วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 181 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:02
โพสต์: 530

แนวปฏิบัติ: เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ด้วยอานาปานสติ
งานอดิเรก: อ่านพระไตรปิฎก
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




95405435ar5.jpg
95405435ar5.jpg [ 36 KiB | เปิดดู 3942 ครั้ง ]
:b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b45: :b41: :b45: :b45: :b41: :b45: :b45: tongue


Lips ขอตอบด้วยค่ะ

ละ อัตตา แล้วต้องได้ มัคค 4 ผล 4 ค่ะ

tongue รอคะแนนค่ะ



รูปภาพ เจริญในธรรมค่ะ
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................


ผลกล้วยแลย่อมฆ่าต้นกล้วย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว
เหมือนลูกในท้องฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉะนั้น ฯ



:b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


:b10: ทษฏีคู่ๆ นี้เกี่ยวอะไรกับหลวงปู่ขาว ด้วยหรือครับคุณ อโศกะ??? กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยาธรรมา ผม เดาเอา ว่า ธรรมะ จะมี 3 สไตล์ แบบใน พระอภิธรรม แล้วเดา ส่วนตัว ดีที่สุด ต้องไปนิพพาน ชั่วที่สุด ต้องไปโลกันต์ หากจะนับเป็นของคู่ๆ แบบแนวที่คุณอโศกะเข้าใจ ผมคิดว่า นิพพานน่าจะตรงกันข้ามกับโลกันต์ แต่พูดตรงๆครับ อ่านไปอ่านมา กระทู้ นี้ ผม ก้เริ่ม มึนๆเอาเรื่องอยู่ :b14: :b5: :b10: :b23: :b16: เจริญธรรมทุกท่าน


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 23 ธ.ค. 2009, 22:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านมหาราชันย์ ถามตรงดีนะครับ

แม้อัตตา ก็เป็นอนัตตา

ละอัตตา ด้วยมรรค 4 ย่อมบรรลุ ผล 4

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[๔๔๒] พระผู้มีพระภาค ผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถาประพันธ์ต่อไปว่าเราผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า กระดูกของบุคคลคนหนึ่งที่สะสมไว้กัปหนึ่ง
พึงเป็นกองเท่าภูเขา ก็ภูเขาที่เรากล่าวนั้น คือ ภูเขาใหญ่ชื่อเวปุลละ
อยู่ทิศเหนือของภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้เมืองราชคฤห์ อันมีภูเขาล้อมรอบ
เมื่อใดบุคคลเห็นอริยสัจ
คือทุกข์
เหตุเกิดแห่งทุกข์
ความล่วงพ้นทุกข์
และอริยมรรคมีองค์ ๘
อันยังสัตว์ให้ถึงความสงบทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ
เมื่อนั้น เขาท่องเที่ยว ๗ ครั้งเป็นอย่างมาก
ก็เป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้ เพราะสิ้นสัญโญชน์ทั้งปวง ดังนี้แล ฯ


เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
แล้วที่ว่า อัตตาและอนัตตาไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ ต่อกัน นั้น คงผิดธรรมดาไปแล้วกระมังครับ คนเขารู้กันทั่วแล้ว ว่า อัตตา ตัวตน เป็นคำคู่กับ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ทำไมท่านมหาราชันย์จึงเห็นแปลกไปจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างนี้ มีปัญหาทางด้านสายตา หรือความเห็นหรือเปล่าครับ



สวัสดีครับคุณอโศกะ

คุณอโศกะกล่าว่า อัตตา ตัวตน เป็นคำคู่กับ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
ถ้าอย่างนั้นคุณตอบคำถามผมได้ไหมครับว่าละอัตตาแล้วได้อะไร ??
คำถามนี้ผมเคยถามคุณแล้วแต่คุณยังไม่ได้ตอบผม

วันนี้ขอถามอีกครั้งครับ
1.ละอัตตาแล้วได้ อนัตตา ??

หรือ 2. ละอัตตาแล้วได้ มัคค 4 ผล 4 ??


คุณอโศกะว่าข้อ 1 หรือข้อ 2 ถูกต้องครับ
ผมรอคำตอบจากคุณครับ


เชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมตอบด้วยนะครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:02
โพสต์: 530

แนวปฏิบัติ: เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ด้วยอานาปานสติ
งานอดิเรก: อ่านพระไตรปิฎก
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




0.jpg
0.jpg [ 28.07 KiB | เปิดดู 3909 ครั้ง ]
:b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b45: :b41: :b45: :b45: :b41: :b45: :b45: tongue

รูปภาพ สาธุ :b48: :b48: :b48:

เช่นนั้น เขียน:
ท่านมหาราชันย์ ถามตรงดีนะครับ

แม้อัตตา ก็เป็นอนัตตา

ละอัตตา ด้วยมรรค 4 ย่อมบรรลุ ผล 4



สาธุ เจริญมรรค เกิดมรรค เกิดผล




รูปภาพ เจริญในธรรมค่ะ
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................


ผลกล้วยแลย่อมฆ่าต้นกล้วย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว
เหมือนลูกในท้องฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉะนั้น ฯ



:b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley

...............ท่านอโศกะ ไตรลักษณ์มันก็คือปัญญา มันคือความจริงเป็นสัจจะ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปหรือเคลื่อนไปตามสัจจะแห่งกาลเวลาซึ่งจะไม่หยุดกับที่ ขันธ์5 ก็ไม่พ้นในกฎแห่งไตรลักษณ์ แต่ไตรลักษณ์มันเป็นปัญญาที่ไม่ชัดเจน(เป็นภาพรวมทั้งหมดของเหตุการณ์)...... เหมือนนกมองลงมาเห็นตึก หรือบ้าน แต่ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านี้ แต่อริยสัจจ์ 4 คือปัญญาอย่างแท้จริงในศาสนานี้ ทำให้มีปัญญาที่แหลมคม ชัดเจนขึ้น รู้ว่าอะไรเป็นเหตุ จึงทำให้เกิดผลเช่นนี้ แต่ในศาสนานี้เรียนรู้แค่กายกับจิตของตัวเองคือขันธ์ ทั้ง 5 นอกเหนือจากนี้จึงไม่มีประโยชน์เพื่อการถึงซึ่งนิพพาน............

สาเหตุหนึ่งที่ผมยังไม่ตอบคำถามของท่าน.......... เพราะท่านยังเข้าใจถูกไม่ทั้งหมดยังสับสนอยู่ในตัวท่านเอง(ดังนั้นจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ปรับความรู้ความเข้าใจหรื่อที่ท่านเรียกว่าบัญญัติให้ตรงกันก่อนดีกว่า)..................ประเด็นหลักก็คือตอนนี้ท่านกำลังแสดงธรรมสับสน ค้านกันเองระหว่างที่ท่านเรียกว่าการปฎิบัติกับความเข้าใจเรื่องกายจิตของท่าน.......แต่ตอนนี้ผมมีความเห็นด้วยคล้อยตามที่ท่านมหาราชันย์กล่าวมาไม่ใช่จากบัญญัติแต่เทียบกับสภาวะธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติจริงจากตัวเอง........กราบขอพระคุณท่านมหาราชันย์....ที่นำข้อความจากพระไตรปิฎกมาเผยแผ่ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้นส่งเสริ้มการปฏิบัติให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นครับ

.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


แก้ไขล่าสุดโดย โคตรภู เมื่อ 24 ธ.ค. 2009, 12:38, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


nirvana แปลว่า นิพพาน :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่สี(อายุ128 ปี) กับ หลวงปู่บุดดา(อายุ101 ปี) ในการเตรียมงาน ฉลองครบ ๑๐๐ ปี หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และ ฉลองโบสถ์ วัดท่าซุง คณะลูกศิษย์ “หลวงพ่อ” มี ร.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา (ยศขณะนั้น) เป็นหัวหน้า ออกกราบพระสุปฏิปันโนทั่วประเทศสิบกว่าองค์ (ส่วนใหญ่เป็นพระทางภาคเหนือ) ขอผ้าสังฆาฏิ ของท่านทั้งหลายมา เพื่อทำเป็นวัตถุมงคลแจกในงาน... หลวงปู่บุดดา ท่านมอบผ้าสังฆาฏิให้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ และปฏิสันถารกับญาติโยมอย่างรื่นเริง ท้องฟ้ามืดมิดเข้ามาทุกที มีทีท่าว่าฝนจะตกหนักในไม่ช้า ผู้หมวดอรรณพเริ่มคิดกังวลใจ เพราะต้องไปกราบ หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ที่ วัดถ้ำเขาบุนนาค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ อีก กลัวจะเจอฝนกลางทาง... “ไปเถอะ...ไม่เจอฝนหรอก” หลวงปู่บุดดา กล่าวแทรกความคิดจนผู้หมวดอรรณพสะดุ้ง จึงพากันกราบลาหลวงปู่ มุ่งตรงไปยังตาคลี ตลอดทางท้องฟ้าดูกดต่ำมืดทึบ หยาดฝนพร้อมจะย้อยลงมาได้ทุกเวลา แต่ก็ไม่ตกจนแล้วจนรอด พอถึงวัดถ้ำเขาบุนนาคแล้วนี่ซิ... หลวงปู่สี ท่านออกมารอรับอยู่แล้ว... “เจอฝนไหมเล่า...? หลวงปู่บุดดา ท่านตามมาส่งถึงนี่ เจอฝนก็แย่ซิ...” หลวงปู่สี ซึ่งอายุกว่า ๑๒๐ ปีแล้วเอ่ยเป็นประโยคแรก พลางกุลีกุจอมอบสังฆาฏิให้ ซึ่งสังฆาฏิหลวงปู่สีนั้น ท่านครองมาตั้งแต่อายุ ๔๐ แทบจะติดเป็นเนื้อเดียวกันทั้งผืน และที่ทุกคนดีใจเป็นที่สุด คือท่านแจกชานหมากให้คนละคำ...! หลวงปู่พระสุปฏิปันโนชุดนั้นทั้งสิบกว่าองค์ “หลวงพ่อ” บอกว่าเป็นผู้คล่องใน ปฏิสัมภิทาญาณทุกองค์ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ หลวงปู่บุดดา จะบอกว่าฝนไม่ตก และ หลวงปู่สี มาคอยรับ พร้อมกับบอกว่า หลวงปู่บุดดา มาส่งถึงนี่ เพราะทุกองค์ท่าน “ถึง” กันหมด ปล่อยให้ลูกศิษย์งงกันไปเอง โดยเฉพาะ หลวงปู่บุดดา ท่านมีการแสดงออกที่ชัดเจนกว่าใครทั้งหมด... ใครจะไปใครจะมา มีธุระอะไร ไม่ต้องเอ่ยปากให้เสียเวลา หลวงปู่รู้ซึ้งเข้าไปถึงในจิตในใจ ตามประวัติหลวงปู่ท่านไม่รู้หนังสือ แต่ท่านกลับแตกฉานพระไตรปิฎกอย่างน่ามหัศจรรย์ ยกธรรมะมาประกอบแต่ละข้อ เล่นเอาคนแบกพระไตรปิฎกหงายท้องตึง เพราะคล่องแต่ตำรา หลวงปู่ท่านคล่องปฏิบัติ เหมือนเอามวยวัดไปปะทะแชมป์มวยโลก แบกตำราเข้าไปกี่คน หลวงปู่ต้อนซะเจ๊งไม่เป็นท่าทุกราย...! หลังจากบวชได้ไม่นาน อาตมามีความคิดถึง อยากจะไปกราบหลวงปู่ จุดธูปบอกท่านล่วงหน้า กะว่าไปถึงวัดหลวงปู่ซักเจ็ดโมงเช้า ปรากฏว่าเล่นเอาเพลพอดี หลงทางนะซิ...ก่อนนี้หลวงปู่อยู่ สำนักสงฆ์สองพี่น้อง กับ อาศรมฤๅษีขาว จังหวัดชัยนาท พอย้ายไปสิงห์บุรี อาตมาไม่เคยไปเลยหลงซะยกใหญ่... พอกราบเท้าท่าน โยมที่อยู่ปฏิบัติหลวงปู่ บอกว่า “หลวงปู่ฉันเช้าตั้งแต่หกโมง แล้วนั่งรอจนป่านนี้...” คราวนี้สนุกกันใหญ่ ใครมีปัญหาอะไรไม่ต้องถาม หลวงปู่ท่านควักเอากิเลสในใจของเราออกมาโชว์ให้ดู ใครบกพร่องอย่างไร ติดขัดตรงไหน หลวงปู่ท่านชี้แจงเป็นฉาก ๆ สว่างโล่งไปตาม ๆ กัน... “หลวงปู่ครับ...ถ้ากระผม...” “ดูที่ศีล” คำตอบมาขณะคำถามยังไม่หลุดจากปากเลย ตั้งใจถามว่าถ้าปฏิบัติตรงตามมรรค ๔ ผล ๔ แล้วเราจะเอาอะไรเป็นเครื่องวัด “พระโสดาบันศีล ๕ พระอนาคามีศีล ๘ พระอรหันต์ศีล ๑๐...” คำตอบตามมาเป็นชุด จนอาตมาคิดไม่ทันตามไม่ทัน...พระเราศีล ๒๒๗ นี่ครับ...? แค่เถียงในใจก็ได้เรื่อง... “...นั่นมันศีลเพื่อโลก เพื่อเอาใจชาวบ้าน ศีลของพระอรหันต์จริง ๆ แค่สิบก็พอแล้ว ดูเณรซิ...ศีล ๑๐ เท่านั้นทำไมเป็นพระอรหันต์ได้...?” เสร็จครับ...นับร้อยก็ไม่ฟื้น แต่ละหมัดชกตรง ๆ ทั้งนั้น ใครมีคำถามผุดขึ้นในใจ เป็นโดนเปรี้ยงเข้าแสกหน้าทุกที หูตาสว่างทั้ง ๆ เห็นดาวนั่นแหละ...! อิ่มอกอิ่มใจก็กลับวัดได้ อยากโดนถลกหนังเปิดกิเลสเมื่อไรก็ไปใหม่...มีโอกาสเป็นแว่บไปกราบเท้าหลวงปู่ทันที ระยะหลังกายสังขารท่านทรุดโทรมลงมาก ครั้งล่าสุดที่เพิ่งไปมา ท่านนอนเงียบเฉย ๆ ไม่พูดไม่คุยด้วยแล้ว... "พระพุทธเจ้าไม่ตาย พระธรรมเจ้าไม่ตาย พระสังฆเจ้าไม่ตาย...แก่นของศาสนาอยู่ตรงไม่ตายนี่แหละ... ไม่ตายอย่างไร...? อย่างตอนนี้แหละ ถ้าตายแล้วจะพบกันอย่างไร...? ต้องตรงนี้ เดี๋ยวนี้ อดีตไม่มี อนาคตไม่มี เอาแต่ปัจจุบันนี้ สังขารหยุดปรุงแต่งทุกอย่างก็หยุดหมดดับหมด... กายเดียวจิตเดียวก็นิโรธ หลายกายหลายจิตมันยุ่ง อะไร ๆ มันก็อยู่ตรงนี้ หนังแผ่นเดียวนี่... ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องต่อเนื่องตามกันทุกลมหายใจเข้าออก อย่าเกาะตำราซิ... เอาแต่เกาะตำรา ก็เป็นมอด เป็นปลวกแทะคัมภีร์ แทะกระดาษใบลาน อยู่นั่นแหละ... สนามหลวงบอกว่า ...อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา...อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร โธ่เอ๊ย...! อวิชชา สังขารมาจากไหน มาจากใจนี่...มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา...ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า... สนามหลวงเคยพูดถึงใจมั้ยล่ะ...? ในปัจจยาการน่ะ เกาะตำราจบประโยคเก้าก็ไม่หายโง่หรอก...!" ยิ่งเขียนยิ่งคิดถึง เดี๋ยวต้องไปกราบเท้าหลวงปู่ซะหน่อย ธรรมแท้ ๆ จากดวงจิตที่แท้ ไปหาฟังที่ไหนได้ง่าย ๆ ล่ะ...? (ลอกมาอีกที จากปรัวัติหลวงปู่สี ถ้ำเขาบุนนาค) :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ในปัจจยาการน่ะ เกาะตำราจบประโยคเก้าก็ไม่หายโง่หรอก...!" ยิ่งเขียนยิ่งคิดถึง เดี๋ยวต้องไปกราบเท้าหลวงปู่ซะหน่อย ธรรมแท้ ๆ จากดวงจิตที่แท้ ไปหาฟังที่ไหนได้ง่าย ๆ ล่ะ...?


หลับอยุ่ เขียน:
(ลอกมาอีกที จากปรัวัติหลวงปู่สี ถ้ำเขาบุนนาค)



โหหห พระรูปนี้มีความเห็นสุดโต่งจังเลยครับ

อย่างนี้แสดงว่าถ้าคุณ" หลับอยุ่ " เลิกลอกเมื่อไหร่ ก็หายโง่เมื่อนั้นใช่ไหมครับ ??



แต่ผมว่าไม่น่าจริงนะ ถึงลอกมาก็น่าจะมีปัญญาขึ้นมาได้บ้างนะครับ
ลอกต่อไปเถอะครับ แต่ลอกพระไตรปิฎกมานะครับ มีปัญญาแน่นอนครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




100_3472_resize.JPG
100_3472_resize.JPG [ 55.04 KiB | เปิดดู 3864 ครั้ง ]
tongue สวัสดี ท่านผู้เก่งปริยัติทุกๆท่านครับ

รัวกันมาเป็นพายุบุแคมเลยทีเดียวนะครับ ต้องรอคิวกันหน่อยนะครับสำหรับคำตอบและคำอธิบาย
ท่านแรก ขอวิเคราะห์คำตอบโจทย์ 2 ข้อ ของท่านมหาราชันย์ สู่กันฟังก่อนนะครับ


มหาราชันย์ เขียน:

อโศกะ เขียน:
1. เมื่อมีความขุ่นมัว (ปฏิฆะ) หรือโกรธ (โทสะ) เกิดขึ้นในจิต อะไรเป็นเหตุ อะไรจะเกิดตามมาเป็นผลบ้าง ท่านปฏิบัติอย่างไร ท่านนำธรรมมะข้อไหนมาใช้บ้าง ส่วนไหนเป็น สมถะ ส่่วนไหนเป็นวิปัสสนา ท่านออกจากฌาณมาทำงานต่ออย่างไร ทำอย่างไรจึงเรียกว่ายกขึ้นสู่วิปัสสนา แล้วเพื่อจะให้เกิดปฏิเวท จะทำงานต่ออย่างไร

สวัสดีครับคุณอโศกะ

โทสะเป็นอกุศลมูล เกิดขึ้นในจิตเมื่อใด จิตนั้นเรียกว่าอกุศลจิต สิ่งที่จะเกิดตามมาคืออกุศลวิบากเพื่อภพต่อไป

อกุศล จิตเมื่อเกิดขึ้นย่อมดับไป จิตดวงใหม่ย่อมเกิดตามมา การแก้ปัญหาไม่สามารถไปแก้ที่จิตโกรธ แต่แก้ที่จิตใหม่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ ว่าจะให้เป็นจิตอะไรในลำดับต่อไป


ใน การปฏิบัติของผมก็ปล่อยให้อกุศลจิตนั้นดับไป แล้วเปลี่ยนจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นเสียใหม่ ให้เป็นรูปาวจรกุศลฌาน หรืออรูปาวจรกุศลฌาน หรือโลกุตตระกุศลฌานมีบทอรหัตตมัคคในคาถาธรรมบทเป็นอารมณ์ครับ

วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกคตารมณ์ //หรือ ปีติ สุข เอกคตารมณ์ //หรือ สุข เอกคตารมณ์ //หรือ อุเบกขา และเอกคตารมณ์ ที่เกิดจากการปฏิบัติเป็นสมถะ


การอบรมจิตด้วยบทอรหัตตมัคคในคาถาธรรมบท ที่เกิดจากการปฏิบัติเพื่อสร้างจิตดวงใหม่เป็นวิปัสสนา


อกุศลจิตที่มีโทสะเป็นมูลดับไปแล้วไม่เกิดอีก ผมมีปีติ สุข อุเบกขาในกุศลฌานจิต และกุศลวิบากฌานจิต มีฌานไม่เสื่อมแล้วเป็นปฏิเวธ

เจริญในธรรมครับ

อโศกะวิจารณ์

ท่านมหาราชันย์กำลังใช้สมถะและฌาณมากลบบังสันตติของ จิตขุ่นมัว หรือจิตโกรธ พูดอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า เอาสติ สมาธิมาตัดและกลบบังปฏิฆะ ความโกรธ เมื่อเบรคและกลบบังความโกรธไว้แล้ว ก็เอาข้อธรรมมาใคร่ครวญกลบบังเข้าไปอีกชั้นหนึ่งดังคำพูดของท่านท่อนนี้

เอา รูปาวจรกุศลฌาน หรืออรูปาวจรกุศลฌาน หรือโลกุตตระกุศลฌานมีบทอรหัตตมัคคในคาถาธรรมบทเป็นอารมณ์

นี่เป็นวิธีการของนักสมถะ หรือฤาษี มิใช่วิธีการวิปัสสนาภาวนา ให้ผลได้แค่สยบกิเลสนิวรณ์ได้เป็นพัก ๆ อย่างมากและนานที่สุด ก็ไม่เกิน 84,000 กัปป์ มรรค ผล นิพพาน ที่ท่านหวัง จะเกิดขึ้นได้ช้ากว่า

วิธีการของนักวิปัสสนานั้น เขาจะไม่ไปคิดทำ กำหนด สั่งการอะไรใหม่ แต่เขาจะนิ่งดูความโกรธหรือโทสะและสันตติของโทสะนั้น ด้วยตาปัญญาสัมมาทิฐิ นิ่งสังเกต พิจารณา สันตติของโทสะนั้น ด้วยปัญญาสัมมาสังกัปปะ จน รู้ขึ้นมาว่าสภาวธรรมใดจักเกิดขึ้นตามมาเป็นผลอีก จนจบกระบวนการของโทสะ แต่จะไม่ยอมอยู่อย่างเดียว คือไม่ยอมทำอะไรตามคำสั่งของโทสะ

ถ้ามีสติรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ มีปัญญาหรือสัมปชัญญะ เฝ้าดูและสังเกตพิจารณาอารมณ์ ที่เกิดดับเปลี่ยนไปไม่ขาดสาย ผู้ปฏิบัติจะได้เห็นตัว สมุทัย คือ อัตตาและตัณหา โผล่ผุดขึ้นมาให้เห็นให้รู้ เมื่อถึงตรงนั้น เขาจะได้พบกับความยินดี ยินร้าย กรณีโทสะ ก็จะเกิดความยินร้ายก่อนเป็นวิภวตัณหา งานของผู้ปฏิบัติก็คือ เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินร้าย (วิเนยยะโลเก โทมนัสสัง) นี่ สติปัฏฐานได้ทำงานแล้ว


จะเอาความยินร้ายออก ทำอย่างไร ก็ต้องสู้กับความเป็น กู ที่กำลังโกรธ กำลังยินร้ายอยู่ให้ได้ ด้วย วิริยะ ขันติ ตบะ และเครื่องช่วยอื่น นี่คือการสู้ที่เหตุ ไม่หลบเหตุ

สมถะ สู้ผล คือแก้โกรธด้วยสติ สมาธิ

แต่วิปัสสนา สู้เหตุ คือ อัตตาและตัณหา อันเป็นเหตุเกิดโทสะ

มหาราชันย์ เขียน:
อโศกะ เขียน:
2.ถ้าความฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ)เกิดขึ้นในจิต ท่านแก้และขุดถอน อุทธัจจะนิวรณ์นี้ด้วย สมถะอย่างไร วิปัสสนา อย่างไร อธิบาย

มหาราชันย์เขียน

สวัสดีครับคุณอโศกะ

มี 2 กรณีครับคุณอโศกะ

1. ผมเป็นผู้ชำนาญในฌานสมาบัติ 8 มีวสีในฌานสมาบัติ 8 ผมไม่มีความกังวลเรื่องอุทธัจจะเลยครับ เมื่อมีนิวรณ์เกิดขึ้นผมนึกที่จะเข้าฌานไหน เรียงตามลำดับหรือข้ามลำดับผมย่อมสามารถกระทำได้ทันที แล้วเข้าฌานออกฌานเป็นอนุโลมปฏิโลม แบบนี้เรียกว่าสมถะเกิดก่อนวิปัสสนามีในภายหลัง


2.ผมเสื่อมจาก ฌานเพราะอุทธัจจะ ผมระลึกถึงบทอรหัตตมัคคขึ้นมาใหม่ อบรมจิตไปตามบทอรหัตตมัคคนั้น ไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลนด้วยปัญญาเครื่องทำลายกิเลส แล้วบรรลุฌานตามลำดับจาก 1 - ไป - 8 ปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าครับ


ขณะ สนทนากับคุณอโศกะ ตอบคำถามคุณอโศกะผมมีฌานไม่เสื่อม เข้าฌานสมาบัติ 8 โดยอนุโลมปฏิโลมไปด้วยครับ นี่เป็นวิธีแก้และขุดถอน อุทธัจจะนิวรณ์นี้ด้วยสมถะและวิปัสสนาของผมครับ


เจริญในธรรมครับ


อโศกะ ตอบและวิเคราะห์

โจทย์ข้อ 2 และคำตอบของท่านมหาราชันย์นี้ แสดงให้เห็นชัด ดังอธิบายไว้แล้วในข้อ 1 ว่า

ท่านมหาราชันย์ แก้ผล แก้อุทธัจจะ ด้วย สติ สมาธิ ฌาณ และการพิจารณาข้อธรรม กลบบัง ท่านมหาราชันย์ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากอุทธัจจะ ตีกระทบไปสืบค้นหาสมุทัย คือเหตุที่จิตฟุ้งว่าคืออะไร เพื่อจะได้เอา เหตุนั้นออก

การปฏิบัติของท่าน ไม่สัมพันธ์กับ สติปัฏฐาน 4 ไม่เป็นไปตามหลักอริยสัจ 4 ทั้งๆ ที่ปากพูดยกย่องอริยสัจ 4

ท่านปฏิบัติอย่างนี้ หวังเจโตวิมุติได้แต่คงจะเนิ่นช้า สำหรับปัญญาวิมุติคงจะยากเสียแล้ว ถ้าไม่ถอนมิจฉาทิฐิ และมานะทิฐิ อันอ้วนพี


tongue

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




100_3755_resize_resize.JPG
100_3755_resize_resize.JPG [ 51.24 KiB | เปิดดู 3858 ครั้ง ]
tongue

อโศกะ เขียน:
อริย สัจจ 4 คือหัวใจและสาระสำคัญสุดยอด เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสั่งสอน ผมเข้าใจทราบซึ้งดี จนกล่าวเองว่า นี่คือ หัวใจของพระพุทะเจ้า ท่านอโศกะกลับขึ้นไปอ่านดูในคำอธิบายแผ่นภาพ อริยสัจ 4 ได้ครับ

สวัสดียามค่ำครับคุณอโศกะ

อ่านแล้วอดยิ้มไม่ได้ เห็นความหลงฟุ้งซ่านมัวเมาของคุณอโศกะได้ชัดเจนเลยนะครับ
มือกับใจไม่ตรงกันแล้วครับ
ใช้ให้ตัวเองไปอ่านข้อความผิด ๆ ของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง อย่างนี้ก็มีด้วย

เชิญไปอ่านได้ครับ ว่าคุณอโศกะแสดงธรรมผิดตรงไหน เห็นด้วยกับข้อความนี้ครับ

เจริญในธรรมครับ

อโศกะ ตอบ

ผมไม่เห็นที่ผิด แต่มีที่ตกหล่น คืออริย สัจจ 4 คือหัวใจและสาระสำคัญสุดยอด เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสั่งสอน

อีกที่คือผมพิมพ์ผิด ขออภัย รีบไปหน่อยครับ

ขอบคุณที่ทักท้วง

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
อโศกะวิจารณ์

ท่านมหาราชันย์กำลังใช้สมถะและฌาณมากลบบังสันตติของ จิตขุ่นมัว หรือจิตโกรธ พูดอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า เอาสติ สมาธิมาตัดและกลบบังปฏิฆะ ความโกรธ เมื่อเบรคและกลบบังความโกรธไว้แล้ว ก็เอาข้อธรรมมาใคร่ครวญกลบบังเข้าไปอีกชั้นหนึ่งดังคำพูดของท่านท่อนนี้

เอา รูปาวจรกุศลฌาน หรืออรูปาวจรกุศลฌาน หรือโลกุตตระกุศลฌานมีบทอรหัตตมัคคในคาถาธรรมบทเป็นอารมณ์

นี่เป็นวิธีการของนักสมถะ หรือฤาษี มิใช่วิธีการวิปัสสนาภาวนา ให้ผลได้แค่สยบกิเลสนิวรณ์ได้เป็นพัก ๆ อย่างมากและนานที่สุด ก็ไม่เกิน 84,000 กัปป์ มรรค ผล นิพพาน ที่ท่านหวัง จะเกิดขึ้นได้ช้ากว่า


สวัสดียามค่ำครับคุณอโศกะ

ปัญญาปุถุชนของคุณนี้ได้พิการทุรพลไปแล้วครับ
นามขันธ์ หรือจิต เกิดดับได้ทีละดวงครับ ความโกรธเกิดในจิต หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับจิต เกิดพร้อมจิต ดับไปพร้อมจิต สันตติที่คุณอโศกะกล่าวอ้างจึงไม่เป็นจริงสำหรับผู้ทรงฌานครับ เว้นแต่เป็นคนประเภทเดียวกับคุณอโศกะเท่านั้นครับ ที่จะสร้างหรือรักษาจิตโกรธเอาไว้ดู คงไว้ให้เกิดดับต่อเนื่องต่อไปอีก อย่างนี้จึงเรียกว่า คุณอโศกะมีสันตติของจิตโกรธครับ

ดังนั้น คุณอโศกะวินิจฉัยมาด้วยความรู้ความจำ จากสำนักปฏิบัติธรรมที่สอนผิดของคุณมานั่นเอง เพราะการปฏิบัติของคุณอวดอ้างว่าไม่เอาฌาน จึงไม่มีอภิญญาไปเห็นจิตได้จริง ๆ การมาพูดเรื่องจิตของคุณอโศกะ พูดโดยความรู้ผิด เข้าใจผิดอย่างแท้จริงครับ

ในกรณีที่ผมพลั้งเผลอ จนฌานเสื่อมไป มีจิตโกรธเกิดขึ้น ผมรู้ตัวว่าเผลอทรงฌาน 2 ขึ้นมาใหม่
อย่างนี้ผมปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ คือเจริญสัมมัปธาน 4 หรือสัมมาวายามะครับ จิตดวงแรกของฌาน 2 เป็นรูปาวจรกุศล คือจิตเหตุครับ เป็นสัมมาวายามะใช้เพื่อละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้ตั้งอยู่ได้ครับ

ส่วนในเวลาปกติที่ผมทรงฌาน 2 ที่เป็นผลเป็นวิบาก มีฌานไม่เสื่อม เป็นสัมมาวายามะใช้เพื่อละบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ให้บังเกิดขึ้นครับ เป็นการป้องกันจิตโกรธไม่ให้เกิดซ้ำอีกครับ


ข้อความนี้ของคุณอโศกะจึงเป็นความรู้ผิดเป็นความเข้าใจผิดของคุณอโศกะครับ
จิตเกิดดับทีละดวงครับคุณอโศกะ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีน้องกระบี่ไร้เงา และกัลยาณมิตรทุกท่าน

กระบี่ไร้เงาเขียน

ท่านพี่ อโศกะ ผู้เคร่งเครียดคะ
น้องกระบี่ไร้เงา กำลังงง ด้วยข้อความที่ท่านพี่เริ่มสับสนน้องๆมั่ว แล้วค่ะ

ท่านมหาราชันย์กล่าวว่า สิ่ง ที่พระองค์ทรงรู้แล้วและเป็นประโยชน์แก่การตรัสรู้ของพระสาวก แล้วนำมาสั่งสอนเวไนยสัตว์ คืออริยะสัจ 4 ครับ ไม่ใช่ไตรลักษณ์ หรืออนัตตาหรอกครับ

ท่านมหาราชันย์ก็เขียนชัดนะคะว่า ประโยชน์แก่การตรัสรู้
สนทนาคนละเรื่องกระมังคะ s006

ท่านพี่อโศกะ สรุปความประโยคของท่านมหาราชันย์ยังไม่ได้
แล้วกล้าดีอย่างไร จึงคิดว่าตนมีปัญญาเหนือพระพุทธองค์
ไปสรุปพระธรรมเทศนาของพระองค์ล่ะคะท่านพี่อโศกะ
s007


เดี๋ยวกระบี่ฯ เปลี่ยนใจไปสมัครเป็นน้องท่านมหาราชันย์อ่ะนะ s004 s002


อโศกะตอบ

เห็นข้อเขียนของน้องกระบี่ไร้เงา ก็ยิ้มได้ หายเครียดแล้ว แล้วนี่จะใจดำหนีไปอยู่กับท่านมหาราชันย์แล้วหรือจ๊ะ

โดนรุม มะรุมมะตุ้ม เคาะคีย์บอร์ดตอบไม่ทัน เลยอาจสับสนไปหน่อย ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ทำให้ท่านมหาราชันย์หัวเราะเยาะได้ คลายความตึงเครียด ได้บุญไม่น้อยเลยครับ สาธุ

มีคห.หนึ่งไปจะไปค้นหาก็ไม่ทันใจ คห.ที่น้องกระบี่ไร้เงาตอบแบบกระฟัดกระเฟียดว่า อย่างงี้ก็จะไม่ยอมตอบโจทย์ที่อโศกะตั้งมา

คิดอยู่ในใจว่าจะทำอะไรให้น้องได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เลยได้คำนี้ขึ้นมาว่า

น้องกระบี่ไร้เงา เคยเห็น อัตตทิฐิ และ มานะทิฐิ อันเปรียบเหมือนกิเลสพี่ กิเลสน้องหรือยัง

ไอ้ที่น้องว่าไม่ยอมตอบโจทย์นั้นนะ ทั้งอัตตาและมานะทิฐิ โผล่ออกมาตัวเบ้อเร่อเลยนะค็ะ สังเกตเห็นไหมค๊ะ

ต้องอย่างท่านมหาราชันย์ ท่านยังพยายามตอบ แสดงว่า อัตตาและมานะทิฐิค่อนข้างเบาบาง หรืออาจถูกฌาณข่มอยู่จนโงหัวยังไม่ขึ้น ก็ได้นะครับ

แล้วอีกอันใหม่ๆ สดๆ

กระบี่ไร้เงาเขียน

ขอตอบด้วยค่ะ

ละ อัตตา แล้วต้องได้ มัคค 4 ผล 4 ค่ะ

tongue รอคะแนนค่ะ

อโศกะ วิจารณ์

น้องกระบี่ไร้เงา อย่าพึ่งวู่วาม รีบตามท่านมหาราชันย์นะครับ ต้องใช้สติ ปัญญาสังเกต พิจารณาให้ดี

ละอัตตา หรือสักกายะทิฐิแล้ว จะได้แค่มรรค 1 ผล 1 คือโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล

อีก3 มรรค 3 ผลนั้น ต้องละไปอีกเป็นลำดับขั้น ไม่ใช่ละอัตตาพรวดเดียว ได้ 4 มรรค 4 ผล หรอกนะครับ

ถ้าจะว่าโดยละเอียดขึ้นอีกหน่อย ละอัตตา เป็นผล ให้ถึงอนัตตา ละความเห็นเป็นอนัตตา ปัญญามาอยู่ตรงกลางๆ ระหว่างอัตตา กับ อนัตตา ไม่ยึดทั้ง 2 ข้าง จึงจะได้ นิพพานนะครับ (วิมุติญาณทัศนะ)

ข้อนี้เลยขอตอบท่านหลับอยู่ไปด้วยนิดหน่อย ให้เห็นตัว อัพยากตาธรรมครับ

:b8: :b12:

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




100_3731_resize_resize.JPG
100_3731_resize_resize.JPG [ 66.85 KiB | เปิดดู 3860 ครั้ง ]
tongue สวัสดีท่านโคตรภู และกัลยาณมิตรทุกท่าน

โคตรภูเขียน

แต่ อริยสัจจ์ 4 คือปัญญาอย่างแท้จริงในศาสนานี้ ทำให้มีปัญญาที่แหลมคม ชัดเจนขึ้น รู้ว่าอะไรเป็นเหตุ จึงทำให้เกิดผลเช่นนี้ แต่ในศาสนานี้เรียนรู้แค่กายกับจิตของตัวเองคือขันธ์ ทั้ง 5 นอกเหนือจากนี้จึงไม่มีประโยชน์เพื่อการถึงซึ่งนิพพาน............

อโศกะ ตอบ

ท่านโคตรภู รู้ไหมว่า อะไร เป็นเหตุให้โกรธ แล้วจะทำอย่างไร ต่อไปโกรธ จึงจะไม่เกิดไดอีก

และนี่เป็นคำถามเพื่อให้แสดงวิธีใช้อริยสัจ 4 ปฏิบัติอริยสัจ 4 ไม่ใช่หรือครับ

ทุกข์ ควรกำหนดรู้ เราได้เพียรกำหนดรู้ และเราได้รู้แล้ว

สมุทัย ควรละ เราได้เพียรละ และเรา ละ ได้แล้ว

นี่คือตัวอย่างของ ญาณ 3 สัจจญาณ กิจจญาณ และ กตญาณ ที่ทรงแสดงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

ใครไปกำหนดรู้ทุกข์ ใครไปละสมุทัย มรรค 8 ใช่ไหมครับ

เรื่องที่ผมสนทนาและถาม อยู่ในหัวข้อเหล่านี้แทบทั้งนั้นครับ ไม่ทราาบว่าใครไม่เข้าใจ อะไรกันแน่ครับ

tongue

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 181 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร