วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 15:05
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนถามผู้รู้ค่ะ

เมื่อคืน นั่งสามาธิแล้ว มีอาการแปลกๆค่ะ
พอนั่งไปนานๆ รู้สึกว่า หัวใจเต้นแรงมากๆ
ก็เลยแก้ไขโดยการหายใจ ลึกๆ ยาวๆ
ก็อาการดีขึ้น แต่แล้วสักพัก รู้สึกว่าปากขยับเองได้ค่ะ ทั้งๆที่ปากเราก็ไม่ได้ขยับเลย
ไม่รู้ว่า ตอนนี้ สภาวะจิตของดิฉัน เป็นยังไงบ้าง

:b20:
ขอบคุณค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


รออีกหน่อยครับ...เดี๋ยวท่านกรัชกายจะแนะนำท่านได้แน่นอนครับ.... :b12: :b12:

พอดีว่าตัวกระผมเองยังไม่กล้าจะสอนใครครับ กลัวสอนผิดๆ เดี๋ยวจะยิ่งไปกันใหญ่ รอให้คนที่เขาเก่งแล้ว
สอนให้จะดีกว่า ผมเหมือนคนพึ่งจะขับรถเป็นน่ะครับ ยังไม่ชำนาญ ขืนไปสอนคนอื่นเดี๋ยวพากันตกเหวอ่ะครับ :b9:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2008, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
รออีกหน่อยครับ...เดี๋ยวท่านกรัชกายจะแนะนำท่านได้แน่นอนครับ


ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรน่าวิตก จึงยังไม่บอกวิธีปฏิบัติตรงตัว แต่จะตั้งปริศนาคำถาม ให้ช่วยกันคิดหาทางออก
ดังนี้ ครับ

"พึงกำหนดรู้ตามที่เป็น มิใช่ทำให้มันเป็น เพราะเราไม่อยากดู หรือไม่อยากให้มันเป็น"

ตอบครับว่าควรทำอย่างไร ต่อสภาวะนั้น คุณ natdanai :b1:

คุณ keiko ร่วมคิดร่วมสนทนาด้วยนะครับ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรน่าวิตก จึงยังไม่บอกวิธีปฏิบัติตรงตัว แต่จะตั้งปริศนาคำถาม ให้ช่วยกันคิดหาทางออก ดังนี้ ครับ

"พึงกำหนดรู้ตามที่เป็น มิใช่ทำให้มันเป็น เพราะเราไม่อยากดู หรือไม่อยากให้มันเป็น"

ตอบครับว่าควรทำอย่างไร ต่อสภาวะนั้น คุณ natdanai :b1:

คุณ keiko ร่วมคิดร่วมสนทนาด้วยนะครับ :b12:


กระผมพิจารณาสภาวะที่เกิดขึ้นครับ(หมายถึงกำหนดจิตจ่อลงไปที่สภาวะนั้น)พิจารณาตามความเป็นจริง
แล้วเราจะรู้ได้ถึงเหตุ(ความจริงที่มันไม่จริง) เมื่อกำหนดรู้เหตุแล้วมันก็เป็นธรรมดาๆครับ ดับไปโดยปริยาย....
:b16:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 15:05
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณค่ะ คุณกรัชกาย และ K. Natdanai ที่ช่วยเสอความคิดเห็น

คือ... ถ้าตามความคิดของดิฉันเนี่ย...
เท่าที่ได้ลงมือปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่ง ตั้งแต่ทำครั้งแรก จนถึงวันนี้
สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เท่าที่จะสรุปได้มีพอสังเขปดังนี้ค่ะ
ตัวโยก ตัวลอย หัวใจเต้นเร็วมาก ตัวแข็ง สัปหงก หลับๆตื่นๆ แสงสีต่างๆเกิดขึ้น
ตาลาย ลิ้นไม่รับรสอาหาร ร่างกายไม่มีกลิ่นตัว ทั้งที่ไม่อาบน้ำ ได้ยินเสียงต่างๆ ก่อนที่สิ่งนั้นจะเดินทางมาหาตัวเอง (เช่นเสียงรถ เครื่องบิน) ฯลฯ

นี่เป็นสภาวะตัวอย่างค่ะ
แต่ทุกสภาวะที่เกิดแล้ว จะไม่มีการเกิดขึ้นซ้ำอีก หากเรายังคงปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ นีใช่ไหมคะคุณกรัชกาย ที่เขาเรียกว่า เกิดแล้วดับไป ???

เพราะสภาวะที่ปากขยับเองได้นั้น มันหายไปแล้วค่ะ แต่กลายเป็นสภาวะอื่นเข้ามาแทน

:b45: Keiko


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ keiko เดินถูกทางและเข้าใจถูกต้องแล้ว ปฏิบัติอย่างนั้นไปเรื่อยๆ สภาวะที่เกิดก็จะละเอียดไปเรื่อยๆ จิตก็จะประณีตขึ้นๆ

ยึดกรรมฐานเป็นหลักไว้ (คุณคงใช้อานาปานะ) เมื่อสภาวะใดกระทบ กำหนดรู้สภาพนั้นตามที่มันเป็น กำหนดความคิดด้วย เมื่อคิด เมื่อสงสัย ฯลฯ ต้นเหตุอยู่ที่นั่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไม่ว่าสภาวะใดเกิดขึ้นเพียงแค่รู้ไม่ว่าจะเป็นทางกายและ จิตโดยไม่ต้องไปคิดปรุงแต่ต่อไป
สภาวะใดเกิดขึ้นให้รู้ทุกอย่างที่เป็นตามความเป็นจริงในปัจจุบันเช่นปากขยับก็รู้เฉยๆไม่ต้องไปคิดปรุงแต่ต่อไป

ว่าทำไม่ปากขยับหรือถ้าจิตหลงคิดก็ให้รู้ต่อไปอีกว่าหลง แต่ไม่ต้องบริกรรมคำพูดว่าหลงเพียงแต่รู้เฉยๆ
ก็จะเห็นการเกิดดับของสภาวะที่เกิดขึ้นและแสดงไตรลักษณ์ให้เห็น
สรุปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็เพียงแต่ตามรู้ไปตามนั้นเท่านั้นโดยไม่ต้องทำอะไร ถูกต้องไหมคะ
คุณกรัชกาย


เมื่อคุณ Puy ปฏิบัติแบบบริกรรมภาวนา ขณะนั้นสภาวธรรมปรากฏจะสุขหรือทุกข์เป็นต้นก็ตาม คุณมั่นใจว่า ไม่หลงปรุงแต่งไปกับสภาวะนั้นๆ จะเอาตามที่คุณกล่าวก็พอไหว

ถ้าหากได้คิดฟุ้งเฟ้อหลงไปตามสภาวธรรมที่ปรากฏ โดยเฉพาะทุกขเวทนา ถึงกับกระสับกระส่ายทุรนทุราย ควรบริกรรมตามเป็นจริง หรือตามที่มันเป็นครับ

และประเด็นที่ว่า (โดยไม่ต้องทำอะไร) หากหมายถึงทำอย่างนี้ (หัวใจเต้นแรงมากๆ ก็เลยแก้ไข โดยการหายใจ ลึกๆ ยาวๆ)

อ้างคำพูด:
พอนั่งไปนานๆ รู้สึกว่า หัวใจเต้นแรงมากๆ
ก็เลยแก้ไข โดยการหายใจ ลึกๆ ยาวๆ


ข้อความที่ขีดเส้นใต้ เรียกว่าแทรกแซงสภาวธรรม ซึ่งต่างจากการกำหนดตามสภาพธรรม “เต้นแรงหนอๆ” ครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



พิจารณา 2 ตัวอย่างนั้นครับ คุณ Puy ว่าเขาถูกหลอกให้หลงและโหยหากันอย่างไร
หากจะมีคำถามว่า เพราะอะไร
... เพราะวงจรแห่งวัฏฏทุกข์แต่ละขณะๆไม่ขาด



ผมนั่งสมาธิ ปกติครับ ตากำลังจะหลับลงแล้ว แต่เห็นแมลงบินออกมาจากจมูก
จากนั้นแมลงก็บินไปเกาะรูจมูกอีก มันรู้สึกเหมือนมีแมลงจริงๆเกาะรูจมูกเลยรีบสั่งน้ำมูก
แต่ปรากฎว่าไม่มีอะไรเลย





ขอคำแนะนำในการปฏิบัติต่อค่ะ
เมื่อสี่ห้าปีก่อน จะเป็นคนที่นั่งสมาธิ และสวดมนต์เกือบทุกวัน มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะนั่งได้
ประมาณสิบนาที หูได้ยินเสียงเหมือนคนทุบกำแพง ตอนแรกตั้งใจจะลุกไปดู แต่อีกใจ
บอกช่างเขา ใครจะทุบก็ช่าง (ข้างบ้านเคยทุบคานกำแพงแล้วสอดท่อน้ำทิ้งเข้ามาทิ้งใน
ท่อที่บ้าน) แล้วเราก็นั่งกำหนดเสียงหนอไปเรื่อย ๆ ตามที่เคยฝึกมา จนกระทั่งเรา
รู้สึกว่าตัวเราที่นั่งอยู่เอนลงข้างขวามือ เราก็กำหนดรู้หนอๆๆๆ ไปเรื่อย ๆ จนตัวกลับ
มาตั้งอยู่ที่เดิม สักพักเราเห็นท้องของเราพอง ยุบ (ไม่ใช่แบบที่เราคอยเพ่งกำหนดใน
ตอนแรก ๆ) หูเราก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เราก็ตามรู้ไปเรื่อย ๆ จนออกมาอยู่กับ
ปัจจุบัน แต่เราปฏิบัติได้อย่างนั้นเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นมาจนปัจจุบันเราก็ไม่มี
อาการนั้นอีกเลย เราเลยอยากถามว่า เราควรปฏิบัติหรือกำหนดรู้อย่างไรในการนั่ง
สมาธิต่อไปค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


keiko เขียน:
เท่าที่ได้ลงมือปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่ง ตั้งแต่ทำครั้งแรก จนถึงวันนี้
สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เท่าที่จะสรุปได้มีพอสังเขปดังนี้ค่ะ
ตัวโยก ตัวลอย หัวใจเต้นเร็วมาก ตัวแข็ง สัปหงก หลับๆตื่นๆ แสงสีต่างๆเกิดขึ้น
ตาลาย ลิ้นไม่รับรสอาหาร ร่างกายไม่มีกลิ่นตัว ทั้งที่ไม่อาบน้ำ ได้ยินเสียงต่างๆ ก่อนที่สิ่งนั้นจะเดินทางมาหาตัวเอง (เช่นเสียงรถ เครื่องบิน) ฯลฯ

นี่เป็นสภาวะตัวอย่างค่ะ
แต่ทุกสภาวะที่เกิดแล้ว จะไม่มีการเกิดขึ้นซ้ำอีก หากเรายังคงปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ นีใช่ไหมคะคุณกรัชกาย ที่เขาเรียกว่า เกิดแล้วดับไป ???

เพราะสภาวะที่ปากขยับเองได้นั้น มันหายไปแล้วค่ะ แต่กลายเป็นสภาวะอื่นเข้ามาแทน

:b45: Keiko


กระผมเองก็เป็นเหมือนกันครับ ไอ้อาการอย่างที่กล่าวยกตัวอย่างมา....เมื่อก่อนก็ทิ้งไม่สนใจคือรู่ว่ามันเป็น แล้วไม่ทำอะไรกับมัน แต่มันก็ไม่ยักกะดับไปจริงๆ คือว่าเดี๋ยวๆก็เกิดแบบเดิมอีก เลยรู้สึกว่ามันไม่ก้าวหน้าเลย
แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใหม่ ทำตามที่ท่านกรัชกายแนะนำ ด้วยการกำหนดจิตจ่อลงไปที่สภาวะนั้น แล้วพิจารณา แรกๆมันทรมานเหมือนกัน เพราะสภาวะที่เกิดส่วนมากเป็นทุกข์เวทนา พอจ่อลงไปมันก็ยิ่งหนักขึ้นๆ ก็เลยต้องมีการผ่อนบ้าง แต่หัดทำมาเรื่อยๆครับ มันก็ดีขึ้น เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรมดาๆครับ กำหนดรู้ถึงเหตุแล้วทุกอย่างก็ธรรมดาๆครับ เพราะความจริงนั้นมันไม่จริงครับ แต่สภาวะที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มันค่อนข้างละเอียดกว่าเมื่อก่อน คือเหมือนกับเมื่อก่อนเราดูหนังในโรงหนังทั่วไป แต่ทุกวันนี้ก็เหมือนดูในโรงหนัง 3 มิติ มันก็สมจริงมากขึ้นน่ะครับ.... :b12: :b12:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 15:05
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่สนใจเข้ามาอ่าน
และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับ Keiko ค่ะ

ดีใจค่ะ ที่รู้ว่า มีเพื่อนสายธรรมอีกมากที่แสวงหาความสงบในชีวิตค่ะ
ปกติแล้ว จะชอบไปบวชเนกขัมมะ อยู่ที่วัดบ่อยๆค่ะ
เพราะจะมีพระพี่เลี้ยงคอยสอบอารมณ์เราทุกวัน

แต่พอมาทำที่บ้าน พอเกิดมีสภาวะที่เปลี่ยนไป ก็ไม่รู้จะถามใครค่ะ
พอดี เข้ามาเจอเวปนี้ ก็เลยอยากสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนๆ
จะได้รู้ว่าที่เราเข้าใจนั้นถูกต้องมากน้อยเพียงใด
จะได้ไม่หลงปฏิบัติ ทำแบบผิดๆค่ะ

Keiko


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2008, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบโดยรวมก่อนแล้วมาว่าในรายละเอียดปลีกย่อยกันอีกที บางทีอาจย้อนถามคุณ Puy เพื่อสอบถามถึงความเข้าใจในการปฏิบัติหรือการกระทำนั้นๆ บ้าง

ไม่ง่ายนะครับการฝึกอบรมจิต ย้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่ง่ายๆ :b1: อย่างที่ใครๆพูดกัน

การปฏิบัติโดยรวมของคุณๆ ควรควบทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน ขอให้นึกถึงหลักสติปัฏฐาน 4 จุด ไม่พึงทิ้งหลัก และไม่พึงคิดปรุงแต่งว่า นั่นสมถะ นี่วิปัสสนา นั่นล่ะคือจุดพลาดของวิธีดูจิต รู้ไหมครับว่าปรุงแต่งความคิดเข้าให้แล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2008, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



ขอถามคุณ Puy นิดครับว่า เป้าหมายในการปฏิบัติกรรมฐานของคุณคือ... ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2008, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ส่วนคำบริกรรมและการตามพากย์ก็เป็นการสร้าง ภาระส่วนเกินให้จิตใจและอาจทำให้
พลาดจากการรู้อารมณ์ปรมัตถ์ ไปหลงอารมณ์บัญญัติแทนได้



อะไรคือบัญญัติ อะไรคือปรมัตถ์ ตามความเข้าใจของผู้พูดประโยคเหล่านี้

เรื่องปรมัตถ์หรือสภาวะ กับบัญญัติคงต้องสนทนาทำความเข้าใจกันพอสมควร

คุณพอบอกได้ไหมครับว่าอะไรคือบัญญัติ อะไรคือปรมัตถ์ หรือตัวสภาวะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2008, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เป้าหมายในการปฏิบัติที่ทำอยู่ก็คือตัดวงจรของปฏิจจสมุทบาทที่เกิดขึ้นทางอายตนะ6ให้ได้และเข้าถึงวิปัสสนาที่ถูกต้องจนสามารถทำจิตให้เป็นกลางได้จนมีอะไรมากระทบก็ไม่หวั่นไหวคะแต่ถ้าพูดจริงๆเป้าหมายสูงสุดคงเป็นนิพพานคือสภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงให้ได้คะ



เมื่อต้องการตัดวงจรของอวิชชา พึงตามรู้ดูทันสภาวะที่เกิดแก่กายและใจทุกขณะ (ให้ได้บ่อยมากที่สุด) อวิชชาคือความไม่รู้ วิชชาคือความรู้ สรุปคือรู้กับไม่รู้ รู้เป็นวิชชา ไม่รู้เป็นอวิชชา

ประเด็นต่อมา การที่จิตจะเป็นกลางได้ มิใช่เกิดจากการคิดกระทำให้เป็นกลาง อย่างที่เข้าใจกัน จิตจะเป็นกลางได้นั้นเกิดจากคุณธรรมตัวหนึ่งที่เรียกว่า ตัตตรมัชฌัตตา เจริญเกิดจากการปฏิบัติคือการตามดูรู้ทันสภาวะนามรูปอยางที่ถูกวิธี

วิปัสสนา คือ ตัวปัญญาที่ทำงานร่วมกับสติ (คือปฏิบัติแนวสติปัฏฐาน) จนเห็นกายใจเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง มิใช่เกิดจากการคิดว่าวิปัสสนา

เมื่อเห็นกายใจทำงานอยู่ตามธรรมชาติธรรมดาของมัน จิตจะไม่ไหวหวั่นต่ออารมณ์ที่มากระทบทางอายตนะ เพราะเค้ารู้แล้วว่า มันเกิดดับไปทุกขณะ ยึดมั่นถือมั่นไมได้เลย

นิพพานคือการดับอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็รวมอยู่ในการปฏิบัติที่ถูกวิธีนั้นแนวสติปัฏฐานนั่นเอง (เน้นเรื่องถูกวิธี เพราะวิธีที่ผิดๆมีเยอะ) เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปาทานดับ ก็นิพพานแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2008, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตอนที่บวชอยู่ก็เรียนหลักปฏิบัติแบบพองยุบโดยจะกำหนดจุดทั้งหมด 28 จุด
เดินจงกรม 6 ระยะและปฏิบัติเข้มมากสำหรับสภาวะที่คุณkeikoก็เคยเกิดกับ
ข้าพเจ้าเหมือนกันและได้ไปถามอาจารย์อาจารย์ก็บอกให้กำหนด
ไม่ว่าสภาวะใดเกิดขึ้นก็ให้กำหนดรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วสภาวะจะดับไปเอง


ทำไมสอนมากมายหลายจุดขนาดนั้น เครื่องข้องเครื่องพวงทั้งสิ้น
จงกรมมีหลายระยะก็จริง แต่มิใช่เดิน 6 ระยะเสมอไป คือ จะต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นด้วย เช่น เรื่องอินทรีย์เป็นต้น

รูปนามหรือร่างกายกับจิตใจนี้ เกิดดับอยู่แล้วตามธรรมดาของมัน ใครจะปฏิบัติกรรมฐานหรือไม่ เค้าก็เป็นอย่างนั้นชั่วนาตาปีคือตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง จึงต้องปฏิบัติกรรมฐานเพื่อเจริญสติปัญญาเป็นต้น ให้ละเอียดจึงจะเห็นสิ่งที่ละเอียดนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร