วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 02:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
(เฉลิมศักดิ์เขียน)
สติ แปลว่า การตามระลึกรู้อารมณ์

ปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้ง (ของการเพ่ง)

สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง ฐาน หรือที่ตั้งอันเป็นที่รองรับของการกำหนดสติอย่างประเสริฐ เพราะเป็นการตามระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์ (รูป-นาม) ที่เกิดขึ้นตามฐาน ซึ่งมี ๔ ฐานด้วยกัน คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ผู้ใดที่มีการปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักของสติปัฏฐาน ย่อมเป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนาปัญญา อันเป็นปัญญาที่เข้าถึงสภาวธรรมของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ในที่สุด ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ สามารถทำลายวิปลาสธรรม ๔ ประการได้

(กรัชกายถาม)
-ปฏิบัติสติปัฏฐานยังไงครับที่ว่า ปฏิบัติถูกต้อง ?

-รูป กับ กาย เหมือนกันหรือต่างกันครับ



อ้างคำพูด:
คุณกรัชกายครับ ผมว่าพฤติกรรมของคุณที่แสดงผ่านความเห็นต่าง ๆ ดูเบี่ยงเบนไปเรื่อย ๆ แล้วนะครับ

ของดการสนทนากับคุณกรัชกาย ก่อนนะครับ



คุณเฉลิมศักดิ์ครับ คุณไม่เข้าใจสาระของ รูป-นาม กับ กาย เวทนา จิต ธรรม เลย

คุณยกขึ้นกล่าวเช่นนั้น (เน้นสีแดง) กรัชกายจึงถามว่า รูปกับกายเหมือนกันหรือต่างกัน

คุณไม่ตอบ แสดงว่าคุณมีหน้าที่นำลิงค์มาลงๆ แต่ไม่รู้สารธรรมจากลิงค์นั้นๆเลย

เอาง่ายๆเห็นตัวนี่ล่ะที่คุณว่า (สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง ฐาน หรือที่ตั้งอันเป็นที่รองรับของการกำหนดสติอย่าง

ประเสริฐ ) "อย่างประเสริญ" คุณแปลออกจากศัพท์ไหน อย่างประเสริฐ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเฉลิมศักดิ์ครับ คุณแนะนำขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา เช่น การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า

ถวายสังฆทาน ถวายเทียนจำนำพรรษา ฯลฯ ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยนก ปล่อยหอยขม

เพื่อสะเดาะเคราะห์ ตามความเชื่อยังงี้ดีกว่าครับ :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านเหลิมครับ
ประสบการณ์ปฏิบัติของท่านแม้เวทนาระดับประถมยังไม่สามารถทนได้ แล้วผันตัวเองมาเผยแพร่ธรรมมะปฏิบัติ จากการอ่าน มันจะดีหรือคับ

เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




bird01.gif
bird01.gif [ 13.3 KiB | เปิดดู 5019 ครั้ง ]
คุณเฉลิมศักดิ์ กลับมาเถอะขอรับ คุณอายะเรียกหาอยู่นั่นน่า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 21:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


chalermsak เขียน:

แต่คนที่ติดคำภาวนา หนอ ๆ ๆ ๆ ๆ แล้ว ไม่ทำความรู้สึกออกไปดูของจริง อย่างคุณวลัยพร คุณกรัชกาย

คงยากที่จะเข้าใจ ในสิ่งที่ พระไตรปิฏก อรรถกถา และพระวิปัสสนาจารย์ท่านบรรยายไว้


หรือว่า..คุณ..เฉลิมศักดิ์..เข้าใจ..

ในสิ่งที่ พระไตรปิฏก อรรถกถา และพระวิปัสสนาจารย์ท่านบรรยายไว้..

...แล้วหรือยังครับ...???

หาก..เข้าใจแล้ว..แล้วคุณ..เฉลิมศักดิ์..เห็นจริงตามนั้น..มั้ยครับ???

:b16: :b16: :b16:

ปล. ขออภัย..อ่านคำของท่านแล้วเกิดอาการคัน..นะครับ
:b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 22 ก.พ. 2010, 21:09, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 06:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อายะเขียน
ท่านเหลิมครับ
ประสบการณ์ปฏิบัติของท่านแม้เวทนาระดับประถมยังไม่สามารถทนได้ แล้วผันตัวเองมาเผยแพร่ธรรมมะปฏิบัติ จากการอ่าน มันจะดีหรือคับ


นี่คือความเห็นที่เชื่อตามอาจารย์กันถึงแนวทางการปฏิบัติ ว่าต้องสามารถทนทุกข์ให้ได้ แล้วออกมาเผยแพร่สอนสอนตามกันมาในรูปแบบ

ภาวนาทุกข์หนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วให้ทุกข์นั้นหายไปด้วยอำนาจของ สมาธิ ( ถ้าทนได้จริง )

คุณอายะครับ ขอตั้งข้อสังเกตนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสรู้เพราะทนนั่งสมาธิ บำเพ็ญทุกกรกริยา ทรมานตนเอง จนถึงที่สุดนะครับ

พระพุทธองค์ทรงสอน ให้กำหนดรู้ในทุกข์ครับ

หากคุณอายะ ยังไม่เข้าใจ ลองศึกษา พระวิปัสสนาจารย์ผู้ทรงพระไตรปิฏก ท่านบรรยายไว้ดังนี้


ทุกข์และการกำหนดทุกข์

http://larndham.org/index.php?showtopic=33557
กิจของอริยสัจ มีอย่างไร ?

ในอริยสัจนี้พระพุทธองค์ท่านวางกิจไว้อย่างไร ? คือการปฏิบัติในอริยสัจธรรมนี้ เราจะทำอย่างไร ? อริยสัจนั้นมี ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และท่านวางกิจในอริยสัจไว้ดังนี้

๑. ทุกข์ เป็นกิจที่ต้องกำหนดรู้

๒. สมุทัย เป็นกิจที่ต้องละให้หมดไป

๓. นิโรธ เป็นกิจที่ต้องทำให้แจ้ง

๔. มรรค เป็นกิจที่ต้องเจริญให้เกิดขึ้น

เราต้องเข้าใจในกิจ หน้าที่อย่างนี้เสียก่อน เมื่อเราเข้าใจในกิจหน้าที่ของอริยสัจดีแล้ว เวลาปฏิบัติก็ให้เป็นไปตามกิจ หรือหน้าที่นั้น
!
!
การกำหนดว่า ทุกข์หนอ ๆ แล้วทุกข์ก็หายไป เมื่อทุกขเวทนาหายไปแล้วก็เท่ากับว่า ผู้นั้นต้องการให้สติปัฏฐานหายไป ตัวเวทนานั้นเป็นสติปัฏฐาน ท่านชี้แจงให้เรากำหนดเวทนา โดยจะเป็นสุข หรือทุกข์ก็ตาม เมื่ออันใดเกิดขึ้นแล้ว ก็ให้กำหนดแต่ละอย่าง ก็สามารถจะบรรลุพระนิพพานได้

แต่เมื่อมหาสติปัฏฐานเกิดขึ้นแล้ว กลับทำให้ความรู้สึกให้มหาสติปัฏฐานนั้นหมดไป ซึ่งถ้าพิจารณาดูด้วยเหตุผลแล้ว จะเป็นการถูกต้องไหม ? เมื่อการปฏิบัติเช่นนี้ โดยทุกขเวทนาหายไปด้วยอำนาจการบังคับ ก็จะรู้สึกว่า ตัวเขาบังคับได้ ที่ถูกแล้วท่านกล่าวว่า ให้ดูทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเท่านั้น ท่านไม่ได้สั่งให้ดูทุกขเวทนาเพื่อจะให้ทุกขเวทนาหายไป

ในมหาสติปัฏฐานนั้น ท่านให้ดูทุกขเวทนาซึ่งเป็นนามธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครสามารถจะบังคับได้ นี่ ท่านให้ดูอย่างนี้

ทุกขเวทนานั้นเป็นนามธรรม มาจากเบญจขันธ์ ให้แลเห็นทุกข์โทษของเบญจขันธ์ แล้วความอาลัย ความต้องการในเบญจขันธ์ ก็จะได้หมดไป ยิ่งเห็นทุกข์เห็นโทษในเวทนามากเท่าไหร่ ก็จะเป็นเหตุให้การบรรลุพระนิพพานใกล้เข้ามาเท่านั้น

ถ้าทุกขเวทนาไม่มี ก็ต้องมีสุขเวทนา สุขเวทนาไม่มี ก็ต้องมีอุเบกขาเวทนา อันใดอันหนึ่ง เพราะเวทนานี้ ประกอบกับจิตทั้งหมดทุกดวง ทั้ง ๘๙ ดวง ไม่มีเลยที่จะไม่ประกอบด้วยเวทนา

เพราะฉะนั้น เมื่อบังคับให้ทุกขเวทนาหายไป หรือหมดไปแล้ว ก็แสดงว่า ผู้ปฏิบัตินั้นไม่พอใจในทุกขเวทนา และก็ยินดีสุขเวทนา การที่ยินดีพอใจในสุขเวทนา ก็คือยินดีพอใจในตัวเบญจขันธ์นั่นเอง

เมื่อทุกขเวทนาที่บังคับให้หายนั้นหมดไปแล้ว อะไรเล่า ที่จะมีมาแทน ก็สุขเวทนานั่นเอง จะเกิดขึ้นมาแทน ด้วยอำนาจของสมาธิที่มีกำลังมาก เพราะทำให้ผู้นั้น รู้สึกเป็นสุขความพอใจนั้น เช่นนี้แล้ว จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้อย่างไร ? เรื่องที่เรียนมานี้ ท่านคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ถ้าหากว่าท่านไปพบอย่างนี้เข้า ก็จะพิจารณาได้ว่า เป็นการถูกต้องตามเหตุผลหรือไม่ ?

--------------------------------------------------------------------------------

อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา เขียน
หรือว่า..คุณ..เฉลิมศักดิ์..เข้าใจ..

ในสิ่งที่ พระไตรปิฏก อรรถกถา และพระวิปัสสนาจารย์ท่านบรรยายไว้..

...แล้วหรือยังครับ...???

หาก..เข้าใจแล้ว..แล้วคุณ..เฉลิมศักดิ์..เห็นจริงตามนั้น..มั้ยครับ???

ปล. ขออภัย..อ่านคำของท่านแล้วเกิดอาการคัน..นะครับ



คุณกบครับ ผมเข้าใจครับ โดยนัย ปริยัติ และกำลังฝึกหัดปฏิบัติ ในการกำหนดรู้ในทุกข์ ที่ถูก อิริยาบถต่าง ๆ ปิดบังไว้อยู่ครับ แต่วิปัสสนาปัญญายังไม่เกิดนะครับ

เหตุผลในการกำหนดอิริยาบถ โดยอาจารย์บุญมี เมธางกูร
http://www.abhidhamonline.org/Ajan/BM/hatpol.doc
ด้วยเหตุนี้ ในพุทธศาสนาจึงพูดว่า เรานั้นวิปลาส แปลว่า จิตคิดผิดไปจากความจริง หรือแปลว่าเป็นบ้า เราไม่เคยคิดว่า ยืน เดิน นั่ง นอน นี้ลำบาก และเป็นเพราะทุกข์ ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง จากการศึกษาเล่าเรียน ทำให้รู้ว่าอำนาจของทุกข์ที่บีบคั้น ทำให้เราต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เปลี่ยนไปเพราะความสุข

การรู้ขึ้นมาในใจเป็น ปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการรู้นี้ เรียกว่า สุตามยปัญญา

แต่ถ้าหากผู้ใดได้นำความรู้นี้ไปปฏิบัติ กำหนดแล้วเห็น ผู้นั้นจะได้ชื่อว่ามีปัญญาชนิด จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการพิจารณา

ถ้าหากได้ญาณปัญญา เวลาปฏิบัติก็จะได้ปัญญาชนิด ภาวนามยปัญญา คือ นามรูปปริจเฉทญาณ ตามนัยซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ชั้น คือ

เมื่อปฏิบัติรู้ว่า ยืนเป็นรูป เดินเป็นรูป และรู้ว่ารูปนี้เป็นทุกข์ เราจะได้ นามรูปปริจเฉทญาณ ตามนัยปริยัติ แปลว่าเล่าเรียนศึกษาแล้วเข้าใจ

แต่เมื่อลงมือปฏิบัติ เรามองเห็นว่า ก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเพราะเรามีทุกข์มาบังคับ จึงเปลี่ยนอิริยาบถ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกข์เกิดขึ้นจากอิริยาบถโดยตรง เช่น จะต้องทานอาหาร ไปเข้าห้องน้ำ เป็นต้น คือต้องลุกจากที่ เพราะอำนาจของทุกข์มาบีบคั้น ให้เราต้องผันแปรอิริยาบถ หาใช่ความสุข
ถ้ามีการพิจารณาเช่นนี้ในระหว่างปฏิบัติแล้ว ก็ได้ชื่อว่ามีญาณปัญญาเกิด จะได้ นามรูปปริจเฉทญาณ ตามนัยแห่งการปฏิบัติ กล่าวคือ เห็นว่าการยืน เดิน นั่ง นอนนี้เป็นทุกข์
เห็นว่าการยืน เดิน นั่ง นอนเป็นรูป ไม่ใช่เป็นนาม หรือไม่ใช่เป็นเรา

การเห็นเช่นนี้ แปลว่า จิตของเราน้อมเข้าไปรู้และเห็น นามอันหนึ่ง รูปอันหนึ่ง ส่วน นามรูปปริจเฉทญาณ ตามนัยของวิปัสสนา จะเป็นไปอีกอย่าง กล่าวคือ จะต้องเข้าใจจริง ๆ ประกาศขึ้นมาในใจเลย

--------------------------------

อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา เขียน
หรือว่า..คุณ..เฉลิมศักดิ์..เข้าใจ..

ในสิ่งที่ พระไตรปิฏก อรรถกถา และพระวิปัสสนาจารย์ท่านบรรยายไว้..

...แล้วหรือยังครับ...???

หาก..เข้าใจแล้ว..แล้วคุณ..เฉลิมศักดิ์..เห็นจริงตามนั้น..มั้ยครับ???

ปล. ขออภัย..อ่านคำของท่านแล้วเกิดอาการคัน..นะครับ


คุณกบในกะลาครับ อยู่ในกะลา ก็มัวแต่ภาวนา มืดหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นแสงได้

ลองออกจาก อาจาริยวาท แนวเดิม ๆ ที่เชื่อตามกันมา

ออกมา หาแสงพระธรรม จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา ตามหัวข้อกระทู้นี้ดีกว่าครับ

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




f54802676.gif
f54802676.gif [ 16.55 KiB | เปิดดู 4982 ครั้ง ]
ฮิๆๆ คุณเฉลิมศักดิ์ว่าแต่เขา=>

อ้างคำพูด:
(เฉลิมศักดิ์เขียน)
พฤติกรรมเบี่ยงเบนที่ไม่น่าปรารถนาที่มักเกิดกับนักศึกษาธรรมะ(นักปฏิบัติธรรม) บางท่าน
ข.มีพฤติกรรม สวนกระแสพระสัทธรรม เช่น
๑)อติมานี มีมานะจัด มีนิสัยหยาบกระด้าง (ปากร้าย ชอบทะเลาะ เบาะแว้ง ) บุคคลอื่นแนะนำตักเตือนไม่ได้
๒)โกธาภิภูโต มักโกรธ หงุดหงิดรำคาญง่าย ไร้เหตุผล
๓)พหุภาณี พูดมาก ไม่รู้จักกาลเวลา ไม่เลือกสถานที่ และบุคคล ขาดความสุภาพ
๔)สาเถยยมายาวี เป็นคนเจ้าเล่ห์ มารยา มีเจตนาแอบแฝงที่ไม่ดี หน้าด้าน ไม่รู้จักอาย เป็นคนแก้อยาก

คุณกรัชกายครับ ผมว่าพฤติกรรมของคุณที่แสดงผ่านความเห็นต่าง ๆ ดูเบี่ยงเบนไปเรื่อย ๆ แล้วนะครับ
ของดการสนทนากับคุณกรัชกาย ก่อนนะครับ


แต่อิเหนาเป็นเอง =>

อ้างคำพูด:
(เฉลิมศักดิ์เขียน)
คุณกบในกะลาครับ อยู่ในกะลา ก็มัวแต่ภาวนา มืดหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นแสงได้ ลองออกจาก อาจาริยวาท แนวเดิม ๆ ที่เชื่อตามกันมา
ออกมา หาแสงพระธรรม จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา ตามหัวข้อกระทู้นี้ดีกว่าครับ



เขาชื่อกบนอกกะลา แต่คุณเรียกกบในกลาสะนี่ :b28: :b32:

ถกกันด้วยเหตุด้วยผลสู้เค้าไม่ได้ ก็ทำเฉไฉไถแถออกนอกเรื่อง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณกบในกะลาครับ อยู่ในกะลา ก็มัวแต่ภาวนา มืดหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นแสงได้

ลองออกจาก อาจาริยวาท แนวเดิม ๆ ที่เชื่อตามกันมา



ลิงค์ที่ตนเองนำมาโปรยๆ นั่นอาจาริยวาท (แนบ) เกือบทั้งนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขอตั้งข้อสังเกตนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสรู้เพราะทนนั่งสมาธิ บำเพ็ญทุกกรกริยา ทรมานตนเอง จนถึงที่สุดนะครับ พระพุทธองค์ทรงสอน ให้กำหนดรู้ในทุกข์ครับ หากคุณอายะ ยังไม่เข้าใจ ลองศึกษา พระวิปัสสนาจารย์ผู้ทรงพระไตรปิฏก ท่านบรรยายไว้ดังนี้


เหอะ ตอนพระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ท่านนั่งตั่งแต่ยามไหนถึงยามไหน หนอ หรือนั่งแค่ 15 นาทีแล้วรีบตรัสรู้เลย ก่อนที่เวทนาจะมา แล้วก่อนนั่งท่านอธิฐานอะไรไว้ จริงอยู่ในวันนั้นท่านคงไม่ได้ทนเวทนาเพราะพระองค์ท่านเข้าฌาณได้ แต่ก่อนที่ท่านจะเข้าฌาณได้ท่านต้องผ่านเวทนามาก่อนหรือเปล่า ผมนั่ง ยัน ยืนยัน ได้เลยว่าการปฏิบัติธรรมต้องเจอกับเวทนาแน่นอน มิใช่พอมันมาขยับหนีมันก็สบายดี แล้วก็บอกว่าอย่างนี้ถูกแน่นอน
อนิจจัง ทุกข์ขัง อนันตา ถ้าเป็นท่านเหลิมคงเอาแค่ อนิจจัง กับ อนันตา เท่านั้น เพราะขยับหนีก่อนทุกข์ขังจะมาทุกที :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


chalermsak เขียน:
คุณกบในกะลาครับ อยู่ในกะลา ก็มัวแต่ภาวนา มืดหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นแสงได้

ลองออกจาก อาจาริยวาท แนวเดิม ๆ ที่เชื่อตามกันมา

ออกมา หาแสงพระธรรม จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา ตามหัวข้อกระทู้นี้ดีกว่าครับ


ถ้าหากแสง..จากพระหนังสือ ..ทำให้จริตเป็นอย่างคุณ..เฉลิมศักดิ์

กบฯ..ขอบาย.. :b11: :b11: :b11:

ถ้าคุณ..เฉลิมศักดิ์..รู้แค่นี้..กิริยาได้แค่นี้..อย่าไปอ้างว่าไปอ่านพระไตรปิฎก..อรรถกถา..ฎีกา..มาแล้วเลยครับ

ขอดี..เขาเสียหมด
:b11: :b11: :b11:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 24 ก.พ. 2010, 21:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
chalermsak เขียน:
คุณกบในกะลาครับ อยู่ในกะลา ก็มัวแต่ภาวนา มืดหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นแสงได้

ลองออกจาก อาจาริยวาท แนวเดิม ๆ ที่เชื่อตามกันมา

ออกมา หาแสงพระธรรม จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา ตามหัวข้อกระทู้นี้ดีกว่าครับ


อ้างคำพูด:
กบ..เขียน
ถ้าหากแสง..จากพระหนังสือ ..ทำให้จริตเป็นอย่างคุณ..เฉลิมศักดิ์

กบฯ..ขอบาย..

ถ้าคุณ..เฉลิมศักดิ์..รู้แค่นี้..กิริยาได้แค่นี้..อย่าไปอ้างว่าไปอ่านพระไตรปิฎก..อรรถกถา..ฎีกา..มาแล้วเลยครับ

ขอดี..เขาเสียหมด


คุณกบครับ อย่าได้ยึด พฤติกรรมของคน แล้วไปตัดสิน พระสัทธรรม จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา เลยครับ

พฤติกรรมเบี่ยงเบนที่ไม่น่าปรารถนาที่มักเกิดกับนักศึกษาธรรมะ นักปฏิบัติธรรม บางท่าน
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16059


ข.มีพฤติกรรม สวนกระแสพระสัทธรรม เช่น
๑)อติมานี มีมานะจัด มีนิสัยหยาบกระด้าง (ปากร้าย ชอบทะเลาะ เบาะแว้ง ) บุคคลอื่นแนะนำตักเตือนไม่ได้
๒)โกธาภิภูโต มักโกรธ หงุดหงิดรำคาญง่าย ไร้เหตุผล
๓)พหุภาณี พูดมาก ไม่รู้จักกาลเวลา ไม่เลือกสถานที่ และบุคคล ขาดความสุภาพ
๔)สาเถยยมายาวี เป็นคนเจ้าเล่ห์ มารยา มีเจตนาแอบแฝงที่ไม่ดี หน้าด้าน ไม่รู้จักอาย เป็นคนแก้อยาก
๕)ปาปิจฺโฉ มีความมักมาก แสวงหาปัจจัย โดยไม่ชอบธรรม ชอบคลุกคลี ในทางที่ไม่เหมาะสม
๖)ถทฺธี เป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ชอบกอบโกย ชอบสะสม ชอบใช้อภิสิทธิ์ หรือวางอำนาจเหนือบุคคลอื่น มีอัธยาศัยคับแคบ ไม่ต้องการเห็นคนอื่นดีกว่าตน
๗)อามิสาภิมุขี เป็นคนเห็นแก่ประโยชน์จำเพาะหน้า มุ่งหน้าแต่เรื่องลาภสักการะ ชื่อเสียง ยศตำแหน่ง เป็นต้น
๘)สทฺธมฺมปฏิมุขี หันหลังให้พระสัทธรรม คือ ไม่ชอบฟังพระสัทธรรม ชอบหมกหมุ่นแต่ในเรื่องเดรัจฉานกถา หรือ ไม่ให้ความสำคัญแก่พระสัทธรรม สนใจและให้ความสำคัญแต่ในเรื่องทางโลก (โลกาธิปไตย หรือ โลกานุวัฒน์ ) หรือเอาความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ เป็นเครื่องตัดสิน (อัตตาธิปไตย) ขาดความมั่นคงและความเคารพยำเกรง ในพระสัทธรรม
๙)มุฏฐสฺสติ ขาดจิตสำนึกในความเป็นกัลยาณชน ขาดความยั้งคิด ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกระแสกิเลส
๑๐) อคมฺภีรปญฺโญ มีความคิดไม่เฉียบแหลม มีวิสัยทัศน์คับแคบ มองโลกในแง่ร้าย ขาดโยนิโสมนสิการ คือ พิจารณาเหตุผลและเหตุการณ์ให้รอบคอบ


อย่างคุณกบ อาจจะยังไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ก็อาจมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนได้

พื้นฐานของคนเรามีไม่เหมือนกัน การที่จะได้ ศึกษาพระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของเถรวาท เป็นเรื่องยากจริง ๆ นะครับ

คุณกบลองพิจารณาดู สำนักปฏิบัติต่าง ๆ ในสมัยนี้สิครับ เชื่ออาจาริยวาทะ อัตตโนมติของอาจารย์ ตาม ๆ กันมา ( ซึ่งอาจารย์เหล่านั้น ก็ขาดพื้นฐานทางด้านปริยัติที่ดีพอ เวลาสอน วิปัสสนา ก็สอนผิดเพี้ยนไป ยกตัวอย่างที่ สอนว่า สมถะ คือ วิปัสสนา นั้นเอง

คุณกบครับ เมื่อครั้ง พุทธกาล คนตายไปแล้วจะมาเกิดเป็นคนอีกยากมาก ส่วนมากก็เกิดเป็น กบ เป็นเขียด สัตว์นรก เปรต อสุรกาย (ทุคติภูมิ)

และ คนทั้งหลาย ที่จะได้ฟังพระสัทธรรม ก็น้อยเต็มที (คุณกบสังเกตจาก การสนทนาธรรมดูครับ มีน้อยจริง ๆ ที่อ้างอิงจาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ยกตัวอย่างความเห็นคุณกบ เป็นต้น)


ผู้บรรลุมรรคผลนิพพาน ที่เกิดจากสมถะ (สมถะยานิกะ ) ก็น้อยเต็มที เมื่อเทียบกับ วิปัสสนายานิกะ

แต่อาจารย์ส่วนใหญ่ ก็มุ่งเน้นสอนแต่ สมถะ แต่ยังไม่รู้วิธีการยกขึ้นสู่วิปัสสนาเลย



21062.เมื่อครั้งพุทธกาล เจโตวิมุติ(ผู้ได้ฌาน) น้อยกว่าปัญญาวิมุตติ
viewtopic.php?f=2&t=21062

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

[๒๐๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่เกิดบนบกมีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เกิด
ในน้ำมากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่กลับมาเกิดในมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่กลับมา
เกิดในกำเนิดอื่นจากมนุษย์มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่เกิดในมัชฌิมชนบทมีเป็นส่วน
น้อย สัตว์ที่เกิดในปัจจันตชนบท ในพวกชาวมิลักขะที่โง่เขลา มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่มีปัญญา ไม่โง่เง่า ไม่เงอะงะ สามารถที่จะรู้อรรถแห่งคำเป็นสุภาษิต และ
คำเป็นทุพภาษิตได้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เขลา โง่เง่า เงอะงะ ไม่สามารถที่
จะรู้อรรถแห่งคำเป็นสุภาษิต และคำเป็นทุพภาษิตได้มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ประกอบ
ด้วยปัญญาจักษุอย่างประเสริฐ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ตกอยู่ในอวิชชา หลงใหล
มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้เห็นพระตถาคต มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้เห็น
พระตถาคตมากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้ฟังธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้ มีเป็น
ส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้ฟังธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้ มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่ได้ฟังธรรมแล้วทรงจำไว้ได้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ได้ฟังธรรมแล้วทรงจำไว้
ไม่ได้ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ไตร่ตรองอรรถแห่งธรรมที่ตนทรงจำไว้ได้ มีเป็น
ส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ไตร่ตรองอรรถแห่งธรรมที่ตนทรงจำไว้ได้ มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มีเป็นส่วนน้อย
สัตว์ที่ไม่รู้ทั่วถึงอรรถ ไม่รู้ทั่วถึงธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มากกว่า
โดยแท้ สัตว์ที่สลดใจในฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์
ที่ไม่สลดใจในฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่สลดใจ
เริ่มตั้งความเพียรโดยแยบคาย มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่สลดใจไม่เริ่มตั้งความเพียร
โดยแยบคาย มากกว่าโดยแท้

สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้วได้สมาธิได้เอกัคคตาจิต มีเป็นส่วนน้อย
สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้ว ไม่ได้สมาธิ ไม่ได้เอกัคคตาจิตมากกว่าโดยแท้





คุณกบในกะลาครับ อยู่ในกะลา ก็มัวแต่ภาวนา มืดหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นแสงได้

ลองออกจาก อาจาริยวาท แนวเดิม ๆ ที่เชื่อตามกันมา

ออกมา หาแสงพระธรรม จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา ตามหัวข้อกระทู้นี้ดีกว่าครับ

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 23:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


chalermsak เขียน:
คุณกบครับ อย่าได้ยึด พฤติกรรมของคน แล้วไปตัดสิน พระสัทธรรม จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา เลยครับ



ผม..ไปบอกคุณตรงไหน..ว่า..พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา ไม่ดี

ผมว่า..เจ้ากิริยา..

ว่าตัวเก่ง..ว่าตัวรู้..กว่าใคร..เขา..แล้วไปเหมาว่า..ใครไปรู้แต่ตามอาจารย์..นั้น..มันยังต่ำเตี้ย..สู้รู้แบบข้าไม่ได้..

ของคุณ..ต่างหาก..ว่ามันไม่ดี..มันไม่น่าจะเอาเป็นแบบอย่างเลย..ซักกะนิด

ความไม่ดีของคุณ..คุณเห็นมันบ้างหรือเปล่า?? :b32:

คนไม่รู้พระไตรปิฎก..อย่างผม..ยังเห็น :b20:

แล้วคนที่อ้างว่ารู้..อย่างคุณ..ดันไม่เห็น :b32:

แค่..ธรรมง่าย ๆ คุณก็ไม่เข้าใจแล้ว..

แค่ถามว่า..
คุณจำธรรมได้..แล้วคุณเข้าใจธรรมนั้นแล้วหรือยัง

หากคุณเข้าใจธรรมนั้นแล้ว..คุณแจ้งในธรรมนั้นแล้วหรือยัง


หากเป็นบัณฑิต..จำได้ก็บอกว่าได้..เข้าใจก็บอกว่าเข้าใจ..แจ้งหรือไม่แจ้งเขาก็บอกด้วยความเป็นผู้อ่อนน้อม..อ่อนน้อมต่อความจริง..ต่อสัจธรรม..ต่างหากเล่า

ร่วงข้าวที่มีเม็ดจึงโน้มอ่อน..ฉันใด..ผู้เป็นบัณฑิตมีความอ่อนน้อมเป็นธรรมดา..ฉันนั้น
ร่วงข้าวไร้เม็ดจึงช่อชูไสว..ฉันใด..คนพาล..ก็ฉันนั้น


ความเป็นบัณฑิตของคุณเฉลิมศักดิ์..อยู่ตรงไหนหรือ??..

เห็นดีแต่เหยียบ..คนที่รู้พระหนังสือ..น้อยกว่าคุณ..จังเลย


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 23:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 05:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กบ..เขียน
ถ้าหากแสง..จากพระหนังสือ ..ทำให้จริตเป็นอย่างคุณ..เฉลิมศักดิ์

กบฯ..ขอบาย..

ถ้าคุณ..เฉลิมศักดิ์..รู้แค่นี้..กิริยาได้แค่นี้..อย่าไปอ้างว่าไปอ่านพระไตรปิฎก..อรรถกถา..ฎีกา..มาแล้วเลยครับ

ขอดี..เขาเสียหมด


อ้างคำพูด:
chalermsak เขียน:
คุณกบครับ อย่าได้ยึด พฤติกรรมของคน แล้วไปตัดสิน พระสัทธรรม จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา เลยครับ



อ้างคำพูด:
กบ เขียน
ผม..ไปบอกคุณตรงไหน..ว่า..พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา ไม่ดี

ผมว่า..เจ้ากิริยา..

ว่าตัวเก่ง..ว่าตัวรู้..กว่าใคร..เขา..แล้วไปเหมาว่า..ใครไปรู้แต่ตามอาจารย์..นั้น..มันยังต่ำเตี้ย..สู้รู้แบบข้าไม่ได้..

ของคุณ..ต่างหาก..ว่ามันไม่ดี..มันไม่น่าจะเอาเป็นแบบอย่างเลย..ซักกะนิด


คุณกบครับ ผมเกรงว่า คุณต่อว่า พระไตรปิฏก อรรถกถา อภิธัมมัตถสังคหะ หนังสือคัมภีร์ของเถรวาท ไม่ดี

เพราะอาศัย พฤติกรรมของบุคคลเช่นผม มาตัดสิน

ผมจึงเสนอว่า

อ้างคำพูด:
chalermsak เขียน:
คุณกบครับ อย่าได้ยึด พฤติกรรมของคน แล้วไปตัดสิน พระสัทธรรม จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา เลยครับ


ผมก็ไม่ได้ ชมตนเองว่าดีอะไร หรือ ติคุณกบว่าไม่ดีอย่างไร

เพราะ พื้นฐาน จริต นิสัย ของ คนมันต่างกัน

แต่อยากให้ทุกคน ศรัทธาในการฟังพระสัทธรรม จากพระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของเถรวาท

เพราะแม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่น กบ

เมื่อตั้งใจฟังพระสัทธรรม แม้ไม่เข้าใจ ก็เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดบนสุคติภูมิ ได้ศึกษา ฟังพระสัทธรรม ปฏิบัติธรรมจนบรรลุ มรรคผลนิพพาน ในชาติต่อ ๆ ไปเลยครับ


[บันเทิงธรรม]--สัตวโลกเห็นและบูชาพุทธะ
http://larndham.org/index.php?showtopic=32882&st=0&hl=


บันเทิงธรรม]--สัตว์โลกฟังพระสัทธรรม
http://larndham.org/index.php?/topic/32 ... ntry545943



[กบตัวหนึ่ง]
ได้ยินมาว่า ในพุทธสมัยของสมณโคดมณ์พุทธเจ้าทรงได้แสดงธรรมเทศนาโปรดเมืองจัมปานครอยู่ ณ ริมฝั่งสระโปกขรณีชื่อ คัคครา มีกบตัวหนึ่งได้ถือนิมิตในพระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาคย์เจ้าอยู่ บังเอิญคนเลี้ยงลูกโคคนหนึ่งได้จรดไม้พลองลง ได้จรดกดเอานั่นตรงที่ศีรษะ กบนั้นได้ถึงแก่ความตายลงในขณะนั้น แล้วได้บังเกิดอยู่บนวิมานทองสูง 12 โยชน์ในภพดาวดึงส์สวรรค์ ชื่อว่ามัณฑูกเทพบุตร ซึ่งเป็นเหมือนหลับแล้วตื่นขึ้นเห็นตนถูกล้อมด้วยหมู่นางอัปสวรรค์ในวิมานทองนั้น จึงได้พิจารณาดูว่า เอ! แม้เราก็ชื่อว่าได้มาบังเกิด ณ ที่นี่แล้ว เราได้สร้างกรรมอะไรมา มองไม่เห็นกรรมชนิดไหน นอกจากการถือเอานิมิตในพระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาคย์เจ้านั้น มัณฑูกเทพบุตรนัน้จึงได้เหาะมาพร้อมทั้งวิมาน กราบนมัสการพระยุคบาทของพระผู้มีพระภาคย์นั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า ใคร? รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ ด้วยยศ มีผิวพรรณอันงามยิ่งบันดาลทิศทั้งปวงให้สว่างไสวอยู่ นมัสการเราอยู่มัณฑูกเทพบุตรกราบทูลว่า ในชาติก่อน ข้าพระองค์ได้เป็นกบ อยู่ในน้ำ มีน้ำเป็นทางโคจร ขณะนั้นข้าพระองค์ฟังธรรมของพระพุทธองค์ ได้โดนคนเลี้ยงโคฆ่าแล้วจากนั้นพระผู้มีพระภาคย์ทรงได้แสดงธรรมเทศนาแก่มัณฑูกเทพบุตร ธรรมาภิสมัยคือ การตรัสรู้ธรรม ฝ่ายเทพบุตรได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ยิ้มแย้มกลับไป.

--------------------------------------------------------
อ้างคำพูด:
กบ เขียน
เห็นดีแต่เหยียบ..คนที่รู้พระหนังสือ..น้อยกว่าคุณ..จังเลย


แม้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ผมก็ไม่เคยดูถูกครับ อาจจะมีบุญ บารมีที่สั่งสมมา มาก ๆ อนาคตเขาอาจไปเกิดดีกว่าเราก็ได้

ส่วน คุณกบ หรือ ผม หรือ คนสมัยนี้ อนาคต อาจจะไปเกิดเป็น สัตว์เดรัจฉานได้ ดังพระพุทธพจน์


อีกครั้งครับ คุณกบ โกรธ เกลียด ผมได้ แต่อย่าเอาไปตัดสิน อย่างอื่น เช่น พระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของเถรวาท เป็นต้น

viewtopic.php?f=2&t=21062
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่เกิดบนบกมีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เกิด
ในน้ำมากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่กลับมาเกิดในมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่กลับมา
เกิดในกำเนิดอื่นจากมนุษย์มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่เกิดในมัชฌิมชนบทมีเป็นส่วน
น้อย สัตว์ที่เกิดในปัจจันตชนบท ในพวกชาวมิลักขะที่โง่เขลา มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่มีปัญญา ไม่โง่เง่า ไม่เงอะงะ สามารถที่จะรู้อรรถแห่งคำเป็นสุภาษิต และ
คำเป็นทุพภาษิตได้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เขลา โง่เง่า เงอะงะ ไม่สามารถที่
จะรู้อรรถแห่งคำเป็นสุภาษิต และคำเป็นทุพภาษิตได้มากกว่าโดยแท้


คุณกรัชกาย คงไม่ว่าผมนะครับ ได้ฟังอะไรมาก็นึกถึงแต่ พระไตรปิฏก อรรถกถา และเหตุการณ์ของพระวิปัสสนาจารย์ผู้ทรงพระไตรปิฏก

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 06:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กบ..เขียน
ถ้าหากแสง..จากพระหนังสือ ..ทำให้จริตเป็นอย่างคุณ..เฉลิมศักดิ์

กบฯ..ขอบาย..

ถ้าคุณ..เฉลิมศักดิ์..รู้แค่นี้..กิริยาได้แค่นี้..อย่าไปอ้างว่าไปอ่านพระไตรปิฎก..อรรถกถา..ฎีกา..มาแล้วเลยครับ

ขอดี..เขาเสียหมด




อ้างคำพูด:
chalermsak เขียน:
คุณกบครับ อย่าได้ยึด พฤติกรรมของคน แล้วไปตัดสิน พระสัทธรรม จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา เลยครับ



คุณกบครับ กรรมที่ไปขัดขวางการศึกษา การฟังพระสัทธรรม การปฏิบัติวิปัสสนา ของบุคคลอื่น เป็นอกุศลกรรมหนักมาก ๆ

หรือ การแสดงความเห็น ที่ทำทำลายพระสัทธรรม

ถ้าจะเกลียด ความเห็นผมก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมยังเป็นปุถุชน ผู้หนาแน่นด้วยกิเลส เป็นคนพาลมีใจขุ่นมัวอยู่

แต่ไม่อยากให้ใคร หันหลังให้พระสัทธรรม เพราะพฤติกรรมของผม ครับ

35-พระจูฬปันถกเถระ
เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ

http://www.84000.org/one/1/35.html

ปัญญาทึบพี่ชายไล่สึก

-----------------------------------------------
http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard ... opic=10729


บุพกรรมที่ทำให้พระจูฬปันถกท่องจำไม่ได้นั้นก็เพราะว่า ในศาสนาของพระกัสปปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระจูฬบันถกเป็นผู้มีปัญญาดีได้บวชเป็นภิกษุในศาสนานั้น มีภิกษุอีกรูปหนึ่งเป็นคนเขลาได้พยายามท่องปริยัติธรรมอยู่ พระจูฬปันถกเห็นเข้าก็หัวเราะเยาะในความไม่แตกฉาน ทำให้ภิกษุนั้นเกิดความละอายจึงเลิกเรียนไป เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น จึงทำให้พระจูฬปันถกเป็นผู้เขลาในกาลบัดนี้

(ตรงนี้ท่านอาจารย์ได้เน้นให้เกิดความกลัวบาปอีกครั้งหนึ่งว่า จะเห็นว่าท่านจูฬบันถกในสมัยนั้นเพียงแต่หัวเราะเยาะผู้อื่นเท่านั้น ยังทำให้ได้รับผลถึงขนาดนี้ ถ้าคนที่ได้อ่านพระสูตรแล้ว ก็จะเห็นว่า บาปแม้แต่น้อยนิดก็ยังให้ผลได้ และชีวิตก็อยู่ยากจริงๆ เพราะทำอะไรผิดพลาดได้ง่าย)

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




2blq1b7.gif
2blq1b7.gif [ 58.97 KiB | เปิดดู 4871 ครั้ง ]
คุณเฉลิมศักดิ์หายไปไหนขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร