วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 02:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2013, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เมื่อกล่าวถึงสมาธิ ต้องเข้าใจในเบื้องต้นว่า สมาธิมิใช่เรื่องของฤๅษีชีไพร
หรือมิใช่เป็นเรื่องที่ประพฤติปฏิบัติได้เฉพาะผู้ที่เป็นนักบวชเท่านั้น
แต่สมาธิเป็นเรื่องของการฝึกฝนอบรมจิตใจ และเป็นการพัฒนาจิตใจให้มีความมั่นคง ตั้งมั่น
และทำให้มีคุณภาพทางจิตใจที่ดีขึ้น ซึ่งในทางพระพุทธศาสนานั้น สมาธิสามารถประพฤติปฏิบัติได้
ทั้งเพื่อประโยชน์ต่อความมีชีวิตที่อยู่เป็นสุขในเพศภาวะของผู้ที่ยังครองเรือน และยังเป็นการปฏิบัติ
เพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นสำหรับผู้ที่เป็นนักบวชอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม สมาธิ ถือเป็นเรื่องสากล กล่าวคือ มิใช่เฉพาะพุทธศาสนิกชนเท่านั้นที่จะสามารถ
ปฏิบัติสมาธิได้ แม้ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นก็สามารถปฏิบัติสมาธิได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ การฝึกสมาธิจะเน้น
ให้ความสำคัญของการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ปฏิบัติเห็นผลด้วยตนเองแล้ว
หากมีข้อสงสัยในเชิงปฏิบัติ ก็สามารถที่จะสอบถามจากผู้รู้ผู้ชำนาญได้อย่างตรงเป้าหมาย
หรือตรงต่อประสบการณ์ที่ตนเองได้ปฏิบัติมา และถึงแม้จะมีการอธิบายรายละเอียดความรู้ของสมาธิ
ในเชิงทฤษฎี แต่กระนั้นก็มิอาจที่จะละเลยสมาธิในเชิงปฏิบัติได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2013, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิคือการที่มีใจตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแน่วแน่
กล่าวในภาษาชาวบ้านก็คือ การมีใจจดจ่ออยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านนั่นเอง
การทำสมาธิแบบนี้ไม่ได้เน้นการเข้าถึงนิพพาน หรือความสิ้นไปของอาสวะ
แต่ก็เป็นพื้นฐานที่ดีหากต้องการปฏิบัติต่อไปในขั้นสูง
หากแต่มีประโยชน์ที่เห็นได้ทันทีก็ได้จากในชีวิตประจำวัน
ทำให้เรามีจิตใจผ่องใส ประกอบกิจการงานได้ราบรื่นและคิดอะไรก็รวดเร็วทะลุปรุโปร่ง
เพราะว่าระดับจิตใจได้ถูกฝึกมาให้มีความนิ่งดีแล้ว
เมื่อมีความนิ่งเป็นสมาธิดีแล้ว ย่อมมีพลังแรงกว่าใจที่ไม่มีสมาธิ
ดังนี้เมื่อจะคิดทำอะไร ก็จะทำได้ดี และได้เร็วกว่าคนปกติ ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกสมาธิมาก่อน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2013, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาสาธุค่ะลุง
สมาธิแค่เริ่มบริกรรม ก็ได้มหากุศลแล้ว กุศลเกิดตั้งแต่เริ่มทำทันทียังไม่ต้องมีผลงานเป็นฌาน
กุศลเห็นๆ กันง่ายๆ เหมือนอย่างที่พ่อแม่ชอบพูดกันว่า
ทำสมาธิแค่ผีเสื้อขยับปี หรือแค่ช้างกระพือหู ก็เกิดกุศลแล้วค่ะ :b41:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2013, 05:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
:b8: อนุโมทนาสาธุค่ะลุง
สมาธิแค่เริ่มบริกรรม ก็ได้มหากุศลแล้ว กุศลเกิดตั้งแต่เริ่มทำทันทียังไม่ต้องมีผลงานเป็นฌาน
กุศลเห็นๆ กันง่ายๆ เหมือนอย่างที่พ่อแม่ชอบพูดกันว่า
ทำสมาธิแค่ผีเสื้อขยับปี หรือแค่ช้างกระพือหู ก็เกิดกุศลแล้วค่ะ :b41:


:b41: ช่ายๆ ขอบคุณ
ก็เห็นได้ง่ายๆ ตามหลักพระอภิธรรมว่า
การที่เราจะบริกรรมนั้น เราก็เริ่มจากตัวสติก่อนเป็นผู้กำหนด
เมื่อสติเกิดกุศลก็ย่อมเกิดด้วย เพราะสติจะเกิดเฉพาะในกุศลเท่านั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2013, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1081573_636469683051955_288809804_n.jpg
1081573_636469683051955_288809804_n.jpg [ 41.27 KiB | เปิดดู 4773 ครั้ง ]
:b8: อนุโมทนาค่ะคุณลุงหมาน

ส่วนตัวเป็นคนชอบความสงบมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ชอบอยู่ในที่มีคนเยอะเสียงดังวุ่นวายถ้าเลี่ยงได้จะเลี่ยง
มีเพื่อนน้อยไม่ชอบสมาคมสังสรรค์...มีความเป็นส่วนตัวสูง...
จะนั่งสมาธิเมื่อมีโอกาส...บางทีนั่งอยู่เฉยๆก็จะติดอาการเพ่ง(เพ่งอารมณ์ความว่าง)แต่ก่อนเป็นบ่อยมากแต่เดี๋ยวนี้พอรู้ตัวจะปล่อย...แม้ในสถานที่ที่วุ่นวายเราก็สามารถกำหนดจิตให้มีความสงบได้...
สถานที่ที่ชอบอยู่และอยู่ได้เป็นวันๆคือตามสวนที่มีต้นไม้ใหญ่และเงียบสงบ...

...แต่มีเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับตัวเองคือเวลาจิตเข้าถึงระดับฌาน (เป็นบางครั้ง) รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเก่า...เป็นสถานที่ไหนก็ไม่ทราบแต่รู้สึกว่ามันอยู่ไกลจากที่เราอยู่ในปัจจุบันมาก...ไม่มีการสื่อสารด้วยเสียง..แต่สื่อสารกันทางจิต...เรียกให้เรากลับไปที่นั่นเหมือนมีใครสักคนที่เราคุ้นเคยอยู่ที่นั่น...บางครั้งทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจและเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว...ภพชาติอันยาวนานในวัฏฏะสงสาร
มันทำให้เราสลดสังเวชใจในความทุกข์ของตนเองยิ่งนัก... :b41:

ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อกระทู้ก็ขออภัย..แค่อยากเล่าให้คุณลุงฟังค่ะ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2013, 14:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

เอกอนก็รู้สึกเหมือนกัน...
บางทีก็จะรู้สึกเหมือนมีคนอีกคนที่รอเรา และเราเองก็รอเขา...อยู่ที่ปลายโพ้นฟ้าอันไกลออกไป...

แต่ ไม่รู้สิ่...

เมื่อเวลาที่เอกอนรู้สึก ...
มันไม่มีบ้านในที่ไหน ... มันไม่ได้มีใคร...

เป็น ... สัญญาในเวทนา ... สัญญาในอารมณ์

คือ ในมุมมองที่เอกอนเห็น
คือ มันจะมีสัญญาให้เราเปรียบเทียบสภาวะเสมอ ...
เพื่อให้จิตที่กำลังแสวงหาหนทาง ได้รู้สถานะของตัวเอง (สถานะของจิต ตำแหน่งการทรงตัว) ...
...
ที่ปรากฎให้เราได้สัมผัส รับรู้ และ ก็มันก็สลายไป ...
...
และกลับมารู้สึกตัว...อีกที ที่...เรายังคงหายใจอยู่...

สักวันเราจะได้ไปที่นั่น หรือที่ไหน หรือไม่ อย่างไร
บ้านที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ
แต่ ที่นี่ ตอนนี้ ...รู้อยู่กับลมหายใจ... บ้านในตอนนี้...
เราทำ ลมหายใจ ให้เป็น บ้าน ได้...
เมื่อ...รู้สึกได้ถึง...บ้าน...อย่างที่รู้สึก
เราก็สร้างลมหายใจที่มีอยู่นี้ ให้เป็น...บ้าน...ได้

และ จะพบว่า บ้าน ไม่ได้อยู่ตรงนั้น หรือ ตรงไหน
แต่อยู่ตรง ที่รู้ ...

คือ ตอนที่รู้ เอกอนรู้สึกอย่างนั้น น่ะ...
ก็เรยเขียนออกมาตามความรู้สึก...
:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 05 ส.ค. 2013, 15:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2013, 15:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนกับการโยนหินลงในบ่อน้ำ
ผัสสะแรก เมื่อหินกระทบกับน้ำ ปรากฎ อารมณ์ 1
ผัสสะที่สองน้ำกระทบตะหลิ่ง อารมณ์ 2
เมื่อเราเข้าไปยึดอารมณ์ใดว่าเป็นบ้าน มันจะมีบ้านที่ยิ่ง ๆ ให้เราได้รู้สึก
....
มันคือสัญญาในอารมณ์ สัญญาในเวทนา เมื่อปรากฎผัสสะ...
....
เอกอนมีทัศนะกับการเห็นเป็นเช่นนั้นน่ะ...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2013, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราเข้าใจในสิ่งที่คุณเอกอนกล่าวมาทั้งหมด...เราไม่เคยหลงไหลไปกับนิมิตใด...เราคุ้นเคยกับสมาธิและสภาวะของความสงบดีพอ...

แต่ที่เราต้องการสื่อคือการเข้าไปรู้หรือระลึกถึงภพชาติอันใกล้ที่เป็นความจริงในวัฏฏะสงสาร
...ทำให้เราสะเทือนใจและเศร้าใจเป็นอย่างมาก...เราจึงกล่าวว่ารู้สึกสลดสังเวชใจกับความทุกข์
ที่เราต้องประสบพบเจอในวัฏฏะสงสารยิ่งนัก...

..และเราก็ไม่ได้อยากจะกลับไปในที่ๆเราเคยจากมา...เราจะไม่เสียเวลาไปกับสิ่งนั้นอีก... :b41:

ดีใจที่ได้สนทนากับคุณเอกอนค่ะ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2013, 15:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:

...แต่มีเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับตัวเองคือเวลาจิตเข้าถึงระดับฌาน (เป็นบางครั้ง) รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเก่า...เป็นสถานที่ไหนก็ไม่ทราบแต่รู้สึกว่ามันอยู่ไกลจากที่เราอยู่ในปัจจุบันมาก...ไม่มีการสื่อสารด้วยเสียง..แต่สื่อสารกันทางจิต...เรียกให้เรากลับไปที่นั่นเหมือนมีใครสักคนที่เราคุ้นเคยอยู่ที่นั่น...บางครั้งทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจและเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว...ภพชาติอันยาวนานในวัฏฏะสงสาร
มันทำให้เราสลดสังเวชใจในความทุกข์ของตนเองยิ่งนัก... :b41:



เป็นสถานที่ทับซ้อนกันอยู่นี่ล่ะ แต่วิญญาณปล่อยจากรูปหยาบไปตั้งอยู่ในรูปที่ละเอียดกว่า ไม่ได้ไกล มันอยู่ตรงนี้ ห่างกันด้วยความละเอียดแห่งรูป(ธาตุ)ที่วิญญาณตั้งอยู่

ตรงนี้...อธิบายลำบาก...คือ...มันเป็นอารมณ์ที่เข้าใกล้ สามัญ ... เข้าใกล้ความเป็นเอกภาพ ... ความเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง ...
หรืออีกนัยหนึ่ง วิญญาณไปตั้งอยู่ในธาตุที่อายตนะมันทำหน้าที่เช่นนั้น ... :b1:


เพราะ เราเข้าใกล้สามัญ...ทำให้เรารู้ถึง...สามัญที่เราได้สูญเสียไป...เมื่อเราได้หลงเข้าไปยึด เข้าไปวนเวียนอยู่ในวงจรสังสารวัฎ

คือ ... เอกอนรู้สึกอย่างงั๊นน่ะ...
ซึ่งเอกอน...ก็รู้สึกได้ถึงความเศร้าใจ สลดใจ เช่นกัน...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2013, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
:b8: อนุโมทนาค่ะคุณลุงหมาน

ส่วนตัวเป็นคนชอบความสงบมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ชอบอยู่ในที่มีคนเยอะเสียงดังวุ่นวายถ้าเลี่ยงได้จะเลี่ยง
มีเพื่อนน้อยไม่ชอบสมาคมสังสรรค์...มีความเป็นส่วนตัวสูง...
จะนั่งสมาธิเมื่อมีโอกาส...บางทีนั่งอยู่เฉยๆก็จะติดอาการเพ่ง(เพ่งอารมณ์ความว่าง)แต่ก่อนเป็นบ่อยมากแต่เดี๋ยวนี้พอรู้ตัวจะปล่อย...แม้ในสถานที่ที่วุ่นวายเราก็สามารถกำหนดจิตให้มีความสงบได้...
สถานที่ที่ชอบอยู่และอยู่ได้เป็นวันๆคือตามสวนที่มีต้นไม้ใหญ่และเงียบสงบ...

...แต่มีเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับตัวเองคือเวลาจิตเข้าถึงระดับฌาน (เป็นบางครั้ง) รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเก่า...เป็นสถานที่ไหนก็ไม่ทราบแต่รู้สึกว่ามันอยู่ไกลจากที่เราอยู่ในปัจจุบันมาก...ไม่มีการสื่อสารด้วยเสียง..แต่สื่อสารกันทางจิต...เรียกให้เรากลับไปที่นั่นเหมือนมีใครสักคนที่เราคุ้นเคยอยู่ที่นั่น...บางครั้งทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจและเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว...ภพชาติอันยาวนานในวัฏฏะสงสาร
มันทำให้เราสลดสังเวชใจในความทุกข์ของตนเองยิ่งนัก... :b41:

ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อกระทู้ก็ขออภัย..แค่อยากเล่าให้คุณลุงฟังค่ะ


จิตสงบมันไม่สนใจรูปขันธ์ ไปอยู่กับนามขันธ์4 มีเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
ขณะที่เรื่องที่น่าแปลกใจเกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นจากขันธ์4 ดังนั้นมีอะไรเกิดขึ้นมามีสติกลับมาดูที่ใจดีกว่าค่ะ
ดีกว่าปล่อยให้ เกิดความเศร้าหรือความยินดี ในเรื่องราวที่เกิดขึ้นขณะนั้นค่ะ จะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นถูก
หรือผิด ก็บอกกันไม่ได้ด้วยค่ะว่า มันเป็นสัญญาจากอดีตที่โผล่มาให้จำได้ หรือมันเป็นสังขารคิดปรุงแต่ง
ขึ้นมา วิญญาณไปรู้เข้าก็เสวยอารมณ์ มันก็ทำให้เศร้าบ้างยินดีบ้าง เรื่องก็ยืดยาวไปอีกไกลนะ

ถ้าหากจะทำสมาธิต่อนั้นต้องมีสติแล้วทำสมาธิต่อไปอีก แต่ถ้าจะไปแนววิปัสสนาก็มีสติกลับมาดูที่ใจค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร