วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 16:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญหาของนักปราชญ์คือ มักตีความในทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องสามัญๆ ที่ใครๆ ก็เข้าใจ ทำเรื่องง่ายให้เป็นยาก

ไม่ควรนั่งเกิน 30 นาที เพราะมันเสียเวลาที่จะเอาไปทำอย่างอื่น ถ้าจะมุ่งมั่นขนาดนั้น ก็ควรบวชให้เป็นเรื่องเป็นราวไป เป็นพระเป็นชีแล้ว จะนั่งวันละ 12 ชั่วโมงก็ได้ แต่ในเมื่อยังอยู่ทางโลก ยังเรียน ยังเล่น บางคนมีครอบครัว มีลูกมีหลาน มีอาชีพ ก็ควรจัดสมาธิให้เป็นส่วนเสริมในชีวิต ไม่ใช่ให้สมาธิมาเป็น ภาระ อีกอย่างหนึ่ง

นี่คือผลของการรู้มาก อ่านมาก ทำให้มองอะไรธรรมดาๆ ไม่เป็น

ปล. เพิ่งรู้ว่ามีโสดาบรึยคนสุดท้าย The Last Sodabruy... ท่าทางจะวิปัสสนามามาก :b32:
ปล2. จขกท. คงตกใจมาก ที่กระทู้กลายเป็นสมรภูมินักปรวชญ์ แต่ถือเป็นนิมิตอันดีนะ เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง
ปล3. บอกตามตรงนะ คนที่แม่นตำรามากๆ มักไม่ประสบความสำเร็จในสมาธิภาวนาเท่าไร เพราะยึดติดกับตำรามากเกินไป ทั้งๆ ที่ภาวะฌาณนั้น เป็นหนึ่งในคำถามอจินไตย เมื่อมีตำราเป็นกรอบว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายก็ไปไม่ถึงไหน สมาธิ 30 ปี ก็เหมือนนั่งหลับตา 30 ปี เท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
งั้นรบกวนถามคุณ murano หน่อยนะครับว่า นั่งสมาธิแบบที่คุณได้กรุณาแนะนำมานั้นมันทำให้ความโมโห ลดลงไปได้อย่างไรครับ


:b42: ขออนุญาตเรียนถามท่านผู้รู้นะคะว่า
ตกลงอะไรกันแน่ที่สามารถลดกิเลสได้
ดิฉันกำลังสงสัยว่าไม่ใช่ สมาธิ แต่น่าจะเป็น การรักษาศีล มากกว่าค่ะ
(ไม่ใช่ดับกิเลส ณ ขณะนั้น แต่ป้องกันและดับตลอดไป)
คือ รักษาศีล ปฏิบัติสมาธิ แล้วจึงได้ปัญญารู้แจ้ง
เปรียบเทียบเหมือน
การให้ยา+ทานอาหารดีมีประโยชน์+ออกกำลังกายเสริม=หายจากโรค และร่างกาย(จิต)แข็งแรงไม่ป่วยอีก (ไม่โกรธ โมโหอีก)
เรียนถามค่ะ :b8:

คัดดมาบางตอนจาก
viewtopic.php?f=30&t=20040

อินทรียสังวรศีลเกิดจากการที่เราหมั่นตามรู้กาย-ใจจนจิตจดจำ
สภาวะธรรมต่างๆได้เป็นเหตุให้"สติตัวจริง"เกิด และเมื่อสติตัวจริงเกิด
สติก็จะคุ้มครองรักษาจิตไม่ให้ถูกกิเลสครอบงำเมื่อมีการกระทบอารมณ์
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อถูกคนด่า จิตเกิดความโกรธก็มี"สติรู้ทัน"ความโกรธ
ที่เกิดขึ้น ความโกรธก็จะครอบงำจิตไม่ได้ จิตจะเกิดความสงบตั้งมั่นเป็น
ปกติอยู่ ก็เลยไม่ต้องมีเรื่องทะเลาะวิวาทด่ากัน ทำร้ายกันให้ต้องผิดศีลเป็นต้น

ส่วนอินทรียสังวรศีลนั้น เกิดเมื่อ
ตามรู้ กายใจ แล้ว เมื่อจิตเกิดโทสะ จิตเกิดราคะ หรือเกิดโมหะ ให้ "รู้" ว่าจิตมีโทสะ ราคะ โมหะ ไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ ห้ามหรือกดข่ม จนสติ เกิดขึ้นได้เอง

การสำรวมระวังจะเกิดขึ้นเองจากเมื่อพอมี"สติ" รู้ทัน ได้เองบ่อยๆ ก็จะเกิดมีอินทรียสังวรศีลขึ้น

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล สมาธิ ปัญญา เอามาจากใหน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เห็นมีแต่พวกพราหมณกับฤาษีเท่านั้นที่สอนแบบนี้ พระพุทธองค์ได้ได้เรียนแนวนี้มาก่อนตรัสรู้ แล้วบอกกับพวกเราว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เป็นการหลบทุกข์ พระพุทธเจ้าให้ทำ ทาน ศีล ภวานา ผมก็เขียนบอกแล้วว่า พอได้ปัญญา ศีล และสมาธิจะตามมาเอง

ตัวดับกิเลสขั้นต้นคือปัญญา ไม่ใช่สมาธิ ไม่ใช่สติ ไม่ใช่ศีล พระพุทธองค์เมื่อตรัสรู้และได้สอนเรื่องปัญญาก่อน ตามมาด้วยกฏธรรมชาติ 2 ข้อ คือ กฏไตรลักษณ์ กฎของเหตุปัจจัยและวงจรเวียนว่ายตายเกิด

ปัญญายิ่ง ไม่ใช่ ปัญญารู้แจ้ง การ อ่านใจคนได้ ระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ หูทิพย์ ฯ เอาไปดับทุกข์ไม่ได้ ต้องเป็นความรู้ที่ทำให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ซึ่งได้มาจากการวิปัสนาภาวนา ขันธ์ 5 อินทรีย์ 6 ให้เห็นไตรลักษณ์เท่านั้น เป็นทางเอกทางเดียวที่จะพากันพ้นทุกข์ได้ สมาธิไม่สามารถสร้างปัญญารู้แจ้งได้ ในทางตรงกันข้าม มันจะเป็นตัวดับปัญญาด้วย

สตินั้นมันก็ช่วยคุณได้เป็นพักๆ เป็นพักเท่านั้น ตราบใดที่โมหะยังอยู่ คุณไม่มีทางได้เห็นธรรม (โลภะ โทสะ จะดับได้ในขั้นสูงขึ้น) จะไประวังโจรเข้าบ้านไปทำไมถ้าบ้านเมืองไม่มีโจร

คนที่เอาเรื่องยากมาสอนให้เป็นเรื่อง่ายนั้นมีพระพุทธเจ้าที่ทำได้ นอกนั้นเป็นอริยะสาวกบางรูป แต่ตอนนี้มันไม่มี ชาวพุทธต้องช่วยเหลือตัวเอง ไม่มีไครมาช่วยคุณแล้ว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 21 ก.ค. 2009, 18:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตอนนี้เพิ่งเริ่มฝึกทำสมาธิด้วยการหาหนังสือมาอ่านแล้วฝึกปฏิบัติตาม แต่พออ่านหนังสือของครูบาอาจารย์บางท่าน รวมทั้งอ่านในเว็บธรรมะ (ตอนแรกคิดว่าอ่านมาก ๆ ก็จะรู้มาก) แต่จริง ๆ แล้วกลับทำให้สับสนค่ะ
ก็เลือกแนวทางขอหลวงพ่อสัก1ท่านมาเป็นแนวปฏิบัติสิ
(ต้องดูปฏิปทากับความชอบของเราว่าตรงกันไหม) ให้ผมเลือกให้ไหม------->ผมให้เลือกหลวงปู่ชาแล้วกัน ท่านสอนให้วาง วางอารมณ์ที่เราแบกไว้ วางความคิดทั้งหมด วางความเป็นตัวเป็นตน กับสอนให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เราเขา จะได้ไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเอง และสอนให้รู้จักสำรวมอินทรีย์ ตาเห็นรูปรู้ทันกิเลสป่าว และใช้ชีวิตแบบสันโดษเรียบง่ายแต่ก้ต้องพัฒนาเองตามไปด้วย อยู่ง่าย กินง่าย
ดูแลตัวเองง่าย ปฏิบัติง่าย รับรองว่าไม่มีหลงทางแน่นอน


ป่าว........ :b16: :b16: :b40:


อ้างคำพูด:
เลยอยากขอคำแนะนำว่าควรจะอ่านหนังสือหรือปฏิบัติตามแนวทางของครูบาอารย์ท่านใดท่านหนึ่งไปเลยจะดีมั้ยคะ และน่าจะอ่านของท่านใดที่สอนตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูงสุดอย่างละเอียด คือไม่สะดวกไปสถานปฏิบัติธรรมค่ะ รบกวนผู้รู้แนะนำด้วยค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

ก็ศึกษาแบบค่อยๆไป จะดีกว่า กินข้าวยังต้องกินสามมื้อ บันไดก้ยังมีหลายขั้น การเรียนทางโลกก้ยัง
ต้องเรียนจากอนุบาล ไปถึงอุดมศึกษา เอาแบบเตรียมปูพื้นฐานประถมมัธยมให้แน่นจะดีที่ซู้ด......
ขึ้นอยู่กับว่าในกรรมฐาน 40 กอง 40 อารมณ์ชอบแบบไหน สมมติผมชอบแบบพุทโธแบบตามลม ผมก้ศึกษาและขนขวายเกี่ยวกับสมาธิที่ว่าด้วยหายใจเข้าออก อย่างเป็นระบบ ดูว่าเริ่มต้นลมอยู่ที่ไหน ปลายลมอยู่ทีไหนทั้งที่ลมหายใจเข้าและหายใจออก ทำสลับยังงี้ไปเรื่อย แล้วผมก็จะค่อยๆทำไปแล้วก้อ่านหนังสือประกอบไปด้วยบ้าง มาอ่านจากเวปพลังจิต เวปธรรมจักร เวปลานธรรม หรือเวปอื่นๆบ้าง
ตามสมควร :b40: :b40: :b40: :b39:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:

สติ สัมปชัญญะค่ะ .... สมาธิเพียงแค่กดข่มกิเลสเอาไว้ พอหมดกำลังสมาธิก็ระเบิดบึ้ม

เคยเป็นค่ะ และก็ยังเป็นอยู่ เลยกล้ายืนยันได้ เพียงแต่น้อยลงไปกว่าเดิม

จะบิ้มเฉพาะเวลาสติ สัมปชัญญะมันไม่ทันค่ะ :b32:

มาฝึกเจริญสติปัฏฐาน 4 ดีกว่าค่ะ ..

เหมือนน้ำย้อยลงกระบอก .. ค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆ ได้ทั้ง สติ สัมปชัญญะ ได้ทั้งสมาธิ

ได้ทั้งวิปัสสนา ดีไม่ดีได้ทั้งวิปัสสนาญาณ ..

ศิล สมาธิ ปัญญา แล้วแต่จะเรียกกันไป .. ตัวหลักใหญ่ๆจริงแล้วอยู่ในสติปัฏฐาน 4 นี่แหละค่ะ

เวลาปฏิบัติ ตำราน่ะวางๆลงไปซะบ้าง อย่าเอาตำรามาเปรียบเทียบว่า อาการนี้เกิดขึ้น

เรียกว่าไตรลักษณ์ ถ้าจะรู้ของจริง เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นไตรลักษณ์ตามสภาวะจริงๆ

มันจะแจ้งออกมาเองค่ะ ไม่ต้องมาน้อมเอาคิดเอาเอง ..

เห็นแล้วก็อย่าไปคิดอีกนะคะว่าตัวเองเป็นอะไร เพราะมันก็แค่ความคิดที่อยากจะเป็นเท่านั้นเอง

แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่อยู่ในจิตของเรามันจะค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ

ส่วนมากจะไปยึดติดในศัพท์เลยพางง ... จริงๆแล้วแค่ดู รู้แล้วก็รู้ลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น

รู้ไปซื่อๆตามสภาวะที่เกิดขึ้น ไม่ต้องไปให้ค่าให้ความหมายว่ามันเรียกว่าอะไร

ณ ขณะนั้นๆเท่านั้นเอง แต่เราดันเอาอุปทานไปใส่กันเองว่า มันต้องเรียกว่าอย่างโน้นอย่างนี้

แทนที่กิเลสจะลด กลับกลายเป็นกิเลสเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม :b1:

อ้อ .. ดูตามความเป็นจริง กับเห็นตามความเป็นจริง มันคนละตัวกันนะคะ

บางคนสับสน เอาศัพท์มาปนเปกันไปหมด เราเองก็ศึกษาไปเรื่อยๆตามบอร์ดบ้าง

ตามหนังสือบ้าง แต่ไม่ได้ยึดตายตัวว่าต้องเหมือนกันหมด ...

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อคิดเห็นค่ะ เห็นแตกต่างกันไม่ใช่เรื่องผิดปกตินะคะ

เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ส่วนใครจะเชื่อใครหรือไม่เชื่อใคร มันไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังสือที่นำมาโพสๆกัน

แต่อยู่ที่เขาเหล่านั้นได้เคยสร้างเหตุปัจจัยมาร่วมกัน ...

เวลาคนเขาเข้ามาสนทนา อาจจะมีการซักถามกัน อันนี้ก็เรื่องธรรมดาอีกน่ะแหละ

เพราะการเห็น หารรู้ หรือความรู้ของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราฟังเขาเราย่อมได้ประโยชน์นะคะ

เมื่อเห็นไม่ตรงกับเขา เราจะแย้งหรือไม่แย้งก็เรื่องของเรา

เจริญในธรรมกันนะคะ

ธรรมสวัสดีเจ้าค่ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ศีล สมาธิ ปัญญา เอามาจากใหน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เห็นมีแต่พวกพราหมณกับฤาษีเท่านั้นที่สอนแบบนี้ พระพุทธองค์ได้ได้เรียนแนวนี้มาก่อนตรัสรู้ แล้วบอกกับพวกเราว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เป็นการหลบทุกข์ พระพุทธเจ้าให้ทำ ทาน ศีล ภวานา ผมก็เขียนบอกแล้วว่า พอได้ปัญญา ศีล และสมาธิจะตามมาเอง

ตัวดับกิเลสขั้นต้นคือปัญญา ไม่ใช่สมาธิ ไม่ใช่สติ ไม่ใช่ศีล พระพุทธองค์เมื่อตรัสรู้และได้สอนเรื่องปัญญาก่อน ตามมาด้วยกฏธรรมชาติ 2 ข้อ คือ กฎของเหตุปัจจัย และวงจรเวียนว่ายตายเกิด

ปัญญายิ่ง ไม่ใช่ ปัญญารู้แจ้ง การ อ่านใจคนได้ ระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ หูทิพย์ ฯ เอาไปดับทุกข์ไม่ได้ ต้องเป็นความรู้ที่ทำให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ซึ่งได้มาจากการวิปัสนาภาวนา ขันธ์ 5 อินทรีย์ 6 ให้เห็นไตรลักษณ์เท่านั้น เป็นทางเอกทางเดียวที่จะพากันพ้นทุกข์ได้ สมาธิไม่สามารถสร้างปัญญารู้แจ้งได้ ในทางตรงกันข้าม มันจะเป็นตัวดับปัญญาด้วย

สตินั้นมันก็ช่วยคุณได้เป็นพักๆ เป็นพักเท่านั้น ตราบใดที่โมหะยังอยู่ คุณไม่มีทางได้เห็นธรรม (โลภะ โทสะ จะดับได้ในขั้นสูงขึ้น) จะไประวังโจรเข้าบ้านไปทำไมถ้าบ้านเมืองไม่มีโจร

คนที่เอาเรื่องยากมาสอนให้เป็นเรื่อง่ายนั้นมีพระพุทธเจ้าที่ทำได้ นอกนั้นเป็นอริยะสาวกบางรูป แต่ตอนนี้มันไม่มี ชาวพุทธต้องช่วยเหลือตัวเอง ไม่มีไครมาช่วยคุณแล้ว



:b8: อนุโมทนาค่ะ
ดิฉันลืมคำว่า ทาน
ดิฉันหมายถึงขั้นตอนวิธีปฏิบัติเพื่อลดกิเลสน่ะค่ะว่าทำแบบนี้ถูกต้องหรือเปล่า
1. ให้ทาน
2. รักษาศีล
3. ปฏิบัติจิตภาวนา/วิปัสสนา

แล้วจึงเกิดปัญญายิ่ง* (ตามที่คุณกรุณาแก้ไขให้)


:b47: ดิฉันไม่เข้าใจตรงนี้

พอได้ปัญญา ศีล และสมาธิจะตามมาเอง
มีวิธีได้ปัญญาอย่างไรคะ ก็ที่อ่านๆ มาเขาบอกว่าอย่าลืมการให้ทานและรักษาศีลให้บริสุทธิ์ มิฉะนั้นจะปฏิบัติไม่ได้ผล (ผลในที่นี้ไม่ใช่ ปัญญา หรือคะ) ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ค่ะ :b10:

แล้วคำว่า สติมาปัญญาเกิดนี่ ดิฉันก็เข้าใจว่าให้ตามรู้กายใจ คือมีสติตลอดเวลา

อ่านกระทู้ของกัลยาณมิตรบางท่านแล้วก็เกิดสงสัยไปตามเรื่อง ถ้าเป็นคำถามที่ไม่เข้าท่า ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะคะ :b8: สาธุค่ะ

ดิฉันก็ปฏิบัติสามข้อข้างบน หมั่นทำบุญ รักษาศีล5 ปฏิบัติจิตภาวนา (ที่กุฏิหลวงปู่ ซึ่งดิฉันมีความศรัทธาว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์) เพียงเท่านี้ก็เป็นบุญสูงสุดแล้ว
ไม่ได้มีอาจารย์คอยชี้แนะเป็นเรื่องเป็นราว ก็คิดว่าคงได้เพียงสะสมบุญไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนในชาตินี้ รู้ได้ด้วยตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลาค่ะ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แล้วจึงเกิดปัญญายิ่ง* (ตามที่คุณกรุณาแก้ไขให้)

ปัญญายิ่ง คือ ปัญญาที่เกิดจากการทำสมาธิ ได้แก่พวก อ่านใจคนออก มีตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติได้ ฯ มีในทุกศาสนา ส่วนปัญญารู้แจ้งที่ได้จากการวิปัสสนาภาวนา ไม่ได้อยู่รวมกันกับปัญญาพวกนี้

อ้างคำพูด:
พอได้ปัญญา ศีล และสมาธิจะตามมาเอง

อันนี้อธิบายแล้ว แต่จะให้เข้าใจง่ายๆ อีกที ก็คือ ทำวิปัสสนาภาวนาทุกวัน ปัญญาก็จะเกิดจนมีความกล้าแข็ง ลองไปหาอ่านในพระไตรปิฎกดูนะครับ ในพระสูตร สังยุตตนิกาย เรื่องอวิชชา กับการประหารอวิชชา

ที่เราไม่มีศีลเพราะในตัวเรามีอวิชชา การรักษาศีลของคนปกติเหมือนการถือกฎหมาย ถ้าจะเปรียบพวกนี้ก็เหมือนพวกกาฝากหรือตัวพยาทที่อาศัยอยู่ในตัวเรา พอเราฆ่าตัวพวกนี้ได้ ที่จะพูดผิด ทำผิด คิดผิด ก็จะไม่เกิด นี่แหละที่เรียกว่าได้ศีล ไม่ต้องไปรักษาศีล

ส่วนสมาธินี่ต้องฝึกฝนเพิ่มเติม ไม่ต้องฝึกก็ได้ แต่ถ้าจะฝึก ก็จะได้ง่าย เป็นสมาธิที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด ก็คือตัวอวิชชา หรือโมหะนั่นแหละ เพราะมันถูกฆ่าตายไปก่อนหน้านี้แล้ว

อ้างคำพูด:
แล้วคำว่า สติมาปัญญาเกิดนี่ ดิฉันก็เข้าใจว่าให้ตามรู้กายใจ คือมีสติตลอดเวลา

นี่ก็ถูกต้องครับ ตามรู้กายรู้ใจนี่เป็นการเจริญสติ แต่จริงๆ สติมันทำหน้าที่แค่ดึงสัญญาออกมา หรือเป็นตัวลากขึ้นมา การวิปัสสนาก็ต้องใช้สติ แต่ไม่ต้องไปเจริญเพิ่มหรอกครับ มันเป็นกิจของพระอริยะที่อยากบรรลุอรหันต์เร็วๆ คนปกติถ้าไม่มีสติก็พวกความจำเสื่อม หรือคนบ้าเท่านั้น แค่ให้ลุกมาวิปัสสนาแค่วันละชั่วโมง มันคงไม่ต้องไปหาสติเพิ่มหรอกมั้งครับ

ทำทานตักบาตรก็ยังจิตให้เป็นมหากุศลด้วยนะครับ กุศลธรรมดามันทำได้แค่ สวย รวย เทห์ ไปเป็นเศรษฐี ไปเป็นเทวดา ไม่ถึงมรรคผลนิพพาน

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อินทรีย์5 เขียน:
อ้างคำพูด:
ตอนนี้เพิ่งเริ่มฝึกทำสมาธิด้วยการหาหนังสือมาอ่านแล้วฝึกปฏิบัติตาม แต่พออ่านหนังสือของครูบาอาจารย์บางท่าน รวมทั้งอ่านในเว็บธรรมะ (ตอนแรกคิดว่าอ่านมาก ๆ ก็จะรู้มาก) แต่จริง ๆ แล้วกลับทำให้สับสนค่ะ
ก็เลือกแนวทางขอหลวงพ่อสัก1ท่านมาเป็นแนวปฏิบัติสิ
(ต้องดูปฏิปทากับความชอบของเราว่าตรงกันไหม) ให้ผมเลือกให้ไหม------->ผมให้เลือกหลวงปู่ชาแล้วกัน ท่านสอนให้วาง วางอารมณ์ที่เราแบกไว้ วางความคิดทั้งหมด วางความเป็นตัวเป็นตน กับสอนให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เราเขา จะได้ไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเอง และสอนให้รู้จักสำรวมอินทรีย์ ตาเห็นรูปรู้ทันกิเลสป่าว และใช้ชีวิตแบบสันโดษเรียบง่ายแต่ก้ต้องพัฒนาเองตามไปด้วย อยู่ง่าย กินง่าย
ดูแลตัวเองง่าย ปฏิบัติง่าย รับรองว่าไม่มีหลงทางแน่นอน


ป่าว........ :b16: :b16: :b40:


อ้างคำพูด:
เลยอยากขอคำแนะนำว่าควรจะอ่านหนังสือหรือปฏิบัติตามแนวทางของครูบาอารย์ท่านใดท่านหนึ่งไปเลยจะดีมั้ยคะ และน่าจะอ่านของท่านใดที่สอนตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูงสุดอย่างละเอียด คือไม่สะดวกไปสถานปฏิบัติธรรมค่ะ รบกวนผู้รู้แนะนำด้วยค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

ก็ศึกษาแบบค่อยๆไป จะดีกว่า กินข้าวยังต้องกินสามมื้อ บันไดก้ยังมีหลายขั้น การเรียนทางโลกก้ยัง
ต้องเรียนจากอนุบาล ไปถึงอุดมศึกษา เอาแบบเตรียมปูพื้นฐานประถมมัธยมให้แน่นจะดีที่ซู้ด......
ขึ้นอยู่กับว่าในกรรมฐาน 40 กอง 40 อารมณ์ชอบแบบไหน สมมติผมชอบแบบพุทโธแบบตามลม ผมก้ศึกษาและขนขวายเกี่ยวกับสมาธิที่ว่าด้วยหายใจเข้าออก อย่างเป็นระบบ ดูว่าเริ่มต้นลมอยู่ที่ไหน ปลายลมอยู่ทีไหนทั้งที่ลมหายใจเข้าและหายใจออก ทำสลับยังงี้ไปเรื่อย แล้วผมก็จะค่อยๆทำไปแล้วก้อ่านหนังสือประกอบไปด้วยบ้าง มาอ่านจากเวปพลังจิต เวปธรรมจักร เวปลานธรรม หรือเวปอื่นๆบ้าง
ตามสมควร :b40: :b40: :b40: :b39:


ที่ถามแบบนี้ก็เพราะว่าเลือกไม่ถูกค่ะ ขอบคุณที่ให้คำแนะนำค่ะ
และที่บอกว่าอยากอ่านหนังสือที่สอนตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นไปถึงขั้นสูงสุดอย่างละเอียด ไม่ใช่เพราะคิดว่าปฏิบัติเพียงไม่นานก็จะบรรลุนะคะ แต่เป็นเพราะคิดว่าตัวเองอาจไม่สะดวกไปสถานปฏิบัติธรรมอีกนาน ถึงแม้จะทำได้ไม่ถึงขั้นสูง แต่ความรู้จากหนังสือก็ถือเป็นความรู้ติดตัวค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ตั้งกระทู้นี่มีความเข้าใจว่าสมาธิสามารถลดโมหะโทสะได้ เจตนาของเขาจริงๆ ก็คือต้องการขัดเกลานิสัย เมื่อเราเห็นพิจารนาแล้วว่า หากชี้ทางให้ไปทำสมาธิ ทั้งๆ ที่รู้ว่า สมาธิแก้อุปนิสัยเหล่านี้ไม่ได้ ก็จะถือเป็นการชี้ทางส่งเดชเท่านั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลายลองพิจารณาด้วยนะครับ

ผมมีกลุ่มตัวอย่างกลุ่มหนึ่ง ปฏิบัติสมถกรรมฐานมากว่า 30 ปี ไม่มีไครที่มีนิสัยเปลี่ยนแปลงเลย มีเสียงเข้าหูแล้วเคยโมโหอย่างไรก็โมโหอย่างนั้น ถ้าหา case ได้ลองถามแบบเปิดใจนะครับ เพราะส่วนมากจะไว้ตัว กลัวคนต่อว่าว่าทำสมาธิมาตั้งนานแล้วไม่ได้อะไร


บางทีรินรสอาจจะใช้คำผิดไปนะคะ
ที่จริงหมายความว่าการดูจิต ฝึกมีสติเท่าทันความคิดอารมณ์หรือการกระทำต่าง ๆ จะทำให้ไม่ฟุ้งซ่านค่ะ อย่างเช่นเวลาโกรธก็ให้มีสติเท่าทัน ตามดูความโกรธไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องบอกตัวเองว่าหยุดโกรธเดี๋ยวนี้นะ แต่ให้ตามดูไปเรื่อย ๆ จนความโกรธมันหายไปเอง แล้วจะเห็นว่าความโกรธมันไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วถ้าฝึกสม่ำเสมอจิตของเราก็จะรู้ได้เอง ไม่ต้องตามดูค่ะ

ที่ตั้งกระทู้ถามเพราะไม่รู้จะเลือกแนวทางของท่านใดเหมือนที่ตอบคุณอินทรีย์ 5 ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ศีล สมาธิ ปัญญา เอามาจากใหน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เห็นมีแต่พวกพราหมณกับฤาษีเท่านั้นที่สอนแบบนี้ พระพุทธองค์ได้ได้เรียนแนวนี้มาก่อนตรัสรู้ แล้วบอกกับพวกเราว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เป็นการหลบทุกข์ พระพุทธเจ้าให้ทำ ทาน ศีล ภวานา ผมก็เขียนบอกแล้วว่า พอได้ปัญญา ศีล และสมาธิจะตามมาเอง


จะไม่มาอ้างอิงเลยถ้าไม่มีประโยคที่ตัวแดงๆไว้ จะไม่สนเลยถ้าไม่พูดผิดมากขนาดนี้
พูดมาได้อย่างไรว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน แล้วนี่อะไร ใครพูดไว้

สีลํ โลเก อนุตฺตรํ ศีลเป็นเยี่ยมในโลก
สมาธิ ภิกฺขเว สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ. ภิกษุทั้งหลาย สมาธิที่ทำให้มั่นแล้วย่อมรู้ตามความจริง
ปญฺญา เว สตฺตมํ ธนํ ปัญญาแลเป็นอริยทรัพย์ที่เจ็ด

ยังมีอีกเยอะเลย ถ้ามาพูดแบบนี้ท่าทางจะแย่นะครับ

Supareak Mulpong เขียน:
พระพุทธองค์ได้ได้เรียนแนวนี้มาก่อนตรัสรู้ แล้วบอกกับพวกเราว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เป็นการหลบทุกข์ พระพุทธเจ้าให้ทำ ทาน ศีล ภวานา ผมก็เขียนบอกแล้วว่า พอได้ปัญญา ศีล และสมาธิจะตามมาเอง


ตามอ่านมาหลายที่ บางทีไม่รู้จะอ่านอะไร ก็เลยต้องอ่าน เข้าใจว่าจะแม่นคัมภีร์ เห็นอ้างจังอธิบายจริง
พระพุทธเจ้าท่านบอกตอนไหนนะที่ว่าเป็นการหลบทุกข์ อ้างมาหน่อยครับ
คัมภีร์ จะได้เข้าไปตาสว่างซักหน่อย

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าจะมุ่งมั่นขนาดนั้น ก็ควรบวชให้เป็นเรื่องเป็นราวไป เป็นพระเป็นชีแล้ว จะนั่งวันละ 12 ชั่วโมงก็ได้

ไม่ควรนั่งเกิน 30 นาที เพราะมันเสียเวลาที่จะเอาไปทำอย่างอื่น



ถามคุณ Murano อีกนิดหนึ่ง วันหยุดเสาร์- อาทิตย์ = 48 ชม.
เค้าจะเดินจงกรม 40 นาที นั่ง 40 นาที อย่างนี้ต้องไปบวชชีไหมขอรับ

หรือวันธรรมดา เลิกงานแล้วค่ำๆ ก่อนนอน จากหนึ่งทุ่มไปถึงสามทุ่ม
เค้าจะเดิน จงกรม 35 นาที นั่ง 35 นาที อย่างนี้ต้องไปบวชชี บวชพระไหมขอรับ
:b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 16:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ธ.ค. 2008, 11:56
โพสต์: 9


 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิที่น่าลองปฏิบัติดู www.plarnkhoi.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ศีล สมาธิ ปัญญา เอามาจากใหน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เห็นมีแต่พวกพราหมณกับฤาษีเท่านั้นที่สอนแบบนี้ พระพุทธองค์ได้ได้เรียนแนวนี้มาก่อนตรัสรู้ แล้วบอกกับพวกเราว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เป็นการหลบทุกข์ พระพุทธเจ้าให้ทำ ทาน ศีล ภวานา ผมก็เขียนบอกแล้วว่า พอได้ปัญญา ศีล และสมาธิจะตามมาเอง




ดูดู๋คุณ Supareak กล่าวตู่ธรรม มาว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
เวรก๊ำเวรกำ มันจะไปกันใหญ่แล้วพุทธศาสนิกชน ไม่ไหวแล้ว เลอะเทอะ ยิ่งกว่าโดดลงใน
ปลัก...อีก

ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านเรียกว่า ไตรลิกขา หรือสิกขาสาม
แล้วต่อมาท่านผ่อนลง ทาน ศีล ภาวนา โดยที่ สมาธิ ปัญญา ท่านอธิบายรวมอยู่ในภาวนา เพราะว่าเป็นนามธรรมที่เกิดจากภาวนา

อ้างคำพูด:
ภวานา


ภาวนา ยังเขียนไม่ถูกเลย ภาวนา เขียนอย่างนี้ => ภาวนา ไม่ใช่ยังงี้ => ภวานา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดูดู๋คุณ Supareak กล่าวตู่ธรรม มาว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
เวรก่ำเวรกำ มันจะไปกันใหญ่แล้วพุทธศาสนิกชน ไม่ไหวแล้ว เลอะเทอะ ยิ่งกว่าโดดลงใน
ปลัก...อีก

เรื่องศีลมีสอน เรื่องสมาธิมีสอน เรื่องปัญญามีสอน แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ให้ไปรักษาศีล -> เพื่อที่จะมาทำสมาธิ -> แล้วเอาปัญญาที่เกิดจากสมาธิมาดับทุกข์

อ้างคำพูด:
ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านเรียกว่า ไตรลิกขา หรือสิกขาสาม...

ไตรสิกขา หรือวิชาที่พระอริยะต้องเรียนสามวิชา ได้แก่ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๔ อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

๑๐. ภวสูตร
[๓๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภพ ๓ นี้ควรละ ควรศึกษาในไตรสิกขา ภพ ๓ เป็นไฉน
คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ภพ ๓ นี้ควรละไตรสิกขาเป็นไฉน คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา
อธิปัญญาสิกขา ควรศึกษาในไตรสิกขานี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล
ภพ ๓ นี้ เป็นสภาพอันภิกษุละได้แล้ว และเธอเป็นผู้มีสิกขาอันได้ศึกษาแล้วในไตรสิกขานี้...


สมาธิเป็นเครื่องอยู่สุข

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
๘. สัลเลขสูตร
ว่าด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ...
...
...
[๑๐๒] ดูกรจุนทะ ก็ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่
วิเวกอยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ
แต่ธรรมคือปฐมฌานนี้เราไม่กล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องขัดเกลาในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่า
เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ในวินัยของพระอริยะ
...
...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 20 ก.ค. 2009, 18:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
บางทีรินรสอาจจะใช้คำผิดไปนะคะ
ที่จริงหมายความว่าการดูจิต ฝึกมีสติเท่าทันความคิดอารมณ์หรือการกระทำต่าง ๆ จะทำให้ไม่ฟุ้งซ่านค่ะ อย่างเช่นเวลาโกรธก็ให้มีสติเท่าทัน ตามดูความโกรธไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องบอกตัวเองว่าหยุดโกรธเดี๋ยวนี้นะ แต่ให้ตามดูไปเรื่อย ๆ จนความโกรธมันหายไปเอง แล้วจะเห็นว่าความโกรธมันไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วถ้าฝึกสม่ำเสมอจิตของเราก็จะรู้ได้เอง ไม่ต้องตามดูค่ะ


เลือกได้สักอย่างหนึ่งก็ดีแล้วละครับ อย่าลืมไปไปหมั่นทำบุญตักบาตรด้วยละครับ :b8:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร