วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2020, 01:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว




พระวินัยธร (ชั้ว โอภาโส) วัดปากน้ำภาษีเจริญ.jpg
พระวินัยธร (ชั้ว โอภาโส) วัดปากน้ำภาษีเจริญ.jpg [ 29.94 KiB | เปิดดู 3520 ครั้ง ]
เนื้อหาที่จะนำมาแสดงต่อไปนี้
นำมาจากบันทึกประสบการณ์ การปฏิบัติธรรมของพระวินัยธร (ชั้ว โอภาโส)
วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นการปฏิบัติภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย

ซึ่งไม่ทราบว่าอะไรดลใจให้ข้าพเจ้าสนใจศึกษาวิชานี้ในชั่วไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้วยพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีความรู้กว้างขวางไพศาลอย่างยิ่งสุดที่จะประมาณ

วิชชานี้หลวงพ่อสดท่านอ้างว่าเป็นวิชาที่สาปสูญหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 500 ปี
แล้วท่านได้กลับมาค้นพบอีกครั้ง

ข้อความในหนังสือนี้นั้นมีเนื้อหาที่น่าสนใจ แปลกพิลึก ฟังดูเหลือเชื่อและไม่น่าเป็นไปได้
แต่เมื่อได้อ่านนั้นกลับไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไรนัก

อันวิชาความรู้นั้น รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม อาจจะเป็นประโยชน์ในอนาคต
ฟังเป็นนิทานบันเทิงเรื่องหนึ่งก็ได้


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 09 ก.ค. 2020, 02:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2020, 01:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


การที่ห่มผ้าม้วนขวา ม้วนซ้ายนี้ เป็นของลึกลับอยู่ ข้าพเจ้าเที่ยวสืบถามดูนักต่อนักแล้ว ว่าข้างไหนถูก ข้างไหนผิดกันแน่ ไม่มีใครบอกได้เลย กระทั่งเปรียญเก้าประโยค เป็นแต่บอกว่าให้ทำเหมือนๆ กัน ข้าพเจ้าก็นึกว่า แบบหลับตาคลำทางกันอย่างนี้จะไปได้เรื่องได้ราวอะไรกัน จนเข้าไปเรียนวิปัสสนากับหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่จังหวัดชลบุรีอยู่หลายปีกว่าจะรู้เรื่อง ออกมาบ้านนอก แล้วก็เข้าไปในกรุง แต่เช้าๆ ออกๆ อยู่อย่างนี้สิบหกปี จึงรู้เรื่องว่าห่มผ้าม้วนขวาม้วนซ้ายเป็นอย่างไร

คือ มีพระพุทธเจ้า อยู่สามภาคที่ไม่ถูกกัน เป็นข้าศึกกันจริงๆ เข้ากันไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะผิดธาตุผิดธรรมกัน พระพุทธเจ้า สามภาคนี้ ขาวภาคหนึ่ง ดำภาคหนึ่ง ไม่ดำไม่ขาวภาคหนึ่ง

ภาคขาวนั้น คือ กุสลาธัมมา พระพุทธเจ้าภาคนี้พระกายขาวใสเหมือนแก้วขาว เกตุแหลมเป็นดอกบัวตูม ให้สุขแก่สัตว์แต่ฝ่ายเดียว ไม่ให้ทุกข์เลย

อีกภาคหนึ่ง อกุสลาธัมมา พระพุทธเจ้าภาคนี้พระกายสีดำใสเหมือนแก้วดำ หรือ นิล เกตุแหลมเป็นดอกบัวตูม ให้ทุกข์แก่สัตว์ฝ่ายเดียว ไม่มีให้สุขเลยเหมือนกัน

อีกภาคหนึ่ง อัพยากตธัมมา พระพุทธเจ้าภาคนี้พระกายไม่ขาวไม่ดำ ใสเป็นสีกลาง ใสเหมือนแก้วสีตะกั่วตัด จะว่าขาวก็อมดำ จะว่าดำก็อมขาว เกตุแหลมเป็นดอกบัวตูมเหมือนกัน ให้ไม่สุขไม่ทุกข์แก่สัตว์

ต้นธาตุต้นธรรม สำหรับต้นธาตุต้นธรรมของภาคขาวสายของพระสมณโคดม มีฤทธิ์มากกว่าภาคขาว ต้องคอยช่วยภาคขาวอยู่เหมือนกัน ให้สุขแก่สัตว์เหมือนภาคขาว ภาคนี้พระกายสีเหลืองเหมือนแก้วสีเหลือง ห่มผ้าคาดรัดประคต หรือบางทีห่มบังเฉวียง คือห่มจีบพาดบ่าเอาชายข้างหนึ่งขึ้นเหน็บชนบ่าซ้าย

มีพระรัศมีทั้งหกประการด้วยกันทั้งนั้น พระรัศมีต้นธาตุต้นธรรมกับของภาคขาวนิ่มนวลตาเหมือนกัน แต่พระรัศมีภาคดำนั้นบาดตาเคืองตา พระรัศมีภาคกลางไม่บาดไม่เคืองตา ไม่นิ่มนวลตา แล้วก็เข้ากันไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2020, 02:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าขาว กลาง ดำ สามภาค นี้คอยประมูลฤทธิ์กันอยู่เสมอ แย่งกันปกครองธาตุธรรม ภาคขาวก็คอยจะสอดสุขให้แก่ชาวโลก ภาคกลางกับภาคดำคอยกีดกันไว้ ภาคดำก็คอยสอดทุกข์ให้แก่สัตว์โลก ภาคขาวกับภาคกลางก็คอยกันไว้ ถ้าภาคกลางจะสอดไม่สุขไม่ทุกข์ให้แก่สัตว์โลก ภาคขาวกับภาคดำก็คอยกันไว้เหมือนกัน ไม่ให้ความสะดวกแก่กันได้ ไม่งั้นเสียอำนาจกัน

ภาคขาวเห็นว่าทำดีให้สุขแก่สัตว์จึงจะถูก ภาคดำเห็นว่าทำชั่วให้ทุกข์แก่สัตว์จึงจะถูก ภาคกลางเห็นว่าทำไม่ดีไม่ชั่ว ให้ไม่สุขไม่ทุกข์แก่สัตว์จึงจะถูก

ส่วนนี้ เป็นตอนที่ พระครูวินัยธร (ชั้ว) ได้กล่าวถึงลักษณะของการครองผ้าจีวรของพระพุทธเจ้า และต้นธาตุต้นธรรมทั้ง ๓ ภาค คือ ทั้งภาคขาว ภาคกลาง และภาคดำ ว่าครองผ้าจีวรต่างกันอย่างไร ตามที่ท่านเห็นด้้วยตาพระธรรมกาย และรู้ด้วยญาณของพระธรรมกายของท่าน นอกจากนี้เรื่องการครองผ้าจีวรนี้ยังมีกล่าวไว้ในส่วนอื่นๆ อีก แต่มิได้นำลงมาพิมพ์ไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อ ให้ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกายแล้วตรวจดูให้รู้เห็น ด้วยตนเอง - มงคลบุตร

แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ยันแย้งกัน แล้วมนุษย์ล้วนแต่มีธาตุธรรมปนเป็นอยู่ทั้งนั้น ทำไมจะไม่แย้งกันเข้ากันไม่ได้เหมือนเชือกสามเกลียวบิดขวาเสียเกลียวหนึ่ง บิดซ้ายเสียเกลียวหนึ่ง ไม่บิดเสียเกลียวหนึ่ง ฟั่งเข้าก็ไม่กินเกลียวกัน เพราะบิดคนละทาง แล้วต่างก็เอาพระไตรปิฎกบังคับ กาย วาจา ใจของสัตว์ เอาพระวินัยปิฎกก็วินัยปิฎกด้วยกัน บังคับกายสัตว์ไว้สำหรับทำ เอาพระสุตตันตปิฎกก็สุตตันตปิฎกด้วยกันไว้สำหรับพูด เอาพระปรมัตถปิฎกก็ปรมัตถปิฎกด้วยกัน บังคับใจสัตว์ไว้สำหรับคิด ก็ล้วนแต่ดีเป็นบุญเป็นกุศลไปทั้งนั้น ถ้าภาคดำสอดเข้าไปในไส้ญาณสุดละเอียดของตัวได้ ก็บังคับกาย วาจา ใจของสัตว์ จะทำจะพูดจะคิด ก็ล้วนแต่ชั่วเป็นบาปอกุศลไปทั้งนั้น ถ้าภาคกลางสอดเข้าไปใสไส้ญาณสุดละเอียดของตัวได้ ก็บังคับกาย วาจา ใจของสัตว์ จะทำจะคิดจะพูดก็เป็นกลางๆ ไม่บุญไม่บาปไปทั้งนั้น

สุดแท้แต่ว่า ภาคใดเข้าในไส้ญาณสุดละเอียดได้ ภาคอื่นก็เข้าไม่ได้ เปรียบเสมือนตอไม้ที่นั่งได้คนเดียว ถ้าขึ้นนั่งได้เสียคนหนึ่งแล้ว คนอื่นก็ขึ้นไปนั่งไม่ได้ แล้วก็แย่งกันปกครองธาตุธรรมตลอดหมด ทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต์ ไม่มีที่ว่างดินฟ้าอากาศ ล้วนแต่อยู่ในปกครองของสามภาคนี้เท่านั้น ภาคขาวคอยเปิด ภาคดำคอยปิด ภาคกลางไม่เปิดไม่ปิด

ภาคขาว คอยเปิด เห็น จำ คิด รู้ ของสัตว์ให้เห็นว่านิพพานมี

ภาคดำ คอยปิด เห็น จำ คิด รู้ ของสัตว์ ให้เห็นว่านิพพานสูญ

ภาคกลาง ก็ให้สัตว์เห็นว่านิพพานไม่มีไม่สูญ

หนทางภาคขาวล้วนแต่ดีเป็นสุขทั้งนั้น ก็เปิดให้เห็นสัตว์เห็นจะได้สร้างแต่ความดี ไปแต่ในทางสุข หนทางของภาคดำ ล้วนแต่ชั่วเป็นทุกข์ทั้งนั้น ก็ต้องปิดไม่ให้สัตว์เห็น จะได้สร้างแต่ความชั่ว ไปแต่ในทางทุกข์ ส่วนภาคกลาง ไม่ดี ไม่ชั่ว ก็ไม่ปิดไม่เปิดให้สัตว์เห็น จะได้ทำไม่ดีไม่ชั่ว ไปในทางไม่สุขไม่ทุกข์ ทั้งสามนี้ตรงข้ามกันทุกอย่าง จึงลงรอยกันไม่ได้เสียเลย ที่โลกเดือดร้อนทุกวันนี้ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เพราะฤทธิ์สามภาคนี้แหละ ประมูลฤทธิ์ไม่แพ้กัน แย่งกันปกครองธาตุธรรม ปกครองกันตลอดทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต์ ไม่ผิดอะไรกันกับมนุษย์แลสัตว์ ที่แย่งเขตแดนกันปกครอง แต่พระพุทธเจ้าปกครองขั้นละเอียด เทวดา มนุษย์ สัตว์ ปกครองกันแต่ที่หยาบ แต่ก็อยู่ในปกครองของพระพุทธเจ้าทั้งสามภาคนี้ทั้งนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2023, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าประเทศใด บ้านใด เมืองใด หมู่ใด ตำบลใด ภาคขาวปกครองได้มากกว่าภาคอื่น ก็บังคับ เห็น จำ คิด รู้ ของมนุษย์และสัตว์ในที่นั้นให้ทำแต่ความดีกันทั้งนั้น เป็นต้นว่า ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ทำผิดกาเม ไม่โกหก ไม่กินเหล้า ทำแต่ความดีกันทั้งนั้น เมตตากรุณาแก่กัน ให้ความสุขแก่กัน ไม่เบียดเบียนกัน ให้แต่ความสุขสบายแก่กันทั้งนั้น ภาคขาวก็เก็บเหตุที่มนุษย์แลสัตว์ทำดีนั้นไว้แล้วก็ส่งผลลงมาให้ ก็ล้วนแต่ดีทั้งนั้น เป็นต้นว่าให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาอาหารก็ให้บริบูรณ์ ไม่ฝืดเคือง ผู้คนพลเมืองก็ล้วนแต่สุขสบาย เมื่อตายแล้วก็ส่งผลให้ไปเกิดในสุขสมบัติเป็นเทวบุตรเทวธิดาอินทร์พรหมบรมจักรพรรดิตรา ถ้าจุติจากนั้นมา ถ้าจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ส่งผลให้เป็นคนบริสุทธิ์ชั้นสูง เช่น นายกรัฐมนตรี เศรษฐี ท้าวพระยามหากษัตริย์ ถ้าเป็นเป็นพ่อค้า ชาวนา ก็เป็นคนที่มีทรัพย์สินสมบัติศฤคาร บริวาร ล้วนแต่สุขสบายทั้งนั้น

ถ้าประเทศใด บ้านเมืองใด หมู่บ้านใด ตำบลใด ถูกภาคดำปกครองได้มากกว่าภาคอื่น ก็บังคับ เห็น จำ คิด รู้ ของมนุษย์แลสัตว์ในที่นั้นให้ทำแต่ความชั่วทุกอย่างทั้งนั้น เป็นต้นว่าฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทำผิด กาเม โกหก กินเหล้า ให้เกลียดชังกัน ให้อิจฉาริษยา เบียดเบียนกัน ฉก ลัก ปล้น สะดม ชกต่อย เตะตี รบราฆ่าฟันกัน ทำแต่ทุกข์ให้แก่กันทั้งนั้น ภาคดำก็เก็บเหตุชั่วๆ ที่มนุษย์และสัตว์ทำไว้ แล้วก็ส่งลงมาเป็นผลชั่วทั้งนั้น เป็นต้นว่าให้ฟ้าฝนแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพง อดอยาก ลำบาก เจ็บไข้ ล้มตาย เมื่อตายแล้วก็เอาไปลงโทษในนรก 456 ขุม ทนทุกข์เวทนาแสนสาหัส ร้องไห้ครวญครางไม่มีขาดเสียงมีแต่ทุกข์ล้วนๆ พ้นจากนั้นให้เป็นเปรต อดอยากข้าวน้ำอยู่เป็นนิจ แล้วให้มาเป็นอสุรกาย แลให้มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าให้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็ให้เป็นคนเลวทรามต่ำช้ายากจนอนาถาไร้ทรัพย์ อับปัญญาใจบาปหยาบช้า เอาดีไม่ได้ ล้วนแต่ทุกข์ทั้งนั้น

ถ้าเป็นประเทศใด บ้านเมืองใด หมู่ใด ตำบลใด ภาคกลางแย่งเข้าปกครอง ได้มากกว่าภาคอื่น ก็บังคับ ให้เห็นจำ คิด รู้ ของมนุษย์และสัตว์ในที่นั้น ให้ทำแต่กลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว ที่ไม่เป็นบุญบาป ภาคกลางก็เก็บเหตุที่ไม่ดีไม่ชั่ว ที่มนุษย์และสัตว์ทำไว้นั้นแล้วก็ส่งผลลงมาให้เป็นแต่กลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2023, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ว่า ท่านผู้ใดได้อ่านหรือได้ฟังหนังสือเรื่องนี้แล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อก่อน เพราะไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อหรอก ข้าพเจ้าก็ไม่อยากให้ท่านเชื่อข้าพเจ้าเหมือนกัน ให้ท่านเชื่อตัวของท่านเองดีกว่า ท่านต้องทำให้มี ให้เป็น ให้เห็นขึ้นเอง นั่นแหละจึงค่อยเชื่อ

ถ้าท่านจะทำให้มี ให้เป็น ให้เห็นนั้น ต้องทำตามสติปัฏฐานทั้งสี่ ดังข้าพเจ้าจะบอกต่อไปดังนี้ แต่ว่า อย่าเอาคาถาบาลีมาใส่ด้วยเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ได้เรียนพระปริยัติเรื่องอรรถแปลแก้ไขแล้วข้าพเจ้าโง่จริงๆ ตั้งแต่บวชเรียนทำแต่ภาวนาทางวิปัสสนาเท่านั้น อาจารย์ท่านสอนแต่ทางภาวนา จึงไม่รู้ทางปริยัติ พูดกันแต่ภาษาไทยล้วนๆ ดีกว่า ฟังก็ง่ายด้วย

ถ้าผู้ใดจะทำทางวิปัสสนา ให้ตั้งกายให้ตรง ทำสติไว้เฉพาะหน้า ไม่ให้เผลอ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย อย่าให้เกยกันมาก แต่พอหัวแม่มือซ้ายกับนิ้วชี้ขวาจรดกัน แล้วหลับตาภาวนาว่า "สัมมาอะระหัง" หลับตาแล้วมันมีกลเม็ดอยู่อย่างหนึ่ง คือ เหลือบตาขึ้นข้างบนเหมือนอย่างไปข้างหลัง กลับมองลงไปในกลางตัว ตามหลอดลมหายใจ เพราะมันเป็นรูกลวงลงไปตั้งแต่เพดานจนถึงสะดือ สุดลมหายใจที่อยู่เพียงสะดือตรงนั้น เรียกว่า "สิบ" เหนือสะดือขึ้นมาสองนิ้วมือ เรียกว่า "ที่ศูนย์" เป็นที่ตั้งสติ เอา เห็น จำ คิด รู้ ทั้งสี่นี้ลงไปหยุดนิ่งอยู่ที่นั่น เพราะที่ตรงนั้นมีดวงธรรมประจำอยู่ทุกคน ธรรมดวงนี้สำหรับทำให้เกิดเป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไข่ไก่ สว่างเหมือนแสงไฟ ให้ลงไปนิ่งนึกอยู่ แต่ตรงนั้นอย่าไปทางไหน ดินถล่มฟ้าทลาย คอขาดบาดตายก็อย่าตกใจ ให้นิ่งแน่นอยู่เหนือสะดือสองนิ้วมือให้ได้ ซ้ายขวาหน้าหลัง ไม่ไป ล่างบน ไม่ไป นิ่งอยู่กลางกาย ข้างใน ข้างนอกอย่าออกไป ถ้าออกข้างนอก ถึงธรรมเกิดขึ้น สว่างได้ ก็เป็นวิปัสสนูปกิเลส ไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนูปกิเลสนี้ เป็นของภาคดำ ไม่ใช่ภาคขาว

เมื่อกายสงบดีแล้ว หรือเกิดตัวเบาขึ้น นั่นเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เมื่อเกิดความสุขกายขึ้นเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าเกิดแสงสว่างขึ้นที่เหนือสะดือสองนิ้วมือ จะเล็กหรือจะใหญ่ก็ตามประมาณสักเท่าดวงดาวหรือไข่แดงของไข่ไก่ เป็นอุคคหนิมิตขึ้นอย่างนั้นแล้ว รักษาไว้ นี้เรียกว่า "ปฐมมรรค" ถ้าใสอย่างกระจกส่องหน้าอย่างนั้นหล่ะเป็น ธัมมานุปัสสนาสติปักฐาน ถ้าขยายปฏิภาคออกไปใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ได้ ก็จะเห็นกายในกายผุดขึ้นในกลางดวงนั้นเหมือนอย่างกายมนุษย์เราไม่ผิดเพี้ยน เรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด (ในกลางกายมนุษย์ละเอียด มีกายทิพย์) กายนี้สำหรับไปเกิดมาเกิด กายนี้ถ้าหลุดจากกายมนุษย์หยาบ(กายเนื้อ) เมื่อไหร่ ก็ตายเมื่อนั้น แต่ต้องพูดถึงกายนี้ให้รู้เรื่องกันเสียก่อน เพราะเป็นกายไปเกิดมาเกิด เป็นกายสมุทัย กายนี้เมื่อมาเกิดเข้าครรภ์บิดามารดานั้น สูงถึงแปดศอก มาเข้าครรภ์บิดาก่อน ถ้าจะเป็นหญิงก็เข้าทางช่องจมูกซ้าย ถ้าเป็นชายก็เข้าทางช่องจมูกขวา เข้าไปอยู่เหนือสะดือสองนิ้วมือของบิดาก่อน แล้วมารดาจึงตั้งครรภ์ขึ้นทีหลัง ตั้งครรภ์ด้วยกันทั้งสองคนจึงรักบุตรทั้งคู่ บิดามารดาร่วมประเวณีกันเข้า ถ้ายังไม่ตกสูญก็ยังไม่เกิด ถ้าตกสูญเมื่อไหร่ก็เกิดเมื่อนั้น

ที่เรียกว่าตกสูญนั้นคือ บิดามารดาทั้งสองสนุกสนานเพลิดเพลิน มั่นนิ่งแน่น ดึงดูดเหมือนเหล็กตาปูตอก เพลิดเพลินจนตากลับด้วยกันทั้งสองข้าง นั่นแหละมันตกสูญหล่ะ คือ อายตนะในมุดลูกของมารดามันดึงดูดเอากายแปดศอกออกจากช่องจมูกของบิดา เข้าไปในช่องจมูกของมารดา เข้าไปติดอยู่ในแอ่งมดลูก แล้วก็น้ำเลี้ยงหัวใจของบิดามารดา ข้างพ่อนิดหนึ่งข้างแม่นิดหนึ่งประสมกันเข้าประมาณเท่าเมล็ดโพธิ์เมล็ดไทร แล้วกายแปดศอกก็เข้าไปอยู่ในนั้นได้ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าเข้าไปเดินจงกรมในเมล็ดพันธ์ผักกาดได้ กายพระพุทธเจ้าก็ไม่เล็กลงไป เมล็ดพันธุ์ผักกาดก็ไม่ใหญ่ขึ้น วิธีนั้นทีเดียว กระจกไม่ใหญ่ขึ้นแต่อยู่ในกระจกนั้นได้ วิธีเดียวกับที่เรามาเกิดในครรภ์บิดามารดา เมื่อสายเลือดของบิดามารดาข้นแข็งเป็นก้อนเข้า ก็แตกออกเป้นปัญจสาขา ห้าแห่งเป็นกายมนุษย์ขึ้น เป็นศีรษะ เป็นมือทั้งสอง เท้าทั้งสอง กายสัมภเวสีที่มาเกิดนั้นก็เล็กลงเท่ากายมนุษย์ ตาตรงกัน หูตรงกัน จมูก ปาก แขนขา ตรงกันหมด เชื่อมติดเป็นกายเดียวกับกายมนุษย์ (กายเนื้อ) แล้วก็เจริญใหญ่ขึ้นมาจนคลอดออกจากครรภ์มารดา อย่างนี้เรียกว่า กายมาเกิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2023, 04:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีไปเกิด เมื่อเวลาใกล้ตายนั้น ธาตุธรรมก็ดึงดูดเอากายมนุษย์กับกายมนุษย์ละเอียด (ซึ่งมีกายทิพย์ซ้อนอยู่) ให้หลุดออกจากกัน คนไข้กายมนุษย์ก็บิดตัว สะดุ้ง หรือสยิ้วหน้า พอกายหลุดจากกัน กายทิพย์ก็ตกสูญอยู่ที่เหนือสะดือสองนิ้วมือของกายมนุษย์เท่าไข่แดงของไข่ไก่ แล้วเกิดขึ้นเป็นกายสูงแปดศอกเดิน ออกทางช่องจมูกเที่ยวหาที่เกิดต่อไป ทิ้งกายมนุษย์ไว้ให้เน่าเปื่อย ถ้าผู้ใดเข้าถึงธรรมกายแล้วจะเห็นได้อย่างชัดเจน ผู้ที่ไม่รู้เรื่องก็เดาว่าวิญญาณไปเกิด วิญญาณอย่างเดียวไปเกิดไม่ได้ ต้องไปเกิดทั้งกายจึงจะได้ เพราะกายเราทุกกายที่ซ้อนกันอยู่นั้น กายหนึ่งๆ ต้องมีหัวใจสำหรับจำ ในหัวใจต้องมีดวงจิตเท่าดวงตาดำ ลอยอยู่ในน้ำเลี้ยงหัวใจสำหรับคิด วิญญาณซ้อนอยู่ในดวงจิตเท่าแววตาดำหรือหัวไม้ขีดไฟ สำหรับรู้ เหมือนกันหมดทุกราย เมื่อรู้เรื่องกายซ้อนกันแล้ว ก็ฟังง่ายเข้า เมื่อรู้เรื่องกายทิพย์นี้แล้วก็จะได้ดำเนินต่อไป

กายในกายนับตั้งแต่กายมนุษย์หยาบหรือกายเนื้อ ก็มีกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์หยาบ กายทิพย์ละเอียด ซึ่งเป็นกายที่สี่นับจากกายมนุษย์ ถึงกายนี้แล้วก็สามารถทำกัมมัฏฐานได้ 30 ที่ ตั้งแต่กสิณ 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 ตาของกายนี้ (นับแต่ตาของกายมนุษย์ละเอียดเป็นต้นไป) เป็นทิพยจักษุ สามารถเห็นสวรรค์ นรก เปรต อสุรกาย แล้วเอากายทิพย์นี้แหละไปนรก สวรรค์ เปรต อสุรกาย ได้ทุกแห่ง ไปพูดจาปราศัยกันกับพวกเหล่านั้นได้ ถามถึงบุรพกรรมทุกข์สุขกันได้ทั้งนั้น แต่ว่ายังไม่เห็นพรหมโลกเพราะละเอียดกว่าสวรรค์มาก ดวงธรรมในกายทิพย์นี้ เรียกว่า ทุติยมรรค พอขยายออกเป็นปฏิภาคใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็จะเห็นกายที่ 5 ขึ้นอีก ผุดขึ้นที่กลางดวงทุติยมรรค เรียกว่า กายรูปพรหมหยาบ และในกลางกายรูปพรหมหยาบก็มีกายรูปพรหมละเอียด เป็นกายที่ 6 กายนี้สวยงามประดับประดาอาภรณ์ยิ่งกว่าเทวดา (กายทิพย์) กายนี้ทำกัมมัฏฐานได้ 4 ที่ตั้ง คือ รูปฌาน 4 ดวงตาของกายนี้เป็นปัญญาจักษุ สามารถเห็นพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น แล้วเอากายนี้ไปพรหมโลกทั้ง 16 ชั้นได้ ไปไต่ถามทุกข์สุขกับรูปพรหมทั้ง 16 ชั้นได้ แต่ว่ายังไม่เห็นอรูปพรหม 4 ชั้น เพราะละเอียดกว่ารูปพรหมมาก

ต้องเอา เห็น จำ คิด รู้ เข้าไปหยุดนิ่งอยู่เหนือสะดือสองนิ้วมือในกลางกายรูปพรหมที่ 16 นี้อีก ดวงธรรมในกายนี้เรียกว่า ตติยมรรค พอขยายเป็นปฏิภาคใหญ่ออกไปเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ก็จะเห็นกายอรูปพรหมหยาบ ในกลางกายอรูปพรหมหยาบก็จะเห็นกายอรูปพรหมละเอียดเป็นกายที่ 8 กายอรูปพรหมนี้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก กายนี้ทำกัมมัฏฐานได้ 6 ที่ตั้ง คือ อรูปฌาน 4 และ อาหารเรปฏิกูลสัญญา กับ จตุธาตุววัตถานะ รวมเป็น 40 กัมมัฏฐานด้วยกัน ดวงตาของกายนี้เป็นสมันตจักษุ สามารถเห็น อรูปพรหม 4 ชั้น แล้วเอากายนี้ไปอรูปพรหม 4 ชั้นได้ ไปไต่ถามทุกข์สุขกันได้ แต่ยังไม่เห็นนิพาาน

ต้องเข้าไปนิ่งอยู่เหนือสะดือสองนิ้วมือ ในกลางกายอรูปพรหมละเอียดซึ่งเป็นกายที่ 8 นี้อีก ดวงธรรมในกายนี้เรียกว่า จตุตถมรรค พอขยายปฏิภาคใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ก็จะเห็นอีกกายหนึ่งเป็นกายที่ 9 กายนี้เรียกว่า "ธรรมกาย" เหมือนพระพุทธรูป เกตุแหลมเหมือนดอกบัวตูม สวยงามใสเหมือนแก้ว ดวงตาของกายนี้เรียกว่า พุทธจักษุ เห็นนิพพาน แล้วเอากายนี้แหละไปนิพพานได้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนก็เห็นหมด ทั้งขาว กลาง ดำ ไปพบปะเห็นทั้งนั้น เรื่องห่มผ้าม้วนขวา ม้วนซ้ายจะไปรู้เรืองได้หมด ถ้าท่านผู้ใดทำได้ถึงพระธรรมกายนี้แล้วจึงค่อยเชื่อ หรือจะไม่เชื่อก็ตามใจท่านเถอะ เพราะคนเรามีอยู่สามพวก ขาวพวกหนึ่ง ดำพวกหนึ่ง กลางพวกหนึ่ง ถ้าพวกขาวก็เชื่อ ถ้าพวกดำก็ไม่เชื่อ ถ้าพวกกลางๆก็เฉยๆ ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นพวกขาว กลาง หรือดำ ก็สังเกตดูเอา ถ้าซื่อตรง นักปราชญ์ ฉลาดใจบุญ ก็ให้รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของภาคขาว ถ้าคดโกง เก่งกาจ ฉลาดใจพาลก็ให้รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของภาคดำ ถ้าไม่ตรง ไม่โกง นั่นก็เป็นเครื่องหมายของภาคกลาง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร