วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 09:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ไตรลักษณ์

ขออธิบายลักษณะของไตรลักษณ์โดยพิสดาลเพื่อประโยชน์ในการวิปัสสนา ดังนี้...

เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ ทรงพบกฎธรรมชาต 2 ข้อ อันเป็นเหตุของทุกข์ทั้งปวง อันได้แก่ กฎไตรลักษณ์ และ อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท คือ ทรงพบว่า สิ่งทั้งหลายในโลกนี้มีลักษณะเหมือนกันหรือมีลักษณะร่วมกันสามประการ และพบว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้เป็นความบังเอิญ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากเหตุที่ทำไว้แล้วในอดีตทั้งสิ้น และสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ก็จะเป็นเหตุให้เกิดอนาคต นอกจากนั้นก็พบวงจรเวียนว่ายตายเกิด คือ พบว่าอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มีการเกิด การตาย อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น

เมื่อพระพุทธองค์มองเห็นความเกิดดับของจักรวาล เห็นว่าในขณะที่จักรวาลใหม่กำลังจะเกิดขึ้น (Formming) จำนวนแสนโกฎิจักรวาล จักรวาลจำนวนแสนโกฎิก็กำลังจะย่อยสลายในขณะเดียวกัน (Deposing) เป็นกันอย่างนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น เมื่อทรงมองเห็นในระดับมหาภาคแล้ว ก็ทรงมองหาเหตุในระดับจุลภาค ทรงพบว่า ที่เราเห็นเป็นจักรวาล เป็นดวงดาว เป็นเหล็ก เป็นดิน เป็นหิน เป็นไม้ เป็นอากาศ เป็นอะไรต่อมิอะไรนั้น หน่วยย่อยที่สุดของมันเป็นเพียงละอองธุลีที่มีขนาดเล็กมาก (ปัจจุบันเราเรียกว่าประจุไฟฟ้า) กระจัดกระจายไปทั่วจักรวาลและมหาสากลจักรวาล จึงทรงเรียกสิ่งนี้ว่าปฐวีธาตุ ทรงมองเห็นว่า มีภาวะอยู่อีกภาวะหนึ่งห่อหุ้มปฐวีธาตุไว้ (ลักษณะเหมือนสนามพลังงาน) คอยทำหน้าที่จับให้ปฐวีธาตุอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนไม่แยกจากกันไปไหน (อะตอม,โมเลกุล) ลักษณะเอิบอาบคลอบคลุมไปทั่ว จึงเรียกสิ่งนี้ว่าอาโปธาตุ ยังมีอีกภาวะหนึ่งที่เป็นตัวผลักไม่ให้กลุ่มของปฐวีธาตุและวาโยธาตุอยู่ติดกัน ถ้ามีมากกลุ่มของปฐวีธาตุก็จะห่างกันมาก ถ้ามีน้อยกลุ่มของปฐวีธาตุก็จะอยู่ติดๆ กัน (เกิดของเข็ง ของเหลว และกาซ) เราสามารถรับสัมผัสธาตุนี้ได้ทางกายเป็นความร้อยเย็น (อุณหภูมิ) ทรงเรียกภาวะนี้ว่าเตโชธาตุ และภาวะสุดท้ายที่พบ คือตัวที่ทำหน้าที่ผลักให้กลุ่มของธาตุเคลื่อนไหว (moving) จึงทรงเรียกภาวะนี้ว่าวาโยธาตุ สภาวะเหล่านี้มีอยู่จริง ไม่ได้เป็นสมมุติบัญญัติ สัมผัสได้ รู้สึกได้

ในบรรดาธาตุทั้งสี่ ธาตุดินจะเป็นศูนย์กลางหรือที่ตั้งอยู่ของธาตุที่เหลือทั้งสาม โดยปกติคนเราจะสัมผัสธาตุดินได้ เพราะเป็นธาตุหยาบ ธาตุไฟและธาตุลม เราสังเกตงานหรืออาการของมันได้ แต่ยังมองไม่เห็น ส่วนธาตุน้ำ มนุษย์ปุตุชนคนธรรมดาทั่วไป ไม่สามารถสัมผัสได้ รู้สึกก็ไม่ได้ นอกจากอริยบุคคลเท่านั้น

ธาตุเหล่านี่เกาะกลุ่มหรือมาประชุมรวมกันอย่างหลวมๆ มีช่องว่างคั่นเป็นช่วงๆ ทรงเรียกช่องว่างนี้ว่า อากาศธาตุ ธาตุทั้งสี่นั้นไม่ได้อยู่นิ่งอยู่กับที่ มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา (ปัจจุบันเราก็ทราบว่าอิเล็คตรอนวิ่งรอบโปรตรอนตลอดเวลาด้วยความเร็วเท่าแสง) ยกตัวอย่างแท่งเหล็ก ที่เราเห็นมั่นนิ่งๆ มั่นคงถาวร ที่จริงแล้วภายในมันเคลื่อนไหวตลอดเวลา ในช่วงเวลาหนึ่งมันก็จะแยกแตกออกจากกัน เล็กลงไปเรื่อยๆ (ปัจจุบันเราเรียกว่าครึ่งชีวิตของวัตถุ) ยกตัวอย่างเช่น ยูเรเนียม ทิ้งไว้เฉยๆ พอเวลาผ่านไป 4.5 ล้านปีมันจะกลายเป็นตะกั่วทั้งหมด เป็นต้น กลุ่มธาตุที่เล็กลงมาก็จะมีความคงทนถาวรมากกว่า แต่ก็ไม่พ้นที่จะย่อยสลายอยู่ดี

จักรวาลหนึ่งจักรวาลจะถูกย่อยด้วยอำนาจของธาตุไฟในช่วงระยะเวลา 1 กัปป์ เมื่อครบ 8 กัปป์ รอบสุดท้ายจะถูกทำลายด้วยอำนาจของธาตุน้ำ และครบ 64 กัปป์จึงจะถูกทำลายด้วยธาตุลม เรียกว่าครบรอบ 1 มหากัปป์

พระองค์จึงสรุปว่า วัตถุธาตุพวกนี้ไม่มีความคงทนถาวร หรือที่เรียกกันว่ามันไม่เที่ยง รวมทั้งร่างกายเราด้วย เพราะประกอบมาจากสิ่งเดียวกัน (อนิจจัง) เป็นกระการแรก การที่มันไม่สามารถคงรูปอยู่ได้นานนี่เองจึงเป็นเหตุทำให้เราเกิดความเสียดาย สูญเสีย เจ็บป่วย ฯ เป็นการสร้างความทุกให้กับเราทั้งนั้น (ทุกขขัง) นอกจากนี้ ที่เห็นว่าเป็นทอง เป็นไม้ เป็นดิน เป็นอะไรต่อมิอะไรที่เราเห็นว่ามีค่า มีคุณ ต่างๆ นาๆ ที่จริงมันปั้นมาจากธาตุทั้ง 4 เหมือนกัน ไม่มีอะไรต่างกัน การที่เห็นเป็นบ้าน เป็นรถ เป็นเงิน เป็นทอง ฯ มันแค่สมมุติบัญญติเท่านั้น ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีเงิน ไม่มีทอง ฯ มันปั้นมาหลอกตาเรา ทำให้เราหลง เกิดความพอใจ ไม่พอใจ หลงในกามคุณ 5 จึงสรุปว่า สิ่งพวกนี้ไม่มีตนเป็นของตน (อนัตตา) เป็นประการสุดท้าย

พระองค์พบว่า ตัวเรา ชีวิตเรา แท้จริงก็เป็นเพียงภาวะ ร่างกายเราเป็นภาวะที่หยาบเกิดจากธาตุทั้ง 4 มาประชุมรวมตัวกันด้วยเหตุปัจจัย และจะแตกสลายไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนกัน ภาวะของชีวิตนั้น พระองค์เรียกว่า จิต มันไม่มีลักษณะ ไม่มีรูปร่าง สัมผัสไม่ได้ แต่รู้สึกได้ เป็นธาตุรู้ มีคุณสมบัติแยกออกได้ 121 ประการ จิตมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือ มันจะเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา ในชั่วขณะลัดนิ้วมือ มันจะเปลี่ยนการทำงาน 1 แสนโกฎิครั้ง เราเรียกว่าการเกิดดับของจิต กล่าวคือ เมื่อจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นมาทำงานใดทำงานหนึ่ง หมดน้าที่มันก็จะดับไป และสืบสันดารต่อให้จิตดวงต่อๆ ไปเกิดขึ้นมารับหน้าที่นั้นอีก นอกจากนั้นยังพบอีกว่า ในจิต มีอีกภาวะหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับจิต อยู่ในจิต มีหน้าที่ปรุงแต่ง หรือปรับแต่งให้จิตทำงานในส่วนรายละเอียด ทรงเรียกสิ่งนี้เรียกว่า เจตสิก แบ่งออกได้อยู่ 54 ประเภท ยกตัวอย่างเช่น จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นมาเพื่อรับเสียง เจตสิกก็จะปรุงแต่ว่า พอใจ หรือ ไม่พอใจเสียงนั้น เป็นต้น

จิต และ เจตสิก นั้น มีลักษณะร่วมไม่ต่างจากวัตถุธาตุ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีมีตัวมีตน เกิดๆ ดับๆ ไปตามหน้าที่ของมัน เรียกรวมๆ กันว่า วิญญาณธาตุ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่ดี (กุศล) กลุ่มที่ไม่ดี (อกุศล) และกลุ่มที่ไม่เป็นทั้งดีและไม่ดี (อเหตุและกริยา)

สิ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นที่เกิดของทุกๆ อย่างที่เราประสบพบเจอในชีวิต และในที่สุด พระองค์จึงพบทางหลุดออกมาจากลงจรที่ไม่มีวันจบวันสิ้นนี้ และเรียกภาวะนี้ว่า นิพพาน

ดังนั้น ธรรมที่พระพุทธองค์ได้ค้นพบ จึงแบ่งออกเป็น 3 สิ่งด้วยกันคือ รูปธรรม นามธรรม (จิตเจตสิก) และนิพพาน

จึงขอจบการอธิบายลักษณะของไตรลักษณ์ด้วยประการฉะนี้แล....

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ไตรลักษณ์

ขออธิบายลักษณะของไตรลักษณ์โดยพิสดาลเพื่อประโยชน์ในการวิปัสสนา ดังนี้...
ฯลฯ
ในบรรดาธาตุทั้งสี่ ธาตุดินจะเป็นศูนย์กลางหรือที่ตั้งอยู่ของธาตุที่เหลือทั้งสาม โดยปกติคนเราจะสัมผัสธาตุดินได้ เพราะเป็นธาตุหยาบ ธาตุไฟและธาตุลม เราสังเกตงานหรืออาการของมันได้ แต่ยังมองไม่เห็น ส่วนธาตุน้ำ มนุษย์ปุตุชนคนธรรมดาทั่วไป ไม่สามารถสัมผัสได้ รู้สึกก็ไม่ได้ นอกจากอริยบุคคลเท่านั้น
ฯลฯ
จึงขอจบการอธิบายลักษณะของไตรลักษณ์ด้วยประการฉะนี้แล....


พระพุทธองค์ทรงให้เทียบบทและพยัญชนะก่อน จากนั้นสอบในพระสูตร
พระวินัย สิ่งใดถ้าขัดกับสูตรกับพระวินัย สิ่งนั้นพระศาสดาไม่ได้ตรัสไว้
เช่นนั้นเอง ตรงที่ผมเน้นในสิ่งที่คุณอธิบายมา ลองดูตามนี้ (มหาสติปัฏฐานสูตร)

[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้ แหละ ซึ่งตั้งอยู่
ตามที่ ตั้งอยู่ตามปรกติ โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
คนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ขยัน ฆ่าโค แล้ว แบ่งออกเป็นส่วน นั่งอยู่ที่หนทางใหญ่สี่
แพร่ง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เหมือนกัน ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ ซึ่งตั้งอยู่ตามที่ ตั้งอยู่
ตามปรกติ โดย ความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ดังพรรณนา
มาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง ฯลฯ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณา
เห็นกายในกายอยู่ ฯ

ตรงนี้ถ้าปุถุชนอุบาสกอุบาสิกาธรรมดาสัมผัสไม่ได้ จะทรงสอนให้ชาวกุรุ
ฟังทำไม แสดงว่า ธาตุน้ำย่อมสัมผัสได้ในคนธรรมดา
อนึ่ง ในโลหิต ๑ อณู ย่อมมีธาตุน้ำปนอยู่ด้วย เพราะธาตุน้ำคือลักษณะเชื่อม
หรือประสานธาตูดิน เพื่อให้สมดุลกับธาตุผลักดันคือลม และทานเหรอรับกันได้กับ
ธาตุไฟ

อรรถกถาจารย์ท่านอธิบายอย่างนี้ครับ

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
ภิกษุพิจารณาเห็นกายอันนี้นี่แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยความเป็น
ธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ
ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ขยัน ฯลฯ วาโย-
ธาตุ ดังนี้ฉันนั้น.

ถ้าไม่รู้จักหรือสัมผัสไม่ได้ ก็คงไม่บอกให้ชนทั่วไปพิจารณาหรอกครับ
อย่าได้อ้างว่าท่านสอนอริยะบุคคลนะครับ ข้อนี้ตรัสท่ามกลางชนชาวกุรุ
ตำบลกัมมาสทัมมะ แต่ที่ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายนั้น ทรงเรียเป็นไวพจน์
จะให้เรียกครบทุกชนชั้นจึงยาก และฟุ่มเฟือยเกินไป ตอนที่ตรัสธรรมจักร
กับปัญจวัคคีย์ ก็ทรงเรียก ภิกษุทั้งหลาย ทั้งที่ปัญจวัคคีย์ยังไม่ได้บวช

ผมว่า ที่คุณกล่าวมา ขัดต่อพระสูตรแล้ว สงสัยว่าพระศาสดาไม่ได้ตรัสไว้แน่แท้

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ส่วนธาตุน้ำ มนุษย์ปุตุชนคนธรรมดาทั่วไป ไม่สามารถสัมผัสได้ รู้สึกก็ไม่ได้


พอจะมีตัวอย่างรึเปล่าครับ...
คือว่า...ผมไม่ได้กะว่าคุณจะมีประสบการเกี่ยวกับน้ำนะครับ...
แต่ผมคิดว่าคุณน่าจะมีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระอธิธรรมในพระไตรปิฏกนั้น เขียนมาจากพระอรหันต์จำนวนห้าร้อยรูป เพื่อพระอรหันต์โดยพระอรหันต์ เขียนในลักษณะบันทึกกันไม่ให้ลืม ใช้ศัพท์เทคนิคมาก ย่อแล้วย่ออีก เพราะพระอรหันต์อ่านเข้าใจ ถ้านำคัมภีร์นี้มาพิมพ์โดยะเอียด จะต้องใช้หนังสือที่มีความหนาประมาณ 1 ฟุต จำนวน 1 ล้านล้านเล่มทีเดียว (อ่านแล้วงงเป็นไก่ตาแตก)

ในสมัยพระอนุรุทจารย์ ประมาณ พ.ศ. 9xx ได้เขียนตำราขึ้นมาฉบับหนึ่ง ชื่อว่า พระอธิธรรมหสังคหะ แปลว่า รวบรวมมาโดยย่นย่อ ด้วยปัญญาปุตตุชนทั่วไปพอจะสามารถศึกษาเข้าใจได้

อรรถาธิบายต่างๆ เกี่ยวกันธาตุสี่ที่นำมาแสดงโดยพิสดารในที่นี้ ส่วนมากนำมาจากพระอธิธรรมหสังคหะ รวมกับฐานคติความรู้คนในปัจจุบัน หากมีความสนใจ สามารถหาศึกษาได้ ผมเองคงไม่อยู่ในฐานะที่จะอธิบายอะไรได้มาก เพราะจริงๆ ก็เพิ่งเริ่มเรียนอภิธรรมเหมือนกัน (เรียนด้วยตัวเอง) หลักสูตรอภิธรรมนั้นใช้เวลาเรียนประมาณ 7 ปี จึงจะคลอบคุมเนื้อหาทั้งหมด

ถ้าอยากสัมผัสน้ำได้จริงๆ ต้องให้ได้อริยมรรคขั้นต้นให้ได้ก่อน พวกฌานลาภีบุคคลที่ได้อรูปฌานก็สามารถเห็นได้ สัมผัสได้ (พวกที่นิมิตรเห็นโลกจักรวาล) ตราสวัสดิกะ ตราธรรมจักร หรือรูปจำลองของกาแลคซี่ทางช้างเผือกนี่มาจากพราหมณนะครับ

จะปฏิบัติธรรมได้ ก็ให้มีดวงตาเห็นธรรมก่อน

พวกเรียนอธิธรรมจนจบ ก็ยังไม่เห็นมีใครได้มรรคผลนิพพานสักคนเลยนะครับ :b12:

ตอนใส่บาตรก็อย่าลืมอธิฐานว่า ขอให้กระผมได้มีดวงตาเห็นธรรมเหมือนกับที่พระอริยะสาวกทั้งหลายได้เห็นด้วยเทอญ... สาธุ

ผู้ใดไม่ได้สดับรับฟังธรรมของพระองค์ จึงมีความเข้าใจปฐวีด้วยความเป็นดิน เข้าใจอาโปด้วยความเป็นน้ำ เข้าใจเตโชด้วยความเป็นไฟ เข้าใจวาโยด้วยความเป็นลม

ผู้ได้ได้สดับรับฟังธรรมของพระองค์ จึงมีความเข้าใจปฐวีด้วยความเป็นปฐวี เข้าใจอาโปด้วยความเป็นอาโป เข้าใจเตโชด้วยความเป็นเตโช เข้าใจวาโยด้วยความเป็นวาโย

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 22 ก.ค. 2009, 18:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กาแลคซี่ทางช้างเผือก



"คู่กรรม" :b16: :b12:

http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=11950

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


โธ่ถัง นึกว่าจะเข้าใจแค่ไหน

นี่ จะบอกให้ เราต้องปรับความคิดเขากับคำสอน
ไม่ใช่ปรับคำสอนเข้าความคิดเรา
ไม่งั้นธาตุ ๔ ไม่ไช่มีของคุณคนเดียวหรอกแบบนี้
คงมีพิศดารกว่านี้มากมายแน่

อ่าว...เพิ่งเรียนอภิธรรมอีก ถึงว่า ทำไมสับสนอลม่าน
งั้นแล้วไ เพิ่งเรียน...

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
สามารถเห็นได้ สัมผัสได้ (พวกที่นิมิตรเห็นโลกจักรวาล) ตราสวัสดิกะ

เอ๋..ตราสวัสดิกะ มาเกี่ยวกับดวงตาเห็นธรรมได้ยังไงครับ :b10: :b10:
ผมว่าเป็นตราของฮิตเลอร์ไม่ใช่หรือครับ..

อ้างคำพูด:
ผู้ได้ได้สดับรับฟังธรรมของพระองค์ จึงมีความเข้าใจปฐวีด้วยความเป็นปฐวี เข้าใจอาโปด้วยความเป็นอาโป เข้าใจเตโชด้วยความเป็นเตโช เข้าใจวาโยด้วยความเป็นวาโย


ต้องขอชมครับว่า ท่อนนี้สวยจริง ๆ
เห็นอย่างที่มันเป็นเช่นนั้น เข้าใจมันอย่างที่มันเป็นเช่นนั้น...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือผมสงสัยจริง ๆ ผมก็เลยลองไปค้นดู และไปเจอ
http://www.zheza.com/index.php?a=blog&b=entry&uid=391361&eid=7

แต่ยังไงผมก็ยังอยากฟังความเห็นจากคุณอยู่ดี

เอ่อ...ต้องระบุด้วยรึเปล่าครัวว่า
กระทู้นี้ห้ามเด็กอายุต่ำกว่ากี่ขวบ


:b14: :b14: :b14:

แล้วเรื่องพวกนิมิตต่าง ๆ จริง ๆ ผมก็เจอแต่ครูบาอาจารย์สอนว่า
ต้องอย่าไปสนใจ... :b10: :b10:

เพราะ...ก็อย่างที่คุณว่า มันเป็นอาการที่มีเปรต มาร เข้าแทรก มาหลอกล่อ อะไรประมาณนี้
แต่คราวนี้คุณมากล่าวว่า มันก็มีนิมิตบางอย่างที่เหมือนจะเป็นตัวชี้นำที่ดี
ประหนึ่งกับว่ามีนิมิตที่ให้คุณ และมีนิมิตให้โทษน่ะ

:b10: :b10: :b10:
เอ้า...ถามตรง ๆ เลยดีกว่า
ถ้าคนประเภทชอบมีนิมิตเห็นนั้นเห็นนี่อยู่เรื่อย ๆ
เรามีวิธีคัดแยกของเสียยังไง...

และผมก็ว่านะ มันก็น่าจะมีบ้างล่ะ
คือคนที่อยากเห็นนิมิตดี ๆ ก็พยายามจะนึกคิดถึงนิมิตนั้นอยู่ในใจตลอด
จนอาจจะเกิดเห็นภาพนั้นได้ เช่นกัน
อย่างนี้มันเหมือนกันรึเปล่า...ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อันแรก วิชาสาม ตาทิพย์ หูทิพย์ นี่ต้องได้รูปฌาน ถ้าเป็นเพียงอุปจาระนี่นิมิตปลอมทั้งหมด ส่วนนักบวชในศาสนาอื่น ที่เรียกว่านักพรต ท่านบริสุทธิ์จริงๆ คือปราศจากราคะ วิราคะ พระพุทธองค์ก็ให้เคารพนับถือ (พราหมณ์แท้) ได้ถึงอรูปฌาน นิมิตที่ได้ก็จะถูกต้อง แต่กำลังในการนิมิตมีจำกัด เพราะกิเลสทั้งหลายยังไม่สิ้น ยังมีเชื้อเกิดอยู่ แต่ถ้าความพอใจไม่พอใจยังอยู่ นิมิตก็จะถูกปรุงแต่งให้ผิดไปจากความเป็นจริง อันนี้ที่พวกพราหมณ์ถึงมาเถียงกันเอาเป็นเอาตาย เพราะเห็นสิ่งเดียวกันแต่มันไม่เหมือนกันทีเดียว

ที่ให้ทิ้งนิมิต คือในช่วงที่เป็นอุปจาระ คนที่ทำสมาธิจะหลงคิดว่าได้ฌานขั้นสูงก็ตอนนี้แหละ (พวกเปรต เทวปุตมาร นิสัยดีก็มีนะ บางทีเอาเรื่องอะไรก็ไม่รู้มาเล่าให้ฟัง) พวกนี้สังเกตุง่ายๆ คือ เราสั่งไม่ได้ ถ้าของเราเราต้องสั่งได้ กำหนดให้เห็นได้ ถ้าหลงก็เป็นได้แค่ร่างทรง คนที่ได้รูปฌานไม่ใช่ว่าจะได้ตาทิพย์ทุกคน ต้องไปฝึกอีก สมาธินี่หาผู้รู้ได้ไม่ยาก เพราะมีทุกศาสนา มีทุกมุมของโลก

นักบวชที่นิมิตเรื่องอดีต โลก จักรวาล มีมานานแล้ว ถ้าอ่านพระไตรปิฎกก็จะพบว่า ตั้งแต่ก่อนมนุษย์เกิดอีก พวกเทวดาก็มีออกเรือนบวชเหมือนกัน

ทั้งเครื่องหมายสวัสดิกะ และตราธรรมจักร ก็คืรูปจำลองของกาแลคซี่ทางช้างเผือกเรานี่แหละ ไม่มีอะไรแปลก ฮิตเลอร์เอามาใช้เฉยๆ ส่วนเรื่องเทพเจ้าเราไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องไปสนใจ พุทธทำให้เรามีฐานะเหนือกว่าเทพเจ้าใดๆ เพียงฝึกได้เป็นอริยะบุคล เทพ เทวดา แม้แต่พรมหณ ก็ต้องมากราบใหว้เรา มนุษย์จึงเป็นสัตว์ประเภทเดียวที่สามารถฝึกให้จนประเสริฐที่สุดได้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 24 ก.ค. 2009, 00:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 00:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ทั้งเครื่องหมายสวัสดิกะ และตราธรรมจักร ก็คืรูปจำลองของกาแลคซี่ทางช้างเผือกเรานี่แหละ ไม่มีอะไรแปลก ฮิตเลอร์เอามาใช้เฉยๆ ส่วนเรื่องเทพเจ้าเราไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องไปสนใจ พุทธทำให้เรามีฐานะเหนือกว่าเทพเจ้าใดๆ เพียงฝึกได้เป็นอริยะบุคล เทพ เทวดา แม้แต่พรมหณ ก็ต้องมากราบใหว้เรา มนุษย์จึงเป็นสัตว์ประเภทเดียวที่สามารถฝึกให้จนประเสริฐที่สุดได้


มนุษย์ไม่ได้เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่สามารถฝึกให้จนประเสริฐที่สุดได้นะ เหล่า เทวดา และพรหม บางชั้น สามารถกำจัดอวิชชาเข้าถึงพระนิพพาน ได้กันก็มากนะ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 00:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Supareak Mulpong เขียน:
ทั้งเครื่องหมายสวัสดิกะ และตราธรรมจักร ก็คืรูปจำลองของกาแลคซี่ทางช้างเผือกเรานี่แหละ ไม่มีอะไรแปลก ฮิตเลอร์เอามาใช้เฉยๆ ส่วนเรื่องเทพเจ้าเราไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องไปสนใจ พุทธทำให้เรามีฐานะเหนือกว่าเทพเจ้าใดๆ เพียงฝึกได้เป็นอริยะบุคล เทพ เทวดา แม้แต่พรมหณ ก็ต้องมากราบใหว้เรา มนุษย์จึงเป็นสัตว์ประเภทเดียวที่สามารถฝึกให้จนประเสริฐที่สุดได้


มนุษย์ไม่ได้เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่สามารถฝึกให้จนประเสริฐที่สุดได้นะ เหล่า เทวดา และพรหม บางชั้น สามารถกำจัดอวิชชาเข้าถึงพระนิพพาน ได้กันก็มากนะ..



ปล่อยเขาไปเถอะค่ะคุณกบ อย่าไปมีวิบากร่วมกับเขาเลยค่ะ

เขาไม่ฟังใครๆทั้งนั้นแหละ ...

นี่แหละหนาตัณหาความทะยานอยาก อยากที่จะเป็นอริยะบุคคล ..

โดนอุปกิเลสมันลากเอาไปกินหมด :b6:

นี่แหละปัญหาพวกสมาธิมาก แต่สติ สัมปชัญญะน้อย

เป็นไปตามวิบากกรรมของเขาค่ะ เคยสร้างเหตุมาอย่างใด ย่อมรับผลเช่นนั้น

ใครที่พอมีความรู้ด้านปริยัติ หรือ แม่นในคัมภีร์บ้าง ก็ช่วยเมตตานำสิ่งที่ถูกต้องมาให้เขาอ่านด้วย

เมตตานะคะ เมตตาต่อเขาให้มากๆ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 07:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ในสมัยพุทธการ พระพุทธองค์สอนธรรมะให้สามโลกตลอดช่วงเวลา 45 พรรษา แต่ในตอนนี้พระพุทธองค์ได้ดับขันปรินิพพานไปแล้ว ไม่มีใครที่สามารถทำอย่างนี้ได้อีก

ในอบายภูมิ เดรัจฉานภูมิ สัตว์ทั้งหลายเสวยแต่กรรมเก่า พบแต่ความทุกข์ ในชีวติไม่สามารถที่จะได้พบความสุข ไม่สามารถยังกุศจิตให้เกิดได้ จึงไม่สามารถปฏบัติเพื่อมรรคผลนิพพานได้

ในภูมิสวรรค์ สัตว์ทั้งหลายพบแต่ความสุข ถูกบำรุงบำเรอด้วยกามคุณ 5 ตลอดเวลา ความคิดที่จะมาปฏิบัติเพื่อมักผลนิพพานนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ สำหรับอริยะบุคคลที่ได้ไปเกิดเป็นเทวดา ก็ยังอาจจะต้องลงมาเกิดเป็นคนอีกหลายชาติ

ในพรหรมโลก มีแต่ความสงบในฌาน

มนุษย์นั้นตลอดชีวิตพบความสุขบ้าง ความทุกข์บ้าง แล้วแต่กรรมที่ได้สั่งสมมา จึงเป็นภพภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน การบำเพียรทานบารมีให้ถึงที่สุดจึงเกิดในโลกมนุษย์ แม้นแต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ต้องลงมาเกิดมาเป็นมนุษย์ก่อน หรือแม้นแต่พระโพธิสัตว์ก็ต้องมาสร้างบารมีในเมืองมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ในชมภูทวีป จึงสามารถตรัสรู้ได้ ไม่เคยมีปรากฎว่ามีการตรัสรู้ในภพภูมิอื่น

ท่านพุทธศาสตร์สนิกชนทั้งหลาย จะเห็นได้ว่าบางท่านมีความตั้งใจจะปฏิบัติธรรมเพื่อหาทางพ้นทุกข์ มีความต้องการให้ให้ตนเองค้นพบความสำเร็จหนีทุกข์ได้เร็วๆ โดยไม่ไต่สวนพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ให้จบครบกระบวนการ หากเราได้นำเอาพระธรรมคำสั่งสอนที่ผิดไปปฏิบัติ ผลก็จะออกมาตามเหตุ คือ ได้ผลที่ผิดออกมา เราจะต้องเสียเวลาไปชาติหนึ่ง ชาตินี้ก็ถือว่าเสียชาติเกิด ชาติต่อไปจะเกิดมาพบพุทธศาสนาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ จึงได้แต่พากันหลบทุกข์ชั่วคราวอยู่ที่ความสงบเท่านั้น

ขอให้ท่านทั้งหลายจงอย่าประมาทในธรรม อย่าประมาทในการทำกุศลกรรมทั้งมวล

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอถามนะครับ ผมส่งสัยครับว่า

การปฏิบัติแล้วที่จริงนั้น ใครเป็นผู้เห็นไตรลักษณ์ ครับ

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คนปฏิบัติ ... ใครทำ ใครได้ ... มีนิพพานเป็นอารมณ์

อย่างแรก อย่าเคลือบแคลงสงสัยในพระธรรม (วิจิกิจฉา) บางอย่างเราอยู่ในภาวะที่ยังสัมผัสไม่ได้ ตอนนี้เราสัมผัสและสังเกตุได้แต่ธาตุหยาบ บางเรื่องเลยเกินวัยสัยที่จะอธิบายได้

อภิธรรมนั้นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องของมนุษย์ เป็นเรื่องของเทพเทวดา พระพุทธองค์นำไปสอนเทวดาในชั้นดาวดึงส์ และให้พระโมคัลลาประมวลอธิธรรมบนโลกกับพระอรหันต์อีก 500 รูป ที่เคยฟังอธิธรรมมาก่อนในสมัยพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยสมัยนั้น พระอรหันต์ทั้ง 500 รูปเกิดเป็นค้างคาวในถ้ำที่พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวกกำลังประมวลพระอภิธรรมอยู่

สำหรับคนทั่วไป การศึกษาพระอภิธรรมนั้นเรียนเหมือนตาบอดคลำช้าง ถ้าอยากจะเรียนอธิธรรมจริงๆ ต้องก้าวพ้นความเป็นมนุษย์ปุตุชนไปให้ได้ก่อน...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร