วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 17:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 119 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 14:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


14 กพ. 53
ท่านไวและท่านงมงายแนะนำให้ปฎิบัติจนเกิด วสี ๕ และ ทิ้งปรมัตน์ และระวังกิเลสทั้งหลาย
ตอนบ่ายเดินจงกรมดึก 24.08 น. อธิฐานขอเข้าสมาธิ 30 นาที ออกเวลา 24.39 น. ออกได้ตรงและพอดีใช่ไหมนะ แต่ท่านงมงายสอนให้อธิฐานน้อยๆ ก่อน
15 ก.พ. 53
05.00 น. อธิฐานนั่ง 20 นาที ตอนออกวูบออกมาเลยคล้ายสติหาย คล้ายตกในภวังค์อย่างไรไม่รู้และวูบออกจากสมาธิตามเวลาได้แปลกๆเหมือนกัน
เดินจงกรมเสร็จ 17.48น. อธิฐานขอนั่ง 5 นาทีแล้วให้สมาธิคลายออก ออกจากสมาธิเวลา 17.54 น. คลาดเคลื่อนไป 1 นาที
23.59 น. อธิฐานขอนั่ง 1 ชั่วโมงแต่นั่งได้จนถึง 24.35 น. เท่านั้นก็ออกเพราะวันนี้เริ่มนั่งก็เหน็บชากิน ขยุกขยิกตลอดเวลาคิดว่าสักแต่ว่าเหน็บชาก็แล้ว ขยับท่านั่งก็แล้ว ก็เลยพอ

16 ก.พ. 53
อธิฐานขอนั่ง 1 ชั่วโมง 15.48น. ออกจากสมาธิ 16.39 น.. คลาดเคลื่อน 8 นาทีเยอะเชียวสงสัยอธิฐานเวลาที่นานไป
เดินจงกรมเสร็จและนั่งสมาธิอีกครั้งเวลา 17.49 น. อธิฐาน 3 ครั้งขอนั่งสมาธิ 5 นาที พอ 17.04 น.ออกจากสมาธิได้พอดี 5 นาที
กลางคืนอธิฐานนั่ง 1 ชั่วโมงปรากฏว่านั่งได้ 48 นาทีก็ออกคลาดเคลื่อนไปเยอะเหมือนกัน เช้า 05.45 มานั่งอีก ครึ่งชั่วโมงโดยไม่อธิฐาน จริงๆ แล้วได้รับคำสอนมาให้อธิฐานจิตตั้งแต่เวลาน้อยๆ ก่อนค่อยไปหามากแต่ไม่ถนัดเข้าเวลาน้อยๆ เลย

17 ก.พ. 53
เดินจงกรม ทานข้าวและมานั่งอธิฐานขอนั่ง 5 นาทีแต่ปรากฏว่าสมาธิเข้าลึกลืมออกพอนึกได้ปรากฎว่า 7 นาที ก็นั่งไปอีกเรื่อยๆ อีก 25 นาที สมาธิเข้าลึกมากสมาธิดีมากๆ ไม่มีเสียงรบกวนเลย

18 ก.พ. 53
ดึก 00.08 น. นั่งสมาธิอีก 45 นาที เช้า 05.00กว่าๆ นั่งอีกประมาณ 20 นาที

27 ก.พ. 53
ยังปฎิบัติเช่นทุกๆ วันเช่นเดิมอธิฐานคลาดเคลื่อน 1 นาทีบ้าง 3 นาทีบ้าง สงสัยอธิฐานแค่ 5 นาทีไม่พอหรือยังไม่ชำนาญ คิดว่าจะค่อยๆ นั่งสมาธิจนเกิดความชำนาญกว่านี้แล้วค่อยมากำหนดเวลาเข้าออก เพราะการกังวลในการจับเวลาทำให้เป็นกังวลพอดู ค่อยๆ ให้เกิดความชำนาญแล้วจะไม่ทิ้งจะพยายามวสี ๕ นี้ตามที่ได้รับคำสอนไว้ แต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะจะไม่มาระแวงระวังกับมันอย่างตึงเครียด วสี๕ นี้เป็นจุดสำคัญที่จะต้องปฎิบัติให้เกิดความชำนาญ ตอนนี้คิดว่าชำนาญอย่างเดียวก็คือวิธีเข้าสมาธิจนถึงญาณที่เคยเข้าเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 14:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว




1-3M-Rose-Flower-Tree-LF-F-585KD-.jpg
1-3M-Rose-Flower-Tree-LF-F-585KD-.jpg [ 82.92 KiB | เปิดดู 7430 ครั้ง ]
3 เมษายน 53
ทั้งเดือนมีนาคมมีความเพียรมากขึ้นอย่างนิ่งๆ สงบๆ เดินจงกรมและนั่งสมาธิวันหนึ่งหลายรอบ 3-4 รอบรอบละ 10-20-30-40 นาทีบ้างแล้วแต่สะดวกไม่บันทีกหรือจับเวลาอะไรเลยเพียรปฎิบัติไปเรื่อยๆ อย่างเดียว
นั่งสมาธิ 3-4 รอบเช่นกันแล้วแต่ความสะดวก จิตสงบมันไม่คิดไม่ปรุงอะไร

4 เม.ย. 53
เดินจงกรม 2 ครั้งในตอนกลางวัน วันนี้มีเรื่องมากระทบคือถูกพ่อแม่สั่งไม่ให้ปฎิบัติธรรม พ่อสั่งห้ามไม่ให้อ่านธรรมะถ้าอ่านจะดุเอาทุกๆ ครั้ง แม่ก็บอกว่ามันไม่เหมือนชาวบ้านเขาหยุดเถอะไม่อายคนอื่นหรือเอาแต่เดินจงกรมอยู่นี่นะ พ่อสั่งให้เอาเอกสารธรรมะที่สะสมไว้ไปทิ้งให้หมดห้ามไม่ให้พ่อแม่เห็นพ่อแม่กลัวจะบวช น้องชายก็กลัวจะบวชน้องชายบอกให้พ่อแม่ถึงเรื่องที่อยากบวชแล้วเขาก็ไม่พูดอะไรเลยหายเงียบไปเลยรู้ว่าทำให้ครอบครัวเป็นทุกข์พอสมควรแต่อยากปฎิบัติธรรมเป็นทุกข์มากคิดทบทวนไปมาทั้งวันจะกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ จะดีไหมมีที่พักอยู่ที่นั่นปิดไว้อยู่ก็ได้คำตอบกับตัวเองว่าไม่ได้เพราะอยากดูแลพ่อแม่อยากเป็นลูกที่ดี อยากใช้เวลาที่ยังเหลือในชีวิตเพื่ออยู่กับพ่อแม่ที่เรารักที่สุดในโลก พ่อและแม่เป็นผู้มีพระคุณกับเรา อยากให้พ่อแม่ทำบุญสุนทานเยอะๆ ปกติพ่อกับแม่ก็ทำบุญเยอะอยู่แล้วแม่ไปวัดทุกๆ วันศีล แต่อยากให้ทำให้เยอะขึ้นอยากให้ละการฆ่าสัตว์ อยากให้ถือศีล สุดท้ายอยากให้นั่งสมาธิด้วยถ้าเป็นไปได้ คุยกับแม่ให้แม่ก่อนนอนให้นอนภาวนาพุทธ-โธ จนกระทั่งหลับไม่แนะนำนั่งเพราะแม่หัวเข่าเจ็บ ท่านคงยังไม่ได้ปฎิบัติ
กลุ้มมากไม่มีใครเข้าใจน้องชายก็เงียบหายไปเลยไม่พูดอะไรเลยรู้ว่าเขาเป็นทุกข์ ดิฉันก็ไม่พูดอะไรเลยก็ปฎิบัติไปเรื่อยๆ แต่พ่อกับแม่เห็นชาวบ้านเห็น พ่อแม่จึงเริ่มประท้วง คิดว่าจะหนีไปบวชดีไหม คิดไปด้วยความเป็นทุกข์หาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้ด้วยความกลัดกลุ้มทั้งวันเป็นทุกข์ที่สุดในชีวิตไม่มีทางออกที่ดีเลย จะกลับไปอยู่กรุงเทพฯ หรือหนีไปบวชก็กลัวจะทำให้พ่อแม่เสียใจคิดวนเวียนอย่างทุกข์จริงๆ ทั้งวัน
จนกระทั่งเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ การขบคิดในทุกข์ที่แสนหนักที่ว้าวุ่นอยู่นั้นก็มีเสียงสอนภายในขึ้นมาเบาๆ ว่า “ มันเป็น อนัตตา”
เมื่อเสียงสอนหายไปความทุกข์ที่คิดมาทั้งวันมันหายไปอย่างปลิดทิ้ง ความทุกข์มันหายไปหมด นี่ละมังที่เขาสอนว่าถ้าตัวปัญญามันสอน(วิเคราะห์ผิดหรือเปล่าคะช่วยวิเคราะห์ให้ด้วย)แล้วผลที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เกิดจากสัญญามันจึงมีอานุภาพต่อจิตอย่างชงัดนัก
เมื่อทุกข์หายไปหมด สมองที่คิดอยู่นั้นก็คิดเองต่อ แล้วความสุขล่ะทุกวันนี้ที่เราได้รับความสุขอะไรๆ มีคนทำให้ ชีวิตมีความสุขในปัจจัยในชีวิตพอสมควร ความสุขที่ได้รับทุกๆ วันนี้ล่ะมันก็เป็นอนัตตาเช่นกันละสิ พอคิดได้เช่นนั้น จิตมันก็ลอยให้รู้สึกเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ทำให้รู้สึกถึงอารมณ์ไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นครั้งแรกในชีวิตในวันนี้ จิตมันลอยกระเพื่อมๆ ในอกให้รู้สึกอย่างเด่นชัดในเวลานี้ วันนี้เป็นวันแรกที่มันแสดงความรู้สึกของจิตในภาวะปกติด้วยมิใช่เพียงขณะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิเท่านั้น มันลอยเฉยๆ ให้รับรู้อารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์อยู่เช่นนั้นซึ่งจะต่างจากช่วงก่อนที่จิตจะแสดงความรู้สึกให้รู้สึกเฉพาะนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมเท่านั้น

เลยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ต่อไปเรื่อยๆ ต่อไปแม้มันจะทุกข์อันเกิดจากความมุ่งหวังที่ต่างกันก็ตาม เพราะทุกขเวทนามันเป็นอนัตตา
เสียงที่ตอบความคิดนี้เหมือนในตัวเรามี 2 ตัวในตัวเอง ตัวแรกคือเราที่คิดโดยสมอง ตัวที่สองคือผู้รู้หรือเปล่านะอ่านหลวงตามหาบัว หลวงตาเรียกเสียงที่เกิดขึ้นนี้ว่าเสียงธรรม ไปอ่านอาจารย์หลายๆ ท่านเช่นหลวงพ่อชา หลวงพ่อพุธ หลวงพ่อจันทา หลวงปู่มั่นล้วนแต่มีเสียงธรรมทั้งนั้น อ่านครูบาอาจารย์ทำให้รู้เลยไม่ตกใจในเสียงที่เกิดขึ้นนี้ คิดเอาเองว่าเมื่อผู้ปฎิบัติพยายามเพียรปฎิบัติมาจนถึงระดับหนึ่งจะต้องมีผู้รู้หรือเสียงธรรมนึ้เกิดขึ้นมั้งไม่รู้ว่าถูกผิดอย่างไรช่วยแนะนำด้วยนะคะ

9-15 เมษายน 2553
เป็นการเข้ากรรมฐานของวัดในหมู่บ้าน 7 วัน นี่คือสิ่งที่อิ่มอกอิ่มใจอย่างที่สุด
เมื่อครั้งที่เริ่มนั่งสมาธิใหม่ๆมีปัญหาได้เข้าไปหาพระอาจารย์ที่วัดในหมู่บ้านซึ่งท่านอายุน้อยกว่า ท่านตอบคำถามไม่ได้เพราะไม่เคยนั่งสมาธิ เลยพิมพ์คำสอนของสมเด็จพระสังฆราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระไตรปิฏกสติปัฎฐาน ๔ คำสอนของพระพุทธเจ้าต่อพระสารีบุตร บทธรรมบรรยายของพระอาจารย์มั่นโดยทำย่อหน้าให้อ่านง่ายขี้นให้ด้วย และคำสอนที่มีหลักง่ายๆ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงตามหาบัว และเอกสารอื่นๆ อีกหลายสิบเล่ม ครั้งนั้นคิดเพียงว่าท่านเป็นพระสายที่ไม่เน้นการปฎิบัติตามสติปัฎฐาน ๔ เพราะท่านไม่มีโอกาสเผื่อมีคนมาถามท่านท่านจะได้มอบเอกสารเหล่านี้ให้คนเหล่านั้นไป แต่ปรากฏว่าพระอาจารย์สนใจอ่าน อันไหนที่พิมพ์ตกก็บอกเด็กมาขอใหม่ ท่านคงเริ่มปฎิบัติพร้อมๆ กับดิฉัน พอวันที่ 9-15 เมษายน 53 ท่านจึงพาพระเณร อีก 10 กว่ารูป เข้ากรรมฐานที่หน้าวัดของหมู่บ้านมีชาวบ้านมาทำแคร่ให้ล้อมหญ้าคา ฉันในบาตร พาชาวบ้านที่ศรัทธาท่านท่านมีญาติโยมศรัทธาท่านเยอะเพราะท่านเป็นพระปฎิบัติดีปฎิบัติชอบรูปหนึ่ง สอนนั่งสมาธิ ครั้งละ 30 นาที 2 ครั้งในช่วงเย็น อีกหนึ่งครั้งในช่วงเช้า ดิฉันและแม่ก็ไปนั่งสมาธิด้วยอานิสงส์ของดิฉันก็คือพระอาจารย์ท่านกลับมาสอนคุณแม่ของดิฉันนั่งสมาธิและแม่ก็นั่งปฎิบัติด้วย ท่านพิมพ์บทสวดมนต์แจกชาวบ้านทุกๆ คนร่วมกันสวดมนต์และสุดท้ายได้ร่วมกันแผ่เมตตา หวานจับใจแผ่ไปทั่วบริเวณเวิ้งหน้าวัด บริเวณหน้าวัดยังเป็นทุ่งโล่งๆ เพราะญาติโยมส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุ 50 ขึ้นไปถึง 80 กว่าในตอนเย็นประมาณ 40 กว่าคน ตอนเช้ามาเยอะประมาณ 80-100 คน ดิฉันและแม่นำอาหารไปถวายในช่วงเช้าเผื่อถึงญาติโยมทั้งหมดด้วยที่มาปฎิบัติธรรม ตอนเย็นก็นำน้ำปานะไปถวาย นี่คือความอิ่มใจพระอาจารย์ที่วัดท่านทำได้เกินจากที่ตั้งความหวังไว้เยอะท่านมีคนศรัทธาเยอะคงสอนคนให้มาสนใจปฎิบัติกรรมฐานได้อีกมากมายแม้จะเป็นจุดเริ่มต้นก็ตาม

18 เมษายน 53

ในส่วนนี้เป็นการบันทึกเกี่ยวกับการทำบุญทั้งนี้เพราะทำให้สุขใจ การทำบุญเป็นการทำกุศลถึงแม้จะเป็นกุศลที่มีอามิสก็ตามก็ส่งผลให้ผู้ทำได้รับความสุขใจ
ปัจจุบันไม่ว่าอะไรเข้ามาในชีวิตประจำวันจะใช้ธรรมคือ พรหมวิหาร ๔ โลกธรรม ๘ เรื่อง กรรม เข้ามาพิจารณาทุกเรื่องตลอดเวลาทำให้จิตเป็นสุข สงบ สง้บ สงบจิตมันแสดงความรู้สึกลอยเด่นในอกตลอดเวลา มันทำให้รู้ว่าในกายมีจิตที่แสดงความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง คู่กับสมองตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนหลับ จิตกับสมองมันแยกกันทำงาน มันไม่ใช่สิ่งเดียวกันตั้งแต่ตื่นขึ้นมามันก็แสดงตัวของมันอยู่ตรงหน้าอกให้รู้ เลยต้องดูกาย ดูจิต ดูเวทนาไปโดยอัตโนมัติตลอดเวลาทั้งวันเพราะจิตมันแสดงตัวให้รู้เอง รู้ว่ากิเลสใดเกิดขึ้นกับกาย หรือกิเลสใดเกิดขึ้นกับจิตก็รู้และรู้ว่ามันเกิดและดับได้อย่างไรในแต่ละวันรู้และดูมันไปเรื่อยๆ เวทนาที่เกิดขึ้นกับกายเช่นเจ็บบริเวณใดในร่างกายก็เจ็บส่วนกายบริเวณนั้นจิตมันไม่รู้สึกด้วยมันไม่เจ็บด้วยมันอยู่ของมันเฉยๆ กายจะเจ็บก็เจ็บไปคนละส่วนกันส่วนที่เจ็บบริเวณสัมผัสที่เจ็บนี้เรียกว่ากายวิญญาณหรือเปล่านะไม่รู้เหมือนกัน ทดลองหยิกตัวเองที่แขนหลายครั้งว่าเป็นอย่างไรในร่างกายปรากฏว่าบริเวณแขนที่เจ็บเจ็บบริเวณนั้นไปจนถึงรุ่งเช้า แต่จิตมันไม่รู้สึกอะไรด้วยมันไม่เจ็บไปด้วยร่างกายปรากฎเป็นเช่นนี้ขณะนี้
ทุกๆ วันสมองจะทำหน้าที่คิดต่างๆ ตามเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเช่น การวางแผนงาน การคิดคำนวณต่างๆ การสั่งให้กายทำในสิ่งต่างๆ เป็นต้น ส่วนจิตก็จะลอยเฉ้ย เฉย สงบไม่ทุกข์ไม่สุขของมันไปทั้งวัน

วันนี้นอกจากพิจารณากายเริ่มพิจารณาเวทนา โดยดูเรื่องอายตนะ ๖ บ้างแล้ว วันนี้ได้อ่านหลวงปู่กินรี จนุทิโย วัดกันตศิลาวาส จ นครพนม หัวข้อชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฎิปทา ว่า “...ข้อปฎิบัติกรรมฐานนั้น ซึ่งมีรากฐานอยู่ที่ การกระทำศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์พร้อมๆ ไปกับการเจริญสมาธิ ภาวนา เพื่อจะทำจิตให้สงบ ระงับจากอารมณ์ทั้งปวง เพราะความที่จิตปราศจากอกุศล ว่างเว้นจากอารมณ์อันเกิดจากการสัมผัสทางอายตนะคือ ที่ตั้งแห่งการกระทบมี 6 คู่ อันได้แก่ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับการสัมผัสทางกาย และใจที่กระทบกับอารมณ์ในภายในที่ทำให้เกิด เวทนาความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้ดี รู้ชั่ว รู้สวย รู้ไม่สวย รู้น่ารัก รู้ไม่น่ารัก ทั้งหลายแล้ว จิตใจก็ย่อมจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว อารมณ์นั้นก็ได้แก่พระกรรมฐาน หมายถึง การเอาพระกรรมฐานเข้ามาตั้งไว้ในใจความตั้งมั่นของจิตในลักษณะการเช่นนี้ ย่อมจะทำจิตให้สงบอย่างเดียวเป็นความสงบที่สะอาดและบริสุทธิ์ผุดผ่องใส”
หลวงปู่ได้กล่าวถึงการพิจารณาขันธ์ทั้ง ๕ ว่า “…หลวงปู่มั่นท่านอบรมสั่งสอนหลวงปู่กินรีต่อไปว่า การประพฤติปฎิบัติธรรมนั้นมีรากฐานสำคัญอยู่ที่การปฎิบัติศีลเป็นเบื้องต้น และทำสมาธิในท่ามกลาง เพื่อจะให้เกิดปัญญาความรู้แจ้งแทงตลอดในธาตุขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ในที่สุด และเพื่อจะให้รู้ความจริงก็ต้องหมั่นพิจารณาว่าร่างกายของเราที่ปั้นปรุงขึ้นมาจากธาตุทั้ง ๔นี้ประกอบอยู่ด้วยธาตุอีกอย่างหนึ่งซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๔ อย่างได้แก่
เวทนาคือ ความรู้สุข รู้ทุกข์และ ไม่สุขไม่ทุกข์
สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ในอายตนะทั้งหลายที่มากระทบแล้วรู้สึกแล้ว
สังขาร คือ ความไหลเวียนปรุงเปลี่ยนไม่หยุดอยู่ของนามธาตุนั้น
วิญญาณ คือ ความรู้สึกได้
รวมเป็น 4 อย่างด้วยกันเรียกว่า นามขันธ์”


21 เม.ย. 53
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาปฎิบัติเท่าไหร่นั่งสมาธิก็ไม่นาน เดินจงกรมเท่าที่มีเวลาแต่ไม่บ่อยวันละ 3 ครั้งอีกแล้ว เดินประมาณ วันเว้นวันเท่าที่มีโอกาส ไม่ยึดติดอะไร ปล่อยตามเหตุการณ์แต่ละวันไป แต่การวิปัสสนาภายในจิต และ กายก็ทำได้ทั้งวันเพราะจิตกับกายที่แยกกันรู้สึก(กายดิฉันหมายถึงบริเวณตัวทั้งหมด แขน ขา หัว ผิวหนัง ฯลฯ จิต ดิฉันหมายถึงส่วนที่แสดงความรู้สึกให้เรารู้อยู่บริเวณหัวใจ สมองดิฉันหมายถึงส่วนที่ทำหน้าที่คิดต่างๆ บริเวณในศีรษะน่ะค่ะอธิบายตามความรู้สึกนะคะถูกผิดอย่างไรไม่ทราบค่ะ) ทำให้ต้องดูมันตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนหลับตามเหตุที่เกิดขึ้นมาในแต่ละขณะ พร้อมทั้งศึกษาธรรมะไปด้วยตลอดเวลา อธิบายตามความรู้สึกจริงๆ ค่ะ ถูกผิดอย่างไรครูบาอาจารย์ ผู้รู้และกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
24.00 น. นั่งสมาธิ วันนี้แปลกเกิดนิมิตเข้ามาพยายามสำรวมและไม่สนใจนิมิตแล้วแต่กลับมีนิมิตจนได้ ภาพนิมิตเป็นภาพพระพุทธรูปนั่งปรางค์สมาธิสีทองทั้งองค์ปรากฏตรงหน้าให้เห็นอย่างเด่นชัด ภาพไม่ได้ลอยมาเหมือนดังอดีตที่เราเห็นมันเกิดขึ้นให้เห็นเลย สีทองขององค์พระเป็นประกายวับเข้าตาวาบเหมือนเวลาเราดูการ์ตูนเด็กเวลาเขาโฆษณาการ์ตูนจะมีดาวเป็นประกายวาบเช่นนั้นแหละ ก็เลยสำรวมจิตกราบ
และพิจารณาดูนิมิตนั้นไปซึ่งปรากฎอยู่ตลอดเวลาที่เรานั่งสมาธิน่าจะประมาณ 40 นาที

22 เมษายน 53
นั่งสมาธินิมิตเห็นพระสงฆ์ยืน ก็สำรวมจิตไม่สนใจ วันนี้เลยกลับไปอ่านเรื่องอภิญญาและ มโนยิทของหลวงพ่อฤาษีลิงดำอีกครั้ง ท่านให้กำหนดภาพพระไว้ที่อกให้นิมิตนั้นติดกับตัวตลอดเวลาถ้ามีอะไรก็ให้สำรวมจิตถามพระเพื่อดูจิตว่าเป็นอย่างไร ถ้ามีวิปัสสนาญาณพอควรความใสของพระจะเป็นดังแก้วหรือองค์พระจะเป็นประกายออก ภาพพระที่ปรากฏให้เห็นในนิมิตเมื่อวานก็ปรากฏประกายสีทองวาบจนเข้าตา ภาพพระสดใสมาก หลวงพ่อฤาษีท่านสอนว่าจะ สามารถฝึกทิพยจักษุญาณได้ แต่ไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรจึงไม่สนใจนำภาพนิมิตพระมาปฎิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อฤาษีเพราะไม่สนใจทางนี้นักสนใจปฎิบัติตามสติปัฎฐาน ๔ มากกว่า
จะพยายามอธิบายภาพนิมิตที่ลอยมากับนิมิตที่มาปรากฏแบบไม่ลอย แตกต่างกันคือ ในปัจจุบันเวลาหลับตานั่งสมาธิเหมือนเราลืมตาสู่โลกอีกโลกหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนเวิ้งกว้างออกไปสุดลูกหูลูกตามีความสว่างของสถานที่เหมือนเราลืมตาไปสู่อีกโลกหนึ่ง

เดิมภาพนิมิตมันจะลอยจากระยะไกลและตรงดิ่งเข้ามาใกล้เข้ามาหาลอยมาเรื่อยๆ มันจะมืดๆ และมีแสงประกอบภาพเพียงเล็กน้อยเท่าลูกมะนาวในบางครั้ง ลอยมาหลายๆภาพก็มีแต่มันไม่นิ่งยกเว้นภาพอวัยวะเวลาเราภาวนากรรมฐาน๕ มันจะลอยนิ่งปรากฏให้เห็นอยู่อย่างนั้นและเสื่อมดับไปเมื่อวิปัสสนา
แต่ภาพนิมิตที่ปรากฏให้เห็นโดยไม่ลอยในปัจจุบัน จะเริ่มจากเราหลับตานั่งสมาธิ แสงจะแปล๊บๆๆ ด้านหางตาบ้างในจุดเริ่มแรก หลับตาเหมือนเปิดตาเข้าสู่อีกโลกหนึ่งมันจะสว่างใสชัดไม่ว่าจะดูอะไรใกล้ไกลได้หมด มันเป็นเวิ้งออกไปไกลสุดลูกหูลูกตาเหมือนมันคอยให้อะไรมาปรากฏอย่างนั้นแหละและพอมาสองสามวันนี้ก็เห็นภาพพระพุทธรูปมาปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดอยู่ตรงหน้าให้เห็นอย่างนั้นไม่ได้ลอยมา อยู่ๆก็เห็นชัดเจนใสแจ๋ว เห็นชัดยิ่งกว่าเห็นในทีวีเสียอีกในรายละเอียด และเห็นอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาที่นานมากตลอดการนั่งสมาธิ



วันนี้อ่าน(พระไตรปิฎกถึงเล่มที่ 17 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 9 สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค)

สรุปเองว่าเป็นคำสอน ขันธ์ ๕ ว่านั่นไม่ใช่ของเรา อีกทั้งรูปในปัจจุบัน ในอดีต หรือในอนาคต นั้นไม่ใช่เรา วันนี้พยายามทำความเข้าใจในเรื่องนี้ เพื่อเข้าใจ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 14:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


25 มิถุนายน 53
วันนี้จิตก็ยังแสดงความรู้สึกให้รู้สึกอีกส่วนหนึ่งในกายอยู่คู่กับสมอง แสดงความรู้สึกตลอดเวลา ความรู้สึกของกาย สมองและจิตแสดงความรู้สึกอยู่คนละตำแหน่งกันเช่นเดิม เมื่อคืนนี้เวลา 23.20 น. กลับถึงบ้านก็นั่งสมาธิประมาณ 15 นาที การนั่งสมาธิก็สงบลงและลึกอย่างรวดเร็วมากขึ้นกว่าแรกๆ ปฎิบัติมาก พอจิตถอนจากสมาธิลึกๆ ออกมาเพราะจะพักก็เหมือนมีนิมิตเกิดขึ้นแต่สำรวมไม่สนใจนี่คงเป็นที่เขาว่าพอจิตถอนมาที่อุปจารสมาธิจะมีนิมิตมาปรากฏขึ้นได้หรือเปล่านะ คงเป็นอย่างนี้เองแต่สำรวมไม่สนใจแผ่เมตตาและนอนเลย
วันนี้เวลา 14.30 -14.45 น. เดินจงกรมเดินไปอย่างมีสติจดอยู่ที่การเดินอย่างเดียว
เวลา 17.00-17.07 นั่งสมาธิ กลับไปนั่งอีกครั้งเวลา 17.12-17.35 น . วันนี้จึงนั่งสมาธิได้เพียงแค่นี้
สำหรับจิตที่แสดงความรู้สึกในกายในวันนี้ ทำให้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งนะว่ากายกับจิตแยกความรู้สึกอย่างนี้มันมีผลขนาดร่างกายปวดปัสสวะหรือปวดอุจจาระแต่จิตมันไม่ปวดด้วยมันก็เฉย จนกระทั่งมันจะออกแล้วรู้ว่าต้องไปแล้วถึงไปทำภารกิจนั้นๆ ไป คล้ายๆกับกิเลสที่เกิดกับกายนะ เช่นกรณีกิเลสที่เกิดกับกาย มันจะเห็นกิเลสเกิดกับกายและอยู่นอกจิต โดยกิเลสที่เกิดกับกายจะไม่สามารถทำให้จิตสนใจได้เลยและมันก็ดับไปได้เอง เราจะเห็นการเกิด-ดับ ของกิเลสที่เกิดขึ้นกับกายได้อย่างชัดเจน (ถูกผิดอย่างไรช่วยชี้แนะด้วยนะคะเพราะอธิบายตามความร้สึกจากสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เป็นอย่างนี้)



26 มิถุนายน 2553
เดินจงกรมช่วงบ่ายประมาณ 10 กว่านาที

17.13-17.44 น.นั่งสมาธิมีเวลาในการนั่งสมาธิมากพอสมควรในวันนี้จึงรับรู้ความรู้สึกที่ว่าวันนี้การนั่งสมาธิจิตถึงฐานของความสงบได้จิตได้พักแล้วซินะในวันนี้เพราะทั้งเดือนนี้ไม่ค่อยได้ปฎิบัตินานๆ ซักเท่าไหร่
อ่านคำสอนของพระอาจารย์มั่นที่สอนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ว่า(ขออภัยถ้าการอ้างขาดตกบกพร่องเพราะเดิมเป็นการอ่านเพื่อเรียนรู้คนเดียวน่ะค่ะ แต่พอต้องการคำชี้แนะที่ถูกต้องก็ต้องกลับมาหาครูบาอาจารย์และเพื่อนกัลยาณมิตรทุกท่านน่ะค่ะขอบพระคุณนะคะ)
“... ถ้าองค์ไหนดำนินตามรอยของผมจนชำนิชำนาญมั่นคง องค์นั้นย่อมเจริญก้าวหน้าอย่างน้อยก็คงตัวอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าองค์ไหนไม่ดำเนินตามรอยของผม องค์นั้นย่อมอยู่ไม่ทนนานต้องเสื่อมหรือสึกไป ผมเองหากมีภาระมากยุ่งกับ
หมู่คณะการประกอบความเพียรไม่สม่ำเสมอเพ่งพิจารณาในกายคตาสติไม่ละเอียด จิตใจก็ไม่ค่อยปลอดโปร่ง การพิจารณาอย่าให้จิตหนีออกนอกกาย อันนี้จะชัดเจนแจ่มแจ้งหรือไม่ก็อย่าได้ท้อถอยเพ่งพิจารณาอยู่ ณ. ที่นี่ละจะพิจารณาให้เป็นอสุภ หรือให้เห็นเป็นธาตุก็ได้ หรือจะพิจารณาให้เห็นเป็นขันธ์หรือให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ได้ทั้งนั้น แต่ให้พิจารณาเฉพาะเรื่องนั้นจริง ตลอดอริยบถทั้งสี่แล้วก็มิใช่ว่าเห็นแล้วก็จะหยุดเสียเมื่อไหร่ จะเห็นชัดหรือไม่ชัดก็พิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ เมื่อพิจารณาอันใดชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยใจตนเองแล้ว สิ่งอื่นนอกนี้จะมาปรากฏชัดในทีเดียวกันดอก”
สรุป คำสอนที่นำมาใช้สอนตัวเองก็คือการพิจารณากายคตาสติ การพิจารณาอย่าให้จิตหนีออกนอกกาย จะพิจารณาเป็นอสุภ ธาตุ ขันธ์ พระไตรลักษณ์ก็ได้ พิจารณาอยู่อย่างนั้นจนชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยใจตนเองแล้วสิ่งอื่นนอกนี้จะมาปรากฏชัดในทีเดียวกัน
23.30 น. นั่งสมาธิประมาณ 15 นาที แล้วก็เข้านอนพักผ่อนวันนี้ไม่ปรากฏอะไรกำหนดลมหายใจเข้าออกและพิจารณากายตาคสติโดยความเป็นธาตุเท่านั้น

9 มิ.ย. 53
ทุกวันวิปัสสนามากกว่าการนั่งสมาธิหรือการเดินจงกรม วิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม ขณะที่ดำรงชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นจนหลับโดย ในทุกๆวินาที การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาจากอายตนะ 12 ทั้งเวทนาของรูปกาย และเวทนาที่เกิดในจิตดังที่ได้อธิบายมาทุกๆ วันก็เป็นเช่นนั้น จิตก็จะเฉย ไม่ทุกข์ไม่สุขอยู่อย่างนั้นอายนะ 6 คู่ก็ไม่มีโอกาสมากระทบกับจิตแต่อย่างใด
การพิจารณาจิตในจิตก็ต้องพิจารณาทุกๆ วินาทีอยู่แล้วเพราะจิตมันแสดงตัวออกมาให้รู้สึกอยู่ที่หน้าอกทุกวินาทีตั้งแต่ตื่นจนหลับ จิตกระเพื่อมไปกระเพื่อมมา เดินไปไหนไปทำอะไรก็กระเพื่อมไปตามจังหวะการเดินนั้นๆ ด้วย ในตัวของจิตกระเพื่อมนี้ไปอ่านหลวงพ่อสุรศักดิ์ วัดมเหยงค์แล้วรู้สึกค่อยยังชั่วเพราะท่านก็มีลักษณะของจิตกระเพื่อมนี้ด้วย ดังนั้นในการดำเนินชีวิตทุกวันนี้จึงยึด
1. พรหมวิหาร ๔ เป็นที่พึ่งในการปฎิบัติและควบคุมใจ
2. อ่านหลักปริยัติต่างๆ อ่านพระสุตตันตปิฎก และตำหรับตำราครูบาอาจารย์ต่างๆ นำมาปฎิบัติตามเพื่อให้มีแนวทางในการปฎิบัติ ปฎิบัติผิดพลาดอะไรไปกรุณาชี้แนะด้วยค่ะ
3. เห็นธรรมะของพระพุทธองค์ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ รวมทั้งเรื่องกรรม ยอมรับเรื่องกรรม และใช้หลักปล่อยวาง ไม่สนใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับกาย ไม่สนใจกายเห็นทุกอย่างเป็นปกติธรรมดา
4. พยายามรักษาศีลทางกาย วาจา ใจ ซึ่งจริงๆแล้วศีลมันจะมาอยู่ในใจของเราเองโดยอัตโนมัติจะทำอะไรผิดศีลจิตมันจะคอยเตือนเราและทำให้เราไม่ทำผิดศีลโดยอัตโนมัติเอง แต่ในชีวิตฆราวาสศีลคงจะละเอียดถึงพระภิกษุคงไม่ได้ ได้แต่แค่ศีลอย่างหยาบๆ ค่ะ
5. มองโลกมองสังคมด้วยโลกธรรม ๘ ไม่ให้มากระทบตัวเองมากนัก พยายามค้นคว้าดูเฉพาะตัวเราเองเท่านั้นปฎิบัติถูกหรือเปล่าคะ
วันนี้ตื่นเช้าขึ้นมาจิตมันแสดงตัวให้รู้สึกปรากฏชัดกลางอก กระเพื่อมไปกระเพื่อมมากลางอก มันรู้สึกเด่นชัดมาก ความรู้สึกคือ มันเฉ้ย เฉย มันสง้บ สงบ มันเป็นความรู้สึกแบบไม่สุขไม่ทุกข์ มันลอยเฉยๆ เหมือนมันจะลอยไปไหนก็ได้ แต่ขณะนี้มันลอยกระเพื่อมๆอยู่ที่หน้าอกตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นมาเท่านั้นเอง เดินไปไหนไปทำอะไรมันจะลอยเด่นให้รู้สึกทั้งวัน กระเพื่อมไปกับจังหวะการเดิน บางครั้งมีเหตุการณ์อะไรมากระทบจิตก็จะคิดจะปรุงออกเร็วมากไม่เหมือนในอดีตเช่นปกติจะชอบให้อภัยคนง่ายมากแต่ในขณะนี้ วันนี้ในช่วงบ่ายกิเลสคงมาทดสอบมั้ง หรือเป็นอย่างที่หลวงปู่ดุลย์ กล่าวไว้ว่าบางครั้งกิเลสปรุงจิตหรือบางครั้งจิตก็ปรุงกิเลส ดิฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนักแต่สิ่งที่ปรากฏในวันนี้คือ
ปกติจะเลี้ยงอาหารพนักงานทั้ง 3 มื้อด้วยความเต็มใจจะพยายามหาอาหารที่ทานได้และดิฉันก็ทานกับพนักงานทุกมื้อด้วย แต่ก็มีพนักงานบางคนในครัวขโมยเอาของที่มีราคาแพงๆในครัวมาทำหม้อใหญ่ทานคนเดียวไปเห็น(ซึ่งก็เป็นปกติธรรมดาโลกก็คิดว่าเขาขาดแคลน เขาคงหิวของกินนั้นๆเขาเลยทำเช่นนั้น แต่จิตมันก็ยังไม่ค่อยยอมมันไม่สงบ สมองมันก็เถียงในใจว่าก็เราให้อาหารที่ดีและเหลือเฟือแล้วเรายังทานกับพวกเขาเลย คิดถึงคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าในเรื่อง จงให้อาหารแก่ผู้หิวโหย คำว่าจงให้ จงให้ เป็นการประพฤติปฎิบัติของพรหมทำไมจะให้อภัยทานแก่คนคนนี้ไม่ได้ จิตมันก็ดื้ออีกมันไม่สงบมันว้าวุ่น
จิตมันไม่สงบวันนี้จิตมันปรุงกิเลส คิดว่าเช่นนั้น สมองก็คิดต่อว่าไม่ใช่แค่นี้นะเขายังเอาทั้งข้าวสวย อาหารอื่นๆไปให้สามีที่บ้านกินบ่อยๆเราเห็นหลายครั้งบอกกล่าวแล้วยังแอบทำอีก ถ้าปฎิบัติธรรมแล้วต้องให้คน ต้องยอมคนขนาดนี้ก็ไม่ยุติธรรมกับเราสินี่เป็นการขโมย เงินเดือนที่ให้ในฐานะกุ๊กก็เยอะแล้วแต่เขาคงลำบากเพราะสามีไม่แบ่งเบาภาระ3-4ปีแล้วเท่าที่เห็น แล้วก็คิดตอบตัวเองขึ้นมาว่าโลกนี้คนเป็นทุกข์มีเยอะ คนขาดแคลนมีเยอะ ในเมื่อมีเหลือพอจะจุนเจือเขาเลยไปถึงยังครอบครัวเขาก็น่าจะมีเมตตา กรุณาต่อเขาให้เขาได้เป็นบุญแล้วที่มีให้เขา เขาอาภัพนะที่ต้องเป็นเช่นนี้ อีกประการหนึ่งถึงแม้เขาจะกระทำเช่นนั้นหรือมีอีกหลายคนทำอย่างอื่นๆ ตามประสามนุษย์ที่ยังไม่อยู่ในศีลในธรรมกับเราก็ตามตัวเราเองยังมีกินมีใช้อยู่มิใช่หรือ จิตมันก็คลายลงไปแต่ไม่สงบซักที
ก็เลยคิดว่ามันเป็นกรรมนะเราอาจจะทำกรรมอะไรไว้กรรมนั้นย่อมมาประสบกับเรา อาจเป็นกรรมของเราหรือกรรมของเขาที่จะติดตัวไปก็ได้คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็คิดอโหสิกรรมให้เขาอย่าให้เขามีกรรมติดตัวไปเลยเราให้อภัยเขาและอโหสิกรรมให้เขา ชีวิตมนุษย์ย่อมเป็นทุกข์เป็นธรรมดา ตัวเราเองยังพอมีจุนเจือคนอื่นๆ ได้ ก็น่าจะสุขใจแล้วจิตจึงค่อยสงบ แต่ไม่ราบเรียบมันยังว้าวุ่นพิกลอย่างที่คิดไว้วันนี้จิตคงปรุงกิเลสน่ะ ขณะนี้จิตดวงเด่นปรากฏความรู้สึกให้รู้สึกเห็นชัดเจนจึงเป็นปฎิกิริยาที่ต้องเกิดมั้ง และ
ที่สุดจิตก็สงบและดับความว้าวุ่นในสมองไปได้จริงๆด้วยอาณาปาณสติในตอน ดึก จิตถึง เลิกคิดเลิกปรุงเลิกว้าวุ่นมาสงบเฉยเช่นเดิม ประสพการณ์วันนี้คือต้องใช้ทั้งพรหมวิหาร ๔ เรื่องกรรม โลกธรรม ๘ และอาณาปาณสติช่วยระงับความว้าวุ่นของจิต ตามปกติจะอภัยให้คนง่ายๆ แต่วันนี้ทำไมเป็นไปได้ยากก็ไม่รู้สงสัยจิตออกรู้เร็ว รับเร็ว ทดสอบเร็วมั้ง ทำให้เห็นกิเลสเกิดที่จิตและดับจากจิตไปได้อย่างไรในวันนี้อย่างชัดเจนจนจิตหรือ ใจสงบได้ดังเดิม นั่งสมาธิประมาณ 30 นาทีพอมันสงบก็พอแค่นั้นคิดอะไรไม่ออกคิดแต่คำสอนหลวงปู่ดุลย์ ในเรื่องจิตปรุงกิเลสได้เท่านั้น (สมองคือส่วนคิดอยู่บริเวณศีรษะ จิตคือส่วนแสดงความรู้สึกรับรู้อารมณ์อยู่บริเวณอกด้านซ้ายไม่รู้ว่าถูกไหมแต่วันนี้ในร่างกายปรากฏเช่นนี้จริงๆ)
ซึ่งกล่าวโดยสรุปพอมาถึง ณ จุดนี้ดิฉันมีประสบการณ์เรื่องกิเลสที่เกิดกับกายและดับไปจากกายโดยไม่กระทบจิตเป็นอย่างไร เรื่องกิเลสที่เกิดที่จิตและดับไปจากจิตต้องทำอย่างไรได้

10 มิ. ย.53
วันนี้ทุกอารมณ์ทุกขณะจิตจะพิจารณาวิปัสสนาตลอดเวลาที่ว่างหรือที่มีเหตุการณ์มากระทบ เคยอ่านหลวงพ่อชาในจิตผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบานเป็นพุทธะ ว่าไม่ว่าเราเจออะไรทั้งวันนำมาพิจารณาให้เป็นธรรมให้หมดก็เท่ากับเราได้ปฎิบัติตลอดเวลา ก็เลยทำเช่นนั้นอยู่ทุกขณะ และพระอาจารย์มั่นก็เคยสอนหลวงปู่ฝั้นที่เห็นหมาแทะกระดูกและวิ่งกลับไปกลับมาเพื่อแทะกระดูกที่ไม่มีเนื้อมีเพียงน้ำลายตัวเองอย่างนั้นย้อนมาพิจารณาตัวท่านเอง พระอาจารย์มั่นก็สอนว่าไม่ว่าพบเจออะไรในชีวิตประจำวันให้นำมาพิจารณาให้เป็นธรรมทั้งหมดอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ เป็นวิธีการที่ดีสมควรปฎิบัติอาจารย์มั่นกล่าวชมหลวงปู่ฝั้น
หลวงพ่อชาท่านบอกว่าการปฎิบัตินี้จำเป็นต้องมีครูบาร์อาจารย์มาสอนให้ทั้งนี้เพราะบางครั้งเราเข้าใจว่าถูกแต่มันผิดก็ได้ จึงควรต้องมีอาจารย์คอยชี้แนะให้ด้วยจึงจะดี ดิฉันเองก็พยายามหาอาจารย์ก็ได้อาจารย์ที่ลานธรรมแห่งนี้มาสอนให้หลายอย่างซึ่งเป็นประโยชน์อย่างที่สุดกราบขอบพระคุณค่ะ แต่ในปัจจุบันยังไม่พบครูสอนโดยตรงเลยจะไปวัดป่าที่บ้านดอยลานก็ไม่มีโอกาสได้ไปเพราะที่บ้านไม่อยากให้มุ่งเน้นด้านนี้นักอาศัยเพียงศึกษาพระธรรมจากพระไตรปิฎกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง กับตำรับตำราการปฎิบัติของพระเถระที่ท่านได้อนุเคราะห์สอนไว้เป็นตำรับตำราที่หาอ่านได้ ก็พยายามหาอ่านทั้งหมดเท่าที่หาอ่านได้และยึดมั่นคำสอนพระเถระเหล่านั้นกับองค์คถาคถเป็นแนวในการปฎิบัติทุกๆ วัน
ส่วนสมถทำจิตสงบด้วยอาณาปาณสติก็พยายามทำในตอนดึกเล็กน้อย การ เดินจงกรมเพื่อให้สติแน่นแทบไม่ได้ปฎิบัติเลยแต่จิตก็อยากเดินอยู่เรื่อยๆ ไม่เบื่อไม่ขี้เกียจ ก็ปล่อยสบายๆ มีเวลาพอปลีกได้ก็ไปปฎิบัติถ้าร่างกายเมื่อยล้าก็พักธาตุขันธ์ตามควรของกำลังกายเท่านั้นจิตก็สบายๆ พบเรื่องอะไรเข้ามาก็ปล่อยวางได้อย่างง่ายๆ จิตแสดงความรู้สึกชัดว่ามีอยู่ที่หน้าอกและรู้อยู่เรื่อยๆ เป็นปกติทุกเวลา จิตกระเพื่อมก็รู้ จิตลอยเฉ้ยเฉยก็รู้ ทุกเวลาจิตสงบอยู่ที่อกก็รู้
วันนี้อ่านหลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมเพื่อเรียนรู้สรุปว่า
ปฎิบัติถึงญาน ๔ ถ้าสายวิปัสสนาจิตพัฒนาเป็นโคตรภูฌาน ถ้า สมถอย่างเดียวเป็นอรูปฌาน ๘
โคตรภูฌานเป็นฌานที่ประกอบด้วยปัญญาจะปรากฏเหตุการณ์สิ่งรู้ทั้งหลายขึ้นทำให้จิตรู้แจ้งเห็นจริง รู้เค้ารู้เงื่อนของอวิชชา รู้ว่าสัตว์ตายเกิดเพราะอะไร ทำไมสัตว์จึงเป็นไปต่างๆ กัน เพราะอะไรมันก็ค้นคว้าของมันไป เมื่ออยู่ขั้นนั้นเราจะทำอะไรไม่ได้นอกจากภูมิจิตมันจะเป็นไปเอง
ภาคปฎิบัติเรากำหนดหมายการพิจารณาอารมณ์ต่างๆ เมื่อจิตยังไม่สงบทีนี้เมื่อสงบไปแล้วสิ่งที่เรากำหนดพิจารณานั่นแหละมันจะเป็นพลังหนุนส่งให้จิตไปเกิดภูมิความรู้ขั้นโคตร
ภูฌาน
โคตรภูฌานเป็นจุดที่พระพุทธองค์ทรงสำเร็จ
ปุเพนิวาสานุสติฌาน
จตุปปาตฌาน
อาสวักขยฌาน ตามลำดับ
รู้อาสวักขยฌานคือรู้จักวิธีทำอาสวะให้สิ้นไปซึ่งมันจะเป็นไปของมันเอง มันรู้ว่านี่คือกิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองซึ่งมันจะเป็นไปของมันเองโดยอัตโนมัติ
หลวงพ่อพุธเล่าตอนนั่งภาวนาประมาณ 3 ทุ่มจนถึงตี 3 ว่ารู้สึกเวทนาเกิดมากกว่าสงบจึงจะพัก จิตก็สอนเลยว่านอนมีเวลาเยอะแยะ ก็นั่งต่อปรากฏสว่างไสว ดวงขาวๆ ลอยออกมากับลมหายใจ มีแต่ความว่างไปหมด เห็นตัวเองป่นเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ไปเรื่อยๆ จนจิตมันลอยมาเข้าทางอกจึงมีสติแล้วจิตมันก็สอนท่านอีก...ฯลฯ
นี่แสดงว่าจิตหรือธรรมจะสอนนักปฎิบัติเองได้เป็นอย่างนี้เองที่ดิฉันประสบคงเป็นจุดเริ่มแรกที่เริ่มมีเสียงจิตสอนขึ้นมาหรือเปล่าคะทุกๆ คนที่เพียรปฎิบัติจะต้องเจอจุดนี้ทุกคนหรือเปล่าคะช่วยกรุณาชี้แนะด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
อ่านหลวงพ่อชา “นอกเหตุเหนือผล”
...ดังนั้นถ้าเป็นคนฉลาดแล้วก็จะปล่อยหมด สิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจไม่ชอบใจก็ปล่อยมันไป...แต่ปล่อยอย่างรู้เท่าทัน...อย่าไปจับอย่าไปต้องมันเพราะเราไม่ต้องการอะไร ชั่วก็ไม่ต้องการ ดีก็ไม่ต้องการ หนักก็ไม่ต้องการเบาก็ไม่ต้องการ สุขก็ไม่ต้องการ ทุกข์ก็ไม่ต้องการ มันก็หมดเท่านั้นเอง ทีนี้ความสงบก็ตั้งอยู่เท่านั้นแหละ... เมื่อความสงบตั้งอยู่แล้วเราก็ดูความสงบนั่นแหละเพราะมันไม่มีอะไรแล้ว เมื่อความสงบเกิดขึ้นความวุ่นวายก็ดับ …

12 มิ.ย. 53
วันนี้จิตก็ยังแสดงความรู้สึกเป็นดวงลอยเด่นกระเพื่อมไป กระเพื่อมมาอยู่กลางอกตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอย่างสงบ เฉ้ย เฉย ไม่ทุกข์ไม่สุขอยู่เช่นทุกๆ วันจนกระทั่งถึงเวลานี้ จิตดวงเด่นจะแสดงความรู้สึกอยู่คู่สมองซึ่งจะเป็นส่วนคิด นี่คงเป็นจิตเฉย จิตกระเพื่อม จิตสงบ จิตไม่ทุกข์ไม่สุขมั้ง จนผู้ปฎิบัติรู้สึกอยู่ตลอดเวลา และเป็นผู้รู้ ผู้ดูจิตไปโดยอัตโนมัติ(บันทึกจากความรู้สึกครูบาอาจารย์กัลยาณมิตรช่วยชี้แนะด้วยนะคะ)

16 มิ.ย. 53
เริ่มลดถอยการนั่งสมาธิและเดินจงกรมไปอย่างมากแทบไม่ปฎิบัติเลย นั่งสมาธิในตอนดึกทุกวันก็จริงแต่วันละไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้น เดินจงกรมไม่น่าจะกี่ครั้งในครึ่งเดือนนี้ต่างกับช่วงก่อนมาก ทั้งๆที่อยากปฎิบัติแต่ก็ไม่คิดมากเพราะทุกอย่างเป็นอนัตตาตามคำสอน เลยไม่ยึดมั่นถือมั่น เดินก็ได้ไม่ได้เดินก็ได้
ตื่นเช้าขึ้นมาปวดเอวก็คิดวิปัสสนาทันทีอ้อสังขารไม่เที่ยงเป็นอริยสัจน์ร่างกายย่อมมีความทุกข์ตามสภาพอริยสัจน์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ย่อมเป็นทุกข์ ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ และสิ่งปฎิกูลโสโครกเท่านั้นเอง การปวดของร่างกายมันก็ปวดบริเวณนั้นๆ ไม่กระทบกับจิตเลยจิตมันไม่ได้รู้สึกปวดด้วยแต่อย่างใด

วันนี้จิตก็แสดงความรู้สึกลอยเด่นให้รู้สึกอยู่เช่นเดิมเลยต้องดูจิตตั้งแต่ตื่นจนหลับ บางครั้งเกิดเหตุการณ์อะไรต่างๆ ที่เข้ามาเกิดขึ้นตลอดในชีวิตประจำวัน ก็จะนิ่งๆใช้หลักธรรมเข้ามาพิจารณาตัดสินการดำเนินชีวิตประจำวันตลอดเวลา
เวลาปลูกต้นไม้จะเอาพลั่วมาค่อยๆ แคะดินออกมาพอต้นไม้ปลูกได้เท่านั้นเพราะถ้าใช้จอบจะทำให้สัตว์ตายหรือบาดเจ็บได้เคยอ่านช่างปั้นหม้อองค์อุปถากของพระพุทธเจ้ารู้สึกประทับใจมากนำแบบอย่างมาปฎิบัติในหลายๆ เรื่อง ที่พอทำได้รู้สึกชอบน่ะค่ะ
ตอนกลางวัน 14.00 น. กลับมานั่งสมาธิอีกครั้งเพราะมันเหมือนว่าจิตมันหิวโหยการนั่งสมาธิอย่างนั้นแหละโดยไม่เดินจงกรม ปรากฎว่าแม้จะเป็นเหน็บชาเวทนากายขนาดหนักแต่จิตมันอยากสงบมั้ง มันวนเข้าหาความสงบอย่างรวดเร็ว และไม่อยากถอนสมาธิออกมา เวทนาสักแต่เวทนาแต่จิตจะพักสงบมันไม่ยอมถอนออกจากสมาธิเลยนั่งสมาธิทั้งๆเกิดเหน็บชาอย่างนั้นเป็นเวลานาน ร่วมชั่วโมง

17 มิ.ย. 53
วันนี้จิตยังแสดงความรู้สึกลอยเด่นให้ทราบความรู้สึกของจิตเช่นเดิม

19 มิ.ย. 53
เมื่อวานเย็นแล้วจิตไม่กระเพื่อมแล้วจนถึงวันนี้จึงแน่ชัดขึ้นค่อยยังชั่วหน่อย แต่จิตมันก็ยังแสดงความรู้สึกให้รู้ว่ามีมันอยู่ตรงบริเวณหัวใจอยู่ รู้สึกได้เฉพาะตอนหายใจเข้าออกแล้วใจมันพองแฟ้บๆ ก็จะรู้สึกถึงจิตว่ามีอยู่ที่นึ่แต่ไม่รู้สึกชัดเจนเท่าไหร่แล้ว
ทำไมจึงใช้คำว่าค่อยยังชั่วก็เพราะเวลามันกระเพื่อมไป กระเพื่อมมา ลอยไปมา เคว้งๆๆๆ บริเวณหน้าอกทำให้คิดว่ามันลอยออกมาได้เหมือนที่เคยอ่านหลวงพ่อพุธที่บอกว่ามันลอยออกมากับลมหายใจ
วันนี้ก็ยังไม่เดินจงกรมไม่ค่อยนั่งสมาธิ
จิตวันนี้ก็รู้สึกนิ่งๆ เฉยๆ รับเรื่องหนักเบาได้ทุกเรื่อง
20 มิ.ย. 53
จิตวันนี้มันไม่กระเพื่อมมันแสดงความรู้สึกให้รู้ว่ามันอยู่ที่อกนี้นะ นิ่งๆอยู่กับที่ไม่ว่าเรื่องหนักเบาเข้ามากระทบมันก็เฉยๆมันอยู่ส่วนมัน ร่างกายยังปวดเมื่อยไปตามสังขารบ้างก็เป็นไปส่วนของมัน จิตผู้รู้ก็รับรู้ว่ามันคนละส่วนกัน จิตแสดงความรู้สึกของจิตไป กายก็แสดงความรู้สึกตามสิ่งที่มากระทบไปเช่นเจ็บถ้ามีแผล ปวดหนักเบา ฯลฯ วันนี้ จิตยังคงนิ่งเงียบอยู่ที่หน้าอก ไม่ทุกข์ไม่สุขอะไรไปกับเรื่องที่มากระทบ หรือทุกข์ไปกับกายสังขารแต่อย่างใด
วันนี้ตอนบ่ายเดินจงกรม 10 นาทีและนั่งสมาธิก็สงบและลึกเข้าไปอย่างรวดเร็วนั่งประมาณ 20 นาทีก็พอ


21 มิ.ย. 53
เดินจงกรมบ่าย 15 นาที ทั้งวันวิปัสสนาสติปัฎฐาน ๔ ตลอดตามเหตุที่เข้ามากระทบอีกทั้งจิตมันก็แสดงความรู้สึกตัวของมันอย่างชัดเจนทำให้ต้องดูกายดูเวทนาดูจิตและดูธรรมมันตลอดเวลาอยู่แล้วตามสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งวัน ดึก 24.00 น.นั่งสมาธิอีก 15 นาที เกิดแสงแปล๊บๆๆ อีกตามเคยแสงสว่างขณะนั่งหลับตาเป็นว๊าบๆๆ สว่างมากมาให้เห็นตลอด และเริ่มมีนิมิตมาปรากฏให้เห็นเลยมิได้ลอยมาแต่สำรวมจิตไม่สนใจ อยากเพียงพิจารณากาย จิต เพื่อความสงบและละกิเลสเท่านั้น
แต่แสงสว่างเหมือนแสงไฟฟ้าตอนกลางวันนี้เริ่มปรากฏถี่ขึ้นๆ ทุกๆ วัน
ทุกเวลาในปัจจุบันปฎิบัติสมถและวิปัสสนา นั่งสมาธิ เดินจงกรม ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต และดูธรรมโดยเฉพาะธรรมที่เกิดกับกาย กับจิต ของตัวเราเองในชีวิตประจำวันทุกๆ วัน
วันนี้อ่านการใช้ชีวิตสมณและการปฎิบัติธรรมของพระอาจารย์จวนและหลวงพ่อชา ทำให้รู้ว่าการปฎิบัติต้องลำบากอย่างไร ต้องยอมรับจริงๆ ว่า เป็นการปฎิบัติที่เป็นที่สุดแห่งทุกข์จริงๆและเป็นการใช้ชีวิตสมณที่สมกับสมณจริงๆ


22 มิ.ย. 53
ตื่นมาวันนี้จิตก็อยู่นิ่งๆแสดงความรู้สึก อยู่หน้าอกเหมือนเดิม ทำให้รู้ว่าความรู้สึกของจิตและสมองที่มีอยู่ในกายเหมือนทุกวัน จิตมันอาศัยอยู่ในกายของคนทุกคนใช่หรือเปล่าคะเพียงแต่มันจะแสดงความรู้สึกให้คนๆ นั้นรู้หรือเปล่าก็เท่านั้นใช่ไหมคะ ถูกผิดไม่ทราบนะคะอธิบายตามความรู้สึกเท่านั้นเองค่ะ
23 มิ.ย.53
ตอนเช้าเห็นแมงเม่า แมงมันนอนหงายปีกหลุดไปบ้างจึงหยิบมันไปปล่อยลงดินได้ 4-5 ตัว วันนี้จิตยังแสดงความรู้สึกให้รู้ว่ามีอยู่ในกายอย่างเห็นได้ชัดเช่นทุกวัน วันนี้กิเลสที่เกิดกับกายมาแย็บๆ อยู่ทั้งวันเกิดดับ กับกายให้เห็นอยู่ในวันนี้
อ่านหลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่ดุลย์กล่าวถึง
“..เมื่อท่านกระทำความเพียรจนจิตสงบเป็นสมาธิแล้ว ก็บังเกิดแสงแห่งพระธรรมปรากฏแก่จิตของท่าน...จนกระทั่งท่านสามารถที่จะแยกจิตกับกิเลสออกจากกันได้ รู้ชัดว่าอะไรคือจิต อะไรคือกิเลส จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต และเข้าใจสภาพของจิตที่แท้จริงได้...”
คงจะเหมือนกับดิฉันที่ปฎิบัติในขณะนี้หรือเปล่านะครูบาอาจารย์ช่วยชี้แนะให้ด้วยนะคะ
อ่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เห็นความทรหดอดทนในการเดินธุดงค์แล้วอยากปฎิบัติอย่างท่านบ้าง ธุดงค์ตามท่าน (ฝันน่ะค่ะรู้ว่าตัวเองวาสนาน้อยคงไม่มีโอกาส) สรุปที่ท่านสอนไว้คือ
1. เรื่องระลึกชาติห้ามหลงหรือสนใจเยอะเพราะไม่ใช่โลกุตระ ถ้าหลงเรื่องระลึกชาติก็ไม่จริงได้เช่นกัน ให้มุ่งที่อาสวะขยญานคือความหลุดพ้น จะทำให้พ้นทุกข์ได้
2.ในขณะเดินธุดงค์ชอบเดินกลางคืน กำหนดจิตไปขณะเดินก็จะเท่ากับเดินจงกรมตลอดคืน จิตที่ภาวนาจนเป็นสมาธิย่อมมีความสงบเยือกเย็น
จิตวิเวก กายวิเวก
จิตเบา กายเบา
จิตสงบ กายสงบ
จิตและกายต่างสงบอยู่ในตัวของตัวเอง

14.10 น. มีพระธุดงค์เดินผ่านหน้าร้านท่านมารูปเดียวเลยวิ่งนำน้ำ น้ำอัดลมกระป๋องไปถวาย ช่วงนี้มีพระธุดงค์ผ่านหน้าร้านมากขึ้นทำให้มีโอกาสถวายน้ำในช่วงบ่ายจัดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ด้วยบ่อยๆ เช่นกัน พระธุดงค์รูปนี้อายุไม่น่าจะเกิน 30 ปี นับว่าท่านเก่งนะเดินธุดงค์รูปเดียว สายตาท่านบริสุทธิ์ ร่าเริง และมีเมตตาอย่างยิ่ง ดูบริขารท่านแล้วยังเห็นดีอยู่ทุกอย่างเลยไม่ได้พูดอะไร


27 มิถุนายน 2553
คำสอน “เป็น อนัตตา” จึงตั้งใจพยายามทำงานและกิจการงานเพื่อครอบครัวให้ดีที่สุด การบวชแล้วแต่โอกาสและวาสนาจะได้ทำอะไรเมื่อไหร่ก็ปล่อยไปตามจังหวะชีวิตเท่านั้นเองคิดว่าทุกอย่างย่อมมีครรลองของมันอยู่แล้ว

อ่านพระอาจารย์มั่นที่เน้นย้ำสอนศิษย์ไว้ที่เรียบเรียงโดยพระอริยคุณาธาร(เส็ง ปุสุโส) ว่า
พระอาจารย์มั่นสอนศิษย์ที่จะอำลาเพื่อแสวงหาที่วิเวกบำเพ็ญสมณธรรม ให้ยึดเอาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นแบบฉบับ เพราะเมื่อท่านถูกโลกธรรมมากระทบนานาประการและมีพระบาลีที่ไม่เคยสดับมาปรากฏขึ้น... ท่านพิจารณาได้ความว่า “ระหว่างพระอริยบุคคลผู้ได้สดับแล้วกับปุถุชนผู้มิได้สดับก็ย่อมถูกโลกธรรมกระทบกระทั่งเช่นเดียวกัน แม้พระคถาคตก็ได้ถูกโลกธรรมกระทบกระทั่งมาแล้วแสนสาหัสในคราวบำเพ็ญทุกรกิริยา และการปฎิบัติตามพระธรรมวินัยนั้นพระองค์มิได้ตรัสสอนให้เอาพระสาวกองค์นั้นองค์นี้เป็นตัวอย่างตรัสสอนให้เอาพระองค์เองเป็นตัวอย่างเป็นเนติแบบฉบับเป็นที่พึ่งเสมอด้วยชีวิต”
บ่ายนั่งสมาธิโดยกำหนดลมหายใจเข้าออกนั่งจนลมหายใจละเอียดจนแทบไม่มีลมหายใจแล้วจึงถอนออกมาพิจารณากายตาคสติโดยเป็นของปฎิกูล ผม ขน เล็บ อาการ 32 ทั้งหมดโดยความเป็นธาตุ ปรากฎภาพดวงตามาอยู่ตรงหน้าให้เห็น ความละเอียดของภาพก็ชัดเจนมาก พิจารณาดวงตาไปเรื่อยๆ นึกให้มันเสื่อมลงไปเป็นพระไตรลักษณ์มันก็เสื่อม วันนี้จึงพอแค่นี้
ภาพนิมิตทุกมุมภาพชัดเจนมากเหมือนเรามองผ่านแก้วใสมากๆ ชัดยิ่งกว่าดูทีวีเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เนอะและจะมีเหมือนแสงสว่างอยู่ตลอดที่หลับตาสว่างเหมือนกลางวัน บางครั้งถึงกับมีแสงแปล้บๆๆเหมือนแสงสปอต์ไลท์ก็มี แสงมันมาเตือนอยู่บ่อยๆ คล้ายว่าต่อไปย่อมมีแสงสว่างควบคู่ไปกับการปฎิบัติธรรมที่สูงขึ้นเพราะมันเหมือนแขกมาเยือนอยู่หน้าบ้านอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ตื่นเต้นหรือรู้สึกอะไรเพียงแต่สังเกตุได้ว่ามันมาเคาะประตูอยู่หน้าบ้านเท่านั้นเอง วิปัสนูกิเลสนี้ต้องระมัดระวังจิตอาจารย์หลายท่านสอนไว้ แต่ก็ไม่กระทบกับจิตเลยไม่รู้สึกอะไรเลย ตั้งข้อสังเกตไว้เฉยๆ
จริงๆ เรื่องนิมิตเท่าที่อ่านเยอะขึ้นเริ่มรู้ว่าบางครั้งอาจารย์บางท่านจะสอนไม่ให้เกี่ยวข้องกับนิมิตแต่บางท่านก็สอนให้เข้าใจนิมิตและปฎิบัติกับนิมิตให้ถูกต้องมองมันเป็นพระไตรลักษณ์เท่านั้นตัวดิฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะหาข้อสรุปให้ตัวเองว่าอย่างไร เช่นกันค่ะ
เช่นถ้าเราจะพิจารณากายในกายถ้าเรานั่งสมาธิแล้วถอนออกมาพิจารณากาย อาการ 32 ก็จะมีนิมิตรูปกายมาให้เราพิจารณาอยู่แล้วแล้วจะทำอย่างไรคะ หรือให้ไม่ต้องนั่งสมาธิให้นั่งคิดอย่างเดียวในอาการ 32 นะค่ะหรือให้พิจารณานิมิตกายอย่างเดียวไม่ให้สนใจนิมิตนอกน่ะค่ะ ครูบาอาจารย์กรุณาช่วยชี้แนะให้ด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
23.45 น. นั่งสมาธิเห็นนิมิตเป็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งสวยเชียวแหละเดินไปเดินมาทำภารกิจตรงโต๊ะไม้ธรรมดาข้างนอกชานบ้านมีต้นไม้อยู่รอบเยอะๆ เป็นผู้หญิงน่าจะเป็นจ้าวนางอะไรซักอย่างมั้ง เห็นเป็นอย่างนี้ตลอดเวลาในการนั่งเป็นผู้หญิงสวยเหมือนดูหนังแต่ต่อมาคิดได้ว่าถ้าเราสนใจเรื่องภายนอกที่ไม่ใช่สนใจกายและจิตไม่ได้ทำให้ก่อประโยชน์อะไรเลยในด้านการตัดกิเลส ตรงกันข้ามอาจเพิ่มกิเลสขึ้นก็ได้จึงสำรวมและหันมาพิจารณากายต่อไปในวันนี้ (ในความคิดคิดว่าไม่ควรสนใจนิมิตนอกให้สนใจนิมิตในเรื่องกายและเรื่องจิตเท่านั้นจะถูกหรือเปล่าคะ) นั่งพิจารณาคิดเองไปเรื่อยๆ ถึงความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ของมัน วันนี้ไม่ได้พิจารณาในด้านความเป็นธาตุหรือเป็นสิ่งปฎิกูล พอนั่งได้พอประมาณแล้วก็พอ
ช่วงนี้กายกับจิตก็ยังแยกกันแสดงความรู้สึกอยู่เช่นเดิม แต่จิตไม่ได้กระเพื่อมไปกระเพื่อมมาอีกแล้ว จิตอยู่นิ่งๆในอกด้านซ้ายและแสดงให้สมองหรือร่างกายรับรู้ว่ามีมันอยู่ตรงนี้และเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่ารูปของกายอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ากายจะรู้สึกอะไรในด้านภาวะปกติ เช่น จะปัสสวะ หิว บางทีก็ไม่กระทบจิตเลย จิตจะเฉยๆ ของมัน แต่อารมณ์ปัจจุบัน ณ.วันนี้ เวลานี้ เมื่อมีอะไรภายนอกมากระทบมันก็จะรู้สึกไปกับภายนอกพอสมควรเช่น โกรธ ดีใจ สุข เป็นต้น อารมณ์ไม่ทุกข์ไม่สุขเริ่มจะหายไปบ้างกลายมาเป็นอารมณ์ปกติมากขึ้น ทำให้รู้ว่าขนาดอารมณ์ไม่ทุขก์ไม่สุขก็ยังไม่เที่ยงมีเกิดมีดับได้ แต่ตอนอารมณ์ไม่ทุกข์ไม่สุขเกิดรู้สึกในช่วงก่อนๆ โน้นจะมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากเพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าเรื่องอะไรมากระทบมันเหมือนไม่เข้ามาที่ใจเลยได้ยินเสียงจริงๆ ของคนที่มาติดต่อหรือคนที่คุยกับเราแต่เราก็แก้ปัญหาหรือคุยตอบไปโดยสมอง ส่วนจิตหรือใจมันไม่นำมาเข้าที่ใจทั้งวันจะรู้สึกเช่นนั้นอะไรๆ เกิดขึ้นก็ได้ยินหรือเห็นแต่มันไม่มาอยู่ในใจเลยมันแค่ได้ยินหรือได้เห็นเท่านั้น ทุกๆอย่างมันอยู่พ้นความสนใจของจิตจิตมันจะลอยอยู่เฉ้ย เฉย สง้บ สงบ ไม่ทุกข์ไม่สุขอยู่อย่างนั้นเองและเป็นเวลานานด้วย (สภาพเหมือนอายตนะ 6 คู่ไม่สามารถมากระทบจิตได้ จิตมันสงบ เฉ้ย เฉยน่ะค่ะ อธิบายได้เพียงเท่านี้ค่ะ)


29 มิถุนายน 2553
กลางวันไม่ได้ปฎิบัติอะไรเลยนอกจากดูกายเดินนั่งนอนคู้เข้าเหยียดออก ฯลฯ ดูจิตดูเวทนาของตัวเองตลอดเวลาเพราะจิตมันแสดงความรู้สึกให้ดูอยู่ทุกเวลาที่ตื่นขึ้นมา เห็นเรื่องทางโลกอะไรมากระทบก็คิดว่ามันคือโลกธรรม ๘ ก็เท่านั้น การดำรงชีวิตก็ใช้พรหมวิหาร ๔ ไม่เดินจงกรมไม่นั่งสมาธิในวันนี้



30 มิ.ย. 53
00.05 น. ไม่เดินจงกรมไม่นั่งสมาธิ นอนหลับเลยขณะจะหลับตาเห็นนิมิตปรากฏขึ้นมามันปรากฏให้เห็นเลยเหมือนเราหลับตาลงไปคือการเปิดดวงตาของอีกโลกหนึ่งขึ้นมาบางครั้งเป็นเวิ้งออกไปใสๆ เห็นอะไรชัดเจนอยู่เช่นนั้น ปกติก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะไม่สนใจนิมิตอยู่แล้วจะสำรวม แต่วันนี้นิมิตมาปรากฏให้เห็นเลย เป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งอายุประมาณ 60 กว่าปียืนอยู่และเดินเข้ามาหา ก็ไม่สนใจและเห็นมีพระภิกษุหนุ่มๆอีกนับ 80-ร้อยยืนรวมกันอยู่ข้างหลังพระภิกษุอาวุโสองค์นั้นด้วยก็สำรวมไม่สนใจแต่ได้ลุกขึ้นมากราบที่หมอนและสำรวมไม่สนใจและหลับไป

วันนี้อ่านธรรมเทศนาของหลวงปู่ขาว อนาลโย วิมุตติ คือ ความหลุดพ้น กล่าวถึง
“...ส่วนอริยสัจ ๔ ให้พิจารณาให้รู้ให้เห็นตามเป็นจริง
ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละเสีย นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรทำให้เกิดให้มี ชาติความเกิด ชราความแก่ พยาธิความเจ็บ มรณะความตาย นี่ทุกขสัจ ทุกข์มันเกิดมาจากไหน ทุกข์เป็นตัวผล สมุทัยเป็นตัวเหตุ
สมุทัยคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ความใคร่ในรูปที่สวยงามในวัตถุกามต่างๆ มีเงินทองข้าวของเป็นต้น เรียกว่า เรียกว่ากามตัณหา ความอยากมีอยากเป็นอยากเป็นโน่นเป็นนี่ อยากเป็นเศรษฐีคหบดีเป็นต้นเรียกว่าภวตัณหา ความไม่พอใจของได้มาแล้วหายไปเกิดความไม่พอใจ ร่างกายของตนก็ดีของคนอื่นก็ดีเมื่อแก่ลงมามีความทรุดโทรม ผมหงอก ฟันหัก แก้มตอบเป็นต้นเลยไม่พอใจนี้เรียกว่า วิภวตัณหา ตัณหาทั้งสามประการนี้เป็นเหตุให้สัตว์ท่องเที่ยวอยู่ในวัฎสงสารในภพน้อยภพใหญ่นับกัปนับกัลป์ตัณหามันเกิดขึ้นจากไหนต้องค้นหาเหตุมัน เหตุมันเกิดจากอายตนะภายในและอายตนะภายนอกมาสัมผัสกัน ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส ใจรู้ธรรมารมณ์ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เพียรสำรวม เพียรละ ไม่ให้เกิดความยินดียินร้ายให้เป็นกลางวางเฉยต่ออารมณ์ นี่เรียกว่าการดับตัณหา
การทำความเพียร การสำรวม และการทำความดีทุกอย่างเพื่อละตัณหานี้แหละเป็นทางมรรค เมื่อปัญญาเห็นความเกิดขึ้น ความดับไปของสังขารทั้งหลายทั้งปวง เห็นแน่ว่าไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงธาตุ ๔ มาประชุมกันเข้าแล้วก็แตกสลายไปอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมา ฐิติธรรมมีการตั้งอยู่แล้วดับไป พิจารณารู้เท่าทันในสิ่งเหล่านี้ไม่หวั่นไหวเรียกว่า นิโรธ คือผู้วางเฉยต่ออารมณ์ ดังนี้แหละ...
หลวงปู่ขาว อนาลโย หลักปฎิบัติอันเป็นปฎิปทาที่ผาดโผน ได้อธิบายถึงหลักการปฎิบัติที่เป็นประโยชน์ที่จะใช้เป็นแนวทางในการปฎิบัติคือ “...ในการพิจารณากายสุดแต่ถนัดจะพิจารณาแยกแยะร่างกายส่วนต่างๆ ออกเป็นชิ้นเป็นอันจากคำว่าสัตว์ว่าบุคคลก็ได้ จะพิจารณาเป็นอสุภะสิ่งปฎิกูลโสโครกหมดทั้งร่างก็ได้ จะพิจารณาไปทางไตรลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามไตรลักษณ์ก็ได้ จนจิตมีความชำนิชำนาญทั้งภาคอสุภะและภาคไตรลักษณ์จนหาที่คิดที่ข้องไมได้แล้วก็ปล่อยวางไปเอง
เมื่อจิตปล่อยวางรูปขันธ์แล้ว จิตจะหมุนเข้าสู่นามขันธ์ทั้งสาม คือ สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างเต็มสติปัญญาที่มีอยู่ต่อไป ไม่มีคำว่าท้อถอยลดละเลย สติปัญญาจะหมุนตัวไปเองโดยไม่ถูกบังคับใดๆ ทั้งสิ้นเพราะเป็นขั้นสติปัญญาคล่องตัวแล้ว เรื่องสติปัญญาคล่องตัวนี้เริ่มเป็นมาแต่ขั้นพิจารณาอสุภะในรูปขันธ์คล่องตัวอยู่แล้วจนถึงขั้นปล่อยวาง เมื่อก้าวเข้าสู่สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงคล่องตัวต่อการพิจารณาทุกแง่ทุกมุม ไม่มีคำว่าอืดอาดเนือยหน่ายดังที่เคยเป็นมานอกจากต้องรั้งเอาไว้เมื่อเห็นว่าจะเพลิดเพลินต่อการพิจารณาจนเกินไปไม่ยอมพักตัวในเรือนคือสมาธิ...
จิตที่ปล่อยรูปขันธ์แล้วต้องฝึกซ้อมสติปัญญาจากความคิดปรุงภาพแห่งขันธ์ให้ปรากฏขึ้นแล้วดับไปๆ จนรูปขันธ์ที่ปรากฏขึ้นจากความปรุงดับอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าแลบ จากนั้นเป็นจิตว่างจากรูป จากวัตถุต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก หมดความสนใจพิจารณาต่อไปอีกมีแต่หมุนเข้าสู่นามธรรมทั้งสามอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามโดยถ่ายเดียว โดยถือจิตเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณาเนื่องจากอาการทั้งสามนี้ปรากฏขึ้นจากจิตแลดับไปที่จิต สังเกตรู้อาการเหล่านี้ขณะเกิดและดับ เมื่อสติปัญญารู้เท่าทัน สัญญาก็ดี สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี จะมีเพียงปรากฏขึ้นแล้วดับไปๆ ไม่สืบต่อกับอะไร
จิตขั้นพิจารณานามธรรมนี้เป็นจิตว่างจากสิ่งภายนอกทั้งปวง แต่ยังไม่ว่างจากจิตและนามธรรมทั้งสามนี้จึงต้องพิจารณาจุดนี้โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซ้ำๆ ซากๆ จนจิตพอกับขันธ์และหยั่งเข้าสู่จิตล้วนๆ อันเป็นเรือนรังของอวิชชาโดยเฉพาะ พิจารณากันในจุดนั้นกับนามขันธ์ประสานกันจนสติปัญญาเห็นความเหลวไหลหลอกลวงของนามขันธ์พร้อมทั้งจิตอวิชชาประจักษ์ใจแล้ว อวิชชาภายในใจก็พังทลายหายซากลงไปในขณะนั้นด้วยสติปัญญาที่ทันสมัย
อวิชชาอันเป็นกิเลสโดยตรงนั้นดับ ส่วนขันธ์อันเป็นเครื่องมือของกิเลสอวิชชานั้นไม่ดับ ไม่หายซากไปกับอวิชชาแต่กลับมาเป็นเครื่องมือของจิตบริสุทธิ์และเป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลสเข้าครองอำนาจเหมือนแต่ก่อนเพราะจิตบริสุทธิ์ ธรรมบริสุทธิ์นั้นไม่บังคับขันธ์เหมือนกิเลส และไม่ยึดเหมือนกิเลส เพียงอาศัยขันธ์เป็นเครื่องมือด้วยความยุติธรรมเท่านั้น นี่เป็นการล้างป่าช้าความเกิด ตาย ให้สิ้นซากไปจากใจปราชญ์ท่านล้างกันอย่างนี้แล จงพากันจำไว้ให้ถึงใจ และนำไปปฎิบัติให้ถึงธรรมจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายในขณะที่จิตเข้าถึงธรรมบริสุทธิ์เต็มดวงนั้นแล หายสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ โดยประการทั้งปวง...”
พิมพ์ไว้เพื่ออ่านศึกษาเองจะได้เข้าใจน่ะค่ะเพราะเป็นแนวทางในการปฎิบัติที่พระเถระผู้ใหญ่สอนให้เรียนรู้และยึดเป็นแนวทางใช่ไหมคะ ตัวหนังสือแดงที่เน้นย้ำเพื่อสอนตัวเองในการพิจารณารูปขันธ์
30 มิ.ย. 53
ทั้งวันไม่ได้เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิเลยพิจารณาเพียงวิปัสสนากาย เวทนา และ จิตตลอดตามเหตุที่มากระทบทั้งวันเท่านั้น


1 ก.ค. 53
00.05 น. กลับเข้าห้องนอนเดินจงกรมก่อนประมาณ 5 นาที แล้วก็นั่งสมาธิต่อมียุงอยู่ประมาณ 1 ตัวมั้งวันนี้มันมากัดก็ปล่อยมันกัดไปเรื่อยๆ นั่งสมาธิไปพิจารณากาย ในกาย ดูอาการ 32 โดยความเป็นธาตุ และสิ่งปฎิกูล เกิดนิมิตกายที่น่ากลัวขึ้นมาแว๊บๆ ก็สำรวม
บ่ายเดินจงกรมและเข้ามานั่งสมาธิประมาณ 30 นาทีเข้าสมาธิหาความสงบเพื่อพักจิตรู้สึกว่าจิตอยากพักหาความสงบจึงไม่ได้พิจารณาทางด้านวิปัสสนากายในกายเวลานี้
แต่พอล้มตัวลงนอนพักปรากฏภาพนิมิตเป็นรูปหน้าผู้หญิงสวยมากโดยเฉพาะดวงตาจึงพิจารณาความสวยและพิจารณาว่าต่อไปก็แก่ภาพนิมิตสวยใสของหญิงสาวจึงแปรเป็นแก่ภาพดวงตาจึงแก่ไปด้วยเป็นภาพนิมิตหน้าผู้หญิงจากคอขึ้นไปทั้งหน้าสิ่งที่ทำให้พิจารณาเด่นชัดคือดวงตาและการเปลี่ยนแปลง ไม่สวยไม่งามไปตามสภาพแห่งธรรมของสังขารไม่เที่ยงนั่นเอง

2 ก.ค. 53
00.05 น. นั่งสมาธิวันนี้จิตยังอยากพักหาความสงบอยู่
จึงนั่งกำหนดรู้ลมอย่างเดียวจนจิตได้พักถึงฐานของความสงบของมันคิดว่าน่าจะเกิน 30 นาที
5 ก.ค. 53

24.00 น. เดินจงกรมในห้องนอนอย่างเบาๆ 5 นาที
นั่งสมาธิต่อพอจิตสงบได้ระดับหนึ่งภาพนิมิตนอกมาปรากฏเลยเป็นผู้หญิงผู้ชายคู่หนึ่งหน้าตาดีสถานภาพบุคคลิกดี ที่รักกันเป็นบุคคลชั้นเทวดาหรือเปล่าไม่ทราบเพราะเห็นเหาะลอยไปลอยมาได้ตามหุบเขาสวยๆ สำรวมไม่อยากรู้อยากเห็น ภาพนิมิตก็หายไป
พิจารณาวิปัสสนากายในกาย พิจารณาปฎิกูลและอาการ 32 โดยความเป็นธาตุปรากฏนิมิตเป็นอสุภ รูปโครงกระดูกที่น่ากลัวมากทั้งโครงหน้าและตัว พิจารณาว่าไม่กลัวเราก็คืออันนี้แหละ มันก็ค่อยๆปรับเป็นน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่กลัวพิจารณามันโดยความเป็นธาตุไป ดูความเปลี่ยนแปลงของมันไปจนมันสลายป่นเป็นผงสีดำไป นี่หรือเปล่าที่ท่านว่าสลายเป็นธาตุดินไป แต่สีไม่ใช่สีดินนะคะเป็นสีผงดำๆ คล้ายผงสีฝุ่นสีดำๆ ป่นไปทั้งหมด ทั้ง 30 นาทีในการนั่งวิปัสสนากายในกายวันนี้มีอสุภะมาปรากฏแปลกเหมือนกันนะเมื่อเราเริ่มพิจารณากายมักจะมีอสุภะมาปรากฏเสมอไปหาตำราครูบาอาจารย์มาอ่านได้คือ
มุตโตทัย หลวงพ่อวิริยังค์ ได้เขียนถึงคำสอนของพระอาจารย์มั่นสรุปได้ย่อๆคือ การพิจารณากาย เมื่อได้อุคหนิมิตที่ใดแล้ว ให้พิจารณาให้มากในที่นั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ให้ย้ายไปพิจารณาที่อื่น ถึงแม้จะพิจารณาแยกออกเป็นส่วนๆ ทุกอาการอันเป็นธาตุ ๔ ได้อย่างละเอียด ให้จนชำนาญ เมื่อชำนาญแล้วส่วนอื่นๆ ก็จะรู้เห็นไปด้วย ตัวดิฉันเองได้ยึดคำสอนนี้เป็นหลักในการปฎิบัติอยู่ค่ะไม่รู้ว่าถูกไหมคะ
หลวงปู่คำดีกล่าวว่า “...อสุภนิมิตถ้าเกิดบ่อยๆ จะเป็นการดีมาก ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านนิยมมาก ถ้าพระเณรองค์ใดได้อสุภนิมิต เห็นร่างกายเน่าเปลื่อยเป็นซากศพแล้ว ท่านว่าผู้นั้นจะสามารถที่จะบรรลุธรรมได้ง่าย...การเกิดอสุภนิมิตเรียกว่ามีพระธรรมมาแสดงให้เราได้รู้ได้เห็น...อสุภนิมิต ถ้าปรากฏบ่อยๆ ยิ่งดีมาก ไม่ต้องทำความกลัว ส่วนนิมิตภายนอกมีมากเหมือนกัน วิธีแก้นิมิตอย่างง่ายๆ คือ อย่าทำความกลัว และอย่ายินดีและยินร้ายในนิมิต ให้ถือเสียว่านิมิตเป็นของหลอกลวง ถ้าเราไม่ทำความยินดีและยินร้าย นิมิตนั้นก็หายไปเอง…”
หลวงปู่คำดี (เทศน์เมื่อปี พ.ศ.2525) สติปัฎฐานสี่ จากหนังสือนางพิศศรี พิศาลบุตร สร้างเป็นธรรมทาน

อาจารย์ท่านมหาราชันย์ที่สอนในลานธรรมก็ให้ไม่ให้ทำความกลัวอสุภนิมิต และให้พิจารณากายตาคสติโดยความเป็นสิ่งปฎิกูลของโสโครกดังเช่นพราหมณ์สองคนผัวเมีย

7 ก.ค. 53

23.10 น. กลับถึงบ้านเดินจงกรมประมาณ 3 นาทีและนั่งสมาธิต่อเลย วันนี้รู้สึกอยากพักจิตให้สงบเลยนั่งกำหนดลมหายใจอย่างเดียวพอจิตได้พักพอสมควรประมาณ 20 นาทีจึงพอและเข้านอน

8 ก.ค.53
16.30 น นั่งสมาธิในห้องพักผ่อนในร้านเพราะรู้สึกว่าจิตต้องการพักหาความสงบมากๆ ปฎิบัติน้อยมากต่างจากช่วงก่อนมากๆ พอนั่งจิตเข้าหาความสงบทันที กายเบาอย่างเห็นได้ชัดคือนั่งแล้วน้ำหนักที่ลงที่สะโพกไม่มีแรงกดมันเบาสบายนั่งไปได้ตลอดตัวเบาจิตเบาเพิ่งรู้จักกายเบาวันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่นั่งสมาธิมาน่ะค่ะ จิตก็ได้พักเหมือนรู้สึกว่าจิตมันได้พักมันได้อาหารของจิตแล้วมันก็รู้สึกค่อยยังชั่ว ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรคือจิตมันไม่อิ่มไม่เต็มมันหิวโหยความสงบมันอยากพักในสมาธิมั้งเพราะรู้สึกอยู่ที่อก แต่ก็นั่งพอประมาณให้มันสงบพอสมควรช่วงหนึ่งก็พอ นั่งประมาณ 30 นาที


9 ก.ค. 53
ตื่นขึ้นมาจิตยังคงแสดงความรู้สึกอยู่ในกายโดยมีสมองทำหน้าที่คิดต่างๆอีกส่วนหนึ่งให้รับรู้อย่างเห็นได้ชัดเคียงข้างกันไปเช่นเดิม แต่วันนี้จิตว้าวุ่น ฟุ้งซ่านส่ายไปส่ายมาคิดปรุงเรื่องโน้นเรื่องนี้เช่นคิดถึงเพื่อนๆ ครู บาอาจารย์ต่างๆ คิดถึงคนสอนธรรมะให้ในลานธรรมที่มาเป็นครูอาจารย์ให้ คิดฟุ้งไปเรื่อย พอสายค่อยสงบไปเดินจงกรมมา 5 นาทีช่วง 11.00 น.
10 ก.ค. 53
วันนี้นั่งสมาธิโดยไม่ได้เดินจงกรมจิตมันรู้จักความสงบแล้วมันเคยชิน ขนาดลดการปฎิบัติลงไปจนจิตเริ่มฟุ้งซ่านไปกับเรื่องโลก อยากให้จิตสงบ นั่งสมาธิเวลา 17.00-17.25 น. วันนี้แปลกนั่งปรากฏคล้ายกระจกใสขอบกว้างขึ้นตรงกลางสายตามีแสงสว่างเฉพาะจุดนี้คล้ายแผ่นกระดาน สีน้ำตาลอ่อนตัวหนังสือดำเต็มแผ่นผืนอันนี้ สมาธิยังไม่แน่นเท่าไหร่ตัวหนังสือก็เลือนไปสมาธิแน่นตัวหนังสือชัดเจนอ่านได้เต็มไปหมดเป็นภาษาธรรมมั้ง กำหนดพิจารณาอาการ 32 ภาพตัวหนังสือนี้ใสเด่นชัดแต่ยังอ่านเอาใจความไม่ได้ไม่เคยมีนิมิตอย่างนี้มาก่อนก็สำรวมกำหนดพิจารณากายคตาสติต่อไปเรื่อยๆ
เคยอ่านเรื่องนิมิตหลวงปู่มั่นบอกว่าไม่ให้สนใจให้หันมาพิจารณากายและจิตจะเกิดประโยชน์กว่าต้องจำไว้เป็นหลักปฎิบัติ กำลังเตือนตัวเองอยู่ค่ะ แต่บางครั้งนิมิตมันมาคู่กับการพิจารณากายคืออาการ 32 อยู่นิมิตก็ชัดใสขึ้นเป็นภาษาธรรมนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร สำรวมแล้วและพิจารณากายแล้วก็เลยปล่อยมันมองมันเป็นพระไตรลักษณ์ไปด้วยเลยค่ะช่วยสอนอีกครั้งด้วยนะคะ
อ่านคำสอนเกี่ยวกับนิมิตที่หลวงพ่อชาสอนไว้ใน จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเป็นพุทธะว่า
...นิมิตเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นิมิตนี้ให้ประโยชน์แก่คนมีปัญญา ให้โทษแก่คนไม่มีปัญญาทำความเพียรจนไม่ตื่นเต้นกับนิมิต อยากเกิดก็เกิด ไม่เกิดก็ไม่เกิด ไม่กลัวมัน เชื่อใจอย่างนี้ได้ไม่เป็นไร นับเป็นคำสอนของครูอาจารย์ที่เป็นประโยชน์มาก เพราะคิดว่าเป็นคนที่มีนิมิตมาปรากฏมากคนหนึ่งจะพยายามไม่ตื่นเต้นอะไรกับมัน ไม่ควรที่จะไม่อยากให้มันเกิดด้วยดังคำสอนเพราะที่ผ่านมาจะสำรวมไม่สนใจนิมิตเลย คงต้องถ้ามันมาให้ดูก็ดู มันไม่มาให้ดูก็ไม่ดู เห็นมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปดังคำสอนจะถูกไหมคะ

11 ก.ค. 53
22.40 น. เดินจงกรมประมาณ 30 นาทีวันนี้เดินตอนดึกคิดว่าต่อไปจะปฎิบัติช่วงนี้ กลับถึงบ้าน 24.04 น. กลับมานั่งสมาธิอีก 30 นาทีวันนี้นั่งดูลมหายใจเข้าออกและพิจารณาอาการ 32 โดยเป็นสิ่งปฎิกูลและ ธาตุ ๔ วันนี้ไม่ปรากฏนิมิตอะไร

12 ก.ค. 53
16.00 น. เดินจงกรมประมาณ 10 นาทีเดินเพียงเล็กน้อยก็พอตอนดึกค่อยเดินอีกครั้ง 17.00 น. นั่งสมาธิอีกจนถึงเวลา 17.30 น. วันนี้เริ่มรู้สึกว่าสมาธิแน่นเข้ามาแล้วหลังจากไม่ค่อยปฎิบัติทำให้สมาธิไม่แน่นตอนนี้สมาธิเริ่มแน่นขึ้นอย่างเดิม นั่งสมาธิเอาความสงบอย่างเดียวเพื่อพักจิต ผลคือรู้สึกว่าจิตที่ปักอยู่หน้าอกแน่นขึ้นสงบสุขขึ้นมาแล้ว ใจก็ไม่ฟุ้งซ่านไปไหน ตั้งใจเพียงเพียรปฎิบัติไปเรื่อยๆ
23.45 น. กลับไปนั่งสมาธิอีก 30 นาที ดูลมหายใจเพื่อให้จิตสงบแล้วก็ออกมาพิจารณากายตาคสติ อีกนิดหนึ่งแล้วก็เข้านอน

13 ก.ค. 53
22.30 น. เดินจงกรม 30 นาที ดึกนั่งสมาธิ 24.00 น. นั่งพิจารณาอาการ 32 ปรากฏภาพจมูก ดวงตา โครงหน้าก็พิจารณาเป็นพระไตรลักษณ์มันก็ค่อยๆ เสื่อมสลายไป


14 ก.ค. 53
17.00 น. เข้าไปนั่งสมาธิ 35 นาที รู้สึกสมาธิปักแน่นกายตรงแน่นไม่ไหวโครงรู้สึกปักแน่นจริงๆ เหมือนไม้หลักปักไว้แน่นกายไม่ไหวติงไม่มีลมหายใจเข้าออกให้กายไหวเหมือนทุกๆ วัน กายที่นั่งอยู่ความรู้สึกคือปักแน่นดุจไม้หลักใหญ่ตั้งอยู่ไม่โอนเอียงไปทิศทางใด สมาธิเข้าลึกมากพอสมาธิถอนออกมาก็พิจารณากายเช่นเดิมภาพปรากฏเป็นภาพจมูก ดวงตา โครงหน้า ภาพนิมิตเสื่อมแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราก็พิจารณาถึงความไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปเรื่อยๆ ภาพก็ค่อยๆ สลายไป
กลับไปอ่านมุตโตทัยที่พระอาจารย์วัน เขียนถึงคำสอนของพระอาจารย์มั่นว่าอัปนาสมาธิเป็นอย่างนี้หรือเปล่านะสงสัยแค่นั้นค่ะไม่มีความรู้จริงๆ เพราะสมาธิวันนี้ลึกนิ่ง แน่วแน่ดุจไม้หลักปักไว้ไม่โยกโครงแน่นแน่วแน่ อธิบายได้เพียงแค่นี้ถ้าครั้งหน้ามีอีกจะพยายามจำสิ่งที่เป็นที่แตกต่างจากที่เป็นมามาอธิบายนะคะ
แสดงว่า 2 วันนี้จิตไม่ส่งออกนอกไปรู้นิมิตภายนอกเลย จิตจะพิจารณาเพียงกายในเท่านั้น
23.50 น. เดินจงกรมในห้องนอน 3 นาที แล้วนั่งสมาธิต่อเลยใจมันอยากพิจารณากายจึงไม่ได้นั่งกำหนดลมเอาความสงบก่อนเช่นวันก่อนๆ แต่อย่างใด พอนึกพิจารณากายภาพนิมิตโครงหน้าจมูก ดวงตามาปรากฏอีกเช่นเดิมเราก็พิจาณามันไปเรื่อยๆ สุดแต่มันจะแสดงภาพมุมไหนให้พิจารณา พร้อมๆ กับพิจารณาให้มันเป็นพระไตรลักษณ์มันก็ค่อยๆเสื่อมสลายหายไปในที่สุด จึงพอ ออกจากสมาธิกราบพระนอนเลย วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่จิตไม่ได้ส่งออกนอกรับนิมิตภายนอกแต่อย่างใด


15 ก.ค. 53
เดินจงกรมสายๆ ประมาณ 10 นาที
เดินช่วงบ่ายอีกประมาณ 10 นาที เข้ามานั่งสมาธิต่ออีก 30 นาที นั่งเอาความสงบแล้วถอนออกมาพิจารณากายภาพนิมิตเป็นโครงหน้าตามเดิม จมูก ตา ดูไปเรื่อยๆพิจารณาเป็นพระไตรลักษณ์ มันก็เสื่อมสลายไปก็เลยพอ
ดึกเดินจงกรม 3 นาทีในห้องนอนนั่งสมาธิต่ออีกประมาณ 20 นาทีพิจารณากายที่เดิมที่ปรากฏพอสมควรประมาณ 20 นาทีก็พอ


16 ก.ค. 53
11.30 น. เดินจงกรม 10 นาที บ่ายเดินอีก 10 นาทีแล้วมานั่งสมาธิต่อนั่งให้จิตสงบแล้วถอนออกมาพิจารณากาย ณ จุดเดิม ปรากฎเป็นภาพพระพุทธรูปปูนปั้นซ้อนกับรูปโครงหน้าเหลื่อมกันไปมาพิจารณาว่ามันเป็นสมมุติทั้งหมด ไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นิมิตจะเกิดก็ตามไม่เกิดก็ตามจะเป็นอย่างไรก็ตามเราก็เฉยๆ ดูมันไป เป็นวงพระพักตร์ พระพุทธรูปก็พิจารณาไปเหลื่อมซ้อนขึ้นมาเป็นหน้าคนก็พิจารณาหน้าคนไป ไม่กังวลอะไรกับมัน สุดท้ายแผ่เมตตาคร่าวๆ รวมแล้วประมาณ 40 นาที
23.00 น.ไปเดินจงกรม 10 นาที ก็พอ 23.30 น. กลับไปเดินจงกรมในห้องนอนอีก 3 นาที แล้วนั่งสมาธิต่อเลยพิจารณากายส่วนโครงหน้าอีกตามเคยพิจารณา จนมันเป็นภาพติดตา นั่งสมาธิประมาณ 30 นาที นอนต่อมีภาพกายติดตาอยู่ก็นอนพิจารณาจนหลับไปในวันนี้

17 ก.ค. 53
ดึกนั่งสมาธิพิจารณากายคตานุสติเช่นเดิม ก็ปรากฏนิมิตเช่นเดิม

18 ก.ค. 53
22.30-23.15 น. เดินจงกรม 24.00 น. เดินจงกรมในห้องอีก 3 นาที แล้วนั่งสมาธิพิจารณากายเช่นเดิมปรากฏภาพนิมิตค่อนข้างน่ากลัวเป็นภาพร่างกายทั้งตัวเน้นให้เห็นชัดตรงใบหน้าก็พิจารณาตา จมูก ไปเรื่อยๆ พิจารณาเป็นพระไตรลักษณ์ และ ธาตุ

19 ก.ค. 53

15.00 น. นั่งสมาธินั่งเอาความสงบก่อนกำหนดเฉพาะลมหายใจเข้าออก พอสมาธิสงบ เข้าลึกมากสมาธิถอนออกมาเอง ก็ปรากฏเป็นอสุภะ รูปคนยืนทั้งตัวน่ากลัวมากๆ ก็พิจารณาให้เป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ พิจารณาให้เป็นไตรลักษณ์ด้วย แล้วภาพก็เปลี่ยน เป็นอสุภา(เขาเรียกอสุภาไหมถ้าผิดอย่างไรช่วยแก้ให้ด้วยค่ะ)เป็นรูปกายผู้หญิงที่ตามปกติและมีความสวยงาม ใบหน้าดวงตาสวย ก็วิปัสสนาไปอย่างเดิม ภาพนิมิตก็เปลี่ยนเป็นอสุภะอีก พิจารณาตามนิมิตที่เปลี่ยนสลับไปสลับมาอย่างนี้ หลายๆ รอบสลับไปสลับมาอยู่อย่างนั้นด้วยความตั้งใจพิจารณาเป็นพระไตรลักษณ์

วันนี้อ่าน พระอาจารย์มั่นสอนหลวงพ่อวิริยังค์
“ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์"”ว่า ...มัชฌิมาทางสายกลางหมายถึงทางพอดี ของพอดีนั้นมีความสำคัญ...ความเพียรมากไปก็ไม่ได้ น้อยไปก็ไม่ได้ มัชฌิมาทางกลางคือขจัดความไม่พอดีให้พอดีนั่นเอง กามสุขลุลิกานุโยคคือ การปฎิบัติตกไปในทางรัก อตุตกิลมถานุโยค คือตกไปในทางชังนี้คือการไม่พอดี ทำสมาธิหลงไปในความสุข หลงไปในทางรัก ทำสมาธิไม่ดีในบางคราวเศร้าใจ ตกไปในทางชัง การขจัดเสียซึ่งส่วนทั้งสองนั้นคือการเดินเข้าสู่อริยะมรรค การถึงอริยมรรคนั่นคือการถึงต้นบัญญัติ การถึงต้นบัญญัติคือการถึง “พุทธ”...

20 ก.ค. 53

24.00 น. นั่งสมาธิกำหนดลมเข้าออกเฉยๆ ก็ปรากฏหน้าพร้อมตัวของอสุภะเน้นตรงใบหน้ามาปรากฏก็พิจารณาเป็นธาตุ พระไตรลักษณ์ ก็แปรเปลี่ยนเป็นโครงพระพักตร์ของพระพุทธรูปแทนก็วิปัสสนาเป็นสมมุติเป็นพระไตรลักษณ์ เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมผสมกันไปสุดท้ายก็สลายเป็นธาตุต่างๆ ไป เช่นกัน พอภาพนิมิตสลับเป็นอสุภะก็วิปัสสนาไปอีกเช่นกันสักแต่ว่าธาตุ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเรา เขาแต่อย่างใดไปมาอย่างนี้ทั้งครึ่งชั่วโมง




2 ส.ค. 53
หลายวันนี้ไม่ได้บันทึกแต่ปฎิบัติเหมือนเดิมทุกๆ วัน ผลการปฎิบัติก็เหมือนทุกๆ วัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงนี้ก็คือ ขณะหลับตาทุกครั้งเช่นพอหลับตาเพื่อพักสายตาหรือก่อนนอนภาพนิมิตอสุภะเฉพาะส่วนลำคอขึ้นมาเป็นรูปใบหน้าดวงตาสลับกับภาพดวงตาและคิ้วที่สวยมากๆ จะมาปรากฏทันทีตลอดเวลาทุกๆ ครั้ง โดยไม่ต้องนั่งสมาธินี่คงเป็นผลของการพิจารณากายบ่อยครั้งขึ้นใช่ไหมคะ จนมันติดตาตลอดเวลา อ่านครูบาอาจารย์หลายท่านท่านก็เป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีอะไรน่าวิตกอะไรก็ปล่อยมันมันมาปรากฏก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ง่วงเต็มทีก็นอนหลับไปเลย จึงต้องย้อนกลับมาหาครูบาอาจารย์ที่แห่งนี้ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ เพราะได้รับความอบอุ่นจากครูบาอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกๆ ครั้งเสมอ

3-13 ส.ค. 53
ไม่ปฎิบัติอะไรเลย ดูกาย ดูจิต ดูเวทนาก็ไม่พิจารณาอะไรเลยเพราะในตอนนี้สภาพของ่จิตที่แสดงความรู้สึกให้รู้นั้นเริ่มหดหายไปบ้างแล้ว มีเพียงความรู้สึกรู้นิดๆ ว่ามีจิตอยู่ตรงหน้าอกแสดงความรู้สึกนิดๆ เท่านั้นเกือบกลับไปสู่สภาพปกติของร่างกายแล้วค่ะ แต่ภาพนิมิตถ้ากำลังจะนอนหลับหรือตื่นขึ้นมายังหลับตาอยู่ก็จะมีภาพอสุภะหรือภาพดวงตาและคิ้วผู้หญิงสวยๆ ปรากฎให้พิจารณาอยู่เรื่อยๆ ก็พิจารณาไปพอตื่นเต็มที่แล้วก็ลุกขึ้นปฎิบัติงานที่ต้องรับผิดชอบต่อไปทุกๆ วันค่ะ
หลวงพ่อชาสอนว่าการปฎิบัติจำต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะจะได้ปฎิบัติในสิ่งที่ถูกต้องขอรบกวนอาจารย์และกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะในสิ่งถูกให้ด้วยนะคะ ถ้าดิฉันปฎิบัติออกนอกลู่นอกทางเกินไปยินดีได้รับคำตักเตือนทั้งหมดค่ะเพราะส่วนใหญ่แล้วจะปฎิบัติเมื่อเกิดอะไรขึ้นมาก็พยายามศึกษาเพื่อนำมาปฎิบัติให้เข้ากับตัวเองส่วนความถูกผิดคงต้องหวังพึ่งครูบาอาจารย์และกัลยาณมิตรค่ะ
กราบขอบพระคุณค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 16:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จขกท.อ่านลิงค์นี้ เป็นต้นไป

viewtopic.php?f=2&t=24320&p=128682#p128682

ซึ่งกรัชกายสนทนาเกี่ยวกับการภาวนากับสมาชิกท่านหนึ่งแล้วจะเห็นทางออก หากยังสงสัยประเด็นไหน ถามได้อีกครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b3: :b3:

อิ อิ มีการวางกระทู้ผิดนิดนุง :b32: :b32: :b9: :b9:

อายจัง :b3: :b3:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 13 ส.ค. 2010, 17:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


จขกท. ฝึกก้าวหน้ามากเลยนะ cool cool cool

เท่าที่อ่าน ก็ฝึกไปเรื่อยๆ แบบนี้แหล่ะ จนกว่าจะถึงระดับ อริยะบุคคล

เรื่องบางเรื่อง คนระดับหนึ่งเขาจะคุยกับคนระดับหนึ่ง วันหนึ่งถ้า จขกท. ถึงระดับนั้น จะเข้าใจได้ทั้งหมด ว่าเกิดอะไรขึ้น...
คงบอกได้แค่ว่า ฝึกไปแบบนี้แหล่ะ รู้สึกว่า... อาจจะมีคนมาช่วยฝึกโดยไม่ออกนามแล้วด้วย (เดานะ)
ส่วนเรื่องเดินจงกลม ไม่ต้องเดินก็ได้ เพราะอาจทำให้คนที่บ้านตกใจ กลัวว่าอนาคตจะอยู่ในวัดเสียแล้ว อิอิ

"อริยะบุคคล" ไม่เกี่ยวกับ "อภิญญา" แต่ดูเหมือน จขกท.จะมีพื้นมาทางด้านนี้นะ ถ้าสนใจในทางนี้ ลอง อธิษฐาน ว่ามีผู้ใดจะช่วยกำกับเส้นทางให้ได้ มีผู้ใดที่เหมาะสมจะเป็นศิษย์-อาจารย์กัน อาจมีคนมาช่วยตอบก็ได้ อิอิ :b32: :b32: :b32:


ครือ... เรื่องบางเรื่องน่ะ ถ้าไม่แน่จริงๆ ก็ควรจะมีผู้ชี้แนะ เหมือนเด็กเกิดใหม่ ก็ต้องมีพ่อแม่ ผู้ใหญ่คอยกำกับ วันหนึ่งถ้าเราจะก้าวเข้าไปรู้เรื่องในอีกโลกหนึ่ง ถ้าไม่เก่งกล้าสามารถจริง ก็ควรมีผู้ดูแล...

แต่ถ้าไม่สนใจทางนี้ ก็ฝึกไปเรื่อยๆ ภูมิจิตจะสูงขึ้นไปตามลำดับเอง... cool cool cool


ปล. เคยดูหนัง Metrix ไม๊ บางคนกินยาเม็ดแล้ว ก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะกินเลย... อันนี้เขียนเปรียบเทียบเฉยๆ อิอิ


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 13 ส.ค. 2010, 20:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2010, 16:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะท่านกรัชกราย
ขอขอบพระคุณท่านกรัชกรายนะคะ วันนี้นั่งอ่านแล้วได้ความรู้เยอะมากโดยเฉพาะเร่อง โยนิโสมนสิการเพื่อรู้ตามสภาวะ ขอบพระคุณตัวอย่างสังขารธรรมปรุงแต่งและการใช้สติสัมปชัญญะสมาธิเข้าไปกำหนดรู้ทันปัจจุบันอารมณ์
และเรื่องที่มีประโยชน์อย่างมากทุกๆ เรื่องอาทิ สัญญา ปัญญา สติ ฯลฯ เป็นต้น วันนี้ยังอ่านไม่หมดค่ะ แล้วจะกลับมาอ่านเพิ่มอีกน่ะค่ะ แต่ที่อ่านวันนี้ก็มีคำตอบในการปฎิบัติที่ดิฉันถามไปรู้สึกว่าจะได้คำตอบเกือบทั้งหมด ถ้าอ่านเพิ่มเติมมากๆ ขึ้นเกิดความสงสัยจะขอเรียนถามท่านกรัชกรายวันต่อๆ ไปนะคะ ขอบพระคุณสำหรับคำถามที่เปิดไว้ให้ถามอย่างที่สุดค่ะ
กราบขอบพระคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณออเรกอน
แฮ่ะ! แฮ่ะ! ความคิดถึงมีหลายแบบน่ะค่ะ คิดถึงจริงๆ คิดถึงคุณออเรกอนด้วยค่ะ รวมทั้งคิดถึงผู้มีน้ำใจงามของผู้คนที่แสนดี ณ ที่แห่งนี้ทุกๆ คนด้วยค่ะ


สวัสดีค่ะ คุณ murano
ขอบพระคุณสำหรับคำชี้แนะค่ะ เห็นด้วยค่ะในเรื่องยาเม็ดหนึ่ง

ขอบพระคุณนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2010, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1855

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะสวัสดี คุณต้นไม้แก่
:b8: ขออนุโมทนาด้วย กับสิ่งที่ปฏิบัติอยู่
คิดว่าคุณมีบุญเดิมหนุนอยู่ จึงเห็นนิมิตรที่เป็นมงคล
แม้จะเพิ่งเริ่มปฎิบัติ ขยันและมีวินัยจังทำบันทึกไว้ด้วย
เจริญในธรรม

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


แก้ไขล่าสุดโดย บัวไฉน เมื่อ 14 ส.ค. 2010, 19:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2010, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้นไม้แก่ มีเวลาอีกก็ค่อยๆ อ่านสภาพธรรม ซึ่งปรากฏแก่ผู้ปฏิบัติที่นี่อีกครับ

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?board=3.0

ไม่มีอะไรจิรัง เกิดแล้วสลายไป ตามธรรมดาของมัน แต่จะมีปัญหาก็ตอนที่โยคีไม่รู้ทางออกจากภาวะนั่นแหละครับ เมื่อไม่รู้ทางออกของปัญหาจึงวุ่นวายใจกาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2010, 21:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:

ปล. เคยดูหนัง Metrix ไม๊ บางคนกินยาเม็ดแล้ว ก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะกินเลย... อันนี้เขียนเปรียบเทียบเฉยๆ อิอิ


:b8: ..ขอบคุณ :b12:
กำลังนึกแต่ก็นึกไม่ออก..ว่า..แรกที่คีอานูรีฟ..ตื่น..นั้น..เกิดจากอะไร
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2010, 15:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ ท่านกรัชกราย
ขอบพระคุณนะคะ วันนี้ก็เลยได้ความรู้เพิ่มหลายเรื่องเลยค่ะโดยเฉพาะเรื่องวิชชา อวิชชา และสภาวะสังขาร และได้หลักคำสอนเพื่อปฎิบัติด้วย นี่คือข้อสรุปที่สอนไว้หรือเปล่าคะ
"...ชีวิตนี้ (ทั้งเราและเขา) เป็นธรรมชาติ (เป็นก้อนทุกข์) ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา หรือใคร เป็นธรรมะหรือธรรมชาติจึงเมื่อมนสิการชีวิตหรือกายกับใจนี่แล้ว สังขารธรรมก็แสดงตัวออกมาให้เห็นเป็นต่างๆ ที่ปรากฎแก่โยคีนั้น นั่นแหละสภาวะของธรรมชาติ จะพูดว่าเป็นผลข้างเคียงของกิเลส(ส่วนหนึ่ง)ก็ได้ ดังนั้น จึงต้องกำจัดกิเลสซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์เหล่านั้นให้สิ้นไป ด้วยกำหนดรู้ (ปริญญากิจ) คือเป็นอย่างไรกำหนดอย่างนั้น ทั้งทางกายและทางใจ(ความรู้สึก)..."
วันต่อไปจะกลับย้อนไปอ่านของเมื่อวานอีกนะคะยังอ่านไม่จบเลยค่ะ
กราบขอบพระคุณค่ะที่ทำให้รู้และเข้าใจธรรมที่สูงขึ้น


ป.ล. สวัสดีคุณบัวไฉน และคุณกบนอกกะลา ด้วยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2010, 15:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะท่านกรัชกราย
กราบขอบพระคุณท่านกรัชกรายงามๆ หลายๆ ครั้งอย่างที่สุดค่ะ วันนี้นั่งอ่านมาร่วม 4 ชั่วโมงจบแล้วค่ะ ทำให้ได้ความรู้ว่าวิธีที่ปฎิบัติที่ถูกต้องต้องทำอย่างไร และความหมายของปัญญา สัญญา สติ และการทำงานที่สัมปยุตกันขณะนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจยากนะคะ ขอขอบคุณไปถึงคุณรินรส และท่านอื่นๆ ที่ตั้งคำถามที่มีประโยชน์ในการเรียนรู้ให้ศึกษาค่ะ ขอตั้งคำถามด้วยความไม่รู้นะคะ ว่าแล้วสิ่งที่ถูกอธิบายทั้งหมดนี้จะสมังคีกันอย่างไรคะ ไม่ทราบว่าจะตั้งคำถามถูกหรือผิดนะค่ะ เพราะเคยอ่านถึงการกล่าวถึงมรรคสมังคีน่ะค่ะ


กราบขอบพระคุณงามๆ อย่างที่สุดอีกครั้งค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2010, 16:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมสวัสดีคุณบัวไฉนด้วยค่ะ

ขอขอบคุณในคำอนุโมทนานะคะ ส่วนความเห็นเรื่องบุญกุศลไม่ทราบจะตอบว่าอย่างไรจริงๆ เมื่อวานจึงไม่ได้ตอบน่ะค่ะ ตามความคิดเห็นคิดว่าทุกๆ คนถ้าปฎิบัติตามมรรค ๘ ก็คงจะประสบอย่างที่เกิดขึ้นน่ะค่ะ สิ่งที่ดิฉันคิดว่าตัวเองมีอย่างมากคงเป็นเรื่องศีลมั้งคะ ไม่ทราบเหมือนกันจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักด้วยค่ะ
ต้นไม้แก่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2010, 16:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้นไม้แก่ เขียน:
สวัสดีค่ะท่านกรัชกราย
กราบขอบพระคุณท่านกรัชกรายงามๆ หลายๆ ครั้งอย่างที่สุดค่ะ วันนี้นั่งอ่านมาร่วม 4 ชั่วโมงจบแล้วค่ะ ทำให้ได้ความรู้ว่าวิธีที่ปฎิบัติที่ถูกต้องต้องทำอย่างไร และความหมายของปัญญา สัญญา สติ และการทำงานที่สัมปยุตกันขณะนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจยากนะคะ ขอขอบคุณไปถึงคุณรินรส และท่านอื่นๆ ที่ตั้งคำถามที่มีประโยชน์ในการเรียนรู้ให้ศึกษาค่ะ ขอตั้งคำถามด้วยความไม่รู้นะคะ ว่าแล้วสิ่งที่ถูกอธิบายทั้งหมดนี้จะสมังคีกันอย่างไรคะ ไม่ทราบว่าจะตั้งคำถามถูกหรือผิดนะค่ะ เพราะเคยอ่านถึงการกล่าวถึงมรรคสมังคีน่ะค่ะ


มรรคสมังคี (ความพร้อมเพรียงของมรรค) ศึกษาลิงค์นี้ครับ

viewtopic.php?f=2&t=26198&p=145979#p145979

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2010, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้นไม้แก่...ศึกษาความพร้อมเพรียงของมรรคขณะทำหน้าที่ของเค้าวิบเดียว ด้วยข้ออุปมาอุปไมยนี้

แล้วน่าจะเข้าใจลิงค์นั้นง่ายขึ้น


อาจมีผู้สงสัยว่า องค์มรรคหลายอย่าง จะทำหน้าที่ในขณะหนึ่งขณะเดียวกันได้อย่างไร โดยเฉพาะ
องค์ฝ่ายศีล เช่น สัมมาวาจา และสัมมากัมมันตะ ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องในกรณีอย่างนี้เลย

ปัญหานี้คงจะเข้าใจได้ ด้วยเอาตัวอย่างที่ง่ายกว่าเขาเทียบ เช่น

คนยิงปืนแม่น หรือยิงธนูแม่น

ในวันที่มีการประกวดหรือแสดง เราเห็นเขายิงปืนหรือธนูถูกเป้า ประสบความสำเร็จ

เขาได้รับชัยชนะ ยิงถูกเป้าด้วยการยิงที่เป็นไปในเวลาขณะเดียวเท่านั้น

ถ้ามองผิวเผิน ก็อาจพูดเพียงแค่ว่า เขามือดีหรือมือแม่นจึงยิงถูก แล้วก็ผ่านไป

แต่ถ้ามองเหตุปัจจัยให้ลึกซึ้ง เบื้องหลังความมีมือดี มือแม่น และการยิงถูกขณะเดียวคราวเดียวนั้น

เราอาจสืบเห็นการฝึกหัด ซักซ้อมที่ใช้เวลาก่อนหน้าเหตุการณ์นั้นยาวนาน

เขาอาจฝึกตั้งแต่การวางท่า การยืน การวางเท้า วางขา วางไหล่ วางแขน วิธีจับ วิธีประทับ

อาวุธ การเล็ง การกะระยะ การหัดใช้กำลังให้พอดี ปัญญา ไหวพริบ การตัดสินใจ และจิตใจที่แน่ว

แน่ เป็นต้น มากมาย จนเกิดความคล่องแคล่วช่ำชอง ทำได้ในเวลาฉับไว เข้าที่ทันที จนรู้สึกเหมือน

เป็นไปเอง โดยไม่ต้องมีความพยายาม


ครั้นถึงคราวแสดง ในเวลาที่เขายิงถูกเป้าหมายแม่นยำ อันเป็นไปในขณะเดียวนั้น ย่อมมีความจริง

ที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า การยิงแม่นวิบเดียวนั้น เป็นผลรวมของการจับถือ วางกิริยาท่าทางใช้กำลัง

พอดีด้านร่างกาย ความมั่นใจ จิตตั้งมั่น แน่วแน่ และความรู้ไวไหวพริบทั้งหมดที่เป็นเหตุปัจจัย

พรั่งพร้อมอยู่เบื้องหลังตั้งมากมาย


พูดอีกนัยว่า กิริยาอาการความพอดีของร่างกายทั้งหมดก็ดี ภาวะจิตใจที่พร้อมและทำงานได้ที่ ก็ดี

ปัญญา ที่รู้เข้าใจบัญชาให้ตัดสินทำการก็ดี ทำหน้าที่ร่วมกันทั้งหมด ในการยิงขณะเดียวกัน และความ

พร้อมพอดีของกาย ความพร้อมดีของใจ

ความพร้อมพอดีของปัญญาในขณะนั้น ก็คือ ผลของการซักซ้อมฝึกหัดตลอดเวลายาวนานเป็นแรมเดือน

แรมปีทั้งหมด

จึงพูดได้ว่า การยิงถูกเป้าขณะเดียวนั้น เป็นผลงานของการฝึกซ้อมที่ยาวนานเป็นเดือนเป็นปีทั้งหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 119 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร