วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 426 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 23, 24, 25, 26, 27, 28, 29  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2015, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
student เขียน:
เมื่อเรากำหนดรู้ เรากำหนดรู้อะไร ถ้าไม่มีบัญญัติคำว่าขันธ์5 เราจะสานต่อธรรมกันได้ไหม


จะรู้หรือไม่รู้เกี่ยวกับขันธ์ ๕
สภาพธรรมต่างๆ ย่อมดำเนินไปตามเหตุและปัจจัย


ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเรา ที่มีต่อผัสสะ




พระราธะ

http://www.dharma-gateway.com/monk/grea ... -ratha.htm


อนุโมทนาครับคุณ walaiporn
สีน้ำเงินคือ ผู้ที่พิจารณาด้วยปัญญา คือผู้ดำรงตนด้วยมรรค
ผู้ที่หลงไปกับผัสสะ ย่อมเป็นผู้ที่คลำทางเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2015, 22:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้กายใจ เมื่อถึงระดับหนึ่งพลังที่สะสมทั้งกายและจิตจะคลายออกมา ซึ่งก็คือการคลายสนามพลังของนิวรณ์ ส่งผลให้แรงเกาะกุมของรูปนามแยกออกเป็นส่วนย่อย จิตจึงเข้าสู่ความสงบ ในบางช่วงจะมีการตกภวังค์ หรือร่างกายกระตุก อย่างใดอย่างหนึ่ง หรืเกิดทั้ง2อย่างต่อเนื่องกันโดยส่วนใหญ่ จิตจะตกภวังค์ก่อนจึงกระตุก ลักษณะนี้คือธรรมชาติของรูปนามคือมีการเกิดดับ ปรากฏการณ์ของร่างกายในช่วงนี้ จะเกิดความแปลกแยกความรูสึกทางกายกับจิต กล่าวคือบ้างรูสึกกายยืดสูงขึ้น บ้างเหมือนหันหน้าเปลียนทิศ ทั้งที่ยังนั่งที่เดิม บ้างรู้สึกตัวโยก และหากสมาธิแรงร่างกายจะโยกตามจิต ที่เป็นเช่นนี้เพราะสมาธิแรง หรือก็คืออุปกิเลส10 เกิดในช่วงสัมสนญาณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2015, 08:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่กล่าวว่าการกระตุกและการงูบเป็นความเกิดดับนั้น ต้องเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดในขณะปฏิบัติธรรม และเกิดบ่อยๆ และขณะเกิดไม่ได้ง่วง อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ดังกล่าวยังเป็นความเกิดดับอย่างหยาบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2015, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน อุบายในการละผัสสะ ที่เกิดขึ้น
ไม่ควรใส่อะไรๆลงไปในสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้น(ผัสสะ)


เพราะผัสสะที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของเหตุและปัจจัยที่มีอยู่ของผู้นั้น
ที่มีเกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตและขณะที่จิตเป็นสมาธิ

ล้วนเป็นความปกติที่มีเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เรียกว่า ผัสสะ

ควรกระทำใจไว้โดยความแยบคาย(โยนิโสมนสิการ)


๙๓] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็น
ทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา

เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา

เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.

เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ทิฏฐิเป็นไปตามส่วนเบื้องต้น (อดีต) ย่อมไม่มี
เมื่อทิฏฐิเป็นไปตามส่วนเบื้องต้นไม่มี ทิฏฐิเป็นไปตามส่วนเบื้องปลาย (อนาคต) ย่อมไม่มี
เมื่อทิฏฐิเป็นไปตามส่วนเบื้องปลายไม่มี ความยึดมั่นอย่างแรงกล้า ย่อมไม่มี.

เมื่อความยึดมั่นอย่างแรงกล้าไม่มี จิตย่อมคลายกำหนัดในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

เพราะหลุดพ้น จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม
เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น

ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี.



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 025&Z=1041

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2015, 20:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การเกิดดับย่อมสลายการเกาะกุมของรูปออกปลดปล่อยพลังงานออกมา ช่วงแรกสิ่งที่คลายออกจะไม่เป็นระเบียบ แต่เมื่อสภาพธรรมอย่างหยาบคลายออกแล้ว สิ่งที่คลายออกในช่วงต่อมาจะสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของสภาวะ กรณีเกิดความเจ็บปวด และเมื่อสัมผัสรู้ความเจ็บปวดสลายออก จะสังเกตความรู้สึกทางใจที่หงุดหงิดจากความเจ็บปวด ซึ่งจริงแล้วความรู้สึกทางใจจะสร้างสารอืนทรีย์เคมีทางกายเสมอเป็นความสัมพันธ์ทางกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2015, 00:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ

การนั่งสมาธิในช่วงนี้ก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ

แต่ในสภาวะทั่วไปก็พยายามสร้างความเห็นตามความเป็นจริงกับธรรมทั้งหลาย

เกิดดับเป็นเรื่องธรรมดา
เป็นทุกข์

ไม่เที่ยง

เป็นอนัตตา

แล้วมีสติกับธรรมตรงหน้าให้มากที่สุด

ธรรมดาของน้ำย่อมไหลลงสู่ที่ตำ่ อารมณ์ที่เกิดก็ต้องระมัดระวัง

เหล่านี้คือชีวิต

ต่อโอกาสหน้าครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2015, 01:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ใจปรับจิต

จิตดูธรรมด้วยปัจจัยในเหตุผล

ใจพิจารณาธรรม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2015, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสงบเกิดขึ้นเพราะความตั้งจิต

ให้เห็นธรรมทั้งปวงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ด้วยการพิจจารณานามรูป หรือขันธ์5เป็นหลัก

ให้เห็นความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา

เมื่อใช้ความเห็นนี้เพ่งธรรม ก็จะเป็นธรรมที่เป็นไปตามสัจธรรม

ไม่ยึดถือ และวางลง จิตใจเราก็จะสงบ อย่างมีความเห็นถูกครับ

ต่อโอกาสหน้าครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2015, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลานั่งสมาธิ จะชอบพิจารณา (รวมทั้งเดิน) มีธรรมเพราะเหตุปัจจัยมากมายให้พิจารณาจากขันธ์5นี่แหละ

ตัวเรากับขันธ์5นี่เหมือนกันไหม ตัวเราคือความคิดที่เป็นอัตตา คือละความเป็นบุคคลตัวเราตัวเขาไม่ได้เพราะไม่ได้พิจารณาเหตุปัจจัย

ขันธ์5คือ แจกแจงลงมาเพราะขันธ์5คือสังขารที่มีใจครอง ขันธ์5จึงเป็นอนัตตา เพราะมีเหตุปัจจัย

วกกลับมาที่การกำหนดรู้ธรรมที่ทำให้เกิดการพิจารณา ธรรมที่ปรากฎให้พิจารณานั้นเป็นอนัตตาอยู่แล้ว ไม่มีอัตตา เพราะอารมณ์เราเข้าใจในธรรมที่ปรากฎ ผมเคยสนทนากับพระรูปหนึ่ง สายมหานิกาย ท่านบอกว่าขันธ์5เป็นอัตตาเพราะผู้ปฎิบัติไม่ได้ละ คือความหมายของคำที่พระพูดคงจะหมายถึง หากยังปรากฎหนาวเย็น แข็งอ่อน เจ็บปวดเวทนาต่างๆ แสดงว่าจิตยังยึดถือไม่ปล่อยวาง ต้องละขันธ์5แล้ว เพ่งอริยสัจ4 ดับวิตก วิจารณ์ จึงจะเห็นเป็นอนัตตา ประมาณนี้

อย่างไรก็ตาม การยึดเอาธรรมมากำหนดรู้ต้องดูตัวขันธ์ คือ นาม หรือรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเป็นธรรมชาติของจิต จนกว่าจะตกภวังค์จากการนอนหลับ หรือตายจากโลกนี้ไปนั่นแหละ จึงจะไม่รู้สึกตัว

เวลานั่ง ลองสังเกตุไออุ่นที่ระบายออกมาตามผิวหนัง ถามว่าไออุ่นนี้ใครเป็นเจ้าของ ถ้าท่านเป็นเจ้าของทำไมไม่เก็บรักษาไว้กับตน ปล่อยให้ลอยออกมาทำไม เพราะธรรมต่างๆล้วนมีเหตุปัจจัย แม้กระทั่งก้อนหินที่ไม่มีชีวิตจิตใจลองไปจับดูรู้สึกเย็นๆมือ ถามว่า ความเย็นของก้อนหินนั้น ใครเป็นเจ้าของ ก้อนหินเป็นเจ้าของหรือ ก็ไม่ใช่

เมื่อพิจารณาแล้วจะรู้ว่าขันธ์5 (เหตุปัจจัย)จึงเป็นอนัตตา แม้เราจะเอาจิตพิจารณา ธรรมก็เป็นอนัตตาอยู่ดี แต่อารมณ์ที่เกิดคือ เรารู้สึกเบื่อในขันธ์ คือความเป็นปัจจัยที่แสดงออกของธรรมนั้น เราไม่อยากถือครองเอาไว้ เช่น เราไม่อยากถือครองเอาความเจ็บปวด เวทนาต่างๆ อาการต่างๆ อยากหนีไปให้พ้น แต่สัจธรรมก็คือสัจธรรม ขันธ์5ที่เป็นปัจจัย จึงเป็นอนัตตา แม้จิตจะเข้าไปจับธรรมที่อยู่ตรงหน้า ก็เป็นอนัตตา

ผมไม่รู้ว่านั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าร่างกายหายไปหมดแล้วคิดว่าเป็นอนัตตา ก็อยากจะเสนอความเห็นว่า อารมณ์ที่คิดว่าเป็นอนัตตาต้องเป็นปัจจัยให้เห็นก่อน ไม่อย่างนั้น ต่อให้ว่างอย่างไรถ้าเรายังยึดถือความว่างนั้นเป็นตัวตนของเรา ความว่างของเรา มันก็เป็นอัตตาอยู่นั่นเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นช่วงหนึ่งแล้วที่ผมวิ่งออกกำลังกาย อาทิตย์ละครั้ง วิ่งรอบสนามกีฬา 25รอบ หรือประมาณ 10กม. ในขณะที่วิ่ง ก็เรียนธรรมะจากการวิ่งไปด้วย ถ้าบอกรายละเอียดก็จับรายละเอียดได้หลายๆอย่าง ฝึกความอดทนหรือ ขันติ คือเราตั้งเป้าหมายไว้ที่25รอบ เราก็ต้องทำให้ได้ ปกติก็จะวิ่งเร็วๆใช้เวลาประมาณ48นาที ดีที่สุดคือ46นาที ซึ่งเข้าไปเช็คดูความเร็วตนเองก็จะอยู่ที่กลุ่มนักวิ่งที่จริงจังคือสามารถเข้าแข่งได้ ถ้านักวิ่งจากอาฟริกาก็จะประมาณ35นาที ขึ้นอยู่กับเกณท์อายุด้วย คือ 35 นาทีที่อายุน้อยมาก ถ้าอายุมากขึ้นก็จะขึ้นมาที่37นาทีอะไรประมาณนั้น

ก็ไม่มีอะไรมากที่จะเป็นแรงบันดาลใจ คือ นักวิ่งเหล่านั้นทำได้ เราก็ต้องทำได้ ผมคิดอย่างนี้เสมอ แม้กระทั่งเรื่องเรียนธรรมะ พระทำได้ เราก็ต้องทำได้ ผมตั้งปฎิธานของผมอย่างนี้ตั้งแต่6ปีที่แล้ว คือไม่มีอะไรที่เราต้องกลัว บางคนกลัวเรียนธรรมะแล้วเป็นบ้า ธรรมะไม่มีการทำให้คนบ้าหริกครับ มีแต่ทำให้คนรู้ มีวิชชาติดตัว คนที่คิดจะตั้งใจเรียนธรรมะแล้วตั้งแต่ต้น คือคนที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว คือ ได้แรงจูงใจจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำให้เกิดความเพียรส่งตน

วิ่งไปผมก็กำหนดรู้ธรรม จากการมองลู่วิ่ง จะสังเกตุว่าวิ่งไป ลู่วิ่งจะส่ายไปมาตามการโยกของศรีษะ นี่ก็เป็นธรรมประการหนึ่งคือ ความระลึกได้ในธรรมเฉพาะหน้า เท้าแตะพื้นก็ซ้ายขวา ตุ๊บๆๆๆๆๆไปเรื่อยๆ ตุ๊บแล้วคลาย ตุ๊บแล้วคลาย เราไปเห็นอย่างนี้ แล้วเวลามอง จะสังเกตุเห็นว่า จดจ่อแล้วคลาย จดจ่อแล้วคลาย โพกัสเคลื่อน จากจุดนี้เป็นจุดใหม่ เกิดดับของธาตุรู้ตลอดเวลา ธรรมเปลี่ยนตลอด ถ้าอารมณ์ยิ่งได้ใหญ่ คือความอดทน อดกลั้น นี่คืออารมณ์

ต่อวันหน้าครับ ไม่ได้เข้ามาตั้งนาน จริงๆ มีเรื่องเยอะแยะจะเล่า

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2015, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การวิ่งออกกำลังกายได้เรียนรู้สภาวะธรรมหลายๆอย่าง

จิตจับที่ลมกระทบใบหน้า สังเกตุ

ตามองลู่วิ่ง สังเกตุ ลู่วิ่งมีการเอนเอียงไปตามการโยกตัว

ลมหายใจเข้าออกสังเกตุ

หูได้ยินเสียง สังเกตุ

เท้าก้าววิ่ง กระทบพื้น สังเกตุ

เคยสังเกตุการวิ่งลงของเท้า แต่ผมจับจังหวะไม่เป็น ที่ผ่านมาจับเป็นเท้าข้างใดข้างหนึ่ง มันไม่ลงตัวเท่าที่ควร แต่ครั้งนี้ กำหนดจิตที่การกระทบพื้นของเท้า ได้ความรู้ใหม่ในการกำหนด เท้าขวาจะลงในขณะที่เท้าซ้ายจะยก พอเท้าซ้ายลงเป็นจังหวะเท้าขวายก กำหนดไปกำหนดมา เป็นสภาวะเหมือนปั่นจักรยาน

นี่เป็นครั้งแรกที่กำหนดได้เป็นจังหวะ ทำให้สภาวะธรรมเหมือนลมหมุนระหว่างเท้าทั้งสองข้าง เหมือนลมเป็นล้อ วิ่งไปตามลู่วิ่ง เหมือนไม่ได้กระทบพื้น ในเวลา7นาที10วินาที สามารถทำระยะทางได้1.7กิโลเมตร วิ่งได้นิ่งเรื่อยๆ พอได้9กิโลเมตรกว่าๆ เป็นจังหวะมีโทรศัพท์มือถือดังให้เลิกวิ่งแล้วกลับบ้านเพราะมีธุระ ปกติจะวิ่ง10กิโลเมตรอาทิตย์ละครั้ง

พอมีสมาธิ หายเหนื่อยเลยครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2015, 00:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อวานผมได้ไปวิ่ง

ครั้งนี้คือจุดมุ่งหมายเหมือนเดิมคือ10กิโลเมตร

และกำหนดรู้สภาวะธรรมขณะที่วิ่ง

การวิ่งทำให้สภาวะธรรมแปรปรวนไปทั่วร่าง

จากหายใจธรรมดาก็แรงขึ้นเร็วขึ้น

จากขาที่ก้าวไปข้างหน้าก็อาศัยพลังมากขึ้น เหนื่อยขึ้น

แต่สังเกตุปสาทรูป5ยังเหมือนเดิม

หูยังได้ยินเสียง

ตายังมองเห็นลู่วิ่งอย่างมั่นคง

คือทำอะไรมากไม่ได้ต้องควบคุมรักษาสติให้มากนั่นเอง

สติอยู่ที่เท้าก็ต้องรักษาไว้ที่เท้า ย้ายจิตออกปุ๊บ กำลังตกฮวบลงทันที

เพราะจิตต้องการพลังในการเข้าไปรู้

พลังนั่นคือสติ คนที่ใจเหม่อลอย พอถึงสะกิดให้ตื่นจากภวังค์จะใช้พลังจิตมาก จะสังเกตุว่าคนนั้นจะโมโหง่าย หงุดหงิดไม่มีสาเหตุ เพราะพลังจิตถูกดึงหายไปกับภวังค์และการที่จะเรียกสติให้แข็งแรงใช้พลังมากนั่นเอง
ต่อโอกาสหน้าครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้มีประสบการณ์การกำหนดรู้กาย

ก็กำหนดรู้อุณหภูมิของร่างกาย หรือความร้อน หรือธาตุไฟ

ธาตุไฟกำหนดรู้ง่าย แค่ตั้งจิตที่กาย ก็สามารถเข้าไปรู้ธาตุไฟได้

ไม่ต้องมีสมาธิที่ลึกหรือละเอียด ก็สามารถกำหนดได้เลย

เวลากำหนดธาตุไฟ จิตต้องจดจ่อแต่อุณหภูมิ ไม่ต้องระลึกสัญญา ว่านี่แขน นี่ขา นี่ตัว แค่รู้เท่านั้น

สักพัก มีความรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้น เหมือนยืนอยู่กลางแดด เหมือนแดดแรงต้องเที่ยงกระทบผิว

มันแสบไปหมด ทั้งๆที่อยู่ในร่ม และอากาศไม่ได้ร้อนขนาดนั้น

ก็เป็นงงๆอยู่สักพัก ก่อนจะย้ายจิตไปกำหนดที่ธาตุดิน แข็งอ่อน จับ ถือ อะไรแบบนั้น

ความร้อนค่อยทุเลาลง

ก็เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องที่ประสบเกิดขึ้นครับ

ต่อโอกาสหน้า

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2015, 00:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ในตอนเช้า ได้นั่งสมาธิ กำหนดไปเรื่อยๆ ถ้าจิตไม่ได้ตั้งใจจะจับอะไรพิเศษ ก็จะจับอยู่ที่ทุกข์ หรือเวทนาทางกาย เช่นวันไหนเราเบื่ออะไรสักอย่าง หาสาเหตุไม่ได้ ภาวนาอะไรไม่ได้ ก็ภาวนาที่ทุกข์นี่แหละ ดูให้ว่าว่า นี่ทุกข์ ปวดที่ขา นี่ก็ทุกข์ อาการปวดขาเป็นแบบนี้ ปวดแขนเป็นแบบนี้ ปวดเหมือนกัน แต่สังเกตึดีๆ จะปวดคนละแบบ ปวดหัวก็อีกแบบ ปวดท้องก็อีกแบบ อาการทางทุกข์เวทนาแสดงออกมาไม่เหมือนกันเพราะความเป็นอนัตตา อนัตตาไม่ได้หมายถึงหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้อย่างเดียว แต่รวมไปถึงสภาวะธรรมที่เป็นอย่างนั้นเพราะมีเหตุ เช่น หัวเราะเป็นอารมณ์อีกอารมณ์ มีเหตุจึงหัวเราะ อย่างนี้อนัตตา แต่หัวเราะไม่นานก็กลับเป็นอื่นเช่นกลับมาเป็นปกติ เฉยๆ อย่างนี้คืออารมณ์ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ แต่ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คือมีเหตุนั่นเอง

หลังจากนั่งสมาธิ ก็เอนตัวนอนตามปกติ จะตื่นอีกที2-3ชั่วโมงให้หลัง นอนไปสักพัก รู้สึกตึกที่อยู่โยกเเหมือนเกิดแผ่นดินไหว รู้สึกตกใจ เหมือนเอนไปเอนมาด้านข้าง กลัวของจะหล่นทับ ประมาณ30 วินาที ก็สงบไป นอนต่อจนตื่น แล้วก็ถามคนในบ้านว่ารู้สึกแผ่นดินไหวไหม หนักอยู่ ไม่มีใครรู้สึกสักคน

คิดว่าน่าจะเป็นนิมิตรอะไรที่ปรากฎ เพราะไม่น่าจะเป็นความฝัน เพราะลืมตาขึ้นมามองรอบๆอยู่นั่นเอง

ต่อโอกาสหน้าครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2015, 04:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมที่อยู่ตรงหน้า

เป็นความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์

เมื่อพิจารณาทุกข์ด้วยธรรมที่ปรากฎตรงหน้า

กายสังขาร และจิตสังขารย่อมระงับลง

ดั่งที่พระสูตรในอานาปานสติ จิตสังขารระงับ หายใจเข้าออกก็รู้
กายสังขารก็ระงับ หายใจเข้าออกก็รู้

หากไม่เห็นธรรมที่อยู่ตรงหน้า กายและจิตสังขารนั้นยังไม่ระงับ(หากเข้าใจผิดตรงนี้ก็ขออภัยครับ)

แต่ธรรมที่ลึกซึ้งกว่านี้ยังมีอยู่

ต่อโอกาสหน้าครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 426 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 23, 24, 25, 26, 27, 28, 29  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร