วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 05:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 66 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
อุ้ย :b1:

กระทู้นี้ แค่วันเดียว 50 กว่า reply แล้ว
สมัยนี้คนอยากสอนกรรมฐานกันเยอะเนาะ :b32:



หยิกเบาๆนะ :b32: :b32: :b32:



ยังไม่ชินหรือคะ .. เรื่องทำมะด๊าทำมะดาคร่า :b32:

เดี๋ยวเล่นอะพินยาใส่สะเลยนี่ :b33:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.พ. 2009, 00:03
โพสต์: 111


 ข้อมูลส่วนตัว


:b23: :b23: อ่านกระทู้นี้แล้ว :b23: :b23:
มึนๆ ปนสงสัย มากมาย :b10:
เข้าใจว่าเรามันยังพึ่งเริ่ม กอ ไก่ ขอ ไข่ แต่บางอย่างมันก็ยังดูตะแหม่งๆ :b14: :b23:

putsaitrong เขียน:
murano เขียน:
แสงหลากสี เคลื่อนไหวไปมา เป็นนิมิตจากกรรมฐานที่ไม่เพ่งรูป ก็ดูไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นสีขาวหมดก็แสดงว่า ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง
ภาพพระที่ว่า น่าจะเป็นการส่งจิตมาหาของอีกคนหนึ่ง การส่งจิตแบบนี้ ถ้าผู้ส่งเป็นอภิญญาจิต จะเป็นการ ดลใจ เข้าใจว่า เป็นหนึ่งในรูปแบบของ เจโตปริยญาณ แต่ถ้าผู้ส่งยังเป็นนักปฏิบัติอยู่ ก็เป็นโทรจิตธรรมดา จิตเราไม่ได้ไปหาเขา แต่จิตเขาส่งภาพมาให้เรา อาจจะนึกสนุก ไม่คิดว่าจะรับได้จริงๆ ว่างๆ ลองนัดกันนั่งสมาธิ แล้วผลัดกันส่งภาพไปซิ... แต่นี่เป็นเพียงของเล่นเท่านั้นนะ เอาสนุกๆ แก้เซ็งก็พอได้
เอ... แล้วถ้าเจ้าตัวไม่ได้ส่งมา เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมีผู้ที่เหนือกว่าส่งภาพนี้มาให้ เพราะเท่าที่พูดคุยกับเจ้าตัวยืนยันว่าไม่ได้ส่งภาพ เจ้าตัวสันนิษฐานว่า อาจเป็นพระท่าน(ไม่ทราบรูปไหนที่เป็นอรหันต์และอยู่ในนิพพาน) ที่ดลให้พบและต้องการสื่อว่า "การจะกราบพระควรไปกราบที่ใด" เพราะเจ้าตัวบอกว่าภาพนั้นเป็นภาพที่พระธุดงค์ขึ้นไปไหว้พระที่นิพพาน


รู้สึกบอกไม่ถูกแต่ว่า เอ่อ.... เค้ารู้ได้ไงคะ
ทั้งที่เราเป็นคนเห็นเองไม่ใช่หรอ แล้วเล่าให้เค้าฟัง หรือเค้าเคยเห็นด้วยเหมือนกันคะ
แล้วเห็นแบบนี้มันจะช่วยให้สงบ มีสติ ปัญญา ยังไงอ่า มันก็ไม่ต่างกับการหลับฝันสิคะ
ขออภัยนะคะ หากเป็นคำถามอะไรที่ไม่รู้เรื่อง เราไม่รู้จริงๆค่ะ เราพึ่งเริ่มฝึกค่ะ และไม่เคยเห็นอะไรเลยค่ะ :b5:


อ้างคำพูด:
suwichai เขียน:


"นัตถิ ปัญญา สมา อาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี"

จิตเกิดสว่าง แสดงว่าจิตเข้าสู่สมาธิ ถ้านิ่งพั๊บ มืดมิดไม่รู้เรื่อง จิตนอนหลับ"


ย้ำคำพูดของหลวงปู่ดู่ !! จิตเกิดสว่าง แสดงว่าจิตเข้าสู่สมาธิ ถ้านิ่งพั๊บ มืดมิดไม่รู้เรื่อง จิตนอนหลับ


ไม่ค่อยเข้าใจ เป็นการเปรียบเปรยหรือปล่าวคะ
แต่เรามืดอ่ะค่ะ แต่ก็ไม่ได้หลับนะ

:b23: :b23: :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แทนขวัญ เขียน:
:b23: :b23: อ่านกระทู้นี้แล้ว :b23: :b23:
มึนๆ ปนสงสัย มากมาย :b10:
เข้าใจว่าเรามันยังพึ่งเริ่ม กอ ไก่ ขอ ไข่ แต่บางอย่างมันก็ยังดูตะแหม่งๆ :b14: :b23:

putsaitrong เขียน:
murano เขียน:
แสงหลากสี เคลื่อนไหวไปมา เป็นนิมิตจากกรรมฐานที่ไม่เพ่งรูป ก็ดูไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นสีขาวหมดก็แสดงว่า ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง
ภาพพระที่ว่า น่าจะเป็นการส่งจิตมาหาของอีกคนหนึ่ง การส่งจิตแบบนี้ ถ้าผู้ส่งเป็นอภิญญาจิต จะเป็นการ ดลใจ เข้าใจว่า เป็นหนึ่งในรูปแบบของ เจโตปริยญาณ แต่ถ้าผู้ส่งยังเป็นนักปฏิบัติอยู่ ก็เป็นโทรจิตธรรมดา จิตเราไม่ได้ไปหาเขา แต่จิตเขาส่งภาพมาให้เรา อาจจะนึกสนุก ไม่คิดว่าจะรับได้จริงๆ ว่างๆ ลองนัดกันนั่งสมาธิ แล้วผลัดกันส่งภาพไปซิ... แต่นี่เป็นเพียงของเล่นเท่านั้นนะ เอาสนุกๆ แก้เซ็งก็พอได้
เอ... แล้วถ้าเจ้าตัวไม่ได้ส่งมา เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมีผู้ที่เหนือกว่าส่งภาพนี้มาให้ เพราะเท่าที่พูดคุยกับเจ้าตัวยืนยันว่าไม่ได้ส่งภาพ เจ้าตัวสันนิษฐานว่า อาจเป็นพระท่าน(ไม่ทราบรูปไหนที่เป็นอรหันต์และอยู่ในนิพพาน) ที่ดลให้พบและต้องการสื่อว่า "การจะกราบพระควรไปกราบที่ใด" เพราะเจ้าตัวบอกว่าภาพนั้นเป็นภาพที่พระธุดงค์ขึ้นไปไหว้พระที่นิพพาน


รู้สึกบอกไม่ถูกแต่ว่า เอ่อ.... เค้ารู้ได้ไงคะ
ทั้งที่เราเป็นคนเห็นเองไม่ใช่หรอ แล้วเล่าให้เค้าฟัง หรือเค้าเคยเห็นด้วยเหมือนกันคะ
แล้วเห็นแบบนี้มันจะช่วยให้สงบ มีสติ ปัญญา ยังไงอ่า มันก็ไม่ต่างกับการหลับฝันสิคะ
ขออภัยนะคะ หากเป็นคำถามอะไรที่ไม่รู้เรื่อง เราไม่รู้จริงๆค่ะ เราพึ่งเริ่มฝึกค่ะ และไม่เคยเห็นอะไรเลยค่ะ :b5:


อ้างคำพูด:
suwichai เขียน:


"นัตถิ ปัญญา สมา อาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี"

จิตเกิดสว่าง แสดงว่าจิตเข้าสู่สมาธิ ถ้านิ่งพั๊บ มืดมิดไม่รู้เรื่อง จิตนอนหลับ"


ย้ำคำพูดของหลวงปู่ดู่ !! จิตเกิดสว่าง แสดงว่าจิตเข้าสู่สมาธิ ถ้านิ่งพั๊บ มืดมิดไม่รู้เรื่อง จิตนอนหลับ


ไม่ค่อยเข้าใจ เป็นการเปรียบเปรยหรือปล่าวคะ
แต่เรามืดอ่ะค่ะ แต่ก็ไม่ได้หลับนะ

:b23: :b23: :b10: :b10:


ไม่รู้จะอธิบายยังไงนะ ถ้าเพิ่งเริ่มหัดก็หัดไปเรื่อยๆสักพักนั่นแหละ พยายามหาจริตตัวเองให้เจอนะว่าเหมาะกับวิธีไหน...การฝึกสมาธิมีหลายแบบ อยู่ที่เราจะถูกกับแบบไหนเท่านั้นเอง... ไม่เห็นอะไรก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังใจและการฝึกฝน และของเก่าในอดีต(หมายถึงในอดีตชาติเราเคยปฏิบัติมาก่อนชาตินี้เราก็จะปฏิบัติได้ไว) ระลึกถึงพระพุทธเจ้าไว้นะ พุทธนุสติไว้ กำลังใจมา หมั่นฝึกฝน ก็ไปได้เอง ที่สำคัญรักษาศีลและให้ทานอยู่เป็นนิจจะสั่งสมบารมี เวลาภาวนาจะเกิดผล... อันนี้เทรนเนอร์เราบอกมาน่ะ เราก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายหรอก เราก็ยังต้องพยายามอยู่เหมือนกัน ให้กำลังใจนะ...

สาธุ... อนุโมทนา

เพิ่มเติมอีกนิด เวลาก่อนภาวนาให้อาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระสาวก พระอรหันต์ คุณบิดามารดา กุศลที่เราทำทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้มาหนุนนำจิตใจเรา และต่อมาให้ตัดร่างกาย คือให้ระลึกว่าเราไม่มีร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ปลงสังขารนั่นเอง แล้วภาวนากำหนดลมหายใจ และระลึกถึงพระพุทธองค์ไปด้วย พอสงบแล้วอุทิศกุศลจากการเจริญภาวนาทั้งหมดให้กับบิดามารดา เทพเทวา นาคา พยายมราช เจ้ากรรมนายเวร ดวงวิญญาณทั้งหลาย สรรพสัตว์ตั้งแต่โลกมนุษย์ไปจนสุดโลกัณฑ์ ฯลฯ ให้เขาได้รับส่วนกุศลจากการเจริญภาวนาของเรา และให้เขาอนุโมทนากับการเจริญภาวนาของเราด้วย... อันนี้เป็นวิธีที่เราใช้ ต่างคนก็ต่างวิธีไป ก็แนะนำกันไป แล้วแต่จริตของบุคคลๆนั้นด้วย ลองดูนะ... กำลังใจมาอันดับหนึ่ง..สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.พ. 2009, 00:03
โพสต์: 111


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไม่รู้จะอธิบายยังไงนะ ถ้าเพิ่งเริ่มหัดก็หัดไปเรื่อยๆสักพักนั่นแหละ พยายามหาจริตตัวเองให้เจอนะว่าเหมาะกับวิธีไหน...การฝึกสมาธิมีหลายแบบ อยู่ที่เราจะถูกกับแบบไหนเท่านั้นเอง... ไม่เห็นอะไรก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังใจและการฝึกฝน และของเก่าในอดีต(หมายถึงในอดีตชาติเราเคยปฏิบัติมาก่อนชาตินี้เราก็จะ ปฏิบัติได้ไว) ระลึกถึงพระพุทธเจ้าไว้นะ พุทธนุสติไว้ กำลังใจมา หมั่นฝึกฝน ก็ไปได้เอง ที่สำคัญรักษาศีลและให้ทานอยู่เป็นนิจจะสั่งสมบารมี เวลาภาวนาจะเกิดผล... อันนี้เทรนเนอร์เราบอกมาน่ะ เราก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายหรอก เราก็ยังต้องพยายามอยู่เหมือนกัน ให้กำลังใจนะ... สาธุ... อนุโมทนา
]

จริตนี่หมายถึงอะไรคะ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 00:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แทนขวัญ เขียน:
อ้างคำพูด:
ไม่รู้จะอธิบายยังไงนะ ถ้าเพิ่งเริ่มหัดก็หัดไปเรื่อยๆสักพักนั่นแหละ พยายามหาจริตตัวเองให้เจอนะว่าเหมาะกับวิธีไหน...การฝึกสมาธิมีหลายแบบ อยู่ที่เราจะถูกกับแบบไหนเท่านั้นเอง... ไม่เห็นอะไรก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังใจและการฝึกฝน และของเก่าในอดีต(หมายถึงในอดีตชาติเราเคยปฏิบัติมาก่อนชาตินี้เราก็จะ ปฏิบัติได้ไว) ระลึกถึงพระพุทธเจ้าไว้นะ พุทธนุสติไว้ กำลังใจมา หมั่นฝึกฝน ก็ไปได้เอง ที่สำคัญรักษาศีลและให้ทานอยู่เป็นนิจจะสั่งสมบารมี เวลาภาวนาจะเกิดผล... อันนี้เทรนเนอร์เราบอกมาน่ะ เราก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายหรอก เราก็ยังต้องพยายามอยู่เหมือนกัน ให้กำลังใจนะ... สาธุ... อนุโมทนา
]

จริตนี่หมายถึงอะไรคะ :b10:


เอ่อ.. จะจำกัดความยังไงดีหละ คล้ายๆอุปนิสัยลึกๆของเรา บอกไม่ถูกเหมือนกัน ลองถามผู้รู้ดูนะ แต่ว่าถ้าจะให้ดี ลองฝึกที่ทำอยู่ไปเรื่อยๆก่อนก็ได้ ถ้ารู้สึกว่ามันสงบ สบาย เราไม่อึดอัด ไม่หงุดหงิด ก็แสดงว่าถูกกับจริตเราแล้วนะ แต่ถ้าเราฝึกไปรู้สึกไม่ค่อยสบาย เครียด อึดอัด แสดงว่าไม่ถูกกับจริตเรา เราควรหาวิธีใหม่ เพื่อสมาธิของเราจะได้ก้าวหน้า.
ส่วนเรื่องของจริตคืออารมณ์ที่ชอบ เช่นราคะจริตคือชอบเป็นคนรักสวยรักงาม โทสะจริตคือชอบโกรธเกลียดพยาบาท วิตกจริตคือตกอยู่ในอำนาจของความหลง ฟุ้งซ่านฯลฯ และมีอีกอื่นจำไม่ได้อ่ะ คือแต่ละจริตก็จะเลือกกรรมฐานที่เหมาะกับตนซึ่งมีกว่า40 แบบ

ตั้งแต่อนุสติ10 กสิน10 อสุภะกรรมฐานและอื่นๆ ลองหาศึกษาดูนะ แต่ว่าโดยส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้อาณาปานสติจะใช้ได้กับทุกจริตแหละนะ แต่วิธีการทำสมาธิแบบอาณาฯ ก็มีหลายวิธีเหมือนกัน บางคนจับภาพพระพุทธรูปเพื่อกันฟุ้งซ่าน บางคนก็ภาวนาไม่เหมือนกัน เช่น พุทโธ นะมะพะทะ สัมมาอรหัง ฯลฯ แต่การคำภาวนาเป็นเพียงกุศโลบายให้เรามีสมาธิจดจ่ออยู่กับมันเท่านั้น สำคัญที่สุดคืออารมณ์นั่นแหละนะ

เอาเข้าใจง่ายๆว่า ตอนนี้ฝึกอาณาปานสตินั่นแหละ... จะพุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ หรือนะมะพะทะ ก็แล้วแต่ความถนัด กำหนดลมหายใจเข้าออกเหมือนกัน ส่วนวิธีอื่นๆที่เป็นกุศลโลบายให้เราสงบมากขึ้นก็แล้วแต่บุคคล ซึ่งจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว

เราว่าลองถามผู้ที่รู้ดีกว่า ส่วนเราไม่รู้มากมาย ถ้าขาดตกบกพร่องอะไรก็ขออภัยด้วย... สู้ต่อไป... ธรรมะสวัสดี... เจริญในธรรมนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


putsaitrong เขียน:
อยากทราบว่าแสงที่เกิดจากสมาธิบ่งบอกถึงอะไร เช่น ดิฉันเห็นแสงสีม่วง เป็นวงกลมจากจุดเล็กกลายเป็นใหญ่ขึ้นแล้วก็ลอยเข้ามาตรงหน้า เรื่อยๆ หรือบางทีก็มาจากมุมต่างๆ แต่สีอื่นๆเห็นบ้างเช่นสีเหมือนแสงแดดแต่ก็นานๆจะเห็นครั้ง แต่สีม่วงนี่เห็นบ่อยมาก มีผู้รู้บอกว่าอย่าไปสนใจ ก็พยายามไม่เพ่ง

สอง คือว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งนอนภาวนา ไม่เห็นแสง แต่เห็นเป็นตาข่ายสีขาวเล็กๆพริ้วๆเหมือนกับสายน้ำแล้วก็มีดอกไม้ดอกเล็กๆผุดขึ้นมาๆ บ่งบอกถึงอะไร อนุโมทนากับทุกคำตอบ



ถ้าไม่ผิดน่าจะเป็นวิปัสสนูกิเลส นะงับ ที่เรียกกว่า โอภาส ละไปดีที่สุดงับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
putsaitrong เขียน:
อยากทราบว่าแสงที่เกิดจากสมาธิบ่งบอกถึงอะไร เช่น ดิฉันเห็นแสงสีม่วง เป็นวงกลมจากจุดเล็กกลายเป็นใหญ่ขึ้นแล้วก็ลอยเข้ามาตรงหน้า เรื่อยๆ หรือบางทีก็มาจากมุมต่างๆ แต่สีอื่นๆเห็นบ้างเช่นสีเหมือนแสงแดดแต่ก็นานๆจะเห็นครั้ง แต่สีม่วงนี่เห็นบ่อยมาก มีผู้รู้บอกว่าอย่าไปสนใจ ก็พยายามไม่เพ่ง

สอง คือว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งนอนภาวนา ไม่เห็นแสง แต่เห็นเป็นตาข่ายสีขาวเล็กๆพริ้วๆเหมือนกับสายน้ำแล้วก็มีดอกไม้ดอกเล็กๆผุดขึ้นมาๆ บ่งบอกถึงอะไร อนุโมทนากับทุกคำตอบ



ถ้าไม่ผิดน่าจะเป็นวิปัสสนูกิเลส นะงับ ที่เรียกกว่า โอภาส ละไปดีที่สุดงับ

ขอบคุณค่ะ อนุโมทนาค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของการส่งจิตไปหากันนี่ เราอยากจะตำหนิพวกฌาณสูงทั้งหลาย
ในเมื่อส่งภาพไปแล้ว อีกฝ่ายรับได้ (จะด้วยเหตุใดก็ตาม) ก็ควรจะยอมรับในสิ่งที่ตนได้กระทำ อย่าเฉไฉ อ้างว่าเป็นพระเป็นเทพหรือเป็นอะไรมาดลใจ เพราะมันจะสร้างความเชื่อผิดๆ ต่อเนื่องกันไป (และอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตของผู้ส่ง ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร เพราะเมื่อโกหกแล้ว ใจจะยังพะวงกับเรื่องนี้ต่อไป เป็นการบั่นทอนตนเองเสียเปล่า)

และอยากจะบอกพวก เจโต ทั้งหลาย อย่าทดสอบใครโดยที่เขาไม่ได้อนุญาต อย่าถือวิสาสะ ในเมื่อเป็นอริยะ ก็จงทำตนให้สมกับความเป็น อริยะ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่าย ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน...

ตอบคุณแทนขวัญ : ไม่เห็นอะไรน่ะ ดีแล้ว... บางทีเราก็สับสนกับการใช้คำว่า นิมิต เหมือนกัน จริงๆ นิมิตคือภาพหรือเสียงที่เกิดในสมาธิ ทั้งจริงและไม่จริง ถือเป็นนิมิตหมด แต่ส่วนใหญ่เรามักจะใช้คำนี้ ในกรณีนิมิตแบบความฝัน คือเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว แบบดูหนัง หรือบางทีเราอาจจะเป็นผู้แสดงก็ได้
และย้ำคำเดิม ไม่เห็นอะไรน่ะ ดีแล้ว แสดงว่าฟุ้งซ่านน้อย... มีโอกาสเป็นแม่ชีสูง อิอิ :b1:


เพิ่มเติม: ส่วนการเห็นพวกผีนี่ ช่วยอะไรกับความสงบ สติปัญญาบ้าง ตอบว่า... มันคงมีในแง่ที่ว่า เราจะได้ตระหนักด้วยตนเอง (ซึ่งต่างจาก การตระหนักจากการบอกเล่า) ว่า ภูมิต่างๆ นั้น มีจริง ยิ่งถ้าเราได้เห็นความแตกต่างของผีต่างๆ เราก็จะเข้าใจอะไรๆ ได้ดีขึ้น
อีกอย่างนะ เมื่อสมาธิถึงระดับหนึ่ง จะเห็นได้เอง มันไม่ใช่วิชาอะไรนะ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
อุ้ย :b1:

กระทู้นี้ แค่วันเดียว 50 กว่า reply แล้ว
สมัยนี้คนอยากสอนกรรมฐานกันเยอะเนาะ :b32:



หยิกเบาๆนะ :b32: :b32: :b32:


ก็ของมันแรง!!! :b13:


แก้ไขล่าสุดโดย putsaitrong เมื่อ 01 ก.ค. 2009, 22:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
เรื่องของการส่งจิตไปหากันนี่ เราอยากจะตำหนิพวกฌาณสูงทั้งหลาย
ในเมื่อส่งภาพไปแล้ว อีกฝ่ายรับได้ (จะด้วยเหตุใดก็ตาม) ก็ควรจะยอมรับในสิ่งที่ตนได้กระทำ อย่าเฉไฉ อ้างว่าเป็นพระเป็นเทพหรือเป็นอะไรมาดลใจ เพราะมันจะสร้างความเชื่อผิดๆ ต่อเนื่องกันไป (และอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตของผู้ส่ง ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร เพราะเมื่อโกหกแล้ว ใจจะยังพะวงกับเรื่องนี้ต่อไป เป็นการบั่นทอนตนเองเสียเปล่า)

และอยากจะบอกพวก เจโต ทั้งหลาย อย่าทดสอบใครโดยที่เขาไม่ได้อนุญาต อย่าถือวิสาสะ ในเมื่อเป็นอริยะ ก็จงทำตนให้สมกับความเป็น อริยะ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่าย ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน...

ตอบคุณแทนขวัญ : ไม่เห็นอะไรน่ะ ดีแล้ว... บางทีเราก็สับสนกับการใช้คำว่า นิมิต เหมือนกัน จริงๆ นิมิตคือภาพหรือเสียงที่เกิดในสมาธิ ทั้งจริงและไม่จริง ถือเป็นนิมิตหมด แต่ส่วนใหญ่เรามักจะใช้คำนี้ ในกรณีนิมิตแบบความฝัน คือเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว แบบดูหนัง หรือบางทีเราอาจจะเป็นผู้แสดงก็ได้
และย้ำคำเดิม ไม่เห็นอะไรน่ะ ดีแล้ว แสดงว่าฟุ้งซ่านน้อย... มีโอกาสเป็นแม่ชีสูง อิอิ :b1:


เพิ่มเติม: ส่วนการเห็นพวกผีนี่ ช่วยอะไรกับความสงบ สติปัญญาบ้าง ตอบว่า... มันคงมีในแง่ที่ว่า เราจะได้ตระหนักด้วยตนเอง (ซึ่งต่างจาก การตระหนักจากการบอกเล่า) ว่า ภูมิต่างๆ นั้น มีจริง ยิ่งถ้าเราได้เห็นความแตกต่างของผีต่างๆ เราก็จะเข้าใจอะไรๆ ได้ดีขึ้น
อีกอย่างนะ เมื่อสมาธิถึงระดับหนึ่ง จะเห็นได้เอง มันไม่ใช่วิชาอะไรนะ...



เรียนถาม... คุณ...เอ่อ... เรียกคุณมาริโอ้แล้วกันนะ (55++) เห็นชื่อมันคล้ายๆกันจะเรียกmurano ก็ไม่ถนัด..

อยากทราบว่า ถ้าผู้ที่รับภาพที่พวกฌานสูงส่งมาได้น่ะ.. จะด้วยเหตุใดบ้าง ขอรายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยค่ะ... ขอบพระคุณอย่างสูง(ล่วงหน้า)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


หมายถึงว่า ผู้รับจะต้องมีกำลังจิตกล้าแข็งด้วยหรือเปล่า ใช่มะ...

ถ้าผู้รับไม่ได้ฝึกจิตมาก่อน ภาพที่เกิดขึ้นจะเหมือน ความคิดของตน ลักษณะนี้เขาเรียกว่า ดลใจ คือผู้รับจะเข้าใจไปว่า ตนเองกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่
ถ้ามีสมาธิพอสมควร (แต่ไม่ได้อยู่ในสมาธินะ) และช่างสังเกตหน่อย ก็จะเริ่มรู้สึกว่า ความคิดที่เข้ามานั้น ไม่ใช่ของตัว คือสมาธิที่มีจะทำให้เรารู้สึกแม่งๆ ว่า เราไม่ได้คิดเรื่องนี้นี่หน่า...

สิ่งที่ต้องระวังคือ หากผู้ส่งจิตมีกำลังที่เข้มแข็งมาก อาจทำให้ผู้รับเกิดอาการ เวียนหัวอย่างรุนแรง

ในสมาธิ ถ้ามีความสงบเพียงพอ ก็จะสามารถรับเป็นภาพได้
ถ้าทั้งสองคนต่างก็สามารถเห็นร่างทิพย์ได้ และมีภูมิจิตที่เท่ากัน ผู้รับก็จะเห็นตัวผู้ส่งด้วย เราไม่สามารถใช้ เจโตปริยญาณ กับผู้อื่นที่มีภูมิจิตเท่ากัน โดยที่เขาไม่รู้ตัวได้ บางทีก็เลยเลี่ยงไปใช้ ทิพยโสต คือฟังเสียงความคิดแทน ซึ่งถ้าผู้นั้นเขาต้องการจะเห็นจริง ก็เห็นได้

การดลใจต้องทำโดยผู้ที่มีภูมิจิตสูงกว่า แต่มันก็มีวิธีเช็คหลายวิธี เช่น นิมิตที่เกิดขึ้นนั้น ถ้าเราสามารถ จับ มันทิ้งไปได้ ก็เป็นภาพที่ส่งมาแน่นอน หรือใช้การส่งจิตตนเองออกไปด้านข้าง ถ้าความคิดนั้นยังติดอยู่กับตัว มันก็เป็นความคิดแปลกปลอมเป็นแน่

เราถึงเซ็งพวกเจโตเป็นอย่างมาก วุ่นวายเสียจริง กำลังหาข้อพิจารณาอยู่ว่า นี่เป็นผีหรือเทวดา หรือเป็นเทพ เอ... หรือว่าผีจำแลงมา ต้องเพ่งดู โอ... ผีจริงๆ ด้วย ไหนๆ ลองเพ่งภาพสาวๆ ดูซิ พวกเจโตมันเสือกจำแลงรูปผีเข้ามา... วันก่อน ลองมาเพ่งจิต ใครแม่งแอบดูเรา เสือกมีอสูรกายโผล่มา แถมมีพวกหน้าตาเหมือนพั้งค์ผสมกังฟูมาด้วย
จะลองเรียกผีดู มาให้ดูหน่อยๆ มาจริงๆ ด้วย แต่ที่มานี่ ไอ้พวกเจโตมันส่งมาแน่ๆ ส้นตีนจริงๆ... ว่างมากรึไง สุดท้ายแทนที่เราจะมาแยกแยะพวกร่างทิพย์ ยังต้องมาแยกพวกเจโตด้วย... มันอะไรกันฟะ

แต่เรารู้ว่าเป็นพระอย่างน้อย 1 (มีที่ไม่ใช่พระด้วย) ตอนที่ลองสวดมนต์ในใจแบบออกเสียงดู โอ้ โผล่มาให้เห็นเต็มๆ ตกใจล่ะซี่ ว่าไอ้หมอนี่มันมีเสียงทิพย์ เอิ้ก เอิ้ก (ย่อหน้านี้ บ่นๆ ให้อ่านเล่น)


ปล. เรื่องดลใจที่เขียนมา ไม่ต้องกังวลอะไรมากนักหรอก ฤทธิ์มันมีผลก็ตอนที่ใช้ฤทธิ์เท่านั้น ถ้าไม่ถูกจริตกับเรา เลิกดลใจก็เลิกกันเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านมาริโอ้คะ... คือว่าอย่างที่เราเล่าว่า มันเกิดตอนเราเคลิ้มๆ คือกำลังจะหลับแหล่มิหลับแหล่
แล้ว... อาการเวียนหัวจะเกิดขึ้น ณ ขณะนั้นหรือเปล่า...

แต่วันนั้นไม่ได้เวียนหัว... จะมาเวียนหัวหลายวันต่อมา เวียนขนาดจะอ๊วก ซึ่งไม่ทราบสาเหตุ พอสวดมนต์ก็หายกริบ


แก้ไขล่าสุดโดย putsaitrong เมื่อ 02 ก.ค. 2009, 09:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


อาการเวียนหัวจะเกิดในเวลาปกติที่ไม่ได้ทำสมาธิ คืออาจมีผู้พยายามดลใจ หรืออ่านใจ แต่ยังประเมินกำลังที่จะใช้ไม่เป็น
ถ้าเราทำสมาธิมานานเพียงพอ จะไม่เวียนหัว แต่จะรู้สึกตึงๆ ในหัว

เรื่องภาพพระธุดงค์นั้น ไม่ใช่ภาพจริงแน่นอน แต่จะเป็นภาพที่จิตเราสร้างขึ้นหรือผู้อื่นส่งมานั้น คงตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เห็นเองไง... ลองนึกทบทวนดูซิว่า ในเวลานั้นเราได้คิดถึงเรื่องพระหรือเปล่า ถ้าคิดอยู่ ก็อาจจะเป็นจิตเราสร้างเอง แต่เท่าที่อ่านมา... ในเมื่อพี่ที่ฝึก เขาบอกลักษณะพระได้ถูกต้อง มันก็เป็นภาพของเขานั่นแหล่ะ

ไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
อาการเวียนหัวจะเกิดในเวลาปกติที่ไม่ได้ทำสมาธิ คืออาจมีผู้พยายามดลใจ หรืออ่านใจ แต่ยังประเมินกำลังที่จะใช้ไม่เป็น
ถ้าเราทำสมาธิมานานเพียงพอ จะไม่เวียนหัว แต่จะรู้สึกตึงๆ ในหัว

เรื่องภาพพระธุดงค์นั้น ไม่ใช่ภาพจริงแน่นอน แต่จะเป็นภาพที่จิตเราสร้างขึ้นหรือผู้อื่นส่งมานั้น คงตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เห็นเองไง... ลองนึกทบทวนดูซิว่า ในเวลานั้นเราได้คิดถึงเรื่องพระหรือเปล่า ถ้าคิดอยู่ ก็อาจจะเป็นจิตเราสร้างเอง แต่เท่าที่อ่านมา... ในเมื่อพี่ที่ฝึก เขาบอกลักษณะพระได้ถูกต้อง มันก็เป็นภาพของเขานั่นแหล่ะ

ไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ อิอิ


ของพี่เขานั่นแหละนะ.. คือพี่เขาจะมีลักษณะเด่นอย่างหนึ่ง คืออ่านจิตคนอื่นได้ ประมาณว่ายังไม่อ้าปากเขาก็ตอบมาแล้ว ประมาณรู้ว่าเราจะถามอะไร พอฝันถึงเขา ยังไม่อ้าปากบอกเขาก็พูดมาก่อนว่า รู้แล้วว่าฝันถึง...และอีกมากมายฯลฯ


แต่พี่เขาเป็นเทรนเนอร์ที่ดีมากๆ ถามไรได้หมด ไม่หวงวิชา ไม่กั๊ก บอกหมด แต่อยู่ที่เราว่าจะทำได้หรือเปล่า... ที่สำคัญน่ารัก :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ถือว่าโชคดีมาก ที่มีคนที่ฝึกได้จริงมาช่วยแนะนำ ก็ฝึกต่อไปก็แล้วกัน ต่อไปอาจจะได้ เจโตปริยญาณ แบบพี่เขาก็ได้

เจโตปริยญาณ คือการล่วงรู้ใจคนน่ะ
ส่วนเรามันสายอิทธิฤทธิ์ ฝึกเอง รู้เอง แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกเบื่อๆ แล้ว ก็คงจะเพลาๆ ลงไป :b1: :b1: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 66 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร