วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 09:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 21:03
โพสต์: 6

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมปฏิบัติมาได้หนึ่งปีแล้วครับ แต่ไม่ค่อยก้าวหน้า ไม่เคยมีนิมิตรหรือเห็นอะไรกับเค้าเลยครับ
แต่ตอนนี้ผมมีปัญหาติดขัดสภาวะธรรมนิดนึงครับ คือว่า ตอนนี้ เดินจงกลมหรือนั่งสมาธิง่วงตลอดครับ ระหว่างนั่งสมาธิ มีแบบฝันด้วยครับ พอได้เวลากริ่งนาฬิกาดัง ก็ลืมตาแผ่เมตตา แต่พอเวลานอนนอนไม่หลับครับผม จะแก้ยังไงดีครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต


โมคคัลลานสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... =1873&B=23


[๕๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าเภสกลา มิคทายวันใกล้สุงสุมารคีรนคร
แคว้นภัคคะ

ก็สมัยนั้นแล ท่านมหาโมคคัลลานะนั่งโงกง่วงอยู่ ณ บ้านกัลลวาลมุตตคาม
แคว้นมคธ

พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะนั่งโงกง่วงอยู่
ณ บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุมนุษย์

ครั้นแล้วทรงหายจากเภสกลามิคทายวัน ใกล้สุงสุมารคีรนคร แคว้นภัคคะ
เสด็จไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ณ บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น

พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดแล้ว
ครั้นแล้วได้ตรัสถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า
ดูกรโมคคัลลานะ เธอง่วงหรือ
ดูกรโมคคัลลานะ เธอง่วงหรือ
ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

ดูกรโมคคัลลานะ เพราะเหตุนั้นแหละ
เมื่อเธอมีสัญญาอย่างไรอยู่ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้
เธอพึงทำไว้ในใจซึ่งสัญญานั้นให้มาก ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้าเธอยังละไม่ได้ แต่นั้น
เธอพึงตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตนได้สดับแล้วได้เรียนมาแล้วด้วยใจ
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้ายังละไม่ได้
แต่นั้นเธอพึงสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาแล้วได้เรียนมาแล้วโดยพิสดาร
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้ายังละไม่ได้
แต่นั้นเธอพึงยอนช่องหูทั้งสองข้าง เอามือลูบตัว
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้ายังละไม่ได้
แต่นั้นเธอพึงลุกขึ้นยืน เอาน้ำล้างตา เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้


ถ้ายังละไม่ได้
แต่นั้นเธอพึงทำในใจถึงอาโลกสัญญา
ตั้งความสำคัญในกลางวัน ว่ากลางวันอย่างไร กลางคืนอย่างนั้น
กลางคืนอย่างไร กลางวันอย่างนั้น มีใจเปิดเผยอยู่ฉะนี้ ไม่มีอะไรหุ้มห่อ
ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิด
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้


ถ้ายังละไม่ได้
แต่นั้นเธอพึงอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา
สำรวมอินทรีย์ มีใจไม่คิดไปในภายนอก

ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้ายังละไม่ได้
แต่นั้นเธอพึงสำเร็จสีหไสยา คือนอนตะแคงเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า
มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอันจะลุกขึ้น พอตื่นแล้วพึงรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า
เราจักไม่ประกอบความสุขในการนอน ความสุขในการเอนข้าง ความสุขในการเคลิ้มหลับ

ดูกรโมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ


(ยังมีต่อ)
(แต่ไม่เกี่ยวกับการแก้ความง่วง สามารถตามลิงก์ไปอ่านพระสัตตันตปิฏกได้ครัีบ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ยังมีอุบายอื่นที่เคยฟังมานะครับ ลองเอาไปพิจารณาดู

1. กินให้น้อยลง
2. ง่วงก็นอนให้อิ่ม

3. ต้องมีวินัยในการดำเนินชีวิต
เช่นกินนอนขับถ่ายให้เป็นเวลาที่แน่นอน
สำหรับผมเอง ขอบอกว่าข้อนี้สำคัญที่สุด

เมื่อก่อนผมไม่มีวินัยหรอก ง่วงนอนไม่เป้นเวลาเลย
แต่มีเหตุบังคับให้ต้องเป็นเวลา คือทำงานประจำ เลยเป้นการบังคับไปในตัว
สองเดือนแรก ยังง่วงอยู่ ไม่เป้นเวลา ตกบ่ายมา หลับกลางอากาศเลย
ล่วงเดือนที่สามไปแล้ว หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ไม่ถึงเวลานอน ก็ไม่ง่วง ถึงเวลานอนก็นอน

มันใช้เวลาหน่อยนึงในการปรับให้นาฬิกาชีวิตมันเป็นปกติ
อย่างพระสงฆ์นี่ พระพุทธเจ้าบังคับวินัยให้กินนอนเป็นเวลา
ถึงจะภาวนาได้ดี
วินัยสำคัญมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 21:03
โพสต์: 6

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณครับ

เรียนให้ทราบอย่างนี้ครับ คือเมื่อก่อนผมไม่ง่วงนะครับ ปฏิบัติได้ดี เพิ่งมาเป็นช่วง เดือนนี้เองครับ คือผมปฏิบัติเองแบบงู ๆ ปลา ๆ หน่ะครับ หาอ่านหนังสือเอาเล่มไหนว่าดี เอาตามนั้น ตอนแรกก็สติปัฎฐาน 4 ของหลวงพ่อจรัญ ตอนหลังไปอ่านของพระอาจารย์ปราโมช ให้ดูจิตผมก็ฝึกดูจิต ตอนนี้เดินลงบันได หรือ ขึ้นบันได ก็มักจะปรากฎคำว่า ยกเหยียบ ขึ้นมาเอง หน่ะครับ รู้สึกว่าผมเพิ่งเริ่มฝึกแบบพระอาจารย์ปราโมช เดือนนี้แหละ และก็เริ่มที่จะนอนไม่หลับเดือนนี้แหละครับผม เหมือนจิตตื่นตลอดเวลาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


น่าจะลองฟังเทศน์หลวงพ่อมากกว่านี้นะครับ แล้วเด๊่ยวเจอคำตอบเอง
เคยมีคนกราบถามแหละ ผมเคยฟัง แต่ผมจำไม่ได้ น่าจะมีวิธีแก้อยู่


อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ..คือที่คุณใช้คำว่า "จิตตื่น" คำนี้หลวงพ่อบัญญัติขึ้นมาเอง
คือหมายถึงมีสติขึ้นมา มีความตั้งมั่นแห่งจิตขึ้นมา มีสติ มีสัมมาสมาธิ ท่านเรียกว่า"จิตตื่น"
แต่ตื่นที่คุณอธิบายมันเป็นตื่นแบบวิริยะมากไป ตื่นเครียดน่ะ ประมาณ alert
ถ้ามันแข็งๆ มันไม่ใช่ตื่นแล้วล่ะ
ตื่นต้องเบา สบาย ไม่แข็ง ไม่เครียด ว่องไวกระฉับกระเฉง
สภาวะจริงๆมันรู้สึกเบาๆวับๆขึ้นมาเท่านั้นเอง
ลองลดๆลงดูบ้าง อาจจะทำมากไป

หรือลองปรับไปใช้กรรมฐานแบบอื่นๆสายอื่นๆลองดูว่าเหมาะกับแบบไหน
อันที่เหมาะ หมายถึงว่ามันจะทำง่ายขึ้น สบาย ไม่เครียด"เกินไป"
หย่อนไม่ดี ตึงไม่ดีนะ อย่าโน้มไปทางหย่อนหรือตึงให้เกินไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.:b8: :b8: :b8:.

คล้าย ๆ เคยได้ยินพระท่านว่า

"บางครั้ง คนเราเจ็บป่วยแล้วรักษาไม่ดีขึ้น ไม่ใช่เพราะไม่กินยา

แต่อาจกินยาไม่ถูกโรค หรือ ไม่ถูกวิธีกิน

ยาบางชนิด ถูกกับอีกคนหนึ่ง แต่อาจไม่ถูกกับอีกคนหนึ่ง

ยาบางชนิด ถูกกับอีกโรคหนึ่ง แต่อาจไม่ถูกกับอีกโรคหนึ่ง

กินยามาเป็นปี ไม่ดีขึ้น หมอจะดูว่า กินยาอะไร กินแบบไหน

ตรวจดูยาใหม่ ดูวิธีกินใหม่

พระพุทธเจ้าทรงมอบยาไว้หลายอย่าง เพราะโรคเกิดหลายสาเหตุ

ดูนิสัยใจคอ ชนิดกรรมฐานที่ทำ และวิธีทำแล"


ในนี้ มีหมอยาเยอะ บอกเขาละเอียดนิดนึง

:b53:

โอมฺ มณีปทฺเม หุมฺ

หลวงจีนงมงาย


.:b42: :b42: :b42: .


แก้ไขล่าสุดโดย หลวงจีนงมงาย เมื่อ 24 ม.ค. 2010, 22:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 22:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ทีนี้ เห็นเค้าแล้ว เคยเห็นเขารักษากัน อาการแบบนี้

พระท่านบอกปรับอินทรีย์ให้สมดุล

ปรับยังไง แบบไหน

ในนี้มีผู้รู้ที่เมตตาเยอะ ท่านจะบอกเรา คอยนะ


:b53:

โอม มณีปทฺเม หุมฺ

หลวงจีนงมงาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2010, 01:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณทำสมาธิมาปีนึงแล้ว แสดงว่าใช้ได้เรื่องความเพียรค่ะ แต่ที่คุณยังไม่ได้อะไร เพราะคุณมีกิเลส "ความหวัง" ค่ะ ยิ่งมีกิเลส เวลายิ่งยืดออกไป

จุฬาภินันท์ก็ฝึกแบบไม่รู้อะไร ไม่คิดจะมีอาจารย์ที่ไหน รู้แต่สมาธิคืออะไร ก็ฝึกไปที่ลมหายใจ ฟังเพลงชินบัญชรด้วยซ้ำ เอาความคิดไปอยู่ที่เนื้อเพลง สมาธิมันก็เกิดเอง เพลงเพราะด้วยกล่อมให้ความรู้สึกเราสบาย จุฬาภินันท์ได้ปัญญาธรรมแล้ว ไม่หวงลิขสิทธิ์ค่ะ

การทำสมาธิทำแค่กำหนดลมหายใจนะคะ เอาความคิดไปอยู่ที่ลมหายใจให้หมด บังคับมัน อย่าแล่อยให้ลอย คุณง่วงเพราะคุณปล่อยให้ความคิดคุณลอยนั่นแหละค่ะ เหมือนเหม่อ เพราะนั่นคุณมัวแต่รอ รอว่าจิตคุณจะเกิดอะไร

อานาปานสติค่ะ กำหนดลมหายใจเท่านั้น ที่จะทำให้มีสมาธิจิตนิ่ง คุณเพียรมาได้ปีนึงแล้ว ทำต่อค่ะ อย่าท้อ สำคัญคือ อย่าหวัง อย่าวาดภาพไปเองว่าจะได้นิมิตร เห็นอะไรไม่เห็นอะไรก็ปล่อยไป เอาความคิดมาอยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียวค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2010, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 21:03
โพสต์: 6

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ขอบคุณครับ คุณชาติสยาม คุณหลวงจีนงมงาย คุณchulapinan วันนี้ผมมีโอกาสได้กลับบ้านเร็ว ผมเลยนอนก่อน 1.30 ชม. ตื่นแล้ว ผมมาเดินจงกลมและนั่งสมาธิ วันนี้ผมไม่หลับครับ เดินจงกลมได้ดี นั่งสมาธิก็ไม่หลับ สมองโล่งดีมากครับผม ผมสงสัยว่าผมคงอาจจะมีความตั้งใจมากไป เหมือนที่ คุณ chulapinan ว่าครับผม แต่ผมอยากบอกนิดนึงครับผม คือผมไม่เคยหวังจะเห็นอะไรกับเค้าหรอกครับเท่าที่ทุกวันนี้ ที่ผมได้รับจากการปฏิบัติธรรมผมก็รู้สึกเป็นหนี้พระพุทธองค์มากแล้วครับผม เมื่อก่อนผมไม่เคยมีศีล 5 กับเค้าเลยครับผม ไม่มีแม้แต่ข้อเดียวครับผม ตั้งแต่ผมเริ่มปฏิบัติธรรม ผมค่อยมีศีลขึ้นมาทีละข้อ สองข้อ จนทุกวันนี้ ศีล 5 ผมมีครบถ้วนครับผม เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ศีล 5 ยากแท้แต่ไม่ทำ ผมได้ประจักษ์ด้วยตัวผมเอง ผมมีสติมากขึ้น ขี้ลืมน้อยลง โกรธก็น้อยลง มีความอยากได้อะไร น้อยลงเยอะมาก ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น เมื่อก่อนผมกับแฟนทะเลาะกันบ่อย เพราะผมขี้หึงหน่ะครับผม ผมหึงเค้าทั้ง ๆ ที่เค้าก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะนอกใจผมเลย ขนาดหึงเค้า แต่ก็แอบนอกใจเค้าด้วย (นอกใจของผมคือนอกใจจริง ๆ ครับไม่ได้นอกกาย แอบปันใจให้สาวคนอื่นหน่ะครับ แต่ไม่เคยไปสัมผัสกายสาวคนอื่นนะครับ คืออาจมีพาสาวไปทานข้าว ดูหนังบ้างหน่ะครับผม) ผู้หญิงสมัยนี้ก็แปลกอยู่นะครับ คือผมเองก็บอกนะครับว่าผมมีภรรยาแล้ว แต่เค้าก็ไม่ถือสา คืออาจเพราะผมก็ไม่ได้ขี้เหร่มากก็อาจเป็นได้ครับผม หรืออาจเป็นเพราะสุภาพบุรุษทุกวันนี้หายากก็ได้ครับผม ผมก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงเหล่านั้นหวังอะไรจากผม เพราะผมก็ไม่ได้ให้อะไรเค้า ก็แค่เลี้ยงข้าวบ้าง เลี้ยงหนังบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมาย และเธอเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีการศึกษาที่ดี แต่ทุกวันนี้ผมก็พยายามถอยห่าง จนห่างออกมาสุดแล้วครับผม จนตอนนี้ผมมีศีล 5 ครบถ้วนบริบูรณ์ดีมากครับผม ขอบคุณทุกท่านมากครับ ถ้าผมติดขัดอะไรหรือมีสิ่งใดที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้างผมจะมาเล่าให้ฟังใหม่ครับผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 21:03
โพสต์: 6

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัยด้วยครับผม เกี่ยวกับพระอาจารย์ปราโมช ผมมิได้จะโทษว่าปฏิบัติตามวิธีของท่านแล้วทำให้ง่วงนะครับผม เดี๊ยวคนอื่น ๆ มาอ่านพบแล้วจะเข้าใจผมผิด แต่อาจจะเป็นเพราะผมไปฟังเทศก์ท่านมาแล้วเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า ก็เลยออกจะปฏิบัติเข้มไปเลยทำให้เกิดอาการเช่นนั้นครับผม ตอนนี้ช่วงเดินจงกลมและนั่งสมาธิผมก็ทำแบบเดิม แต่เวลาอยู่ว่าง ๆ ก็ค่อยดูจิต ไปเรื่อย ๆ ครับผม ผมก็ดีขึ้นครับ 2 วันนี้ไม่หลับเลยครับผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับผม...อาจจะเป็นอีกหนึ่งคำแนะนำ ที่คล้ายหรือเหมือนกับที่หลายๆท่านได้ตอบแล้ว
1. ให้ถามตัวคุรเองก่อนว่า "คุณได้ทำการเจริญสมาธิด้วยเหตุอันใด" ?
แน่นอนครับหลายคนเคยได้ยิน ได้ฟังมาว่าคนนั้นทำสมาธิแล้วเขาได้ไปเห็นนรกบ้าง เห็นสวรรค์บ้าง
ไปเห็นนางฟ้าที่สวยงามบ้าง ได้เห็นสิ่งที่คนทั่ไปไม่เห็น อ่านใจคนอื่นได้บ้าง เห็นเหตุการณ์ต่างๆล่วงหน้าได้บ้าง... เห็นตัวของตัวเองอีกตัวหนึ่ง...
อันนี้แล้วแต่บุญญาวาสนาของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมาครับ แม้แต่ผู้ปฏิบัติแต่ล่ท่านเองยังได้พบพานสิ่งต่างๆที่ไม่เหมือนกันเลยครับ
ถ้าท่านทำด้วยความอยากท่านยิ่งจะไม่พบพานสิ่งที่ท่านอยาก(แม้จะเป็นกุศลกิเลสก็ตาม)
ที่ท่านทำนั้นท่านได้พบแล้วอย่างน้อยหนึ่งสิ่งแน่นอน แต่ท่านไม่ได้คำนึงถึง
1. ทุกข์ ครับทุกข์เบื้องแรกของผู้ปฏิบัติคือทุกข์ทางกาย ท่านรู้สึกเจ็บขา ปวดขาบ้างหรือไม่เมื่อเริ่มปฏิบัติ นี่ล่ะครับที่พระพุทธเจ้าสอน
ให้ท่านเข้าไปดูความทุกข์นั้นก่อนในขณะที่ท่านปฏิบัติ แล้วสิ่งอื่นๆ จะตามมาเองครับ ได้โปรดอย่าท้อนะครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างมีบทพิสูจน์ มีบททดสอบเสมอ ไม่มีผู้ใดที่จะก้าวขึ้นไปสู่ด้านบนได้ โดยไม่ต้องเริ่มจากด้านล่งก่อน เปรียบดุจการขึ้นบรรได ต้องก้าวขึ้นไปทีละขั้น เราจะก้าวทีเดียวเพื่อให้ขึ้นไปอยู่ด้านบนเลยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ครับ
ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ ก้าวหน้าประการใดเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามดูรู้ ทรงดูรู้ ขับเคี่ยวกับการรับรู้เกินไป เมื่อมีอะไรจับจด รู้อาการ ก็เหมือนว่าไปบล็อคอาการไว้ ยิ่งเพิ่มดีกรีของมัน อย่างเมื่อมีนิวรณ์ ง่วง ก็มาทรงอาการนี้ ก็จะลงหลับเลย หรืออย่างหนึ่งท่านเรียกว่ามี สติ ขาดสัมปชัญญะ ความทั่วพร้อม ตื่นเบิก บานของจิต มันจึงไม่ใช่ มาทรง ดำเนิน มุ่งดู มุ่งรู้แบบนี้ หากจะพูดถึงเนื้อหาวิปัสนา หมายถึงการตรัสรู้ ไม่ติดรู้ ไม่ยึดรู้ ปลงรู้ วางรู้ ไร้ตัวไร้ตนในรู้ ไม่อะไรกับอะไรกับธาตุตามธรรมชาติ ไม่ซ้อนตัวตนลงไปในธรรมชาติ จะรู้หรือไม่รู้ จะวิชาหรืออวิชาก็ไม่เกี่ยว สรุปตรงๆที่ปลง วาง จึงจะไม่ไปติด ไปตัน ในสภาวะธรรมทั้งหลาย ทะลุ ทะลวง ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา ในธรรมทั้งหลาย ที่วาง ว่าง ไม่เป็นเหตุ หรือนิพพานอยู่ก่อนเองแล้ว
ที่ดำเนินตามดูรู้อยู่นี้เรียกว่า อวิชา ซ้อนในวิชา วิชาจริงๆคือไม่ยึดติดหรือปลง วาง ว่าง ไม่ใช่ให้ยึดติดหรือเอา มี เป็น ได้ อะไร

ขอเชิญศึกษาธรรมบรรลุฉลับพลัน จบโลก จบธรรม จบกรรม การปฏิบัติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จ.เลย ที่บอร์ดสนทนาทั่วไปขอรับ หรือ http://www.rombodhidharma.com/


ขอให้ท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 23:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ยังมีอุบายอื่นที่เคยฟังมานะครับ ลองเอาไปพิจารณาดู
1. กินให้น้อยลง
2. ง่วงก็นอนให้อิ่ม
3. ต้องมีวินัยในการดำเนินชีวิต
เช่นกินนอนขับถ่ายให้เป็นเวลาที่แน่นอน
สำหรับผมเอง ขอบอกว่าข้อนี้สำคัญที่สุด
เมื่อก่อนผมไม่มีวินัยหรอก ง่วงนอนไม่เป้นเวลาเลย
แต่มีเหตุบังคับให้ต้องเป็นเวลา คือทำงานประจำ เลยเป้นการบังคับไปในตัว
สองเดือนแรก ยังง่วงอยู่ ไม่เป้นเวลา ตกบ่ายมา หลับกลางอากาศเลย
ล่วงเดือนที่สามไปแล้ว หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ไม่ถึงเวลานอน ก็ไม่ง่วง ถึงเวลานอนก็นอน
มันใช้เวลาหน่อยนึงในการปรับให้นาฬิกาชีวิตมันเป็นปกติ
อย่างพระสงฆ์นี่ พระพุทธเจ้าบังคับวินัยให้กินนอนเป็นเวลา
ถึงจะภาวนาได้ดี
วินัยสำคัญมาก


ท่านชาิติครับไม่ได้เจตนาให้เกิดวิวาทะแต่เพื่อประโยชน์ของ จขกท ที่ท่านเล่ามาเป็นเรื่องการดำรงชีวิตประจำวันมากกว่าหรือเปล่า ถ้าท่านเคยทำสมถะหรือวิปัสสนาแบบหลวงพ่อจรัญนี่แหละ บทมันจะง่วงทำยังไงมันก็ง่วง ต่อให้นอนตรงเวลาเพียงใด กินน้อย นอนอิ่มอย่างไร


ถ้าง่วงก็ควรจะเปลี่ยนเป็นเดิน แล้วก่อนนั่งก็ต้องเดินก่อนมากๆ ด้วย

อ้างคำพูด:
ตอนหลังไปอ่านของพระอาจารย์ปราโมช ให้ดูจิตผมก็ฝึกดูจิต ตอนนี้เดินลงบันได หรือ ขึ้นบันได ก็มักจะปรากฎคำว่า ยกเหยียบ ขึ้นมาเอง หน่ะครับ รู้สึกว่าผมเพิ่งเริ่มฝึกแบบพระอาจารย์ปราโมช เดือนนี้แหละ แ


ทำไมเปลี่ยนแนวซะละครับท่าน จขกท จิตมันก็เริ่มกำหนดไปเองดีแล้ว เปลี่ยนไปดูจิตซึ่งเป็นนามธรรม ทั้งที่ยังไม่ชำนาญในรูปเลยมันจะดีหรือ ขอให้ท่านจขกท ลองเปรียบเทียบดูว่าในรูปแบบของหลวงพ่อจรัญกับ พระอาจารย์ปราโมช รูปแบบไหนสติเิกิดได้ต่อเนื่องมากกว่ากัน รูปแบบไหนสติเกิดแบบอิมพัลล์ คือเป็นช่วง แล้วการปฏิบัติที่สติเกิดต่อเนื่องดุจสายน้ำมันเป็นหลักการปฏิบัติที่ถูกใช่หรือไม่

อ้างคำพูด:
ละก็เริ่มที่จะนอนไม่หลับเดือนนี้แหละครับผม เหมือนจิตตื่นตลอดเวลาครับ

นอนน้อยหรือนอนไม่หลับครับ แล้วเพลียหรือเปล่าถ้าไม่เพลียก็ไม่เป็นไรนะครับ

อ้างคำพูด:
ลองลดๆลงดูบ้าง อาจจะทำมากไป


นั่น ท่านชาติ จขกท เขากำลังไปดีท่านแนะให้ลดอีก Onion_L ถามจิงนะท่านตัวท่านเองเคยทำจนไม่หลับหรือไม่ แล้วแก้อย่างไร แล้วทำไมจึงแนะนำให้ จขกท ลด ขอเหตุผลประกอบด้วยนะครับ
คิดเอา หรือจากประสบการณ์ตรง ตอบตามความเข้าใจมานะครับอย่าให้ไปฟัง ซีดี เหมือนแนะนำท่าน จขกท ซึ่งไม่ต่างอะไรกับแนะนำให้ไปอ่านพระไตรปิฏก คือไม่รู้ว่าจะไปอ่านไปฟังตรงไหนดี แล้วที่ไปฟังไปอ่านนั้นมันใช่ปัญหาของเราที่กำลังเจออยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้

เจริญธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 02 ก.พ. 2010, 23:55, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 20:24
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: ทำสมาธิ ถ้าง่วงแสดงว่าไม่มีสมาธิ ถ้าจิตมีสมาธิดี ความง่วงไม่รบกวน ถ้าง่วงทนไม่ไหว ก็ลุกเดินก็ได้หายง่วงก็ทำต่อ อย่าหักโหมบีบบังคับตัวเอง พยายาม อย่าเร่งรัด ค่อยๆทำไป อนุโมทนาค้าบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอายะ
มีคำเดียวนะ

นานาจิตตัง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร