วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 22:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใจเขาใจเรา เรื่องโดย puitipa

รูปภาพ



“อตฺตานํ อุปฺมํ กเร” เป็นคำขวัญของมหาวิทยาลัยของฉัน มีความหมายว่า “พึงเอาใจเขามาใส่ใจเรา” นับเป็นคำขวัญที่เหมาะสมกับวิชาชีพแพทย์อย่างยิ่ง และเป็นคำขวัญที่แพทย์ทุกคนควรยึดถือ เป็นหลักในการดำรงตน

เมื่อครั้งฉันเรียนจบแพทย์เฉพาะทาง ฉันได้ทำงานที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแห่งหนึ่ง เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ และมีแพทย์เฉพาะทางหลายสาขา ครั้งนั้นฉันได้พบเห็นประสบการณ์กรรม ที่ย้อนมาเล่นงานแพทย์รุ่นพี่คนหนึ่งในเวลาเพียงไม่นาน

พี่คนนี้เป็นแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช เป็นที่ทราบกันดีในโรงพยาบาลว่า ถ้ามีผู้ป่วยมาในเวรนอกเวลาราชการของพี่ ส่วนใหญ่พี่จะไม่มาดูผู้ป่วยเอง เมื่อพยาบาลโทรเพื่อรายงานอาการของผู้ป่วย พี่คนนี้มักจะสั่งการรักษาทางโทรศัพท์เสมอ ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่โดยตรงของตนที่ควรจะมาตรวจรักษา ในรายที่ตกเลือดหรือแท้งบุตร ต้องได้รับการขูดมดลูก เพื่อหยุดเลือด พี่มักจะสั่งรุ่นน้องซึ่งเป็นแพทย์ทั่วไปให้ขูดมดลูกแทนเสมอ ทั้งๆที่ ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของแพทย์ทั่วไป รวมทั้งรายที่คลอดก่อนกำหนดหลายๆราย ที่สมควรจะต้องมาดูแลเอง จนรุ่นน้องทนไม่ไหว มาเล่าให้ฉันฟังเสมอ ถึงความไม่รับผิดชอบของรุ่นพี่คนนี้ แต่ในขณะเดียวกัน หากเป็นผู้ป่วยที่มาจากคลินิกของพี่ หรือฝากครรภ์พิเศษกับพี่ พี่ก็จะให้การดูแลอย่างดี เรียกว่าคนละมาตรฐานกันเลยทีเดียว

สำหรับเวลามาทำงานของพี่ในช่วงเช้าคือ 10.00 น. และช่วงบ่ายคือ 14.00 น. เนื่องจากพี่มัวแต่อยู่คลินิก จึงมักจะเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลสายเสมอ แม้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะเรียกมาตักเตือนแล้ว ก็ดูจะดีขึ้นเพียงระยะหนึ่งไม่นานนัก พี่ก็ปฏิบัติตัวเหมือนเดิม โดยไม่สนใจว่าใครจะว่าอะไร ฉันเฝ้าดูพฤติกรรมเช่นนี้ของพี่อยู่สองปี ก็มีเหตุต้องย้ายไปประจำที่โรงพยาบาลอื่น ก่อนย้าย ฉันทราบข่าวว่าภรรยาของพี่กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆซึ่งเป็นครรภ์ที่สามแล้ว เพราะภรรยาที่เคยแท้ง และต้องขูดมดลูกถึงสองครั้ง ครอบครัวของพี่จึงยังไม่มีลูกเลย พี่และภรรยาคงจะตั้งความหวังมาก กับการตั้งครรภ์ครั้งนี้

จนกระทั่งวันหนึ่ง น้องที่เป็นแพทย์ทั่วไปซึ่งอยู่โรงพยาบาลเดิม ได้โทรศัพท์มาหาฉันแต่เช้าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ภรรยาของพี่เค้าคลอดก่อนกำหนดนะพี่ ยังไม่ถึงเจ็ดเดือนดีเลย ต้องไปคลอดที่โรงพยาบาลจังหวัด แต่หมอที่นั่นมาดูไม่ทัน เพราะคลอดเร็วมาก ถึงขนาดไปห้องคลอดไม่ทัน ต้องคลอดกลางห้องฉุกเฉินเลย จะว่าไปก็เหมือนคนไข้ที่พี่เค้าชอบทิ้งให้พวกหนูดูแล” รุ่นน้องคนนี้คงเล่าตามความรู้สึก แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว นี่สินะ กฏแห่งกรรมาคงเริ่มทำงานแล้ว ต่อไปมันจะน่ากลัวขนาดไหนนะ

ไม่นานนักฉันจึงได้ทราบข่าวเพิ่มเติมอีกว่า ระหว่างที่พี่ต้องเทียวไปเยี่ยมภรรยาและลูกที่โรงพยาบาลจังหวัดบ่อยๆ ทำให้ไม่มีคนอยู่บ้าน บ้านจึงโดนงัด ขโมยกวาดทรัพย์สินไปได้เป็นแสนบาท ส่วนลูกของพี่หลังคลอดมีปัญหาจากการคลอดก่อนกำหนดหลายออย่าง ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและอยู่ในตู้อบนานถึงสองเดือน และพบว่ามีปัญหาเรื่องพัฒนาการช้าร่วมด้วย ซึ่งจะต้องติดตามดูอาการกันต่อไปอีกว่า จะมีปัญหาเรื่องสมองพิการในภายหลังหรือไม่ เชื่อว่าตอนนั้นทั้งพี่และภรรยาคงจะทุกข์ใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยไม่ทราบว่าทุกอย่างเกิดจากการกระทำที่ผ่านมาของตนเองทั้งสิ้น

พี่คงลืมคิดไปว่า พี่รักลูกและภรรยามากเท่าใด สามีและญาติของผู้ป่วยก็รักผู้ป่วยไม่น้อยกว่ากันเลย แม้ตอนนี้ฉันจะยังไม่ได้ย้ายกลับไปทำงานใกล้บ้าน เนื่องจากเหตุผลหลายอย่าง จึงไม่ได้ไปดูแลญาติเองเมื่อเจ็บป่วย แต่ฉันเชื่อว่าหากฉันดูแลผู้ป่วยอย่างดี ผลบุญนี้ก็น่าจะทำให้ญาติของฉัน ได้เจอแพทย์ที่ดีมารักษาเช่นกัน

อาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่ได้ช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บป่วยทุกข์ ร้อนซึ่งน่าจะได้บุญมาก แต่หากแพทย์คนนั้นละเลยหน้าที่ที่พึงกระทำของตน โดยเฉพาะเมื่อเดิมพันด้วยชีวิตของผู้อื่น รวมถึงหากเป็นการจงใจละเลยหน้าที่ของตน ซ้ำๆหลายครั้ง จนเกิดเป็นอาจิณกรรม ผลกรรมนั้นก็จะตามมาเล่นงานอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่ปี

“ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง

ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง

ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกมาแก่ท่านเอง

ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์”

พระราชดำรัสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าชายแห่งสันติภาพ เรื่องโดย sila_jira

โลกที่อยู่ภายในและภายนอกตัวเรานั้น มีความรุนแรง ความขัดแย้ง และการทำลายล้างมากเกินไปเราจึงต้องการสันติภาพเป็นอย่างยิ่ง ใครคือคนที่เราสามารถเรียกร้องให้นำสันติภาพกลับมา ใครกันที่จะวาดสันติภาพเพื่อนำสันติสุขมาสู่ชีวิต หัวใจและสิ่งแวดล้อมของเรา ถ้าเธอได้ศึกษาพุทธศาสนา เธอจะรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร คนที่สามารถนำสันติภาพกลับสู่เธอและโลกได้ นั่นก็คือตัวเธอเอง เธอมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นพระพุทธองค์ ที่เปี่ยมไปด้วยสันติภาพปัญญาและความเมตตากรุณา เธอมีพุทธะน้อยๆในตัวเธอ เธอต้องปล่อยให้เจ้าชายแห่งสันติภาพกำเนิดขึ้นในหัวใจเธอ สันติภาพจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

รูปภาพ

ติช นัท ฮันห์

สืบเนื่องจากการได้อ่านข้อเตือนใจในธรรม “เจ้าชาย แห่งสันติภาพ” จาก หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ และจากการเข้าร่วมภาวนากับสังฆะหมู่บ้านพลัม ในฐานะหนึ่งในอาสาสมัครล่ามแปลให้ชาวต่างชาติที่เข้าปฏิบัติ ณ วังรีรีสอร์ท นครนายก เมื่อวันที่ 13-17 เมษายน 2553 ผู้เขียนก็ได้คำตอบว่า เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งสันติภาพ ที่หลวงปู่พูดถึงหมายถึงใคร

เมล็ดพันธุ์แห่งความสุขสงบล้วนฝังตัวนิ่งๆ อยู่ในแอ่งพักใจของหัวใจทุกดวง เด็กๆที่มาร่วมภาวนาในงานนี้ ทุกคนมีสิทธิสวมมงกุฏเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งสันติภาพเท่าเทียมกัน การที่พ่อแม่พาลูกๆ มาภาวนาตั้งแต่ยังเล็ก การที่เด็กวัยรุ่นและผู้คนในสังคมจากทุกที่มารวมตัวกันมากถึง 400 คน ณ งานภาวนา “เวลานี้ที่เป็นสุข” หรือ “ This is a Happy Moment ” แสดงถึงพลังแห่งการแสวงหาความสุขสงบและสันติภาพที่ไม่อาจมองข้าม ในขณะที่ประเทศไทยที่รักกำลังถูกฉุดกระชากด้วยความขัดแย้งและความรุนแรงของ ภาพลวงตาทั้งหลาย การรวมตัวกันร่วมภาวนาเพื่อสร้างชุมชนและสังคมที่มีความสงบและสันติ อันเกิดจากการบ่มเพาะภายใน จึงเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม

Theme หรือแก่นสาระหลักของงานภาวนาที่ได้สัมผัสคือ สันติภาพเริ่มจากตัวเรา และครอบครัวคือจุดเริ่มต้นของสันติภาพ การปรากฏอยู่ของหลวงพี่กว่า 150 รูป ทั้งภิกษุ ภิกษุณี สารเณร สามเณรี ณ หมู่บ้านพลัง ปากช่อง เป็นเครื่องยืนยันในศรัทธาแห่งการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ ตามคำสั่งสอนของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ (ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวจากสงครามเวียดนามและการพลัดถิ่นฐานบ้านเกิด แต่ดำรงความสงบสันติภายในอยู่ได้ ภายใต้ความรุนแรงของสงครามด้วยการเจริญสติ

งานภาวนาครั้งนี้ตรงกับช่วงสงกรานต์ ทางผู้จัดจึงจัดให้มีพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป ต่อด้วยภิกษุ ภิกษุณี เมตตาให้ศีลให้พรผู้เข้าภาวนาทั้ง 400 คน ต่อด้วยการให้ผู้เข้าภาวนาทุกท่านได้รดน้ำดำหัวเพื่อเป็นสิริมงคล ภิกษุณีได้รับนิมนต์ให้นั่งใต้ร่มไม้ จุดละสามสี่ท่าน พร้อมขันน้ำขนาดใหญ่ โรยด้วยกลีบดอกไม้และขันเงินเล็กๆ

หลักการคือ ผู้เข้าภาวนาควรรดน้ำให้ครบทุกจุดที่กำหนดทั้ง 15 จุด เพื่อเป็นการฝึกเจริญสติ เพราะแต่ละจุดมีคำเตือนสติติดไว้ที่ต้นไม้ เช่น ระลึกถึงคนที่เรารัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ เธออยู่ในฉัน ความเข้าใจ ความกรุณา ดั่งกันและกัน และเวลานี้ที่เป็นสุข เป็นต้น จากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปรดน้ำขอพรจากภิกษุ ภิกษุณีวัยหนุ่มสาวจากเวียดนาม ใจได้สัมผัสกับความชุ่มฉ่ำดั่งสายธารแห่งความสดชื่น อันเกิดจากการเจริญสติของท่าน ไหลมาตามหยดน้ำเย็นๆ ที่ท่านใช้ใบไม้ประพรมให้ แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็ไม่ได้ทำให้เคอะเขินในการเข้าไปรดน้ำขอพร ตรงกันข้าม กลับรู้สึกอบอุ่นและมีพลัง ความละเมียดละไมที่ใจได้รับจากพรอันอบอวลด้วยกระแสแห่งความเมตตาและปรารถนา ดีจากบุคคลที่แม้จะพูดภาษาที่แตกต่าง ทำให้สะท้อนใจเมื่อระลึกย้อนถึงบรรยากาศแห่งความร้าวฉานจากสงกรานต์ใน กรุงเทพฯ ที่ซึ่งผู้คนพูดภาษาเดียวกัน (แตกต่างกันเพียงความคิด) แต่กลับสาดรดความรุนแรง ความเกลียดชังสาดกระสุนสงครามและบาดแผลอันเจ็บปวดใส่กัน อย่างที่ไม่น่าเชื่อว่า นี่คือวิธีปฏิบัติของคนที่พูดภาษาเดียวกัน และมีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันในใจ

สงกรานต์ไทยเวียดนามซึ่งสมานกันอย่างกลมกลืน จึงเป็นการเติมเต็มให้กับช่วงบ่ายของการภาวนาที่จบลงด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและความฉ่ำเย็น

งานภาวนาตามรูปแบบหมู่บ้านพลัม จะว่าเรียบง่ายก็เรียบง่าย แต่เป็นความเรียบง่ายที่เปี่ยมด้วยพลัง ที่น่าแปลกใจและเป็นสิ่งที่หลายท่านอาจจะไม่คุ้นเคย คือการอนุญาตให้ปฏิบัติกันเป็นทีม คือมากันยกครอบครัว หลวงปู่จะเน้นที่ความสุขสันติในครอบครัว ฉะนั้นหากใครตั้งความหวังว่าจะมาปฏิบัติแบบเข้มข้น ชนิดเดินจงกรมนั่งสมาธิท่ามกลางความเงียบ โดยไม่มีกิจกรรมอื่นคั่น ก็อาจจะผิดความคาดหวัง เพราะบนเวทีมีทั้งภิกษุ ภิกษุณีที่ร้องเพลงธรรมะ มีทั้งอาสาสมัครที่เสียงดี จนนักร้องอาชีพอายขึ้นไปสอนน้องๆร้องเพลง ก่อนจะเริ่มการบรรยายธรรมหรือก่อนเริ่มพิธีต่างๆ บรรยากาศทั่วไปจะมีความร่าเริง สดใส ผสมผสานกับช่วงที่ต้องเงียบจริงๆ ที่เรียกว่าช่วง Noble silence หรือความเงียบอันประเสริฐอันได้แก่ ช่วงพิจารณาอาหารและ 15 นาทีแรกของการรับประทานอาหารทุกมื้อ และช่วงก่อนนอนจึงถึงเช้าวันใหม่ ซึ่งน่าอัศจรรย์ที่เด็กๆรักษาความเงียบได้อย่างเคร่งครัด ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงระฆังแห่งสติ ซึ่งจะเตือนเป็นระยะๆ

ระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติ เด็กๆก็จะมีหลวงพี่เป็นพี่เลี้ยงพาไปทำกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ เช่น ร้องเพลงบ้าง เล่านิทานบ้าง เด็กๆ ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สนุกจนลืมคิดถึงบ้าน

สิ่งประทับใจที่ผู้เขียนขอแบ่งปันคือ นิทานซึ่งหลวงพี่ท่านหนึ่ง ชื่อหลวงพี่กีตาร์ (จริงๆแล้วอายุของหลวงพี่แต่ละท่านน้อยมาก แต่ในชุมชนสังฆะ เรามักเรียกนักบวชว่าหลวงพี่ และหลวงพี่สาวๆก็มักได้รับชื่อแบบใสๆ สมตัว เช่น หลวงพี่ชีวิตชีวา หลวงพี่เบิกบาน) หลวงพี่ท่านนี้ นอกจากจะรักเสียงดนตรีแล้ว ยังชอบเล่านิทานอีกด้วย เรื่องที่หลวงพี่กีตาร์เล่าให้เด็กๆ ฟังชื่อเรื่อง พระมะพร้าว หรือ The Coconut Monk

เรื่องนี้หลวงปู่นำมาเขียนเป็นนิทานเด็ก แต่เป็นเรื่องที่นำมาจากเรื่องจริง คือมีภิกษุชาวเวียดนามองค์หนึ่ง อาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ลี้ภัยสงคราม ท่านสร้างนั่งร้านสำหรับนั่งสมาธิขึ้นบนต้นมะพร้าว เพราะท่านชอบความสงบและชอบนั่งชมทะเลและฟ้ากว้าง ท่านฉันแต่มะพร้าวเป็นอาหารหลัก จึงได้ฉายาว่า พระมะพร้าว เพื่อนสองชีวิตที่สนิทกับท่าน คือ แมวและหนู สัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูกัน แต่กลับเป็นมิตรต่อกัน เพราะมีกัลยาณมิตรอย่างพระมะพร้าวคอยแบ่งปันอาหารให้สัตว์ทั้งสองโดย ยุติธรรม แมวจึงไม่มีความจำเป็นต้องกินหนูเป็นอาหาร

ด้วยเห็นสันติภาพระหว่างแมวกับหนู พระมะพร้าวจึงเกิดความคิดว่า หนูและแมวยังอยู่ร่วมกันได้ แล้วใยมนุษย์จึงต้องทำร้ายกันด้วยความไม่เข้าใจกันหรือความขัดแย้งกัน วันหนึ่งพระมะพร้าวพร้อมเพื่อนแมวกับหนูเดินทางไปหน้าทำเนียบ เพื่อขอพบท่านประธานาธิบดีเวียดนาม เพื่อเรียกร้องให้สันติภาพกลับคืนสู่เวียดนาม โดยขอให้ประธานาธิบดีดูตัวอย่างเพื่อนรักของท่านที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่ทหารไม่ยอมให้ท่านเข้าพบ และจับท่านและเพื่อนทั้งสองขังคุก ประชาชนที่รู้เรื่องราวของพระมะพร้าว ต่างพากันมาเยี่ยมด้วยความห่วงใยไม่ขาดสาย จนในที่สุดท่านได้อิสรภาพ งานอดิเรกของท่านคือ เก็บปลอกกระสุนจากสงครามมาหลอมทำเป็นระฆัง พระมะพร้าวละสังขารไปในปี 1990 มรดกที่ท่านฝากไว้ในโลกใบนี้ น่าจะเป็นระฆังที่แปรเปลี่ยนสงครามเป็นสันติภาพด้วยเสียงอันก้องกังวาน

เรื่องราวของพระมะพร้าวกับวิธีการเรียกร้องสันติภาพแบบซื่อๆ ของท่าน จึงกลายเป็นตำนานให้เด็กๆ ได้กล่าวขวัญถึง ตัวอย่างหนังสือนิทานพร้อมหน้าปกเป็นภาพวาดน่ารักของพระมะพร้าวกับเพื่อนแมว และหนู

นอกจากความประทับใจเรื่องพระมะพร้าว แล้ว งานภาวนาครั้งนี้ จบลงด้วยการรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน ระหว่างสังฆะและผู้เข้าภาวนาทั้งครอบครัว ซึ่งนั่งล้อมวงกินข้าวร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่การปล่อยให้เวลาอาหาร เป็นเวลาที่พวกเราอยู่กับความเงียบอันประเสริฐ นับเป็นการใช้เวลาร่วมกันที่ล้ำค่ายิ่ง แม้จะไม่พูดจากัน แต่เสียงแห่งความเงียบ อันมีเสียงช้อนกระทบจานดังกรุ๋งกริ่งและเสียงกรอบแกรบจากแคบหมูเจผสานกัน ทำให้รสอาหารเจซึ่งอร่อยอยู่แล้วด้วยความเมตตาโดยการละเว้นเนื้อสัตว์ ยิ่งอร่อยมากขึ้นจากการลิ้มรสอาหารแห่งความกรุณาด้วยสติ เพราะขณะนั้นเรากำลังเคี้ยวความทุกข์และกลืนความเจ็บปวดของสรรพสัตว์

สรุปคืองานนี้ทุกท่านทุกเพศทุกวัย ที่มาร่วมภาวนา กลับไปอย่างชื่นบานถ้วนหน้า ขอบคุณอย่างลึกซึ้งกับคณะสงฆ์หมู่บ้านพลัมจากทุกสารทิศ ที่นำความตื่นรู้และความเบิกบานมาสู่ชาวไทย ขอบคุณและอนุโมทนากับหลวงพี่นิรามิสา ซึ่งถอดเทศนาธรรมจากภาอังกฤษและเวียดนามมาเป็นภาษาไทยที่ไพเราะ และแสดงถึงความเข้าถึงธรรมของผู้แปล ที่ผ่านสู่ใจผู้ปฏิบัติ

ความสุขสงบอันเกิดขึ้นในชุมชนเล็กๆ ที่เรียกว่าสังฆะในงานภาวนานี้ แสดงให้เห็นว่า สันติภาพสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ แต่ที่แห่งเดียวที่แน่นอน และมีพลังที่สุด คือในใจของทุกท่านที่เข้าร่วมภาวนา ซึ่งจะนำเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขสงบนี้ ไปบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องที่บ้าน และขยายความร่มเย็นแห่งสันติสุขไปสู่สังคมและประเทศชาติ คนไทยทุกคนมีงานบ้านที่ต้องเร่งทำ คือรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งสันติในใจให้งอกงามและผลิบาน

ขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นในศักยภาพ ที่จะเป็นตัวแทนเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งสันติภาพให้แก่ประเทศไทยเล็กๆ ในโลกใบใหญ่นี้ ที่ทุกคนเป็นสมาชิกสังฆะเดียวกัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 23 ส.ค. 2010, 21:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 23:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โอบกอด สุข- ทุกข์ไว้เป็นหนึ่งเดียว
เรื่องโดย รองศาสตร์จารย์ นายแพทย์ธวัชชัย กฤษณะประกรกิจ


รูปภาพ

ในงานเปิดตัวนิตยสาร คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “ตัวเองอายุ 68 แล้วผ่านอะไรที่สุดโต่งมามากมาย เคยมีความทุกข์หนักขนาดคิดฆ่าตัวตายก็เคย คิดเสมอว่าชีวิตที่ผ่านมานั้นเป็นโชค มองว่าความทุกข์กับความสุขเป็นเนื้อเดียวกัน พอถึงจุดหนึ่งของชีวิต จะรู้ว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข”

ประโยคที่สะดุดใจมากที่สุดจนกลายมาเป็นหัวข้อของบทความนี้คือ “มองว่าความทุกข์กับความสุขเป็นเนื้อเดียวกัน” นี่เป็นคำกล่าวของผู้ผ่านโลก นักปฏิบัติธรรม ทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมไว้มากมายและที่สำคัญคือท่านเป็นผู้ที่เข้าใจชีวิต เป็นอย่างดี วันนี้ถ้าได้นำสิ่งที่ท่านพูดไว้มาเพ่งพินิจกันให้ลึกซึ้ง ก็น่าจะเป็นประโยชน์มากทีเดียว

มีผู้ให้ความหมายคำว่า สุข แล ทุกข์ ไว้แตกต่างกันมากมาย ทั้งที่เกี่ยวเนื่องด้วยธรรมะในศาสนา ปรัชญา และที่เป็นภาษาทางจิตวิทยา จนถึงคำที่ชาวบ้านใช้พูดคุยในชีวิตประจำวัน วันนี้เราจะเลี่ยงไม่พูดลึกลงไปในเรื่องทฤษฏีวิชาการใดๆ แต่เราจะพูดถึงสุขทุกข์ที่ตรงลงไปในหัวใจ ในฐานะส่วนที่เป็นความรู้สึกในใจของปุถุชนเราๆท่านๆกับความสุข-ทุกข์แบบติด ดิน แบบที่เป็นพื้นๆที่สุด โดยที่ไม่ต้องไปเรียนรู้จากที่ไหน เพราะสุข-ทุกข์อยู่ในใจนี่แล้ว สุข-ทุกข์ในฐานะที่เป็นสิ่งที่พบเจอทุกเมื่อเชื่อวัน ไปไหนไปด้วยเป็นคู่กันกับชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่าเป็นเพื่อนแท้ของชีวิตก็ว่าได้

ผมเฝ้ามองชีวิต วันที่สมหวังก็มีความสุข วันที่ผิดหวังก็มีความทุกข์ มากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นกับเรื่องราวที่เข้ามา ที่พอทำใจได้ก็ให้มันผ่านเลยไปหรือลืมไป จะได้ไม่ต้องคิดถึงอีก แต่ที่ยังทำใจไม่ได้มันทุกข์นะ กฎ “หาทางดับทุกข์” กันไป ที่แก้ไขก็ทุกข์น้อยลง ถ้าแก้ไม่ถูกวิธีก็อาจจะยิ่งทุกข์มากขึ้น แบบทุกข์แล้วทุกข์อีก ทุกข์ซ้ำซาก ชีวิตก็วนเวียนอยู่กับทุกข์และการแก้ทุกข์ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ แล้วก็โหยหิวหาสุขที่เป็นความพึงพอใจ สบายใจ สนุกเบิกบานใจ มาช่วยเติมแต่งชีวิตจิตใจให้รู้สึกดีขึ้น ทั้งต่อตนเอง คนที่รัก และผู้อื่น สังเกตช่วงเวลาที่มีทุกข์ดูช่างยาวนานเหลือเกิน เหมือนวันเวลายืดออกได้มีคนเคยพูดว่า “ในห้วงแห่งทุกข์เวลาทุกวินาทีช่างผ่านไปได้ยากเหลือเกิน” แต่ช่วงเวลาความสุขกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อมองให้ลึกลงไปในใจ ความปรารถนาและความต้องการของทุกคนก็คือ “ปรารถนาสุข ต้องการพ้นทุกข์” ด้วยกันถ้วนหน้า เราทุกคนจึงเป็น “เพื่อนร่วมสุข-ทุกข์” ในยานอวกาศลำใหญ่ที่มีชื่อว่า “โลก” ยานลำนี้กำลังท่องเที่ยวไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด รู้แบบนี้เราก็ไม่ต้องเหงาแล้ว เพราะไม่เคยมีใครต้องโดดเดี่ยวหรือพบเจอความทุกข์ตามลำพังเลย ดีใจจัง เรามีเพื่อนมากมาย

เวลาที่เราเห็นใครเขามีความสุข ทำอะไรได้สำเร็จ ดูเหมือนเราจะยิ่งทุกข์มากขึ้น เหมือนจะมาตอกย้ำให้เห็นความล้มเหลวในชีวิตพานคิดไปว่า “ทำไมเขาสุขมากกว่าเรา ทำไมเรายังทุกข์” แต่มองดูดีๆ ตอนที่เขาทุกข์ เราไม่ได้เห็น หรือเขาก็ไม่ได้มาเล่าให้ฟัง เขาอาจจะเคยทุกข์ กำลังทุกข์ หรือกำลังจะทุกข์มากกว่าเราก็ได้ ฉะนั้นเวลาที่เรามีทุกข์ใจใดๆก็ตาม หมายถึงเรากำลังได้เป็น “ประจักษ์พยาน” ผู้รู้เห็นความทุกข์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว เราจะได้พูดเต็มปากว่าเรารู้เราเห็นทุกข์ เท่าๆ กับเพื่อนร่วมโลกทุกคน อย่างที่ไม่น้อยหน้าใครเลย

ผมลองค้นหาคำว่าความสุข ความทุกข์ ด้วยกูเกิ้ล ( Google ) พบความทุกข์ในแหล่งที่อ้างอิงได้มี 1,780,000 แหล่ง ขณะที่ความสุขกลับพบมากกว่าๆมากถึง 14,900,000 แหล่ง และเมื่อค้นคำทั้งสองพร้อมกัน พบที่อ้างอิงถึงทั้งความสุขและความทุกข์อยู่ด้วยกันมี 1,250,000 แหล่ง สิ่งนี้สะท้อนถึงอะไร ผมมองว่าคนเราชอบพูดถึงหรือเขียนถึงความสุขมากกว่า และเมื่อไรก็ตามที่เราต้องพูดถึงความทุกข์ ก็จะพยายามโยงไปหาความสุขด้วย เพราะเราไม่อยากอยู่กับความทุกข์นาน อยากไปให้พ้นจากทุกข์ ฤามนุษย์เรากลัวทุกข์ ใฝ่หาสุขกันมากเกินไป แต่ก็จะเข้าทำนองที่ว่า “ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ”

แล้วถ้าเปลี่ยนจะยืนชีวิตใหม่ล่ะ แบบว่า “สุขก็เตรียมไว้ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว” เหมือนบทเพลง Live and Learn ของคุณกมลา สุโกศล หรือ “มองว่าความทุกข์กับความสุขเป็นเนื้อเดียวกัน” ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้น เหล่านี้คือหัวใจของ “การยอมรับ” นั่นเอง การยอมรับคือความอ่อนโยนของจิตใจที่มีให้ชีวิต เห็นว่าใจที่กำลังทุกข์ก็ทุกข์มากพอแรงแล้ว จะซ้ำเติมจิตใจให้ทุกข์ยิ่งขึ้นอีกทำไม

สำหรับท่านเรามาเติมความรักเจือลงไปในการยอมรับอีกที เหมือนเพิ่มค่าให้การยอมรับ คือทั้งยอมรับและรักเมตตาต่อความทุกข์ในใจไปพร้อมๆกัน ให้ความรักเป็นเสมือนสองแขนที่โอบกอดสุข-ทุกข์ในใจไว้ ไม่ว่าทุกข์จะใหญ่แค่ไหน ความรักในใจก็จะยิ่งใหญ่กว่า เราจะสามารถยิ้มได้ทั้งน้ำตา ให้ความรักนี้ได้ ดูแลจิตใจที่กำลังทุกข์ ให้สมกับที่ทุกข์นั้น อุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนกับเรามาทั้งชีวิต

ความสุข ความทุกข์ เป็นธรรมชาติของชีวิต ยิ่งปฏิเสธความทุกข์ ใจเราจะยิ่งทุกข์ จงรักและเมตตาต่อความทุกข์ เพราะความทุกข์คือเพื่อนที่อยู่กับเรามาทั้งชีวิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 01:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายุยืนเพราะอารมณ์ดี
เรื่อง หนูดี วนิษา เรซ





เวลามองเรื่องความสุข เราไม่ค่อยโยงกันให้ชัดเจนสักเท่าไร ถึงปริมาณความสุขในชีวิตและอายุขัยของมนุษย์ แน่นอนว่าเรารู้กันมานานแล้วว่า คนที่สุขภาพจิตดี คนที่กินอาการมีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ มีชีวิตที่ดี ย่อมมีอายุยืนยาว แต่คุณเคยรู้ไหมคะว่า “ความอารมณ์ดี” ทำให้เราอายุยืนได้ชะงัดมากกกว่าเรื่องอื่นๆ เสียอีก

งานวิจัยแม่ชีอารมณ์ดี

ใครหนอช่างคิดทำวิจัยกับกลุ่มแม่ชีกลุ่มใหญ่ เพื่อจะดูว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้แม่ชีมีอายุยืนยาว

ทายสิคะว่า นักวิจัยตามศึกษาแม่ชีกลุ่มหนึ่งเป็นเวลากี่ปีกัน

เฉลยค่ะว่า เขาตามศึกษาแม่ชีกลุ่มนี้ตั้งแต่เป็นสาวน้อยอายุ 20 ปี จนแม่ชีมีอายุถึง 94 ปีเลยทีเดียว น่าปรบมือให้ความพยายามทั้งของนักวิจัยและแม่ชีจริงๆ

มาดูกันดีกว่าคะว่า นักวิจัยพบอะไรบ้างที่เราสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของพวกเราได้

เขาพบว่า ในตัวแปรทั้งหมดที่ส่งผมกระทบต่อสุขภาพของแม่ชี เช่น อาหารการกินปริมาณการออกกำลังกาย การทำงานหนัก การทำงานอย่างเคร่งเครียดหรือสบายใจ การมีเพื่อนเยอะหรือน้อย การนอนดึกหรือนอนแต่หัวค่ำ และการมองโลกในเชิงบวกนั้น สิ่งที่มีผลต่อความยืนยาวของอายุที่สุดคือ “ทัศนคติเชิงบวก” นั่นเองค่ะ

แม่ชีกลุ่มอารมณ์ดีจะพูดถึงการทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยคำพูด เชิงบวก ตื่นเต้น สร้างสรรค์ มีความสุข ในขณะที่แม่ชีกลุ่มคิดลบจะพูดถึงงานในเชิงกลางๆ หรือมีบ่นเล็กน้อย ความแตกต่างเพียงเท่านี้ส่งผลต่างกันมหาศาล

กลุ่มแม่ชีที่อารมณ์ดีนั้นมีถึง 90 เปอร์เซ็นต์ทีเดียวที่มีชีวิตอยู่จนอายุเกิน 85 ปี เมื่อเทียบกับแม่ชีกลุ่มคิดลบที่เหลือสมาชิกเพียง 34 เปอร์เซ็นต์ และถ้าเราตามศึกษาพวกเขาต่อไปถึงอายุ 94 ปีนั้นเรื่องที่น่าทึ่งก็เกิดขึ้น เมื่อนักวิจัยพบว่า 54 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคิดบวกยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่กลุ่มคิดลบเหลือเพียง 11 เปอร์เซ็นต์พูดง่ายๆ ว่า กลุ่มคิดลบได้ตายไปแล้วถึงเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ น่ากลัวเหมือนกันนะคะความคิดเชิงลบนี่ ทั้งๆ ที่สิ่งอื่นก็เหมือนกันทั้งอาหารการกิน ลักษณะการทำงาน การออกกำลังกายฯลฯ

หลังจากเรียนเรื่องงานวิจัยนี้ หนูดีเลยคอยเตือนตัวเองตลอด ว่าหากหนูดีคิดลบ มองโลกในแง่ร้าย มองคนอื่นร้ายกว่าความเป็นจริง ไม่รู้จักคิดแก้ปัญหาในเชิงบวกแล้วละก็ เท่ากับว่าหนูดีกำลังฆ่าตัวตายผ่อนส่งทุกวัน แทนที่จะได้อยู่ทำประโยชน์ให้ตัวเองให้โลกจนอายุเกือบร้อยปี ก็คงตายตั้งแต่ยังอายุไม่เท่าไร เสียดายชีวิตน่าดู

ความคิดลบมีผลร้าย ไม่เพียงแต่สำหรับความฉลาดเท่านั้น แต่กับสุขภาพกายและความมีอายุยืนยาวของเราด้วย ส่วนความคิดบวกไม่ใช่ของที่เราทำให้ใคร แต่เป็นของขวัญพิเศษเพื่ออายุที่ยืนยาวและสดใสที่เรามอบให้ตัวเองได้ในทุกๆ วันต่างหาก



มองโลกในแง่ที่เป็นจริง ด้วยใจที่เป็นสุข

คนมักให้คะแนนการ “มองโลกในแง่ดี” สูงมาก แต่ก็มีคนอีกหลายคนที่คิดว่า การมองโลกในแง่ดี คือการมองโลกให้ดีกว่าที่เป็นจริง ทำให้มีโอกาสถูกหลอกหรือมีโอกาสประเมินสถานการณ์ผิดพลาดได้สูงกว่าคนมองโลก ในแง่ร้ายนักวิจัยค้นพบว่า คนที่มองโลกในแง่ดี “มากเกินไป” นั้นก็เป็นอาการหนึ่งของโรคจิตเภท คือการไม่ยอมรับความจริง แต่นักวิจัยก็ค้นพบอีกว่า การมองโลกในแง่ดีท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ก็ช่วยให้คนสามารถเอาชนะความสถานการณ์นั้นได้ แล้วเราจะเลือกอะไรดีคะ

แพทย์ค้นพบว่า ทัศนคติของคนที่พบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งเป็นครั้งแรกนั้นมีผลสำคัญต่อ ความมีอายุยืนของเขาเป็นอย่างมาก เมื่อผู้ป่วยได้รับแจ้งข่าวว่า “คุณเป็นโรคมะเร็ง” หากผู้ป่วยฟังคำนั้นเสมือนหนึ่งคำตัดสินประหารชีวิต เขามักจะมีอายุเฉลี่ยสั้นกว่ากลุ่มที่ฟังคำนี้ด้วยใจที่สงบหรือฟังด้วยความ คิดที่ว่า เขาน่าจะมีโอกาสหายได้ หรืออย่างน้อยก็รักษาตัวจนมีอายุยืนยาวกว่าที่แพทย์คาดการณ์ไว้ ความคิดบวกหรือลบอย่างเดียวคงไม่สามารถกำหนดอายุขัยของใครได้ แต่ความคิดกำหนดพฤติกรรมได้ ผู้ป่วยที่คิดว่า “ฉันต้องตายแน่ๆ เร็วๆ นี้ด้วย” ก็มักจะไม่ค้นหาวิธีการรักษาใหม่ๆ ที่อาจได้ผล เพราะไหนๆ ก็จะตายอยู่แล้ว จะวุ่นวายไปทำไม ก็อาจพลาดโอกาสงามๆ ในการรักษาตัวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ส่วนคนที่คิดว่า “ความหวังน่าจะยังมี” ก็มักจะกระตือรือร้น ขวนขวายและชักชวนให้คนรอบตัวช่วยกันในกระบวนการพยายามมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป เห็นไหมคะว่า ความคิดมีผลกระทบรุนแรงมากกับชีวิตเรา

และเมื่อความคิดมีผลต่อความสุขและชีวิตของเรา การมองโลกตามภาวะที่เป็นจริงด้วยใจที่สงบและเป็นสุข น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และหากเรามีอารมณ์ดีเป็นอารมณ์พื้นฐานอยู่เสมอๆ เรื่องอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะยากเย็นจนเกินไป

๑. การมีอารมณ์ดีเสมอๆ ช่วยให้เรามีอายุยืนยาวได้

๒. การ “มองโลกในแง่ดี” หากไม่ตั้งอยู่บนความจริงก็อาจกลายเป็นเรื่องลบ

๓. ทัศนคติมีผลต่อความสุขและอายุขัยของเรา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 29 ส.ค. 2010, 22:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความรู้จากแพทย์จีน

รูปภาพ



จากแพทย์จีน

อาจารย์ท่านแนะนำเคล็ดลับไว้ 12 ข้อดังต่อไปนี้...

1. หวีผมบ่อยๆ:
หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย
แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)

2. ถูใบหน้าบ่อยๆ:
ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2
ข้างถูหน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง

3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ:
ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง
หรือจ้องอะไรนานๆโดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกล อย่างน้อยทุกชั่วโมง

4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ:
การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม)
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย(ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5. ขบฟันบ่อยๆ:
ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง
และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ:
การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม
เพื่อเชื่อมพลังลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย

7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ:
การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8.. หมั่นขับของเสีย:
หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง
เพื่อป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น
การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึม
สารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย

9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ:
ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10. ขมิบก้นบ่อยๆ:
การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11. เคลื่อนไหวทุกข้อ:
การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย
ควรเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12. ถูผิวหนังบ่อยๆ:
ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ
มีส่วนช่วยให้เลือดและพลังไหล เวียนดี

เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไปนานๆ
ครับ...

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า

อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกินนำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดยใช้หลัก แพทย์แผนปัจจุบันประกอบ...


รูปภาพ

อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่...
1. ไข่เยี่ยวม้า:
ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ
จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ
2. ปาท่องโก๋:
กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย
3. เนื้อย่าง:
กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
4. ผักดอง:
ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน
หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย
นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิด สารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสาร ก่อมะเร็ง
5. ตับหมู:
ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง(อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น
6. ผักขม ปวยเล้ง:
ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน
หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้
7. บะหมี่สำเร็จรูป:
บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ
การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหาร และการสะสมสารพิษได้
8. เมล็ดทานตะวัน:
เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทว่า... การกินมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น
9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้:
กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย...
ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
10. ผงชูรส:
คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา...
การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกิน ทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูงอาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์

ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีอาหารปลอดภัย และมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


ผมคิดว่า ชีวิตผมทำได้ดีที่สุดแล้วเท่าที่ผมมีชีวิตอยู่
ผมคิดว่า ผมได้ช่วยเหลือสังคมดีแล้ว
ผมคิดว่า ผมได้ทำตามกำลังของผมดีแล้ว
และ...ผมพอใจ ผมภูมิใจสิ่งที่ผมทำ ...

๑ กันยายน ๒๕๓๓ เมื่อเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ไขกุญแจเข้าไปในบ้านพักของสืบ นาคะเสถียร ก็พบกระดาษแผ่นหนึ่งบนเตียงนอนมีข้อความว่า

ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเองโดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น

ลงชื่อ สืบ นาคะเสถียรผู้ตาย
(นายสืบ นาคะเสถียร)
๓๑ ส.ค. ๓๓

รูปภาพ

" สัตว์ป่า"

เสียงปืนที่ดังลั่น


ตัวแม่นั้นต้องสิ้นใจ

ลูกน้อยที่แบกไว้


กระดอนไปเพราะแรงปืน

ฝืนใจเข้ากอดแม่


หวังแก้ให้แม่ฟื้น

แม่จ๋าเพราะเสียงปืน


จึงไม่คืนชีวิตมา

โทษไหนจึงประหาร


ศาลไหนพิพากษา

ถ้าลูกท่านเป็นสัตว์ป่า


ใครเข่นฆ่าท่านยอมไหม

ชีวิตใครใครก็รัก


ท่านประจักษ์หรือไม่ไฉน

โปรดเถิดจงเห็นใจ


สัตว์ป่าไซร้ก็เหมือนกัน


บทกลอนได้รางวัลจากการประกวดคำขวัญด้านสัตว์ป่า-ป่าไม้ครั้งที่ ๓ ของ สืบ นาคะเสถียร
ซึ่งจัดโดยคณะวนศาสตร์ และกลอนบทนี้สามารถสะท้อนความรู้สึกของสืบที่มีต่อสัตว์ป่าได้ชัดเจนที่สุด

ถึงเวลาหรือยังที่เราทุกคนจะมีส่วนร่วมในการสอดส่องดูและและผลักดันให้ กระบวนการพิทักษ์และอนุรักษ์ป่าเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม เริ่มจากการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพา เริ่มต้นจากที่บ้านของคุณ ลูกหลานของคุณ และตัวคุณเถอะครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 03 ก.ย. 2010, 05:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 06:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ฉัน พูดกับพุทธองค์ว่า
ฉันพูดกับพุทธองค์ว่า : ขอให้เพื่อนของฉันทุกคนมีความสุข สุขภาพดี ตลอดไป
พุทธองค์ตอบว่า : ขอได้เพียง 4 วันเท่านั้น
ฉันตอบว่า : ได้ ถ้างั้นขอวันฤดูใบไม้ผลิ วันฤดูร้อน วันฤดูใบไม้ร่วง วันฤดูหนาว
พุทธองค์ตอบว่า : 3 วัน
ฉันตอบว่า : ได้ เมื่อวาน วันนี้ วันพรุ่งนี้
พุทธองค์ตอบว่า : ไม่ได้ ให้ได้แค่ 2 วัน
ฉันตอบว่า : ได้ งั้นเป็นกลางวัน และ กลางคืน
พุทธองค์ตอบว่า : ไม่ได้มากไป ให้ได้วันเดียว
ฉันตอบว่า : อ๋อ ได้
พุทธองค์ถามว่า : วันไหนล่ะ
ฉันตอบว่า : ขอเป็นวันที่เพื่อนๆของฉันยังมีชีวิตอยู่
พุทธองค์หัวเราะ แล้วพูดว่า : นับแต่นี้ไปเพื่อนๆของเธอจะมีความสุข มีสุขภาพแข็งแรงทุกๆวัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การรักษาเครื่องซักผ้า
>
> เวลาที่ไม่ใช้เครื่องซักผ้า
> ให้เปิดฝาทิ้งไว้เสมอ
> ช่วยรักษาแผ่นยางที่อยู่ตรงประตูเครื่อง
> และช่วยให้เครื่องไม่มีกลิ่นด้วยจ้ะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 04:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ล้างห้องน้ำด้วยโค้ก
>
> การทำความสะอาดชักโครก
> ให้ปราศจากคราบ
> และดูเหมือนใหม่เสมอ
> คือ ให้ชักโครกกินโค้กซะบ้าง
> เทโค้กใส่ลงในชักโครก
> ปล่อยให้ชักโครกดื่มโค้กอย่างสบายใจ
> สักสองสามชั่วโมง
> คราบสกปรกจะหลุดออกหมด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำให้บ้านหอม
>
> ไม่ต้องพึ่งสเปรย์หอมกันแล้ว
> ให้เอาส้มเช้ง
> มาปักไว้ด้วยกานพลูหลาย ๆ ดอก
> วางทิ้งไว้ตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน
> ใส่แก้วสวย ๆ ก็จะดูดี
> ดูเหมือนของตกแต่ง
> ทีนี้กลิ่นในบ้านจะหอมหวนตลอดเวลา
> ข้อควรระวัง
> ต้องหมั่นเปลี่ยนส้มซักหน่อย
> อย่าทิ้งไว้จนเน่า
> ไม่งั้นคงได้กลิ่นตรงกันข้าม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร