิตมีสติก็มีสมาธิอยู่แล้วในตัวในมหาสติปัฏฐานสูตรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า เอกายะโน อะยัง มัคโค ทางสายเอกเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน คือการมีสติพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม การที่มีสติพิจารณากายก็เพื่อให้จิตใจได้รู้เห็นตามความเป็นจริงของกายว่ากายก็สักแต่ว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา กายนี้ประกอบขึ้นด้วยธาตุ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ขันธ์๕ อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อายะตะนะ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และแตกสลายในที่สุด หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้สักอย่างเดียวสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลางและแตกสลายในที่สุดนี้ ได้เป็นมาแล้วจนนับประมาณไม่ได้และก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปจนนับประมาณไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะจิตใจที่มืดมนไปด้วยอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน จึงเป็นเหตุนำพาให้สัตว์โลกทั้งหลายหลงเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดยุติลงได้ เพราะฉะนั้นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเปรียบเหมือนแสงสว่างที่จะส่องเข้ามาให้เห็นสัจจะธรรมความเป็นจริงของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่ารูปร่างกายที่จิตใจเราอาศัยอยู่นี้ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตน ร่างกายนี้จะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายในที่สุดเพื่อให้จิตใจยอมรับความจริงของธรรม เมื่อจิตใจรู้เห็นตามความเป็นจริงของธรรมที่สติปัญญาอบรมอยู่เสมอดังที่ได้กล่าวไว้ในสติปัฏฐาน๔ มีสติพิจารณากายในกายมีความเพียรทำให้มากเจริญมากเพื่อทำลายความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นภายในจิตใจเสียให้พินาศพูดง่ายๆก็คือการถอดถอนอุปปาทานความยึดมั่นที่มันฝังจมอยู่ภายในจิตใจนั่นเอง พยายามเจริญสติรู้ให้ได้ทุกอิริยาบถไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย เหลียวซ้าย แลขวา เหยียดแขน คู้แขน ทำ พูด คิด จะทำกิจการงานใดๆก็แล้วแต่พยายามเจริญสติรู้อยู่เสมอจึงเรียกว่าเป็นผู้มีความเพียรชอบจากสติธรรมดาที่เราระลึกรู้อยู่บ่อยๆจากนั้นสติจะกลายมาเป็นสัมปะชัญญะคือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมคือรู้ที่จิตที่ใจนั่นเองเพราะสติที่ระลึกรู้การเคลื่อนไหวของกาย ก็คืออาการของจิตนั่นเองหรือเรียกให้ตรงตัวจริงๆก็คือจิตนั่นเองจิตจะรู้และเข้าใจตามความเป็นจริงว่ากายก็สักแต่ว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาจิตจะรู้เห็นตามความเป็นจริงและจะคลายความยึดมั่นถือมั่นอุปปาทานในกายว่าเป็นเราเป็นของๆเราจิตเริ่มละเอียดไปเรื่อยๆเมื่อจิตปล่อยวางกายได้แล้วให้ใช้สติปัญญามาพิจารณานามขันธ์ คือ เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ,ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่าเวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญาณ, ล้วนแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และแตกสลายในที่สุด ในเมื่อจิตรู้เห็นตามความเป็นจริงของเวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ, สักแต่ว่าเกิดในเบื้องต้นเปลี่ยนแปลงในท่ามกลางและแตกสลายในที่สุดไม่มีอะไรเป็นเราสักอย่างจิตย่อมคลายความยึดมั่นถือมั่นในเวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ,ว่าเป็นเราเป็นของๆเรา เราเป็นสุขเราเป็นทุกข์เราจำได้เราจำไม่ได้ จิตก็จะรู้เป็นปรกติ ไม่เข้าไปสำคัณมั่นหมายในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นเราเป็นของๆเราเมื่อจิตรู้ชัดเจนในเวทนาขันธ์นามขันธ์อื่นเช่นสัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอันว่าเข้าใจไปในตัว ในเมื่อจิตใจได้รู้เห็นตามความเป็นจริงของสภาวะธรรม เรื่องปล่อยวางไม่ต้องบอกจิตจะปล่อยเองวางเองคือปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง จิตขั้นนี้จะมีความละเอียดมากมีความสว่างไสวผ่องใสว่างเปล่าไปหมดตามความละเอียดของจิต การพิจารรูปนามจิตเข้าใจชัดเจนแล้วว่าอะไรคือรูป และรูปร่างกายนั้นประกอบขึ้นด้วยธาตุ๔ มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และแตกสลายในที่สุด ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ส่วนนามธรรมคือเวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ,จิตก็เข้าใจรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา เกิดขึ้นในเบื้องต้นเปลี่ยนแปลงในท่านกลางและแตกสลายในที่สุด หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้สักอย่างเดียวหลังจากเจริญสติปัญญาพิจารณากาย เวทนาจนเข้าใจชัดเจนแล้ว จิตจะมีความระเอียดมากจนจิตอาจจะเข้าใจเอาเองว่าหมดงานแล้วหรือเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ความจริงยังไม่หมดงานต่อไปคือ ใช้สติปัญญาที่ละเอียดพิจารณาตัวจิตนั่นเองว่าทำไมจิตขั้นนี้ยังมีภาระให้ต้องดูแลรักษาอยู่อีกการระวังรักษาจิตมันก็เป็นภาระนั่นเอง สติปัญญาขั้นนี้ในทางปริยัติท่านเรียกว่า มหาสติ มหาปัญญา มาพิจารณาตัวจิตก็คือจิตดวงรู้ๆนั้นเองว่า นั่นจิตเป็นเราจริงไม๊ ? ทำไมถึงแสดงความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ให้เห็นอยู่อีกถึงแม้ว่าจิตจะมีความละเอียดมาก แต่ก็ไม่พ้นวิสัยของสติปัญญาขั้นนี้เพราะสติปัญญาที่ไม่เคยไว้วางใจกับกิเลสทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นกิเลสขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียดสุด เมื่อใช้สติปัญญามาพิจารณาว่าทำไมจิตขั้นนี้ยังมีความเศร้าหมองผ่องใสให้รู้อยู่อีกและจิตขั้นนี้ยังเป็นภาระให้ต้องดูแลรักษาอยู่อีก รูปขันธ์,นามขันธ์ จิตปล่อยวางได้หมด ยังเหลือแต่ตัวจิตเองยังไม่ปล่อยตัวเองยังมีอุปปาทานยึดมั่นถือมั่นว่าจิตเรา จิตของเราอยู่อีก ต้องใช้สติปัญญามาพิจารณาว่าถ้าจะทิ้งจิตก็ยังคงเหลือสติปัญญาให้ต้องดูแลรักษา ถ้าจะทิ้งสติปัญญาก็ยังคงเหลือจิตให้ต้องดูแลรักษา เลยตัดสิ้นใจทิ้งทั้งจิตและสติปัญญาพร้อมกันทีเดียว คือการที่ไม่เข้าไปสำคัญมั่นหมายว่าจิตเป็นเราเป็นของๆเรา จิต,สติ,ปัญญาไม่ทำหน้าที่ใดๆ รู้เป็นปรกติที่เป็นกลาง คือไม่ไปใส่ใจในจิตและสติปัญญาเป็นการปล่อยวางทั้งจิต,ปล่อยวางทั้งสติปัญญาพร้อมกันทีเดียวโดยไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ยึดมั่นถือมั่นเลย การตัดสินใจครั้งนี้เหมือนกระโดดลงไปสู่หุบเหวแห่งความว่างเปล่า โดยไม่มีอะไรให้เกาะให้ยึดมั่นถือมั่นเลยปรากฏว่าธรรมชาติแท้คือ รู้ ที่บริสุทธิ์ล้วนๆ เป็นอิสระอย่างเต็มที่ปรากฏขึ้นที่ใจอย่างไม่เคยมีมาก่อนเป็นความรู้ที่ไม่ต้องดูแลรักษา พุทธะแท้ ธรรมะแท้ สังฆะแท้ รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ใจที่บริสุทธิ์พุทโธนี้นี่เองสมดังพุทธภาษิตที่ว่าโยธัมมังปัสสะติ โสมังปัสสะติ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต พุทธะแท้ก็คือจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเอง พระนิพพานก็คือธรรมชาติที่ดับเพลิงกิเลสและกองทุกข์ออกไปจากจิตใจนั่นเองคำว่าขีณา ชาติ ความเกิดได้สิ้นสุดลงแล้วในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนี้นี่เอง วุสิตังพฺรัหมะจะริยังพรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กะตังกะระณียัง กิจในการที่จะชำระสะสางกิเลสประเภทต่างๆได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยไม่มีอุปปาทานหลงเหลืออยู่ภายในจิตใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั้นแม้แต่ธุลีเดียว ที่เรียกว่านิพพานเที่ยงนั้นก็เพราะพ้นจากกฎ อะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา หมดความกังวนในอดีตและอนาคตได้โดยประการทั้งปวง คำว่า นัตถิทุกขัง อะชาตัสสะ ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด เพราะกิเลสที่จะนำพาจิตใจให้ไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่อันได้แก่ กามภพ,รูปภพ,อรูปภพ,ได้สูญสลายพังทลายออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีหลงเหลือแม้แต่ธุลีเดียว ปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมก็เป็นอิสระตลอดกาลไม่มีกาลเวลาใดๆในสมมุติมาเปลี่ยนแปลงได้ตลอดอนันตกาล ได้ความว่าพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งสุขเพราะพ้นจากกฎ อะนิจจัง, ทุกขัง, อะนัตตา, ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถปฏิบัติรู้ได้เห็นได้ด้วยกันทุกคนไม่เลือกชาติชั้นวรรณะใดไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาสปฏิบัติกันได้ทุกคน เพราะกิเลสตัวที่สร้างความทุกข์ให้กับสัตว์โลกทั้งหลายมีด้วยกันทุกคน และกิเลสก็สร้างความทุกข์ให้กับสัตว์โลกทั้งหลายได้ทุกกาลทุกเวลาทุกสถานที่ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติกันได้ทุกกาลทุกเวลาทุกสถานที่เหมือนกัน กิเลสอยู่ที่ใจสร้างความทุกข์ให้กับสัตว์โลกทั้งหลายที่จิตที่ใจ การปฏิบัติธรรมจึงปฏิบัติกันลงที่จิตที่ใจ สติปัญญาก็อยู่ที่จิตที่ใจ การปฏิบัติธรรมก็คือการอบรมจิตใจด้วยจิตตะภาวนา ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ พุทธบริษัทได้ประพฤติปฏิบัติตามท่านกล่าวไว้ในโพธิปักขิยะธรรม๓๗ ประการ อันได้แก่ สติปัฏฐาน๔ สัมมัปประทาน๔ อิทธิบาท๔ อินทรีย์๕ พละ๕ โพชฌงค์๗ อริยะมรรคมีองค์๘ ตามแต่จริตนิสัยของผู้ที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติจะเลือกนำมาประพฤติปฏิบัติเอาเอง ข้อสำคัญให้มีความตั้งใจจริง มีความเพียรจริง มีสติปัญญาหมั่นใคร่ครวญเอาจริงเอาจังกับการปฎิบัติและมีเหตุมีผล จะพบพระนิพพานจริงๆอยู่ที่จิตที่ใจของนักปฎิบัติธรรมด้วยกันทุกคน เพราะพระนิพพานมีอยู่แล้วภายในจิตในใจของคนทุกคน เพียงแต่ถูกกิเลสมีอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ปกคุ้มหุ้มห่อเอาไว้เท่านั้นเองไม่ให้เราทราบไม่ให้เรารู้ได้เห็นได้ เมื่อเปิดสิ่งที่ปกคุ้มหุ้มห่อออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นแล้วเราจะไปถามหาพระนิพพานที่ไหนอีก? เมื่อเพลิงกิเลสและกองทุกข์ทั้งหลาย มีอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทา,ได้ดับลงไปจากจิตจากใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือมีแต่ความรู้ล้วนๆหรือจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ หมดความหิวความกระหายหมดความดิ้นรนกระวนกระวายทางจิตใจโดยสิ้นเชิง คำว่าดับไม่มีเชื้อเหลือนั้นหมายถึงอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ต่างหากที่ดับไปจากจิตใจไม่ใช่จิตดับหรือความรู้ดับไปด้วยตามที่นักปฏิบัติธรรมบางพวกพากันเข้าใจผิดว่าดับจิตอวิชชา คือจิตต้องดับไปด้วยแม้แต่ความรู้ก็ดับไปด้วยเพราะการปฏิบัติธรรมแบบไม่มีปัญญารู้เห็นจิตของตนเองจึงพากันเข้าใจผิดอยู่กับการสุ่มเดาไปเรื่อย ปฏิบัติธรรมแบบสุ่มเดาก็เลยบรรลุธรรมแบบสุ่มเดาและก็สอนธรรมกันแบบสุ่มเดา นิพพานก็เลยกลายเป็นนิพพานแบบสุ่มเดาหรือนิพพานของหมูที่ขึ้นเขียงดีๆนี่เองและไม่ยอมลงจากเขียงง่ายๆเพราะเสียดายกิเลสมากกว่าธรรม เป็นหมูขึ้นเขียงสบายดี ถ้าจิตดับแล้วเอาอะไรมาบริสุทธิ์เอาอะไรมาหลุดพ้น จิตที่หลุดพ้นแล้วจากสมมุติโดยประการทั้งปวงคือจิตที่บริสุทธิ์หรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเอง สิ่งที่เกิด-ดับ คือสมมุติทั้งมวลสิ่งที่พ้นจากการเกิดและดับคือจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนิพพานคือรู้ล้วนๆหรือจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเอง อันนี้ต่างหากที่ไม่เกิดไม่ดับอีกต่อไปตลอดอนันตกาล อันนี้ต่างหากที่เรียกว่าดับไม่มีเชื้อเหลือ เพราะเชื้อที่จะนำพาจิตใจให้ไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่ได้ดับลงไปจากจิตใจโดยเด็ดขาดพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง สิ่งที่เป็นสมมุติทั้งหลายไม่อาจแตะต้องจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั้นได้แม้แต่ธุลีเดียว I don't come back to am born again , through the time ฉันไม่กลับมาเกิดอีกตลอดอนันตกาล ( สุธีร์ คุณธีโร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นแค่อาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาต่อไปอีกนับกัปป์ นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ จิตที่พ้นจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่า จิต เป็นวิสังขาร สังขารไม่อาจปรุ่งแต่งจิตนั้นได้อีกต่อไป สิ่งใดก็ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน )
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราไม่กลับมาเกิดอีกตลอตอนันตกาล
this nation is last our nation , we don't come back to are born again time stump
suthee


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระนิพพานอยู่ที่ใจ ใจ
พระนิพพานอยู่ที่ใจ เห็นไหมเล่า ? ไม่มีว่างไม่มีเปล่า อยู่ทั้งนั้น
จะมีอะไรเป็นเรา ที่ไหนกัน ? ทุกสิ่งนั้นดับไป เหลือใจเอย
ชีวิตนี้ น้อยๆและสั้นๆ อย่าพากันปล่อยใจ เลยท่านเอ๋ย
มีสติรู้อยู่ที่ใจ ให้คุ้นเคย ต้องได้เชยชม พระนิพพานอยู่ที่ใจ
เป็นการอยู่กับผู้รู้ ละกิเลส จะมีเพศชั้นวรรณะ กันที่ไหน ?
ทุกขณะที่รู้ อยู่กับใจ จงหมั่นใช้ปัญญา รู้ของจริง
รู้ของจริงทิ้งของเท็จ ได้เด็ดเดี่ยว ไม่เกาะเกี่ยวแม้ความว่าง สว่างยิ่ง
รู้อะไรก็ไม่สู้ รู้ใจจริง ยิ่งรู้ยิ่งหลุดพ้น ไม่ต้องเบิกบาน
ความร้อนร้นหม่นไหม้ ไกลใจหมด พระนิพพานปรากฏ ก็ไม่ยึดเป็นแก่นสาร
มีสติรู้ให้ได้ ทุกอาการ จะพบพระนิพพานจริงๆ ที่ใจเอย !
พระนิพพาน
พระนิพพาน พ้นจากความมีและไม่มีให้คนเห็น
พระนิพพาน พ้นจากความเป็นและไม่เป็นเช่นสังขาร
พระนิพพาน พ้นจากความหมายและไม่หมายให้วิจารณ์
พระนิพพาน ไม่เกิด-ไม่ดับ คือจิตหรือรู้ล้วนๆที่บริสุทธิ์เอย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณต้นไม้แก่ ไม่พึงเก็บคำถามกรัชกายตรงนั้นมาคิดมากครับ ถามให้ต้นไม้แก่ตอบเฉยๆ เมื่อไม่มีนึกไม่ออกก็ไม่ต้องนึกหาอะไรอีก

วันนี้เน็ตเข้าไม่ได้ทั้งวัน ถึงตอนนี้ก็ยังเข้าไม่ได้ นี่ก็เข้าจากเครื่องของคนอื่นครับ เพื่อให้ต้นไม้แก่สบายใจส่งข่าวเท่านี้ก่อนครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นแค่อาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาต่อไปอีกนับกัปป์ นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ จิตที่พ้นจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่า จิต เป็นวิสังขาร สังขารไม่อาจปรุ่งแต่งจิตนั้นได้อีกต่อไป สิ่งใดก็ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกายมิใด้แนะนำวิธีปฏิบัติให้ต้นไม้แก่มาแต่ต้น จึงยากพอสมควรที่พูดสื่อแนวทางปฏิบัติกันให้เข้าใจ
แต่รวม ๆ ผลจากการภาวนาของต้นไม้แก่ ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงเหมือนรายอื่นๆ ทั้งตนเองก็รู้จักแยกแยะสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพอสมควร
หากต้องการสนทนากับกรัชกายต่อ ต้นไม้แก่ ตั้งกระทู้ใหม่เพื่อสนทนากันโดยเฉพาะนะครับ หากไม่ต้องการคุยเรื่องนี้ต่อแล้วก็พักไว้เพียงเท่านี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 119 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร