วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เด็ด!!วิธีประหยัดน้ำมัน ท่องให้ขึ้นใจ

รูปภาพ

ท่องให้ขึ้นใจรับรองมีเงินเหลือใช้อย่าง แน่นอน

ก......ก่อนออกจาก รถ ไม่ต้องอุ่นเครื่องขับช้าๆ 2 กิโลแรกก็อุ่นแล้ว

ข......ขับ91 เติม91 ขับ95 เติม95 ช่วยเศรษฐกิจชาติ

ฃ......ฃวดน้ำ ฃวดยา สารพัดของหนัก ล้วนฉุดเครื่องรถ สมควรถูกโละ

ค......ความเร็วต่ำ ใช้เกียร์ต่ำ ความเร็วสูงใช้เกียร์สูง

ฅ......ฅนขับรถทางไกล ควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ ประหยัดน้ำมันได้เหมือนกัน

ฆ......ตี ฆ้องร้องถามเพื่อนร่วมทางไปคันเดียวกัน

ง......งดการขับรถกินลม จอดรถกินข้าวอิ่มกว่า

จ......จักรยาน 2 ล้อนี่ซิกินลม ได้เต็มๆแถมไม่กินน้ำมันซักหยด

ฉ......ฉุกคิดซักนิด ยิ่งแต่งเครื่องยิ่งแรง ยิ่งกินน้ำมัน

ช......ใช้รถที่จำเป็น จริงๆ

ซ......ซอกแซกทางลัดถึงเร็วดี

ฌ......เฌอช่วย ให้ร่มเงาขณะจอด แอร์ไม่ต้องทำงานหนัก

ญ......หญิงยุคใหม่ไม่ เลี้ยงคลัตช์

ฎ.....กฎหมายนั่งไม่เกิน 7 คนช่วยเครื่องยนต์ไม่ทำงานหนัก

ฏ......ปฏิบัติตามคู่มือประจำรถ ช่วยลดค่าน้ำมันได้น่ะ

ฐ......ฐานะดีขึ้นได้ ถ้าใช้ออกเทนเท่าที่เครื่องยนต์ต้องการ

ฑ......เกณฑ์ความเร็ว 80 กม./ชม. ประหยัดน้ำมันได้เยอะ

ฒ......ผู้เฒ่าเขาบอก อย่าออกตัวแรงจะได้ไม่เปลืองน้ำมัน

ณ......เกณฑ์เปลี่ยนน้ำมัน หล่อลื่นทุก 5000 กม.

ด......เดินแทนขับรถ ลดน้ำหนักไปในตัว อย่าลืมนะ เดี๋ยวรถกินน้ำมัน

ต......ตรวจเช็คเครื่องยนต์ตาม กำหนด ถ้าไม่อยากเปลืองน้ำมัน

ถ......ถนนลูกรังควรเลี่ยง เพราะเปลืองน้ำมันร้อยละ 35

ท......โทรไปนัดล่วงหน้า จะได้ไม่ขับไปเก้อ

ธ......ยางธรรมดาเท่ห์น้อย แต่กินน้ำมันน้อยกว่ายางขอบใหญ่เยอะ

น.......น้ำมันมีค่า ใช้ทุกหยดให้คุ้มค่า

บ......บรรทุกของน้อยๆรถวิ่งฉิว

ป...... ปรับแต่งเครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันได้ร้อยละ 5 - 15

ผ......ผิว ถนนไม่เรียบไม่ควรขับ เพราะเปลืองน้ำมันมากที่สุดร้อยละ 45

ฝ...... ฝึกออกตัวช้าๆให้เครื่องจิบน้ำมันทีละน้อย

พ......เพื่อนบ้าน ใกล้กัน รักกันอาศัยพากลับไปด้วย

ฟ......ฟังวิทยุเส้นไหนติดน้อย ไปเส้นนั้น

ภ......ภาคทฤษฎี 44 ข้อนี้ ควรเร่งปฎิบัติกันเร็ววัน

ม......ไม่ติดเครื่องระหว่างจอดคอย

ย......ยอมเดิน ดีกว่าวนหาที่จอดรถ 3 รอบ

ร......รอบเครื่องยนต์ 1100 - 1250 รอบ/นาที ไม่กินน้ำมัน

ล......ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวทุกทีที่ทำ ได้

ว......เวลาเร่งด่วนไม่ควรออกไปร่วมชะตากรรมบนท้องถนน

ศ...... ศึกษาเส้นทางล่วงหน้า หลงทางเสียเวลา แต่เสียน้ำมันก็เจ็บใจนะ

ษ...... เศรษฐกิจชาติจะดี ถ้าประชาชีใช้น้ำมันถูกชนิด

ส......สอบถาม ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องประหยัดน้ำมันได้ที่ " สายด่วนออกเทน " โทร 02 - 612-1040 และ 1900 - 1901 - 99

ห......หลีกเลี่บงถนนสายหลักช่วง เร่งด่วน ช่วงฝนตก และช่วงห้างสรรพสินค้าลดราคา

ฬ......ร.พ. จุฬาฯ - หมอชิต ไปรถไฟฟ้าประหยัดกว่า

อ......แอร์....เปิดไม่ฉ่ำ เกิน ประหยัดได้อีกทาง

ฮ......ฮึดปฎิบัติให้มากข้อเข้าไว้ ช่วยตัว ช่วยชาติประหยัดได้เยอะ


ท่องให้ขึ้นใจรับรองมีเงินเหลือใช้อย่าง แน่นอน

ก......ก่อนออกจาก รถ ไม่ต้องอุ่นเครื่องขับช้าๆ 2 กิโลแรกก็อุ่นแล้ว

ข......ขับ91 เติม91 ขับ95 เติม95 ช่วยเศรษฐกิจชาติ

ฃ......ฃวดน้ำ ฃวดยา สารพัดของหนัก ล้วนฉุดเครื่องรถ สมควรถูกโละ

ค......ความเร็วต่ำ ใช้เกียร์ต่ำ ความเร็วสูงใช้เกียร์สูง

ฅ......ฅนขับรถทางไกล ควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ ประหยัดน้ำมันได้เหมือนกัน

ฆ......ตี ฆ้องร้องถามเพื่อนร่วมทางไปคันเดียวกัน

ง......งดการขับรถกินลม จอดรถกินข้าวอิ่มกว่า

จ......จักรยาน 2 ล้อนี่ซิกินลม ได้เต็มๆแถมไม่กินน้ำมันซักหยด

ฉ......ฉุกคิดซักนิด ยิ่งแต่งเครื่องยิ่งแรง ยิ่งกินน้ำมัน

ช......ใช้รถที่จำเป็น จริงๆ

ซ......ซอกแซกทางลัดถึงเร็วดี

ฌ......เฌอช่วย ให้ร่มเงาขณะจอด แอร์ไม่ต้องทำงานหนัก

ญ......หญิงยุคใหม่ไม่ เลี้ยงคลัตช์

ฎ.....กฎหมายนั่งไม่เกิน 7 คนช่วยเครื่องยนต์ไม่ทำงานหนัก

ฏ......ปฏิบัติตามคู่มือประจำรถ ช่วยลดค่าน้ำมันได้น่ะ

ฐ......ฐานะดีขึ้นได้ ถ้าใช้ออกเทนเท่าที่เครื่องยนต์ต้องการ

ฑ......เกณฑ์ความเร็ว 80 กม./ชม. ประหยัดน้ำมันได้เยอะ

ฒ......ผู้เฒ่าเขาบอก อย่าออกตัวแรงจะได้ไม่เปลืองน้ำมัน

ณ......เกณฑ์เปลี่ยนน้ำมัน หล่อลื่นทุก 5000 กม.

ด......เดินแทนขับรถ ลดน้ำหนักไปในตัว อย่าลืมนะ เดี๋ยวรถกินน้ำมัน

ต......ตรวจเช็คเครื่องยนต์ตาม กำหนด ถ้าไม่อยากเปลืองน้ำมัน

ถ......ถนนลูกรังควรเลี่ยง เพราะเปลืองน้ำมันร้อยละ 35

ท......โทรไปนัดล่วงหน้า จะได้ไม่ขับไปเก้อ

ธ......ยางธรรมดาเท่ห์น้อย แต่กินน้ำมันน้อยกว่ายางขอบใหญ่เยอะ

น.......น้ำมันมีค่า ใช้ทุกหยดให้คุ้มค่า

บ......บรรทุกของน้อยๆรถวิ่งฉิว

ป...... ปรับแต่งเครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันได้ร้อยละ 5 - 15

ผ......ผิว ถนนไม่เรียบไม่ควรขับ เพราะเปลืองน้ำมันมากที่สุดร้อยละ 45

ฝ...... ฝึกออกตัวช้าๆให้เครื่องจิบน้ำมันทีละน้อย

พ......เพื่อนบ้าน ใกล้กัน รักกันอาศัยพากลับไปด้วย

ฟ......ฟังวิทยุเส้นไหนติดน้อย ไปเส้นนั้น

ภ......ภาคทฤษฎี 44 ข้อนี้ ควรเร่งปฎิบัติกันเร็ววัน

ม......ไม่ติดเครื่องระหว่างจอดคอย

ย......ยอมเดิน ดีกว่าวนหาที่จอดรถ 3 รอบ

ร......รอบเครื่องยนต์ 1100 - 1250 รอบ/นาที ไม่กินน้ำมัน

ล......ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวทุกทีที่ทำ ได้

ว......เวลาเร่งด่วนไม่ควรออกไปร่วมชะตากรรมบนท้องถนน

ศ...... ศึกษาเส้นทางล่วงหน้า หลงทางเสียเวลา แต่เสียน้ำมันก็เจ็บใจนะ

ษ...... เศรษฐกิจชาติจะดี ถ้าประชาชีใช้น้ำมันถูกชนิด

ส......สอบถาม ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องประหยัดน้ำมันได้ที่ " สายด่วนออกเทน " โทร 02 - 612-1040 และ 1900 - 1901 - 99

ห......หลีกเลี่บงถนนสายหลักช่วง เร่งด่วน ช่วงฝนตก และช่วงห้างสรรพสินค้าลดราคา

ฬ......ร.พ. จุฬาฯ - หมอชิต ไปรถไฟฟ้าประหยัดกว่า

อ......แอร์....เปิดไม่ฉ่ำ เกิน ประหยัดได้อีกทาง

ฮ......ฮึดปฎิบัติให้มากข้อเข้าไว้ ช่วยตัว ช่วยชาติประหยัดได้เยอะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 00:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุที่พระสีวลีท่านมีลาภมาก

รูปภาพ

ถาม : ...........

ตอบ : ลักษณะการทำบุญปิดท้ายจะมีลาภมากแบบพระสีวลี ลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่าๆ จะรู้ดี ทำบุญปิดท้ายไปเรื่อย ปิดไม่รู้จักจบ คนโน้นปิดคนนี้ก็ปิดต่อไปเรื่อย เพราะว่าพระสีวลีท่านทำบุญปิดท้ายรายการบุญใหญ่ของเขา ท่านจึงมีลาภมาก

เนื่องจากว่าสมัยนั้นท่านเกิดเป็นคนจน มีอาชีพตัดฟืนอยู่ในป่า ตอนนั้นระหว่างชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันอยู่ แข่งกันทำความดีถือว่าน่าสรรเสริญ ชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันทำบุญ ลักษณะว่าใครทำบุญถวายพระพุทธเจ้าได้ดีกว่ากัน พอถึงเวลาพระราชาท่านก็จัดโน่นจัดนี่มาให้ดีกว่าชาวบ้าน ทีนี้กำลังของพระราชาเองถ้าไม่เกณฑ์ชาวบ้านนี่จะเอาดีก็คงจะไม่เท่าไร ชาวบ้านพอสู้ได้เพราะคนเยอะกว่าก็ช่วยกันสรรหามา

จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้ายชาวบ้านเขากะจะเกทับให้พระราชาไม่มีโอกาสกระดิก ทำบุญครั้งนี้จะหาของทุกอย่างที่พึงจะถวายพระมาให้ครบ ปรากฏว่าพอหามาแล้วขาดน้ำผึ้งสดจากรวงอย่างเดียว น้ำผึ้งเก่ามีแล้ว อยากจะได้ที่คั้นสดๆ ถวายพระเลย บรรดาที่เป็นหัวหน้าท่านก็ประกาศให้ลูกน้องนำเงินคนละ ๑ พันกหาปณะไปยืนรอที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ ใครมีรวงผึ้งสดมาให้ขอซื้อจากเขา ให้ราคาไปเรื่อยให้จนกระทั่งหมดพันกหาปณะนั่นแหละ เชื่อว่าคนเขาขายให้อยู่แล้ว เพราะปกติราคาไม่ถึงนั้น ราคาไม่ถึงกหาปณะด้วยซ้ำไป หนึ่งกหาปณะในปัจจุบันถ้าเทียบอัตรากับ ๔ บาท หรือ ๑ ตำลึง แต่อย่าลืมว่า ๔ บาทโบราณนี่ค่ามหาศาลนะ

คราวนี้พระสีวลีท่านเป็นชายตัดฟืน บังเอิญวันนั้นไปเจอรังผึ้งเข้า ก็เลยตัดรังผึ้งแบกมาด้วย พอมาถึงประตูเมือง บรรดาเจ้าของทานทั้งหลายที่มารออยู่ พอเห็นเข้าก็ขอซื้อ บอกว่านี่พ่อคุณเราขอซื้อผึ้งรวงของท่านในราคา ๑ กหาปณะจะขายไหม ? พระสีวลีท่านได้ยินท่านก็สะดุดใจ ท่านเป็นคนฉลาด ถึงจะจนแต่ก็ฉลาด ของราคาไม่ถึงทำไมให้แพงจัง ลองแกล้งขยักเอาไว้หน่อยซิ ไม่ขาย พอไม่ขายอย่างนั้น ๒ กหาปณะ ๔, ๘ กหาปณะให้ไล่ขึ้นไปเรื่อย ท่านก็ไม่ขายจนกระทั่งถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะท่านก็ไม่ขาย บรรดาคนที่ไปรอก็หมดปัญญา นายเขาให้มาแค่พันเดียว ก็บอกว่าแล้วท่านคิดราคาเท่าไรถึงจะขาย

พระสีวลีก็ถามว่าท่านต้องการรวงผึ้งเห็นปานนี้ไปเพื่อกิจอะไร ถ้าท่านบอกเราแล้ว เราถึงจะกำหนดราคาได้ เขาก็บอกว่าพวกเราจะทำบุญถวายพระพุทธเจ้ากัน ต้องการที่จะถวายของทุกอย่างที่สมควรแก่สมณบริโภคให้มีให้ครบถ้วน ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียวถึงได้มาดักรอซื้อ แพงแค่ไหนก็จะซื้อ เพื่อให้ได้ทำบุญ พระสีวลีบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ขาย แต่ให้ไปแจ้งกับนายของเธอว่า ถ้าอนุญาตให้เราทำบุญด้วยน้ำผึ้งรวงนี้ เราก็จะให้ฟรีๆ เขาก็วิ่งอ้าวไปบอกเจ้านาย เจ้านายก็โมทนาและก็อนุญาตให้ร่วมด้วย กลายเป็นว่าของทุกอย่างมี ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียว แล้ว พระสีวลีได้ทำบุญปิดท้าย

คราวนี้ด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าและอานุภาพของทานครั้งนั้น น้ำผึ้งรวงเดียวคั้นแล้วพอพระทุกองค์ ทั้งๆ ที่พระมาตั้งมากมายมหาศาล เพราะมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พอแก่พระทุกองค์ เขาบอกว่าในสมัยนั้นหลังจากที่ทุกคนทำกาละ คือตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา

คราวนี้พระสีวลีท่านไม่ได้เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นแบบนั้น ท่านก็เลยลงมาเกิดเป็นพระสีวลี ในชาติที่ท่านมาเกิดก็ใช้หนี้กรรมเก่าหน่อยหนึ่ง เพราะว่าในอดีตชาตินานมาแล้ว ท่านเคยเป็นพระมหากษัตริย์ ไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาอยู่ ๗ ปี ๗ วัน แต่ว่าด้วยอานุภาพบุญ ทำให้ไม่รู้สึกลำบากเลย คลอดออกมาก็ ๗ ขวบกว่าๆ ประเคนของพระได้เลย แล้วก็ขอบวช แค่พระปลงผมให้เสร็จก็เป็นพระอรหันต์

เมื่อเป็น พระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก เหตุที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก พระพุทธเจ้าบอกว่า เพราะทำบุญปิดท้ายรายการ เสริมทุกอย่างของคนอื่นเขาให้บริบูรณ์ ตัวเองก็เลยบริบูรณ์ไปด้วย ถ้าไม่มีของท่านแล้วจะขาด ถ้ามีของท่านแล้วถึงจะสมบูรณ์บริบูรณ์ ท่านก็เลยรับเอาอานิสงส์นั้นไปเต็มๆ
สำหรับการบูชาพระสีวลีมีดังนี้

รูปภาพ




ในการบูชาพระสีวลีนั้น ให้บูชาด้วย...กบัว ๕หรือ ๙...ก หรือใช้พวงมาลัยที่เป็น ...กมะลิ ดาวเรือง ใช้ธุปหอม หรือกำยานสามเม็ดก็ได้เป็นกลิ่นหอมเย็นๆๆ อย่าใช้ธุปหอมสีดำเป็นอันขาดเพราะพระสีวลีเป็นพระอรหันต์ไม่ใช่เทวดา ครับ ธูปแขกสีดำไว้บูชาเทวดา เมื่อจะบูชาให้เอาพวงมาลัยถวายใส่พานถวายหน้ารูปเคารพแทนองค์พระสีวลี หรือ เอา...กบัว ๕หรือ๙...กใส่แจกัน จะมีเทียนหรือไม่ก็ได้ จุดธูป สาม...ก แล้วตั้ง นโมสามจบ กล่าวคำบูชาพระสีวลีด้วยพระคาถานี้
นโมสามจบ
สีวะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา

สีวะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา

สีวะลี เถระคุณัง เอตัง โสตถิ ลาภัง ภะวันตุ เมฯ
เสร็จแล้วเอาธูปปักที่กระถาง กราบสามที
และสวดบทนี้เพื่อขอลาภจากองค์พระสีวลี
คำอธิฐานขอลาภจากพระสีวลี
(โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง)

นโม ๓ จบ

สิวะ ลีมะหา เถรัง วันทามิหัง ( ๓ จบ )

มะหาสิวะลี เถโร มะหาลาโภ โหติ มะหาสิวะลี เถโร ลาภัง เม เท ถะ(๓จบ)
เสร็จแล้วอธิษฐานขอเรื่องลาภ เลยโดยตรง ครับแล้วกราบสามที บทนี้เป็นบทหลวงปู่เกษม เขมโก ที่มอบให้หลวงปู่ขวัญ ปวโร ใช้บอกญาติโยมเป็นบทขอลาภพระสีวลีโบราณครับทางเว็บพุทธคุณ(buddhakun.com)จึงขอนำมาลงให้อ่านกัน
อนึ่ง มีเคล็ดว่า ในวันพฤหัสบดี หากสะดวก ควรถวาย น้ำผึ้ง พระสีวลีด้วยโดยจะใส่จอกเล็กถวายท่านในวันพฤหัสบดีหรือหากทุกวันได้ยิ่งดีครับ จะทำให้ท่าน บังเกิดโชคลาภ อย่างเห็นได้ชัด และเป็นเคล็ดเพื่อให้เงินทองไหลมาเทมาในเคหาสน์สถานบ้านเรือน และผู้บูชาด้วยน้ำผึ้งประจำวันพฤหัสบดี จะไม่ตกทุกข์ได้ยากเลยในชีวิต เพราะในอดีต พระสีวลีได้ถวายน้ำผึ้งแก่พระพุทธเจ้ากัสสปะ ด้วยอานิสงส์นี้เองทำให้ท่านได้เป็นพระอรหันต์ที่เลิศในทางมีลาภมากครับ

รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 00:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




__fwdDer_com__-145350331-image021.jpg
__fwdDer_com__-145350331-image021.jpg [ 198.22 KiB | เปิดดู 4703 ครั้ง ]
กระจกเงาของพ่อแม่>>> ว.วชิรเมธี



บุตรธิดา คือ กระจกเงาของพ่อแม่


หากคุณเอาดอกไม้ใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนจิตใจงดงาม

หากคุณเอาความรักใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนเปี่ยมเมตตา

หากคุณเอาเหตุผลใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์

หากคุณเอาหนังสือใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นปัญญาชน

หากคุณเอาธรรมะใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนดี

หากคุณเอานิสัยแห่งการให้ใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนมีจิตสำนึกสาธารณะ

หากคุณเอาสมบัติผู้ดีใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นสุภาพบุรุษ/สุภาพสตรี

หากคุณเอาดนตรีใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนอารมณ์ดี

หากคุณเอาธรรมชาติใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนรักความสงบ

หากคุณเอาความก้าวร้าวใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นอันธพาล

หากคุณเอาความตามใจใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นลูกบังเกิดเกล้าจอมอหังการ

หากคุณเอาเงินใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนมักง่าย

หากคุณเอาปืนใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นฆาตกร

หากคุณเอาวัตถุแพงๆ ใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนยึดติดวัตถุนิยม

หากคุณเอาความรักสบายใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนหยิบโหย่งอ่อนแอ

หากคุณเอาความไม่รับผิดชอบใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนสูญเสียสามัญสำนึก

หากคุณเอาความริษยาใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนที่ขาดความสงบสุขในชีวิต

หากคุณเอาแต่วิชาชีพใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนสมองโตแต่ใจตีบ

ในฐานะที่เป็นพ่อและแม่
ทุกวันนี้คุณเอาอะไรใส่มือให้เด็กๆ ของคุณ ?

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 00:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




2_6397_1267968959.jpg
2_6397_1267968959.jpg [ 173.82 KiB | เปิดดู 4703 ครั้ง ]
สอนตัวเองยังไม่ได้ จะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร


ถ้าเรายังทำไม่ได้ เรายังปฏิบัติไม่ได้ เราจะเอาอะไรไปสอนญาติโยมเขา สอนตัวเองยังไม่สำเร็จ สอนคนอื่นมันจะสำเร็จได้อย่างไร ? ตราบใดที่เรายังทำไม่ได้ ยังไม่รู้จริง ตราบนั้นสิ่งที่เราพูด ก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้อง สิ่งที่เราสอน ก็ไม่แน่ว่า จะเป็นไปตามพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปัจจุบัน นี้นักบวชต่างๆ ตลอดจนกระทั่งฆราวาส ทำให้พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตกต่ำเหลือเกิน แต่ละคนอ้างสิทธิ อ้างเสรีภาพ ในการที่จะวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มันเป็นการใช้การวิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย ด้วย โลกียปัญญา ใน ลักษณะของปริยัติ คือศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัติ จนตีราคาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตกต่ำลงไปทุกวัน ไร้ค่าลงไปทุกวัน

หน้าที่ของเราคือ ต้องทำให้ได้ เมื่อถึงวาระ ถึงเวลา เราจะได้ยืนยันกับเขา เราจะได้มีหลักฐานบอกเขาว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แท้จริงเป็นอย่างนี้

ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ เราถึงจะเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส คือเป็นลูกที่พระพุทธเจ้าท่านรักมาก แต่ถ้าเราทำไม่ได้ สักแต่ว่าอาศัยผ้าเหลือง ให้โยมเขาสงเคราะห์ไปวันหนึ่งวันหนึ่ง สักแต่ว่าอาศัยพระศาสนา เป็นที่อาศัย เป็นที่อยู่ที่กินไปวันหนึ่งวันหนึ่ง

เราตายเมื่อไร เรามีหวังลงอเวจีมหานรก อบายภูมิเปิดรอเราอยู่ ดังนั้น ในแต่ละวันเราต้อง ทบทวน ศีลของเรา ให้บริสุทธิ์ เราต้องรักษาสมาธิของเรา ให้ตั้งมั่นทรงตัว เราต้องมีปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงสภาพร่างกายนี้ และสภาพของโลกนี้

จงถอนความยินดี อยากได้ใคร่มี ในร่างกายนี้ ในโลกนี้เสีย เพื่อจะได้หลุดพ้นไปพระนิพพานให้ได้ เพื่อที่เราจะได้เป็นบุคคล ที่ญาติโยมเขาสงเคราะห์แล้ว ได้อานิสงส์มาก เพื่อที่เราจะได้เผยแผ่ พระธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ขจรขจายออกไป เพื่อที่ญาติโยมทั้งหลายจะได้รู้ว่า นักบวชที่ดีจริงๆ ยังมีอยู่

แม้มันจะดีถึงที่สุดไม่ได้ ก็ให้มันดีในลักษณะของ พระโยคาวจร คือ ผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น แม้จะไม่ได้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ ขึ้นชื่อว่าพระโยคาวจร ก็ยังไม่ขาดทุนมาก

คัดลอกจากหนังสือกรรมฐาน ๔๐
เรื่อง กายคตานุสติ
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


ขอบคุณบทความจาก วัดท่าขนุน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 01:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




2_5612_1267955717.jpg
2_5612_1267955717.jpg [ 191.28 KiB | เปิดดู 4703 ครั้ง ]
พรหมวิหาร4:-



เมตตา-ช่วยเหลือผู้อื่นให้เป็นสุข



กรุณา-ช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์



มุทิตา-ยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุข



อุเบกขา-การวางเฉยเมื่อผู้อื่นมีทุกข์ ไม่ซ้ำเติม



สังคหวัตถุ4



ทาน-คือรู้จักการให้ทานนอกจากจะเป็นการฝึก/พัฒนาตนเองไม่ให้เป็นคนเห็นแก่ตัวแล้วยังเป็นการชวยทำให้คนอื่นมีสุขและคลาทุกข์ได้อีกด้วย

มีข้อสังเกตให้คิดว่า "การให้คือการได้" หรือ "ขาดทุนคือกำไร"

ถ้ามีโยนิโสมนสิการ คือคิดเป็นคิดถูกวิธี เราก็จะมีความสุขจากการให้เสมอ

อนึ่งสังคมส่วนรวมจะอยู่ได้ก็ด้วยการที่คนในสังคมมีจิตใจช่วยเหลือเกื้อกูลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและกัน

เช่นคนมีมากก็แบ่งให้คนมีน้อยคนเก่งมากก็รู้จักสอนรู้จักฝึกให้คนเก่งน้อย

มิใช่ใช้ความเก่งของตนเพื่อเล่ห์เหลี่ยม ตักตวง

เอารัดเอาเปรียบคนอื่นหรือดูถูกดูแคลนคนอื่นที่ด้อยกว่า



ปิยะวาจา-รู้จักการพูดดีมีประโยชน์หมายถึง

การรู้จักใช้วาจาคำพูดที่ไพเราะเสนาะหู จะพูดจะจากับใคร

เมื่อใดและที่ไหนก็เป็นคำพูดที่จริงใจตรงไปตรงมามีความสุภาพอ่อนโยน

ทำให้เกิดมิตรไมตรี ผู้ได้รับฟังก็มีความรู้สึกประทับใจ

พึงพอใจคล้อยตามและสามารถนำไปคิดพิจารณาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้



อัตถจริยา-รู้จักทำตนให้เป็นคนมีคุณประโยชน์ต่อคนอื่นต่อชุมชนสังคมประเทศชาติ

คนที่มีจิตสำนึกในการทำตนให้เป็นประโยชน์

เจาจะรู้จักวางแผนจัดแบ่งเวลาของตนที่จะร่วมมือร่วมใจและเต็มใจในการช่วยเหลือคนอื่น

และเขายังจะชักชวนส่งเสริมให้คนอื่นเกิดการเรียนรู้ที่จะเสียสละช่วยเหลือสังคมส่วนรวม

ตามแนวทางที่ถูกต้องชอบธรรมของจริยธรรมและคุณธรรมอีกด้วย



สมานัตตา-รู้จักวางตนให้เหมาะสม

มีความเสมอต้นเสมอปลายและร่วมทุกข์ร่วมสุขคือการวางตนได้อย่างเหมาะสม

กลมกลืนเป็นอย่างดีทั้งในหมู่ชนกาละเวลา สถานที่ วัฒนธรรมและ



หิริ คือความละอายต่อความชั่ว



โอตัปปะ คือความเกรงกลัวบาป



พุทธโอวาท



ในวันเพ็ญเดือนมาฆะ เอหิภิกขุ อุปสัมปทา 1,250 รูป

มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมายพระพุทธเจ้าได้ทรงให้โอวาทปาฏิโมกข์

มีใจความสำคัญ 3 ข้อคือการ ไม่ทำความชั่ว ให้ทำแต่ความดี

และการทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส



1.การไมทำชั่ว



ทางกาย-ไม่ทำร้ายหรือเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทรมานกักขังสัตวไม่ลักขโมย

ไม่ประพฤติผิดในกาม ไมทำลายวัตถุสิ่งของอันเป็นที่รักของผู้อื่น



ทางวาจา-ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดโกหก



ทางใจ-ไม่คิดอยากได้ของคนอื่น ไม่คิดพยาบาทปองร้าย คือคิดแก้แค้น

ไม่เห็นผิดเป็นชอบ ไม่หลงงมงายกับความคิดที่ผิด 2.ให้ทำความดี



ทางกาย-ให้มีความเมตตากรุณาช่วยเหลือผู้อื่น

ไม่ถือเอาสิ่งของอื่นมาเป็นของตนมความสำรวมกาย



ทางวาจา-ให้พูแต่ความจริง พูดแต่คำที่ช่วยส่งเสริมความสามัคคี

พูดแต่ตำที่อ่อนหวาน ไม่พูดคำหยาบ และพูดแต่คำที่มีสารประโยชน์



ทางใจ-พอใจแต่ของที่ได้มาโดยชอบธรรม แผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งปวงทั้งหลาย

มีความสุข มีความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม3.การทำจิตใจให้แจ่มใส

คือการทำจิตใจให้หมดจากเรื่องเศร้าหมองหมายถึงการทำใจให้ปราศจากสิ่งต่อไปนี้



ความไม่โลภ คือหมั่นฝึกอบราจิตใจตนเองให้สามารถระงับความอยากได้

คนที่ไม่อยากได้ของของผู้อื่น ย่อมจะไม่กระทำความชั่วทั้งปวง



ความไม่โกรธ ไม่ประทาร้ายคือพยายามฝึกจิตใจของตนให้เป็นคนที่มีเมตตา

ปรารถนาที่จะเห็นผู้อื่นทีความสุขเบียดเบียนกัน ผู้ปราศจากโกรธ

ย่อมไม่ทำร้ายผู้อื่น มีด่าคำหยาบ และไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน



ความไม่หลง รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้บาป บุญคุณโทษ

ผู้ปราศจากความหลงย่อมมีชีวิตอยู่อย่างผาสุก

มีความเจริญก้าวหน้าไม่มัวเมาอยู่กับอบายมุข

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาสาธุค่ะท่านธรรมบุตร :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b8: :b8: :b8:
ขออนุโมทนาบุญกับท่านธรรมบุตรค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 17:48
โพสต์: 24

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




5 เทคนิค “ปลุกยักษ์” ในตัวคุณ เรื่องโดย คุณศรัณยู นกแก้ว

“ไม่ ฉันต้องทำไม่ได้แน่ๆ”

ยังไม่ทันที่งานใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น หลายคนก็พร่ำบอกตัวเองแล้วว่า “ฉันทำไม่ได้” “ฉันต้องทำไม่สำเร็จแน่ๆ” ทั้งๆที่ความจริงแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนมี “ยักษ์” หรือศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในตัวเอง ทว่าที่ผ่านมาเรากลับใช้ศักยภาพที่มีอยู่กันไม่ถึง 7 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป และในเมื่อมนุษย์เรามียักษ์ที่หลับใหลอยู่ในจิตใต้สำนึกเช่นนี้ จึงขอชวนคุณมาเรียนรู้เทคนิคในการปลุกยักษ์ เพื่อให้คุณได้ดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในมาใช้ได้อย่างเกินร้อย

1. ส่องกระจกดูตัวเอง

ก่อนที่เราจะปลุกยักษ์ที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาได้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การสำรวจตัวเอง จำไว้ว่าการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นั้น ไม่ได้เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือคนรอบข้าง แต่การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตัวเราเองเป็นสำคัญ เริ่มจากการสำรวจดูตัวเองเสียใหม่ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง

เมื่อรู้จักตัวเองมากขึ้นแล้ว ก็ให้ถามใจตัวเองดูว่า เราต้องการเป็นอย่างไร แล้วลุกขึ้นมาบอกกับตัวเองดังๆ ว่า “ฉันจะเป็นคนใหม่ต่อไปนี้จะไม่เป็นอย่างเดิมอีกแล้ว”

เคล็ดลับ : ยอมรับความจริง

ในขั้นตอนการสำรวจตัวเองนั้น เราต้องยืดอก ลุกขึ้นมายอมรับความจริงว่า เรามีข้อเสียอะไรที่ต้องแก้ไขบ้าง เช่น เราเป็นคนอ่อนแอ ขี้กลัว จับจด ไม่มุ่งมั่น ในชีวิตไม่เคยทำอะไรสำเร็จ บางคนสำรวจตัวเองก็จริง แต่หากไม่ยอมรับว่าตนเองมีข้อด้อยที่ต้องแก้ไข ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนข้อด้อยเหล่านั้นให้กลายมาเป็นข้อดีได้เลย


2. บริหารกายผ่อนคลายใจ

เมื่อพบข้อดีข้อด้อยข้อตัวเองแล้ว ก่อนที่เราจะเริ่มกระบวนการดึงศักยภาพขึ้นมาใช้ เราต้องเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมเสียก่อน เพราะอย่าลืมว่า ร่างกาย และจิตใจย่อมส่งผลถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าวันไหนร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็จะป่วยตามไปด้วย หรือหากวันไหนจิตใจเครียด หงุดหงิด หัวสมองก็มักจะพลอยคิดอะไรไม่ออกเอาเสียดื้อๆ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดจะควบคุมจิตใจและร่างกายให้อยู่ในสภาพที่พร้อมเสมอก็คือ การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการหมั่นฝึกหายใจเข้า-ออกอย่างมีสตินั่นเอง

เคล็ดลับ : เทคนิคเพิ่มพลังยามเช้า

ทันที่ที่ตื่นนอน ให้ใช้นิ้วโป้งแตะนิ้วชี้พร้อมออกแรงกด แล้วหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ นัก 1-4 จากนั้นหายใจออกทางปาก ทำทั้งหมด 4 ครั้งแล้วสลับนิ้วโป้งแตะนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยตามลำดับ ทำแบบนี้ทุกเช้า วันละประมาณ 5 นาที การกดหรือบีบปลายนิ้วจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทให้ตื่นตัว พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ส่วนการหายใจเข้า-ออกลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้ดีขึ้น


3. โปรแกรมตัวเองเสียใหม่

ใครที่เคยเฝ้าบอกตัวเองว่า “ฉันทำไม่ได้” ให้หยุดความคิดเหล่านั้นแล้วใส่โปรแกรมลงไปเสียใหม่ว่า “ฉันทำได้” “ฉันเชื่อมั่น” “ฉันเป็นคนขยัน” โดยอาจจะพูดในใจหรือพูดออกมาดังๆ หน้ากระจกก็ได้ การพูดแต่สิ่งดีๆ นอกจากจะเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่งแล้ว การที่เราคิด พูดหรือทำอะไรบ่อยๆ ยังช่วยโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกให้เป็นไปอย่างที่ใจเราคิดโดยอัตโนมัติอีกด้วย

เคล็ดลับ : สิ่งที่ใส่เข้าไป = สิ่งที่ออกมา

“สิ่งที่ใส่เข้าไป = สิ่งที่ออกมา” คือหลักการทำงานง่ายๆ ของสมองและจิตใต้สำนึก ดังนั้นถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ในแบบใด ก็ให้ใส่สิ่งนั้นเข้าไป เช่น หากคุณอยากจะเป็นคนเก่ง ก็ให้พูดกับตัวเองบ่อยๆ ว่า “ฉันเป็นคนเก่ง” แทนที่จะพูดว่า “ฉันอยากจะเป็นคนเก่ง” เพราะการพูดว่า “ฉันอยาก..” จะทำให้จิตใต้สำนึกคิดว่าเรายังไม่มีสิ่งนั้น


4. อย่ารีรอที่จะลงมือทำ

หลังจากที่เราโปรแกรมตัวเองให้มีจิตใจแข็งแกร่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญมากและขาดไม่ได้เลยก็คือ อย่ากลัวที่จะลงมือทำ เพราะหากเราไม่กล้าลงมือทำ เราก็คงไม่รู้หรอกว่าเรามีความศักยภาพมากแค่ไหน และหากเราเจอปัญหาแล้วหนี เราก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า แท้จริงแล้ว ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ดังนั้นใครที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จะปลุกยักษ์ในตัวเองให้ตื่นขึ้น จึงต้องรีบสลัดความกลัวทิ้งไป และลุกขึ้นมานับ 1...2...3.. แล้วลุยทันทีกับทุกเรื่อง

เคล็ดลับ : “กล้า” ที่จะตื่นเช้า

อีกเทคนิคที่จะฝึกความกล้าได้เป็นอย่างดีก็คือ การตั้งนาฬิกาปลุกตอนหกโมงเช้า และเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกก็ให้ลุกขึ้นจากที่นอนทันที และห้ามบิดขี้เกียจอีกต่อไป วิธีนี้ฟังเผินๆ อาจจะดูง่าย แต่เชื่อไหมว่า การลุกจากเตียงขณะที่คุณกำลังนอนฝันอยู่ใต้ผ้าห่มอันอบอุ่นนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดแล้ว ดังนั้นหากคุณสามารถเอาชนะใจของตัวเองได้ทุกๆ เช้า งานใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องกล้วยๆ ไปอย่างไม่ต้องสงสัย


5. ให้รางวัลกับความสำเร็จ

เทคนิคที่จะขาดไม่ได้ในการกระตุ้นศักยภาพของตนเองก็คือ การฉลองความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ทำงานเสร็จ คิดไอเดียใหม่ออก หรือแม้กระทั่งขายสินค้าได้ 1 ชิ้น ทุกครั้งที่เราทำอะไรสำเร็จ ให้เราให้รางวัลแก่ตนเองด้วยการกำหนดแน่นๆ แล้วออกเสียง “ YES! ” ดังๆ (หรือใครจะแอบกรี๊ดเบาๆ ก็ไม่ว่ากัน) พร้อมย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่า “ฉันทำได้”

การให้กำลังใจตนเองเช่นนี้บ่อยๆ คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยปลุกยักษ์ที่เคยหลับใหลอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณมานานแสนนานให้ตื่นขึ้นมา

เมื่อยักษ์ในตัวคุณตื่นขึ้นแล้ว คุณจะรู้ทันทีเลยว่า การใช้ชีวิตด้วยศักยภาพที่เต็มเปี่ยมนั้นมหัศจรรย์เพียงใด















.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิลปะแห่งการท่องเที่ยว(โดยไม่ต้องเที่ยว) เรื่องโดย คุณฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา

เคยไหมที่หลังจากได้เดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆแล้ว คุณกลับรู้สึกแย่กว่าก่อนออกเดินทาง

หลายครั้งความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นอาจจะมาจากประสบการณ์อันไม่พึงประสงค์ที่คุณได้รับจากการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินดีเลย์ เที่ยวบินถูกยกเลิก กระเป๋าเดินทางหาย ถูกล้วงกระเป๋า โรงแรมไม่หรูหราอย่างที่คาดหวังไว้ สภาพอากาศขมุกขมัว สถานที่ท่องเที่ยวปิด เพราะเกิดการไตรค์ขึ้น ฯลฯ

แต่อีกหลายครั้งคุณก็ยังรู้สึกแย่ แม้ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีตามแผนที่วางไว้ และเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง นอกจากคุณจะไม่ได้รู้สึกดีขึ้นแล้ว คุณกลับพบว่า การท่องเที่ยวได้ดูดพลังไปจากจิตวิญญาณของคุณอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

“ ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนั้น ”

“ นี่การท่องเที่ยวที่หมายถึงวันลาพักร้อนอันทรงคุณค่า และเงินทองที่เราเฝ้าเก็บเล็กผสมน้อยมาตลอดทั้งปี ไม่ใช่ทางออกสำหรับชีวิตจริงๆหรือ ”

“ ถ้าการไปเที่ยวก็ช่วยให้ชีวิตอันแสนเหน็ดเหนื่อยและน่าเบื่อหน่ายของเราดีขึ้นไม่ได้ แล้วจะพึ่งอะไรกันต่อไปดี ”

จะพาคุณไปพบกับคำตอบของคำถามเหล่านั้น ณ บัดนี้

ไม่ต้องไปไหนไกลก็สุขได้

ดร.เคิร์ก ไบรอน โจนส์ ( Kirk Byron Jones ) ผู้เขียนหนังสือ Holy Play:The Joyful Adventure of Unleashing Your Divine Purpose กล่าวว่า “ แม้การเปลี่ยนบรรยากาศจะช่วยให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นได้ก็จริง แต่การเปลี่ยนบรรยากาศก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะการพักผ่อนที่ช่วยสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้แก่ชีวิตอย่างแท้จริงนั้น เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเรา มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งภายนอกที่อยู่รอบตัวเรา”

ซาวีเยร์ เดอ เมสเตรอ ( Xavier de Maistre ) กวีชาวฝรั่งเศลผู้โด่งดังในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 จากการตีพิมพ์บันทึกการเดินทางที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก ภายใต้ชื่อว่า บันทึกการเดินทางไปรอบๆ ห้องนอนของฉัน ( Voyage autour de machambre ) คือบุคคลแรกที่ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นอย่างเป็นทางการว่า ความรู้สึกเป็นสุขจากการท่องเที่ยว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่หากแต่อยู่ที่สภาพจิตใจในขณะนั้น หากเราสามารถเปิดใจให้กว้างและสร้างสภาวะแห่งการท่องเที่ยวขึ้นในจิตใจได้แล้วละก็ เราจะสามารถมีความสุขได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล

เขากล่าวว่า “ คนเรามักจะมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลเป็นเรื่องน่าเบื่อกันจนเป็นนิสัย เราจึงเลิกใส่ใจสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัว และพลาดโอกาสที่จะเห็นความสวยงามเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย ”

เมื่อได้อ่านบันทึกของเขา หลายคนอาจจะมองชายผู้นี้ว่าเป็นมนุษย์แปลกประหลาดหรือถึงขั้นเสียสติ แต่ลึกๆ แล้วคงจะไม่มีใครปฏิเสธว่า การที่เดอ เมสเตรอ สามารถมองสิ่งที่ตนเองคุ้นชินให้กลายเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่น่าตื่นเต้นและสวยงามได้ทุกครั้งนั้น ทำให้เขากลายเป็นมนุษย์ที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก

8 วิธีสร้างสภาวะแห่งการท่องเที่ยวขึ้นในจิตใจ เพื่อให้คุณรู้สึกสุขสนุก และมีชีวิตชีวาได้โดยไม่ต้องไปไหน

พฤติกรรมผิดๆอย่างหนึ่งที่มนุษย์เราทำอยู่โดยไม่รู้ตัวก็คือ เรามักจะปล่อยชีวิตประจำวันซึ่งกินเวลาถึงร้อยละ 90 ของชีวิตไปกับการหลับหูหลับตาใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ โดยมองข้ามความงดงามของสรรพสิ่งที่อยู่รอบกายไป แต่กลับไปคาดหวังว่าหากเราได้เดินทางไปยังดินแดนอันห่างไกล ได้ชื่นชมและสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ แม้เพียงชั่วเวลาไม่ถึงร้อยละ 10 ของชีวิตแล้ว ชีวิตของเราจะมีชีวามากขึ้น โดยหารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้วพลังชีวิตที่เราเฝ้าฝันนั้น ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลไปไขว่คว้าหาจากที่ไหน แต่พบได้ง่ายๆ ที่นี่และตรงนี้ ขอเพียงแค่เรา เปิดใจ มองชีวิตในมุมใหม่และใส่ใจ ให้มากขึ้น

ต่อไปนี้คือ 8 ขั้นตอนมหัศจรรย์ที่จะทำให้คุณรู้สึกดีเหมือนได้บินไปพักผ่อนที่รีสอร์ทหรูบนเกาะส่วนตัวโดยไม่ต้องขยับตัวไปไหน

1. รู้จักปิดสวิตซ์บ้าง อย่าใช้ชีวิตในโหมดมนุษย์ออฟฟิศที่พกงานติดตัวไปด้วยทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ยอมตอกบัตร สลัดเรื่องงานออกจากหัวบ้าง เพราะการพักผ่อนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากคุณไม่ลดการทำกิจกรรมที่ดูดพลังจากตัวคุณ โดยเฉพาะการครุ่นคิดเรื่องเครียดๆเช่นเรื่องงาน

2. ละเลียดแทนที่จะเร่งรีบ โยนออร์แกนไนเซอร์ทิ้งไป หันหน้าปัดนาฬิกาไปทางอื่น คว่ำปฏิทินลง เลิกกังวลถึงสิ่งที่คุณเพิ่งทำเสร็จไป เลิกหมกมุ่น คว่ำปฏิทินลง เลิกกังวลถึงสิ่งที่คุณเพิ่งทำให้หมด แล้วหันมาใส่ใจกับปัจจุบันขณะให้มากขึ้น ธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เรามักจะไม่ค่อยพอใจกับปัจจุบันขณะของตนเอง ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไม่ทุกข์กายก็ทุกข์ใจ เช่น หากเราถูกบังคับให้ยืนนานๆ เราย่อมอยากนั่ง แต่เมื่อได้นั่งสักพัก เราก็เริ่มกระสับกระส่าย อยากจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เด็กๆ มักไม่พอใจกับความเป็นเด็กของตนเอง เร่งวันเร่งคืนอยากโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อเราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่สมใจ มีใครบ้างที่ไม่เคยบ่นว่า “ อยากกลับไปเป็นเด็กเหลือเกิน ” ชาร์ล โบเดอแลร์ ( Charles Baudelaire ) กวีชาวฝรั่งเศสยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 กล่าวไว้ว่า “ ชีวิตก็คือโรงพยาบาล ที่คนไข้แต่ละคนหมกมุ่นอยู่กับการย้ายเตียงนอน คนนี้อยากจะนอนป่วยอยู่หน้าเครื่องทำความร้อน ในขณะที่คนนั้นคิดว่าตนเองจะต้องรู้สึกดีขึ้นแน่ๆ หากได้นอนข้างหน้าต่าง ” ความทุกข์อีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เรามักจะรู้สึกเบื่อกับอยู่เสมอๆ มากน้อยต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ปุถุชนแล้ว ย่อมไม่มีใครที่ไม่เคยประสบพบเจอกับ “ ความเบื่อหน่าย ” ครั้งต่อไปที่ต้องเผชิญหน้ากับความเบื่อหน่าย แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการ “ ฆ่า ” เวลา โดยรีบเร่งทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ทุกอย่างจบลงและผ่านไปอย่างรวดเร็วที่สุด เพียงเพื่อให้ขึ้นชื่อว่าได้ทำสิ่งนั้นๆแล้ว ลองหันมา “ ฆ่า ” ความเบื่อหน่ายด้วยการใส่ใจกับปัจจุบันขณะ และหาวิธีที่จะตักตวงจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ให้ได้มากที่สุด ดังที่จอห์น รัสกิน ( John Ruskin ) ศิลปินอังกฤษผู้มีอิทธิพลอย่างยิ่งในยุควิกตอเรียกล่าวไว้ว่า “ โลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้เห็น ขอเพียงเราเดินช้าลงหน่อย...ความสุขของมนุษย์นั้นไม่ได้อยู่ที่การก้าวไปข้างหน้า หากแต่เป็นการดำรงอยู่ในแต่ละขณะอย่างเต็มตื่นมากกว่า ”

3. ปรนเปรอตัวเอง ถามตัวเองว่า ลึกๆแล้วคุณอยากทำอะไร ต้องการอะไร และอยากเห็นชีวิตของตัวเองเป็นอย่างไร แล้วลงมือทำสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นที่นี่ เดี๋ยวนี้ แต่หากคุณรู้สึกเหนื่อยมาก จนไม่อยากทำอะไรเลย ก็จงตามใจตัวเองด้วยการอยู่เฉยๆ แล้วดื่มด่ำกับความสุขจากการไม่ต้องทำอะไรเลยให้เต็มที่ ก่อนจะออกเดินทางเที่ยวไป ลองถามตัวเองว่า เพราะเหตุใดคุณจึงต้องการที่จะออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ คุณรู้สึก “ ขาด ” อะไรและตั้งใจจะไป “ ค้นหา ” อะไรจากสถานที่เหล่านั้น แล้วพยายามหาหนทางเติมเต็มสิ่งที่คุณขาดเสียตั้งแต่วันนี้ เช่น แทนที่จะออกเดินทางรอนแรม เพื่อมองหาสถานที่ในฝันของคุณ ก็ทำบ้านของคุณให้กลายเป็นสถานที่ในฝันนั้นเสียเลย หลายๆครั้งความพึงพอใจในชีวิตก็มักจะมาจากสิ่งละอันพันละน้อย อย่างผ้าปูเตียงสีขาวแบบเดียวกับที่ใช้ในโรงแรม หรือโซฟาหนังตัวใหญ่ที่ทำให้คุณอยากทิ้งตัวลงไปทุกคนเพื่ออ่านหนังสือดีๆสักเล่มก่อนนอน แวนโก๊ะ กล่าวว่า “ บ้านของผมด้านนอกทาสีเหลืองเฉดเดียวกับเนยสด ตัดกับบานเกล็ดสีเขียวสว่าง อยู่ท่ามกลางแสงแดดในจัตุรัสที่มีสวนสีเขียวๆกับไม้พุ่มที่ให้ดอกสีม่วง ขาวและชมพูส่วนด้านในของบ้านเป็นสีขาวสนิท พื้นปูด้วยอิฐสีแดง และคลุมด้วยท้องฟ้าสีฟ้าจัดด้านบน เมื่ออยู่ในที่แบบนี้ ผมสามารถหายใจทำสมาธิและวาดภาพได้ ” อย่ามองข้ามรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่จะนำความสุขมาสู่ชีวิตประจำวันของคุณ เพราะแม้คุณจะไม่ใช่ศิลปินเอกของโลกเช่นแวนโก๊ะ แต่ทุกคนก็ควรค่าที่จะได้อยู่ท่ามกลางสิ่งที่ตนรักมิใช่หรือ

4. สวมวิญญาณศิลปิน เสพศิลป์เพื่อสร้างสุข เติมสิ่งดีๆ ให้ชีวิตด้วยการเสพศิลปะ หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะสามารถมอบให้แก่ตัวเอง ศิลปะทำให้จิตใจของมนุษย์ละเอียดอ่อนขึ้น จนกระทั่งสามารถหันกลับมา “ ใส่ใจ ” ในรายละเอียดที่เราไม่เคยใส่ใจมาก่อน และเข้าถึงความสวยงามของสรรพสิ่งได้อย่างแท้จริง ศิลปะทำให้ความงดงามของสรรพสิ่งปรากฏขึ้นและประทับใจในความทรงจำของเราอย่างหนักแน่นกว่าปกติ วัตถุธรรมดากลายเป็นสิ่งสูงค่าขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์ ป่าเขาที่รกร้างกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังได้ เพียงเพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมีโอกาสได้ไปอวดโฉมอยู่บนผืนผ้าใบของศิลปินของโลก ตัวโน๊ตไม่กี่ตัวกลายเป็นบทเพลงอันงดงามสลับซับซ้อนที่ได้รับการบรรเลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพราะตัวโน้ตเหล่านั้นได้รับการรังสรรค์ขึ้นใหม่โดยนับประพันธ์ผู้เปี่ยมไปด้วยอัจฉริยภาพ จอห์น รัสกิน กล่าวว่า “ ศิลปะทำให้มนุษย์รู้จัก “ สังเกต ” แทนที่จะ “ มองเพียงผ่านๆ ” เราจะเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดสิ่งหนึ่งจึงงดงาม และเพราะเหตุใดเราจึงหลงรักสิ่งนั้น ก็ต่อเมื่อเรารู้จักมองสิ่งนั้นด้วยสายตาอันละเอียดอ่อน เช่นเดียวกับสายตาของศิลปิน ดังที่แวนโก๊ะกล่าวว่า “ กลางคืนเป็นช่วงเวลาที่มีสีสันยิ่งกว่าตอนกลางวัน ถ้าเราใส่ใจอย่างแท้จริง เราจะเห็นว่าดาวบางดวงเป็นสีเหลืองมะนาวบางดวงเป็นสีชมพูสุกสว่าง บางดวงเป็นสีเขียว บางดวงเป็นสีฟ้าเรืองรองเหมือนดอกฟอร์เกตมีนอต ดังนั้นจึงไม่ต้องอธิบายว่าทำไมการแต้มจุดสีขาวเล็กๆลงไปบนพื้นสีฟ้าจึงไม่เพียงพอ ” จงสวมวิญญาณศิลปินมองหาความงดงามในสิ่งเล็กๆน้อยๆรอบตัว แล้วดึงเอาความสวยงามเหล่านั้นมาเติมเต็มชีวิตในแต่ละวันของคุณ

5. เปิดบันทึกชีวิตหน้าใหม่ ลองเริ่มทำอะไรใหม่ๆ อะไรก็ได้ที่คุณไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการลองชิมอาหารเมนูใหม่ หรือเรื่องใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตที่เหลือของคุณ เช่น การตกลงใจสมัครเรียนปริญญาตรีอีกฉบับในสาขาวิชาที่คุณแอบหลงรัก แต่ไม่กล้าบอกใคร เพราะการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ มักสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ชีวิตได้เสมอ

6. ปลุกใจให้ตื่นจากความซ้ำซากจำเจ แซมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์ ( Samuel Taylor Coleridge ) กวีอังกฤษกล่าวไว้ว่า “ แทนที่เราจะปลุกจิตใจให้ตื่นขึ้นจากความซ้ำซากจำเจ แล้วพุ่งความสนใจไปที่ความงดงามและความแปลกใหม่ของสิ่งที่อยู่รอบกาย อันเป็นสมบัติที่ไม่มีวันหมดไปของมนุษย์ เรากลับถูกความคุ้นเคยและความหมกมุ่นกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องของตนเองครอบงำ จนกระทั่งเรามีตาที่มองไม่เห็น มีหูที่ไม่ได้ยินเสียง และมีจิตใจที่ไม่เคยรู้สึกรู้สาหรือเข้าอกเข้าใจสิ่งต่างๆรอบกายเลย ” ด้วยเหตุนี้ศิลปะอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตก็คือ ความสามารถในการมองเห็นความงดงามและแปลกใหม่ในสิ่งที่ซ้ำซากจำเจ ด้วยการทำตามคำแนะนำง่ายๆ ของมาดอนน่า ( Madonna ) ที่ว่า “Like a virgin, touched for the very first time” คือ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร จงทำราวกับว่ามันคือครั้งแรกสำหรับคุณ แม้ว่าคุณจะเคยทำสิ่งนั้นมาแล้วบ่อยแค่ไหนก็ตาม คุณสมบัติที่จำเป็นที่สุด สำหรับการสร้างสภาวะแห่งการเดินทางขึ้นในจิตใจก็คือ ความสามารถในการเปิดใจให้พร้อมมองสิ่งเดิมๆ ในแง่มุมใหม่ๆ อย่างปราศจากอคติ โดยไม่ตัดสินหรือตีตราในใจไว้ก่อนว่า อะไรคือสิ่งแปลกใหม่ที่น่าสนใจ และอะไรคือความธรรมดาที่น่าเบื่อหน่าย แต่ค่อยๆสัมผัสโลกอย่างตื่นตาตื่นใจ และศึกษาทุกซอกทุกมุมของสิ่งต่างๆ ด้วยความใส่อกใส่ใจ ราวกับว่านี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณได้เห็นมัน แล้วคุณจะพบว่า ในสิ่งที่ธรรมดานั้นมีความวิเศษที่คาดไม่ถึง รอให้คุณค้นพบอยู่เสมอ

7. กลายร่างเป็นเจ้าหนูจำไม ด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัวเหมือนเด็กๆ แล้วใส่ใจกับการหาคำตอบให้แก่คำถามเหล่านั้น เพราะสิ่งที่จะเป็นแรงขับชั้นดีซึ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจและช่วยให้บุคคลธรรมดากลายเป็นคนที่รุ่มรวยขึ้นในเชิงประสบการณ์ชีวิตก็คือ ความสงสัยใคร่รู้ ซึ่งเปรียบเหมือนน้ำมันเชื้อเพลิงที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจของเหล่านักปราชญ์ นักคิดนักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกทั้งหลายได้เสมอมา ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด

8. กลับเป็นเด็กอีกครั้ง ถามตัวเองว่า นานเท่าไรแล้วที่คุณไม่ได้ปล่อยใจให้กลับไปคิดอย่างเด็กๆอีกครั้ง นานเท่าไรแล้วที่คุณลืมก้มลงมองน้ำหรือแหงนมองฟ้า แล้วตั้งคำถามตลกๆ กับตัวเองหรือคนใกล้ชิด เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะ หน้าจอคอมพิวเตอร์ สิ่งที่คุณรับผิดชอบ ความคาดหวังของผู้อื่น และปัญหาที่นอนเนื่องอยู่ในหัว ถ้าคำตอบของคุณคือ “ นานมากแล้ว ” ขอแนะนำให้คุณลองทิ้งตัวตน เลิกสนใจสายตาคนรอบข้าง แล้วทำตัวให้เหมือนเด็กๆ ดูบ้าง เช่น หยุดยืนพิจารณารายละเอียดของสิ่งที่เราเดินผ่านทุกวันอย่างสนอกสนใจ แม้ว่าจะถูกเพื่อนร่วมทางที่เดินผ่านไปมามองอย่างประหลาดใจ นั่งลงสเก็ตซ์ภาพต้นไม้หน้าออฟฟิศอย่างตั้งอกตั้งใจ เพียงเพราะว่าเราเห็นว่ามันช่างงดงามเหลือเกิน ค่อยๆ ละเลียดเดินชม และทำความรู้จักสินค้าทุกชิ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน อย่างตื่นตาตื่นใจ และชี้ชวนคนรักให้แหงนหน้าขึ้นมองก้อนเมฆที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ แล้วก้มลงมองท่วงท่าของเต่าทองที่ค่อยๆ คลี่ปีกแข็งของมันออกด้วยความพิศวง ไม่ต่างจากที่คุณเคยทำสมัยเรียนอยู่ชั้นประถม แล้วคุณจะพบว่า ความสุขนั้นเกิดขึ้นได้ที่นี่และตรงนี้ ด้วยวิธีที่ง่ายกว่าที่คุณคิด ก่อนจะออกเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง ลองถามตัวเองดูสิว่า กี่ครั้งแล้วที่คุณเฝ้าเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันพักร้อน เพียงแค่จะรุดหน้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หรือให้ได้ชื่อว่า “ เคยไป ” “ เคยทำ ” “ เคยกิน ” “ เคยลอง ” แล้วได้กลับมาเพียงแต่รูปถ่ายที่จะไม่มีวันย้อนไปดูซ้ำอีก หรือของที่ระลึกไร้ค่าที่จะกลายเป็นขยะในเวลาเพียงไม่กี่ปีต่อมา จะดีกว่าไหม หากการออกเดินทางครั้งต่อไปของคุณจะเป็นการเดินทางเข้าสู่ภายใน เพื่อเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรๆ และสร้างความสุขให้เกิดขึ้นที่ใจของคุณเองอย่างแท้จริง


.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่คิด ไม่หวัง ไม่อยาก ไม่ทุกข์..

เป็นสุขแบบ อานันท์ ปันยารชุน เรื่อง อุษาวดี สินธุเสน

แม้จะห่างหายไปจากเวทีการเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรีมาร่วม 17 ปี แต่ชื่อของ อานันท์ ปันยารชุน ก็ยังไม่เคยจางหายไปจากความนึกคิดของคนไทย ยามเมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤติวุ่นวาย ชื่อของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้ ก็มักจะมีผู้หยิบยกขึ้นมาให้เป็น “อัศวินม้าขาว” เสมอ

ฉายา “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” ทำให้วาดภาพไว้ว่า การสัมภาษณ์อดีตนายกฯมาดโก้ผู้นี้คงจะเต็มไปด้วย “พิธีรีตอง” ที่ทำให้ต้องตัวแข็งเกร็ง แต่เมื่อได้พูดคุยกันแล้วจึงพบว่า คิดผิดถนัด แท้จริงแล้ว คุณอานันท์ ปันยารชุนเป็นผู้ใหญ่ใจดี อารมณ์ดี ที่มีความเรียบง่ายและ “ติดดิน” เกินกว่าใครจะคาดคิด

การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นทั้งนักการเมือง นักการทูต และนายกรัฐมนตรีที่ครองใจคนไทย (ผู้แสนจะเอาใจยาก) ได้ถึงสองสมัย แถมยังมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุขชนิดที่ใครๆ อิจฉาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มาค้นหากันดีกว่าว่าท่านทำได้อย่างไร



การมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร มีความเชื่อมั่นเป็นตัวเองสูง คิดว่ามีที่มาจากอะไรคะ

ตอบยากนะ ทำไมผมถึงมีวิธีหรือวิธีปฏิบัติแบบนี้ ผมไม่รู้คงเป็นมาตั้งแต่เด็ก ผมเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น อยู่ในครอบครัวที่พูดความจริง มีความโอบอ้อมอารีและนึกถึงผู้อื่นเสมอ

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามจะต้องไม่มีอัตตาและต้องไม่หลงตัวเอง เราควรคิดถึงคนอื่นให้มาก และคิดถึงตัวเองให้น้อยที่สุด แต่ไม่ใช่ฝืน ต้องเป็นไปโดยธรรมชาติ ทุกวันนี้ตื่นขึ้นมาตอนเช้าผมไม่ได้คิดถึงตัวเอง ก็เท่ากับเราตัดอัตตาออกไป แต่ทำโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ปล่อยวางได้ ที่สำคัญคือ เราต้องคิดแต่จะให้ ให้ด้วยความจริงใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยเมตตา โดยไม่คิดจะได้อะไรตอบแทน คนเราถ้าคิดถึงตัวเอง ก็คิดแต่จะรับ หรือถ้าให้แล้วนึกถึงการตอบแทนก็จะไม่มีความสุข



คุณพ่อคุณแม่มีวิธีอบรมเลี้ยงดูอย่างไรคะ

พ่อผมเป็นครู เป็นผู้บังคับการโรงเรียนวชิราวุธฯ เป็นปลัดทูลฉลองกระทรวงธรรมการ เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและเป็นนายกสมาคมฯเป็นคนแรก พ่อผมเป็นคนชอบคุยกับลูกตามนิสัยครู แต่เป็นครูค่อนข้างสมัยใหม่ คือ จะสอนด้วยการคุยมากกว่าไม่ได้สอนให้จดจำหรือสั่งให้ทำ การแลกเปลี่ยนความเห็น การสนทนากันด้วยเรื่องต่างๆ ทั่วไปทำให้ลูกๆมีความรู้กว้างขวาง

พ่อจะเปิดเพลงโอเปร่าให้ลูกฟัง พาไปดูงิ้ว พำไปเดินสำเพ็ง พาไปดูโขน พาไปดูสวนทุเรียน พาไปดูโรงพิมพ์ ซึ่งคนสำคัญในวงการหนังสือพิมพ์จะอยู่ที่นั่น อย่างสด กูรมะโรหิต , ยาขอบ ฯลฯ ทำให้ผมได้เห็นว่านักหนังสือพิมพ์เขาอยู่กันอย่างไร พาไปดูสถานที่ทางโบราณคดีต่างๆและพาไปดูนักเรียนที่โรงเรียนสอนคนตาบอดที่คุณพ่อเป็นผู้ก่อตั้ง เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่การสั่งสอนหรืออบรมเรื่องคุณธรรมจริยธรรม แต่เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่ปฏิบัติตัวอย่างไร

ส่วนคุณแม่ผมจะเป็นผู้กำหนดระเบียบในครอบครัว เรื่องความสะอาด ความตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนที่ด้อยโอกาสและคนที่ยากจนกว่าเรา การเห็นใจเพื่อนมนุษย์การโอบอ้อมอารีช่วยเหลือ

ที่บ้านเราจะไม่มีการสอนเป็นคำพูดว่า อย่าขโมย อย่าพูดปด แต่จะไม่มีการทำตัวอย่างในเรื่องที่ไม่ดีให้เห็น ครอบครัวเราไม่มีการพูดปดกัน ไม่มีการดุว่าแรงๆให้ลูกเจ็บปวด เสียใจ น้อยใจ ตั้งแต่เด็กๆ มาก็ไม่เห็นความรุนแรงเลย เคยเห็นคุณพ่อคุณแม่โต้เถียงกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยใช้อารมณ์



เมื่อต้องเผชิญปัญหาหนักๆ ท่านทำอย่างไร

ผมเป็นคนโชคดีอยู่อย่าง คือ มองว่ามีปัญหาก็พยายามแก้ไขปัญหาไป แต่เรายอมรับว่าปัญหาบางอย่างไม่ได้แก้ได้ง่ายๆ มันต้องใช้เวลา แต่บางอย่างที่แก้ได้ เราต้องมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวพอที่จะแก้ แต่ถ้าแก้ไม่ได้ทันที่ก็ต้องมีความอดทน ค่อยๆคิดหาทางแก้



นับว่าท่านเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและถึงพร้อมในหลายๆด้าน แถมคนส่วนใหญ่ก็ชื่นชมมาก โอกาสที่จะหลงตัวเองน่าจะเป็นไปได้สูง

ผมไม่ได้คิดถึงพวกนี้เลย อย่างเวลาคนถามผมว่า เป็นนายกฯสองครั้งมีความรู้สึกอย่างไร มีความภาคภูมิใจชีวิตช่วงไหนมาที่สุด ผมจำไม่ได้ ผมทำงานเสร็จก็เสร็จ ผมพ้นหน้าที่ปลัดกระทรวงต่างประเทศก็จบ ไม่ยึดติด ทำดีที่สุดเมื่ออยู่ตรงนั้น ตราบใดที่ตัวเองพอใจในสิ่งที่ตัวเองทำ เท่านั้นพอ ผมไม่สนใจว่าคนอื่นจะพอใจหรือไม่พอใจ ถ้าสิ่งที่เราทำไป หนึ่ง อยู่บนข้อเท็จจริง สองทำไปโดยไม่มีอคติ สาม ทำตามความสามารถที่ตัวเองมี คนอื่นจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าคิดดีก็เป็นบุญของเรา คิดไม่ดีก็เป็นกรรมของเขา

อย่าไปคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น ให้คนอื่นเขาคิดดีกว่าเราคิดเอง เพราะถ้าเราคิด เราก็จะหลงตัวเอง ถ้าหลงตัวเองก็เป็นทุกข์



ตอนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ท่านรู้สึกอย่างไร

อารมณ์คนมีหลายอย่าง ความน้อยใจมีแน่ ความเสียใจมีแน่ แต่ผมไม่มีความท้อแท้ สิ่งที่ทำให้เราฟันฝ่าอุปสรรคได้ คือเราเชื่อในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และเอาความบริสุทธิ์เป็นที่พึ่ง เราต้องแยกความรู้สึกเสียใจ น้อยใจ ความกระทบกระเทือนใจออกมา ตัวผมเองไม่เป็นอะไร แต่กระทบกระเทือนใจภรรยาและลูก ซึ่งความรู้สึกพวกนี้เราต้องแยกออกมาให้ได้ ถ้าเรามั่นใจในความบริสุทธิ์ของเรา และมั่นใจว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในโลก ก็จะไม่มีความท้อแท้ในการสู้คดีทำให้เราสามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้ ในกรณีของผม เห็นชัดๆ ว่าถูกกลั่นแกล้ง

หลังจาก 6 ตุลาคม 2519 ผมเป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศอยู่ ตอนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางด้านต่างประเทศมาก ช่วงนั้นอาจจะมีบางคนไม่ชอบผมอยู่ จะด้วยเรื่องอะไรก็แล้วแต่ พอเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ไม่มีรัฐบาล และยังตั้งรัฐบาลให้ใหม่ไม่ได้ ปลัดกระทรวงก็ได้รับมอบหมายให้รักษาการรัฐมนตรี ตอนนั้นคณะปฏิรูปการปกครองเชิญประชุมปลัดทั่วไป บอกให้ปลัดทุกกระทรวงรักษาการกระทรวง ผมก็รักษาการตั้งแต่วันที่ 6-12 ตุลาคม 2519 ประมาณ 15 วัน แล้วก็มาปลดผม โดยกล่าวหาว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์

แปลกไหมที่มารู้ปุบปับว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์ ที่จริงเรื่องแบบนี้ต้องรู้มานานแล้ว ทำไมให้เรารักษาการอยู่ตั้ง 15 วัน ถ้าผมเป็นจริงคงทำความเสียหายให้ประเทศชาติมากมายแล้ว ผมใช้ตรรกะอันนี้ก็รู้ว่าเขากลั่นแกล้งเรา อย่างที่สอง คนพวกนี้ไม่รู้จักนายอานันท์ เพราะความจริงแค่บอกว่าต้องการเปลี่ยนตัวปลัด ผมก็จะลาออกทันที เพราะผมเตรียมจะลาออกอยู่แล้ว พอเรามาองออกว่าถูกกลั่นแกล้ง ก็เลยไม่เคียดแค้น แต่ขำมากกว่า



เวลานั้นคนที่ปลดเขาให้เหตุผลกับประชาชนอย่างไร

เขาบอกว่าผมนิยมชมชอบลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะตอนผมเป็นผู้แทนประเทศไทยในนิวยอร์ก ได้เปิดความสัมพันธ์กับฮังการี ยูโกสลาเวีย และประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ในยุโรปตะวันออก พอบอกเหตุผลอย่างนี้ทำให้ยิ่งเห็นว่าพยายามใส่ความกันชัดๆ เพราะเราจะเปิดได้อย่างไรถ้ารัฐบาลไม่สั่ง เพราะฉะนั้น เราก็รู้ว่าทั้งหมดนี่ก็เพื่อให้เราลาออกไปเท่านั้น เป็นการรังแกกันโดยใช้อำนาจบาตรใหญ่แทนที่จะบอกกันดีๆ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องตลก แต่ขณะเดียวกันความทุกข์ที่เกิดกับภรรยาผม กับลูกผมมันเกิดแล้ว แม้แต่ตัวผมเองก็หมดศรัทธาในระบบราชการ หลังจากที่มีการสอบสวน พวกผู้ใหญ่ที่เคยใช้ผมทำงาน อย่างท่านรัฐมนตรีถนัด คอมันตร์ ท่านรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัน ท่านรัฐมนตรีพิชัย รัตตกุล ก็ให้การช่วยผมทั้งนั้น

หลังจากนั้น 3 เดือน ผมก็ได้รับการตัดสินว่าไม่มีความผิด แต่ตอนนั้นผมตัดสินใจแล้วว่าผมอยู่ในราชการต่อไปไม่ได้ ซึ่งคุณพ่อก็เคยบอกว่า พวกเราพูดตรงเกินไป อยู่ราชการไม่ก้าวหน้า พ่อผมเองก็ลาออกจากปลัดทูลฉลองตอนอายุ 43-44 ปีเพราะมีความคับใจ ตอนผมลาออกตอนนั้นอายุ 46-47 ที่จริงผมตั้งใจไว้นานแล้ว ว่าจะออกจากราชการตอนอายุ 55-56 เพราะผมก็เบื่อที่จะเป็นนักการทูต



ผลกระทบกับครอบครัวล่ะคะ

ภรรยาผมล้มป่วย ผมต้องไปเฝ้าในโรงพยาบาลตลอดสามเดือน เพราะพอผมถูกปลดจากตำแหน่งปลัดกระทรวงก็เลยว่าง ก็ดีไป เท่ากับไปสงบอารมณ์ ส่วนลูกสาวสองคนตอนนั้นอยู่เมืองนอก เราไม่สามารถจะเล่าอะไรได้เต็มที่ เขาเองก็ยังเด็ก คนโตสัก 18 คนเล็ก 14 ลูกก็ตกใจ เพราะหนังสือพิมพ์ฝรั่งเขาลงข่าว ไปที่ไหนคนไทยในอเมริกาเขาพูดกัน ลูกก็ไม่เข้าใจแน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ



ท่านโกรธไหม

ไม่ค่อยได้คิดอะไร เพราะมั่นใจว่าเราไม่ได้ผิดอย่างที่เขากล่าวหา เรามั่นใจว่าพิสูจน์ได้



ถ้าเทียบกับวิกฤติครั้งที่ถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ล่ะคะครั้งไหนรุนแรงกว่ากัน

ที่จริงถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์มันก็รุนแรง ส่วนเหตุการณ์ที่สองนี้ก็รุนแรงเหมือนกัน ผมถูกฟ้องตอนที่พ้นตำแหน่งนายกฯแล้ว ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (กรณีไม่นำมติ ก.ต.ที่แต่งตั้งนายประวิทย์ ขัมภรัตน์ เป็นอธิบดีศาลอุทธรณ์ภาค 1 ขึ้นเสนอโปรดเกล้าฯจนนายประวิทย์เกษียณอายุราชการ ทำให้ได้รับความเสียหาย) ผลกระทบกับครอบครัวไม่มากเท่าครั้งแรก แต่เสียเวลาประมาณ 3-4 ปีกับการขึ้นโรงขึ้นศาล เป็นเรื่องที่ทำความยากลำบากให้ชีวิตส่วนตัว แต่ตราบใดที่เรายังเชื่อมั่นวาไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา ก็ไม่ค่อยสะทกสะท้านสักเท่าไร



โดนข้อหาหนักๆ ทั้งสองครั้งก็ยังไม่โกรธแค้นใครหรือคะ

ผมไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่พยาบาท เชื่อว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ และผมเป็นคนไม่คิดมาก สบายๆ ไม่ว่าจะเจอวิกฤติแค่ไหน ผมก็นอนหลับได้สบายดี ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยกินยานอนหลับเลย ถ้าใครโกรธแค้นผมแล้วผมไม่โกรธตอบ ผมก็ไม่ทุกข์ใจ



เวลามีความทุกข์ ท่านทำอย่างไร

ผมไม่ค่อยมีความทุกข์นะ เป็นคนไม่เครียด มีอะไรก็พูด ผมไม่ชอบหาเรื่องกับคน เป็นคนที่รับได้ ใครจะว่าผมอย่างไร ใครมาว่าผม ถ้ามีฐานข้อมูลที่จริง ผมก็จะคิดว่าที่เขาว่าสมเหตุสมผล หากใครที่ว่าเพราะมีอคติกับเรา ไม่ชอบเรา ผมก็ปล่อยไป อย่างที่บอกสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ คำนี้มันก็บอกว่าทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราทำใจให้สะอาด ไม่หวังพึ่งคนอื่น ไม่เกลียดชังคนอื่น ไม่อิจฉาริษยา ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่โกงกิน ไม่ทำร้ายคนอื่นๆ ไม่อคติกับคนที่กล่าวร้ายกับเรา เราก็มีสวรรค์อยู่ในอก คือมีแต่ความสุข แต่ถ้าเรามัวแต่มีอคติ ไม่ชอบคนนั้น เกลียดคนนี้อาฆาตคนนั้น นรกก็อยู่ในใจ มันอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น



เวลามีปัญหาท่านปรึกษาใครหรือไม่

ผมไม่ได้ปรึกษาใคร เพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ทั้งนี้ความเชื่อมั่นในตัวเองก็ใช่จะทำให้บริสุทธิ์ผุดผ่องร้อยเปอร์เซ็นต์ ความผิดพลาดในชีวิตมี จุดอ่อนในชีวิตก็มี แต่ไม่เห็นเป็นไร ถ้าเราทำอะไรผิด เราก็ยอมรับผิด แล้วก็ขอโทษคนที่เราทำผิดพลาดไป เช่น ถ้าผมไปว่าลูกน้อง อาจด้วยความเข้าใจผิด ผมก็จะขอโทษ ไม่เห็นเสียหาย ขอให้เรารู้จักรับความจริง ตอนหนุ่มๆผมบกพร่องหลายอย่าง ผมเป็นคนอารมณ์ร้อน ดุคนเก่ง ไปถามข้าราชการกระทรวงต่างประเทศได้เลย ผมเป็นคนใจร้อน ทำงานไว พอไม่ทันใจจะเปรี้ยงเลย แต่พอแก่ตัวนิสัยก็เปลี่ยนไปเอง หลังจากที่ได้พบกับผู้ใหญ่บางคน ได้อ่านหนังสือมากขึ้น เห็นโลกมากขึ้น ความเร่าร้อน ความรุนแรงทางวาจามันก็หายไป ความแก่ก็เข้ามาช่วยด้วย



มีการใช้ธรรมะช่วยในการดำเนินชีวิตบ้างไหมคะ

หลักธรรมก็ช่วย แต่ผมไม่ได้ศึกษาในเรื่องนี้ลึกซึ้งมากเท่าไร ได้แต่อ่านหนังสือ ไม่เคยบวช เพราะผมมีปัญหานั่งพับเพียบไม่ได้ตั้งแต่เด็ก แต่จะอ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขียนโดย ท่านพุทธทาส ท่านป.อ.ปยุตโต ท่านพระไพศาล วิสาโล หรือ ท่านมหาวุฒิชัย วชิรเมธี

ส่วนวัด ผมไม่ค่อยได้ไป เพราะอย่างที่บอกว่าผมนั่งแบบคนอื่นเขาไม่ได้ เข้าไปกราบไหว้พระเป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งจริงๆแล้วพระสมัยใหม่ที่น่านับถือมากมาย แต่ผมเสียดายที่พอมีข่าวไม่ดี บางสื่อก็กระพือกันค่อนข้างรุนแรงเกินไป จนไม่สามารถแบ่งแยกได้ จริงๆ เราต้องนับถือธรรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มากกว่าตัวบุคคล เราค่อนข้างจะลืมเรื่องนี้ แต่นี่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทย ประเทศอื่น ศาสนาอื่น สถานะของคณะสงฆ์ในปัจจุบันก็ค่อนข้างจะตกต่ำเช่นเดียวกัน



ทุกวันนี้ท่านใช้ชีวิตอย่างไร

ผมใช้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น หาความสุขส่วนตัวมากขึ้น นอนดึกดูพรีเมียร์ลีก ดูเทนนิส ใช้ชีวิตสบายๆปกติผมเป็นคนชอบตื่นสาย มีบางครั้งเท่านั้นที่ต้องตื่นเช้า ชีวิตผมขณะนี้ไม่อยากให้ใครมากำหนด แต่บางทีก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องการมีการกำหนดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการไปร่วมงานสวดศพ งานต่างงาน งานประชุม ปกติถ้าอยู่บ้าน ผมจะนอนตื่นสายๆ และอ่านหนังสือ อาจจะแวะมาที่ทำงานสักเที่ยง ไม่นัดพบใครตอนเช้า ยกเว้นมีประชุม ผมออกจาสหยูเนี่ยนฯมาสี่ปีกว่าแล้ว แต่เขาก็ยังให้ผมใช้สำนักงานอยู่ เพราะสะดวก อยู่ใกล้บ้าน ขณะนี้ผมยังเป็นนายกกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์อยู่ ตอนเช้าผมไม่ค่อยยุ่ง แต่ตอนบ่ายอาจมีคนมาหา มีประชุมกรรมการ เวลานี้ใครเชิญไปพูดเป็นทางการผมไม่รับแล้ว ไม่ไปงานทางการ ยกเว้นงานพระราชพิธี และไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ด้วย ออกโทรทัศน์ก็น้อยลงมาก

ส่วนใหญ่ผมมักใช้เวลากับเพื่อนๆ พบปะพูดคุยกัน ผมมีเพื่อนหลายกลุ่ม เพื่อนข้าราชการ เพื่อนนักธุรกิจ เพื่อนนักเรียนเก่าคริสเตียน เพื่อนนักเรียนอังกฤษ เพื่อนเฮฮา เพื่อนกินเหล้า เพื่อนร้องคาราโอเกะ เพื่อนเอ็นจีโอ เพื่อนคุยการเมือง เพื่อนผมมีเยอะแยะผมเลยไม่เหงา



ทราบบ้างไหมคะว่า มีสาวน้อยสาวใหญ่ปลื้มเยอะแยะมากมาย เรียกว่าเป็นอดีตนายกฯขวัญใจสาวๆ ก็ว่าได้

(หัวเราะ) มีคนมาเล่า แต่ยังไม่เคยเจอด้วยตัวเอง เวลาไปงานรับปริญญา ผมเคยถามนิสิตนักศึกษาวาเขารู้จักผมได้อย่างไร บางคนบอกว่ารู้จักตอนอายุ 8-9 ขวบ พอถามว่าทำไมถึงชอบผม กลุ่มหนึ่งบอกมองแล้วเป็นคนใจดี มีเมตตากรุณา อีกกลุ่มบอกตอนออกทีวีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ยิ้มหวานดี กลุ่มที่สามบอกดูแล้วเชื่อถือได้ เห็นหน้าแล้วไว้ใจได้ เลยไปดูหน้าตัวเองในกระจกว่าเป็นอย่างไร(หัวเราะ)ผมคิดว่าที่เขาชอบ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความตรงไปตรงมา คงทำอะไรที่จับใจเขา เข้าถึงใจเขา มันมีหลายปัจจัย แต่ผมว่ามีศรัทธาดีที่สุด เพราะมันจะไม่เสื่อมคลายง่ายๆ ความรักมันเสื่อมคลายได้ แต่ความศรัทธาจะยั่งยืน แต่ว่าคนไม่ชอบผมก็มี หมั่นไส้ก็มีนะ



เคล็ดลับความเป็นหนุ่ม สมาร์ท มาดเท่ อยู่เสมอล่ะคะ

ไม่รู้ ไม่รู้ ตอนนี้ 77 แล้วก็ใช้ชีวิตสบายๆ ข่าวก็ดูน้อย ข่าวการเมือง ข่าวประจำวันผมไม่ติดตาม แต่จะอ่านคอลัมน์ดีๆ ที่แสดงความคิดเห็น บางครั้งเห็นด้วย บางครั้งไม่เห็นด้วย แต่มันก็เพิ่มพูนความรู้ให้เรา แต่ข่าวประจักวันไม่อ่านเลย คนนั้นพูดอย่างนั้น คนนี้พูดอย่างนี้ มันถึงอายุที่เลือกทำใสสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น อะไรที่หนักรกหัวก็ทิ้งจากสมอง เราจะแบกโลกคนเดียวไม่ได้ ใช่ไหม ผมเป็นคนง่ายๆ สบายๆ มาแต่ไหนแต่ไร ไปไหนไปคนเดียว ไม่มีคนติดตามไม่ชอบให้มีรถตำรวจนำ ไม่ชอบให้คนมายุ่งกับผม ไม่ชอบให้คนมาคอยพะเน้าพะนอ ติดจะรำคาญด้วยซ้ำ



ถ้าเป็นคุณหญิง ท่านชอบให้เอาใจไหมล่ะคะ

เราสองคนต่างก็ต้องเอาใจกันและกัน ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัว สุดท้ายคนเราพออายุมากแล้ว สิ่งสำคัญในชีวิตมีอยู่ 2 อย่าง คือชีวิตครอบครัวกับสุขภาพเท่านั้นแหละ อย่างอื่น ความร่ำรวย ตำแหน่งหน้าที่ที่ทำมา ตายไปคนเขาก็ลืมแล้ว ไม่มีความหมาย



ท่านได้ชื่อว่าเป็นคนที่รักครอบครัว ไม่ทราบมีหลักการในการครองชีวิตคู่ให้ยั่งยืนอย่างไร

ตอนหนุ่มสาวความรักมักมาก่อน แต่พออยู่กันมา 30-40 ปี ความรักอย่างเดียวไม่พอหรอก ต้องมีความเป็นเพื่อน มีความชอบด้วย ความรักถึงจะยั่งยืน เมื่อมีความเป็นเพื่อน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่เอาเปรียบกัน นับถือและเคารพซึ่งกันและกัน นี่คือรากฐาน และไม่ใช่ว่าพยายามจะไปเปลี่ยนนิสัยเขา หากเมียพยายามจะเปลี่ยนนิสัยผัว ผัวพยายามเปลี่ยนนิสัยเมียก็ตีกันตาย แต่ทั้งสองคนต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองให้เข้ามาใกล้กันมากที่สุด ไม่ใช่เหมือนกันนะ เพราะเหมือนกันชีวิตก็น่าเบื่อ บางทีเราก็เปลี่ยนนิสัยของเราเอง โดยไม่ต้องมีคนอื่นมายุ่ง แต่เราต้องตั้งใจที่จะปรับให้ใกล้กันมากขึ้น ไม่ใช่นิสัยห่างกันสุดโต่ง



อยู่กันมานานขนาดนี้มีทะเลาะกันบ้างไหมคะ แล้วท่านทำอย่างไร

มีสิ แต่คนหนึ่งใจร้อน คนหนึ่งต้องใจเย็น ต้องอะลุ้มอล่วยกัน ถ้าเขาโกรธเราก็ไปง้อ ไปคุย ปล่อยเวลาสักชั่วโมงสองชั่วโมงคอยไปคุย ภรรยาผมเขาเป็นคนโกรธใครนานๆ ไม่เป็นหรอก

ท่านเป็นคนโรแมนติดไหมคะ

ผมเป็นคนไม่โรแมนติกเลย ผมรำคาญนะ อย่างวันวาเลนไทน์ก็ทำกันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมอยู่เมืองนอก เรียนหนังสืออยู่ 7 ปี ทำงานอยู่เมืองนอก 12-13 ปี ผมไม่เคยเห็นสังคมไหนเขาให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์เท่าเมืองไทยเลย



แล้วท่านให้ของขวัญคุณหญิงในโอกาสไหนล่ะคะ

ผมจะให้ในวันเกิด แต่วันเกิดของพวกผมไม่มีการเลี้ยงใหญ่โต จะเลี้ยงกันเฉพาะครอบครัวเท่านั้น วันเกิดภรรยาที่ผ่านมา เราก็กินข้าวกับลูกหลานเท่านั้น ใครจะมาเลี้ยงให้ก็ไม่รับ ไม่ต้องเลี้ยงใหญ่โต



ทุกวันนี้ดูแลสุขภาพอย่างไรคะ

เมื่อก่อนเคยออกกำลังมาก เคยเล่นสควอช เล่นเทนนิสมา 55 ปี แต่พออายุ 72 กว่าๆ มีปัญหาตรงหัวเข่า หมอบอกว่าเล่นได้แต่อย่าวิ่งมาก ผมเลยเลิก จะให้ออกกำลงกายแบบไปเดิน ไปว่ายน้ำอะไรผมก็ไม่ชอบ กอล์ฟก็ไม่เคยเล่น ก็เลยไม่ได้เล่นอะไรเลย อาจเป็นข้อบกพร่อง

โชคดีผมมาจากครอบครัวที่อายุยืน เรียกว่าพันธุกรรมดี คือคุณพ่อเสียตอนอายุ 84 คุณแม่เสียอายุ 97 พี่ชายเสียเมื่อสามปีที่แล้วตอนอายุ 93 พี่สาวคนโต 95 ก็ยังอยู่ ผมเสียพี่สาวไปสองคนตอน 88 กับ 87 ผมเป็นลูกคนสุดท้อง อายุ 77 พี่น้อง 12 คน ตอนนี้เหลือ 9 คน พันธุกรรมดีทำให้ไปได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็ต้องระวังตัวมากขึ้น อย่าให้หกล้ม เดินไปไหนต้องระวัง แต่อย่างไรสุดท้ายก็ต้องแก่ตายแน่นอน



กลัวความตายหรือความเหงาบ้างไหมคะ

ความเหงาไม่เคยกลัว ความตายก็ไม่คิดถึง ผมเป็นคนไม่คิดมาก คนที่คิดมากคือคนที่หาความทุกข์มาใส่ตัวเอง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อย่าคิดฟุ้งซ่าน ถึงเวลาตายจริงๆ ก็ขอให้ตายสบายๆ เท่านั้น ถ้าอย่างโน้น ถ้าอย่างนี้ ผมไม่คิด มีชีวิตวันต่อวัน จะอายุ 105 ปี เพื่อนจะอยู่หรือเปล่า ไม่ต้องคิด

ส่วนเรื่องความเหงา ผมไม่เคยมีความเหงาในชีวิต ผมมีอะไรทำเสมอ อ่านหนังสือ ฟังเพลง นั่งคุย หรือนั่งเฉยๆ ก็ไม่ใช่นั่งเหงา แต่เพราะบางคราวไม่อยากคุยกับใคร เป็นการพักสมองไปในตัว ผมชอบไปอยู่ต่างจังหวัด ผมอยู่เงียบๆ ได้เป็นชั่วโมง ดูนก ดูไม้ ดูแดด ไม่เคยเหงา อยู่กับตัวเองก็ได้ อยู่กับคนก็ได้



ความสำเร็จที่ผ่านมาเป็นเพราะมีการเตรียมวางแผนชีวิตไว้หรือไม่

ไม่เคยวางแผน เพราะแม้แต่ตอนเรียน วิชาที่เรียนผมก็ไม่ชอบ ตอนอยู่เมืองไทยเรียนดีมาก แต่ตอนไปเมืองนอกโตแล้ว ภาษาเลยไม่ดีพอ การเรียนแม้ไม่ตก แต่ก็ไม่ดีเด่นอะไร พออยู่เมืองนอกนาน ทำให้เห็นว่าถ้าได้ทำงานกระทรวงต่างประเทศก็ดีนะ จะได้อยู่ต่างประเทศก็คิดง่ายๆ แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นทูต แต่แล้วชะตาชีวิตก็ผลักดันให้เป็นทูต และเป็นเร็วด้วย ผลักดันให้เป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศ ผลักดันให้เป็นประธานกรรมการบริษัทสหยูเนี่ยนฯ ประธานสภาพอุตสาหกรรมฯ ผลักดันให้เป็นนายกฯ มันเป็นไปเองทั้งหมด ไม่เคยวางแผน

ตอนที่ได้รับคำสั่งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัคราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ผมก็ไม่อยากไป ให้เป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศผมก็ไม่ต้องการ ผมเป็นคนโชคดี อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ทำงานอะไรก็สุข เพราะผมเป็นคนไม่ทะเยอทะยาน ไม่มีความอยาก ไม่อยากเป็นไม่อยากได้ ไม่อยากมี แต่แปลกตรงที่บางอย่างได้มาแบบอุบัติเหตุ คงเป็นชะตาชีวิต ผมถูกกล่าวหาเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง ถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่บ้าง ชีวิตได้พบเจอทั้งเรื่องที่ดีมาก ๆ และไม่ดีมากๆ แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี การที่เราไม่คิดมาก ไม่มีแผน ไม่ทะเยอทะยานมากไป ทำให้ไม่ผิดหวังในชีวิต



ท่านเชื่อเรื่องโชคชะตาไหมคะ

ค่อนข้างจะเชื่อ ในชีวิตผม สิ่งเดียวที่ไม่เป็นไปเอง แต่ผมนึกอยากทำจริงๆ คืออยากแต่งงานกับภรรยา ที่พูดนี่ไม่ใช่เพื่อเอาใจภรรยา แต่เป็นความจริง ชีวิตผม ผมอยากมีลูกที่ดี มีหลานที่ดี มีลูกเขยที่ดี พวกนี้อยากมีเป็นเรื่องส่วนตัวทั้งนั้นและก็มีหมด แต่การงาน ตำแหน่ง ลาภยศเหล่านั้น ผมไม่เคยอยากได้ แต่มาเอง

ฉะนั้นเวลามีเหตุการณ์หรือสิ่งไม่ดีมาคั่นจังหวะ เราก็รับได้ เพราะชีวิตถ้าไม่มีอุปสรรคก็ไม่สมบูรณ์ ทุกครั้งที่มีอุปสรรค มันทำให้จิตใจเราแข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหวง่าย คือเจองานอะไรเราก็สู้ได้หมดสูงสุดก็เคยแล้ว ต่ำสุดก็เคยแล้ว ชอบก็มีแล้ว ไม่ชอบก็มีแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความจริงของชีวิต เป็นสัจธรรม



เวลากล่าวสุนทรพจน์ ทำอย่างไรจึงมักจับใจผู้ฟัง มีเทคนิคอย่างไรและเคยตื่นเต้นบ้างไหมคะ

ส่วนใหญ่ครึ่งหนึ่งผมพูดปากเปล่านะ นอกจากเวลาที่เป็นงานทางการจะพิมพ์เตรียมไป แต่พูดจากการอ่านไม่สนุกหรอก ถ้าพูดปากเปล่าพูดไปคิดไปจะสนุกกว่า

ผมอยู่สหประชาชาติปี 1964 สองปีแรกผมเป็นเลขาฯเอก มีหน้าที่ต้องไปพูดตามโรงเรียน ตามมหาวิทยาลัย สโมสรต่างๆ อยู่แล้วเริ่มจากพูดให้เด็กๆฟัง ผิดถูกไม่เป็นไร พอพูดไปเรื่อยๆ ก็มีความมั่นใจ ความประหม่า ความตื่นเต้นก็เลยไม่มี เท่ากับฝึกไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเหมือนเป็นอัตโนมัติ เปิดสวิตซ์ก็พูดได้

เทคนิคการพูดสปีชที่ดี ต้องเข้าถึงใจคนให้ได้ การจะพูดให้เข้าถึงใจคนได้ต้องเริ่มจากการที่คนฟังรู้สึกว่า คนพูดพูดแล้วน่าเชื่อถือ พูดด้วยความจริงใจ พูดอย่างมีหลักการ ไม่ใช่สร้างภาพหรือหลอกลวงคนฟังเขาฉลาด เขาสัมผัสได้ เวลาผมไปพูดที่ไหน คนฟังจะเป็นส่วนหนึ่งของผม เราถือว่าเขามีส่วนร่วมกับกิจกรรมของเรา เรามองหน้าเขา มองตาเขา และต้องพูดภาษาที่สื่อง่าย เข้าใจง่าย ไม่ควรใช้ภาษาเทคนิคมากหรือใช้ภาษาต่างประเทศบ่อย พอเขามีความเชื่อถือ ความศรัทธาก็มา พอมีความศรัทธา แม้ว่าวันนั้นเราอาจพูดไม่ดี แต่ความศรัทธาก็ช่วยได้



คิดว่าจะเกษียณตัวเองเมื่อไรคะ

ผมคงไม่เลิกทำงานโดยเด็ดขาด เพราะถ้าเลิกมันเฉานะ ทุกวันนี้ตื่นมายังมีอะไรทำ ถ้าเลิกเลย ตื่นมาคงต้องนั่งคิดว่า วันนี้จะทำอะไรดี แต่นี่มันมีอะไรให้ทำเรื่อย ผมทำงานตอนสายๆ ถึงบ่าย แล้วก็ไม่ได้หนักมากอะไร มีบางงานที่ต้องทำจริงจัง แต่ก็ใช้เวลาไม่เท่าไร ส่วนใหญ่ผมสนุกสนานกับเพื่อนฝูง กับลูกหลาน ผมเป็นคนสนุกง่ายด้วยหัวเราะเสียงดัง



คิดจะเขียนหนังสือเล่าเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ เพื่อประชาชนจะได้ทราบข้อเท็จจริงบ้างไหมคะ

ก็อยากเขียนหนังสือเหมือนกันนะ แต่มันเขียนไม่ได้ ผมทำอะไรก็ต้องทำจริง เพราะถ้าคิดจะเขียนเรื่องนี้ แต่ติดตรงนั้นทำให้เขียนไม่ได้ มันก็ไม่ได้ดังใจ หรืออาจทำให้คนเข้าใจผิด เรื่องนี้มันเกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมประเพณีของไทยเราด้วย เราไปเขียนพาดพิงถึงเขา คนที่เราเขียนถึงเขาคงไม่ชอบ ลูกหลานเขาก็ไม่ชอบ บางสิ่งบางอย่างคนไทยจะบอกว่า เขาตายไปแล้ว มาพูดทำไม ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดี ถึงได้มีคำพูดว่า “ความจริงไม่ตาย แต่คนพูดตาย” นี่เป็นข้อจำกัดของเรา ประวัติศาสตร์ไทยถึงไม่สมบูรณ์

แต่ถ้าตราบใดที่คนไทยไม่ขวนขวายหาความจริง รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ เชื่อข่าวลือมากกว่า ก็คงอยู่กันอย่างนี้ แต่ผมยังไม่ละทิ้งความคิดเสียทีเดียว จะว่าไปก็มีเรื่องเล่ามากนะ



สุดท้ายนี้ถ้าหากจะถามว่า ความสุขของท่านคืออะไร

คือการอยู่ครอบครัว ได้เห็นลูกหลานเจริญเติบโตไปในทางที่เหมาะสม ภรรยาไม่ต้องพูดถึง แต่งงานกันมาตั้ง 53-54 ปี ชินกันไปแล้ว อยู่กันแบบคนที่รู้จักกันมานาน ภรรยาผมเป็นคนดี ช่วยผมมากตอนที่เป็นทูต การได้เห็นลูกมีการศึกษา ได้งานดี แต่งงานกับคนดี มีลูกน่ารัก มีหลานน่ารัก ทุกคนมีสุขภาพดี นี่แหละคือความสุขของผม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสุขใกล้ๆแค่ปลายจมูก เรื่องโดย คุณเสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ

ในทางพระพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เพราะสิ่งนี้สามารถบ่งบอกถึงสภาวะอารมณ์ของเราว่าเป็นเช่นไร เช่น ถ้าหายใจสั้นแสดงว่าเราอาจจะกำลังโกรธจัด เศร้า เสียใจ ตกใจ ส่วนคนที่ไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองกำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกก็ถือได้ว่า “ ขาดสติ ”

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่ง ว่าหนึ่งศิษย์ถามอาจารย์ว่า

“ อาจารย์ครับ ผมก็ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว ทำไมผมรู้สึกว่าไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติเลย ผมรู้สึกท้อแท้ครับอาจารย์ ”

ฝ่ายอาจารย์ได้ยินอย่างนั้นก็อธิบายว่า

“ ก่อนที่ครูจะสอนเธอต่อไป ในความคิดของเธอ เธอคิดว่าการปฏิบัติธรรมนี้เปรียบเหมือนการกระทำดังต่อไปนี้

“ เสมือนการเรียนในโรงเรียน เสมือนการรักษาโรคทางใจ เสมือนการสั่งสมบุญ เสมือนการได้พักใต้ร่มเงาใหญ่หรือศาลาริมทาง หรือเสมือนการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้

“ ถ้าเธอเปรียบการปฏิบัติธรรมเสมือนการเรียนในโรงเรียน เธอจะต้องพยายามให้ตัวเองได้เกรดสูงๆ ไม่น้อยหน้าใคร เธอจะมีแต่ความโลภ นี่คือโทษของการคิดแบบนี้

“ ถ้าเธอมองว่าเสมือนการรักษาโรคทางใจ เธอจะเฝ้าเพียรถามหมอว่า เมื่อไรโรคจะหายเสียที ฉันเสียเงิน เสียเวลามามากแล้วนะเธอจะมีแต่ความโกรธ นี่คือโทษของการคิดแบบนี้

“ ถ้าเธอมองว่าเสมือนการสั่งสมบุญ เธอจะมีเวลาให้การปฏิบัติน้อยเพราะมุ่งแต่จะสะสมบุญเพื่อเป็นเสบียงไปยังภพหน้า ซึ่งนั่นมิใช่เป้าหมายที่เธอหวัง นี่คือโทษของการคิดแบบนี้

“ ถ้าเธอมองว่าเสมือนการได้หยุดพักใต้ร่มเงาไม้ใหญ่หรือศาลาริมทาง เธอจะพอใจที่ได้พักใจคลายทุกข์ชั่วคราว หรือเธออาจจะภูมิใจในความสุขอันเนื่องจากสมาธิ จนทำให้ไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติ เพราะทำให้การเดินทางยาวนานยิ่งขึ้น นี่คือโทษการคิดแบบนี้

“ ถ้าเธอมองว่าเสมือนการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ เธอจะจ้องแต่เป้าหมายด้วยจิตใจที่รุ่มร้อน อยากให้ถึงเส้นชัยเร็วๆ เธอจะไม่ใช่ชีวิตในปัจจุบัน เธอจะขาดสติ นี่คือโทษของการคิดแบบนี้ ”

“ แล้วผมควรคิดอย่างไรดีครับ ” ลูกศิษย์ใจร้อนถาม

“ เธอควรคิดว่า ธรรมะนี้เปรียบเสมือนลมหายใจของเธอ เธอจะขาดเขาไม่ได้ และเขาจะอยู่กับเธอจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าเธอจะสนใจเขาหรือไม่ เขาก็จะอยู่กับเธอ เป็นเพื่อนเธอ เพียงแต่เธอใส่ใจเขา เรียนรู้ที่จะมีสติจะระลึกถึงเขาเสมอๆ ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่มุ่งหวังอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่อาลัยถึงอดีตที่ล่วงลับไปแล้ว

“ ถ้าจะสรุปสั้นๆ ให้จำง่ายๆ ก็คือ ธรรมะเสมือนลมหายใจของเรา การปฏิบัติธรรมก็คือการหายใจอยู่ในปัจจุบัน เธออาจคิดว่าสิ่งนี้ยากเกินไปที่จะทำให้ อยากถามเธอว่า เธอเสียลมหายใจไปเท่าไรแล้วในชาตินี้ และเสียมาแล้วกี่ชาติ ทำไมเธอไม่สำนึกคุณค่าของเขาเรียนรู้และมีสติกับเขา เพื่อที่เขาจะได้เป็นเพื่อนที่ดีกับเธอไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ”

“ ครับอาจารย์ ” ลูกศิษย์จ้องมองใบหน้าของอาจารย์ ดวงตาฉายแววอิ่มเอิบด้วยกำลังใจ ก่อนเดินจากไปด้วยกิริยานอบน้อม

จากเรื่องเล่านี้อาจกล่าวได้ว่า การปฏิบัติธรรมไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลตัวเราเลยสักนิด แต่เป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดเลยทีเดียวเพียงหายใจเข้าและหายใจออกอย่างมีสติ ก็จะทำให้เรามีจิตใจที่สงบและพบความสุขที่แท้จริงได้



หายใจช้าๆ เพื่อสุขภาพ

นอกจากการหายใจเข้า-ออกช้าๆ อย่างมีสติจะเป็นวิถีทางหนึ่งในการปฏิบัติธรรมแล้ว การหายใจแบบนี้ยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน

เมื่อปีพ.ศ. 2545 คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ( FDA ) อนุญาตให้จำหน่าย “ เครื่องฝึกหายใจช้าๆ ( RESPeRATE ) ” เพื่อช่วยการฝึกการหายใจ จากปกติที่คนเรามักจะหายใจนาทีละประมาณ 10-15 ครั้ง เครื่องฝึกหายใจช้าๆ จะช่วยให้เราหายใจช้าลงจนเหลือเพียงนาทีละ 10 ครั้งหรือต่ำกว่านั้น ซึ่งจะช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวชั่วคราวและมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้ความเครียดและความดันโลหิตลดลงอีกด้วย

ท่านติช นัท ฮันห์ พระชาวเวียดนามแห่ง หมู่บ้านพลัมประเทศฝรั่งเศล แนะวิธีฝึกหายใจเข้า-ออกอย่างมีสติเพื่อคลายเครียดไว้ง่ายๆดังนี้

• ให้ฝึกรับรู้ลมหายใจเข้า-ออกในทุกๆอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน

• ใช้คำบริการหรือคำท่องจำง่ายๆ เช่น “ หายใจเข้า-ฉันรู้ว่า-หายใจเข้า ” และ “ หายใจออก-ฉันรู้ว่า-หายใจออก ” เพื่อเป็นเครื่องดึงสติให้กลับมาอยู่กับลมหายใจ

• ทำอะไรๆ ให้ช้างลง โดยค่อยๆเพิ่มเวลาในการทำกิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวันขึ้นทีละนิด เช่น ลองฝึกกินอาหารช้าๆ เคี้ยวช้าๆ ดังที่หนังสือปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ แนะนำว่า ให้ลองฝึกกินส้มช้าๆ โดยเริ่มจากการค่อยๆ ล้างส้ม ปอกส้ม แยกกลีบส้ม และกินส้มทีละกลีบช้าๆอย่างมีสติ แล้วค่อยๆขยายเวลา และนำไปใช้กับกิจกรรมอื่นๆให้มากขึ้นเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งสามารถทำกิจกวัตรประจำวันทุกอย่างได้อย่างมีสติ

• ขณะที่กำลังทำอะไรช้าๆ ให้พยายามเรียนรู้ธรรมชาติของลมหายใจ ด้วยการสังเกตลมหายใจเข้า-ออกอยู่เสมอ ว่าในแต่ละขณะลมหายใจเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เวลาเครียดหายใจอย่างไร เวลาผ่อนคลายหายใจอย่างไร

ในชีวิตประจำวัน เรามักจะมองออกไปนอกตัวด้วยการเฝ้าสังเกตสิ่งนั้น ติเตียนสิ่งนี้ ไม่พอใจคนรอบข้าง ไม่พอใจสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่งนับวันจะยิ่งทำให้เรากลายเป็นคนที่มีความสุขได้ยากขึ้นทุกที การดึงใจของเรากลับมาอยู่กับลมหายใจจะนำมาซึ่งความชื่นบานในชีวิตเพราะช่วยให้เราสามารถพัฒนาจิตวิญญาณได้อย่างคนที่รู้ตัวทั่วพร้อม ที่สำคัญ เมื่อใจของเรารู้เท่าทันปัจจุบันไม่มัวเมา ไม่ประมาท จิตก็จะเบิกบานผ่องใสอยู่เสมอ

ก่อนที่ความหดหู่เศร้าหมองจะทำให้คุณทุกข์ไปมากกว่านี้ ลองตั้งสติแล้วสูดลมหายใจเข้า-ออกลึกๆดูสักรอบ แล้วจะรู้ว่าความสุขนั้นอยู่ใกล้ๆแค่ปลายจมูกของคุณนี่เอง

หายใจเรียกไอเดีย

หากวันไหนรู้สึกว่าสมองตีบตันหรือไม่มีสมาธิในการทำงาน ลองนั่งหลังตรงบนเก้าอี้ แล้วเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นด้านบน พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นค่อยๆลดแขนลงแล้วหายใจออกยาวๆ นับเป็น 1 ครั้ง การทำเช่นนี้เพียง 3 ครั้ง นอกจากช่วยให้สมองปลอดโปร่งแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้เลือดลมเดินดีและเพิ่มความสดชื่นระหว่างวันได้ด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 02:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เขาได้ยกน้ำขึ้นมาหนึ่งแก้ว แล้วถามผู้ฟังว่า

'คุณคิดว่าแก้วนี้น่ะหนักมั๊ย???' มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณถือมันนานแค่ไหน
ก็ถ้าคุณถือแค่ซักนาทีนึง .. มันก็ยัง OK นะ
ถ้าคุณถือจนชั่วโมงนึง .. นั่นก็จะทำให้ปวดแขนได้
แต่ถ้าถือไว้ซักวันนึงล่ะ .. ที่นี้คุณจะต้องเรียกรถพยาบาลแน่ๆ
มันก็น้ำหนักเท่าเดิมแหละนะ ..
แต่ว่ายิ่งคุณถือไว้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งหนักเท่านั้น
ถ้าคุณแบกภาระนั้นไว้ตลอดเวลา
ไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะไม่สามารถที่จะแบกรับมันได้อีก
แล้วภาระนั้นก็จะเพิ่มขึ้น..
สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ วางแก้วลง ผ่อนคลายซักครู่
แล้วค่อยถือมันอีกครั้ง..
เราต้องปล่อยวางภาระต่างๆ บ้าง แล้วเราจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น
เพื่อที่จะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้..
เมื่อกลับบ้านแล้ว จงวางภาระต่างๆ ที่ๆ ทำงานไว้
อย่าแบกภาระนั้นกลับไปด้วย เพราะยังไงก็ตาม..
คุณก็สามารถจะแบกมันได้อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ..
พัก และ ผ่อนคลายเสีย...

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 02:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข


บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต ( ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ
บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี
ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคต และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต
บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก


บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ
ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ ( Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง ( Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้

บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ
โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิต คือ




1.
การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน



2.
ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน



3.
สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา



4.
ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 13 เม.ย. 2010, 02:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 03:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตที่ต้องพึ่งพาความรักของสตีวี วันเดอร์ เรื่องโดย Violet

รูปภาพ

สตีวี วันเดอร์ ( Stevie Wonder ) ไม่เคยเห็นพลุในวันปีใหม่ ไม่เคยเห็นว่าฝนที่ตกกลางเดือนเมษายนอันแสนจะร้อนระอุนั้นชุ่มฉ่ำขนาดไหน และไม่เคยเห็นต้นไม้ที่เริ่มผลิใบอ่อนตอนต้นฤดูใบไม้ผลิมาก่อน เพราะเขาสูญเสียการมองเห็นตั้งแต่แรกเกิด แต่เขากลับรู้ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถนำความสดใส ความประหลาดใจ และความสุขมาสู่หัวใจของคนเราได้ ไม่ต่างจากการได้ฟังใครสักคนบอกรัก เหมือนที่เขาบรรยายไว้ในเพลง I Just Called To Say I Love You

“ไม่มีวันปีใหม่ให้เฉลิมฉลอง

ไม่มีช็อกโกแลตในกล่องรูปหัวใจจะมอบให้

ฤดูใบไม้ผลิยังมาไม่ถึง

ไม่มีเพลงใดๆ จะร้องให้ฟัง

วันนี้เป็นแค่วันธรรมดาๆวันหนึ่งๆจริง

(วันธรรมดาๆที่) ผมอยากบอกเพียงผมรักคุณ”

สตีวี วันเดอร์ เป็นทั้งนักร้อง นักดนตรี และนักประพันธ์เพลงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมายาวนานกวา 4 ทศวรรษ เขาเป็นนักร้องชายที่ได้รับรางวัลแกรมมี่มากที่สุดในโลกคือ 22 รางวัล รวมทั้งรางวัลนักดนตรีผู้ประสบความสำเร็จตลอดชีวิต ได้รับการจารึกชื่อทั้งใน Hall of Fame และ Hall of R & B และเขาคือแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของนักดนตรี นักฟังเพลง และผู้พิการทางสายตาทั่วโลก

ที่จริงแล้วแรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญมาก จนกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิต เพราะการที่คนคนหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นได้นั้น ส่วนใหญ่เขาไม่ได้เปลี่ยนเพราะได้รับการช่วยเหลือในรูปของเงินทอง สิ่งของ หรืออื่นๆ แต่มักจะเปลี่ยนเพราะได้รับพลังใจจากคนบางคน เช่น ที่แฟนเพลงนับล้านคนได้รับจากสตีวีวันเดอร์

ทว่าก่อนที่เขาจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ สตีวี วันเดอร์ เคยเป็นผู้รับมาก่อน หากปราศจากความรักและความเมตตาของแม่ครอบครัว และคนรอบข้าง เด็กชายตาบอดในวันนั้นคงไม่สามารถมีชีวิตที่สวยงามเหมือนอย่างทุกวันนี้

สตีวี วันเดอร์ เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1950 ที่เมืองแซกินอว์ ( Sahinaw ) รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา เขามีชื่อเดิมว่าสตีฟแลนด์ ฮาร์ดอะเวย์ จัดกินส์ ( Stevlank Hardaway Judkins ) เป็นลูกคนที่สามในบรรดาพี่น้องหกคน

สตีวีเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนด แหล่งข่าวบางกระแสระบุว่า การที่เขาคลอดก่อนกำหนดทำให้ดวงตาพัฒนาไม่สมบูรณ์ ส่วนบางกระแสก็ระบุว่า ความพิการของเขามาจากความผิดพลาดของแพทย์ที่นำทารกน้อยเข้าตู้อบซึ่งเปิดออกซิเจนไว้มากเกินไป จนทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการมองเห็น

ขณะที่สตีวีอายุเพียง 4 ขวบ แม่ของเขาได้หย่าขาดจากพ่อและหอบหิ้วลูกทั้งหกคนมาเลี้ยงดูตามลำพังที่เมือดิทรอยต์ หลังจากนั้นเธอได้เปลี่ยนนามสกุลของลูกชายจากจัดกินส์เป็น มอร์ริส ( Morris )

อย่างไรก็ดี แม้สตีวีจะมีดวงตาที่มองไม่เห็น แต่เขากลับมีความมั่นใจสูงมากมาตั้งแต่เด็ก เพราะแม่มักสอนเขาเสมอว่า อย่าอายในความพิการของตัวเอง ในยามที่ถูกเพื่อนๆ ล้อเลียน เขามักรู้สึกถึงความท้าทาย มากกว่ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เช่น “ฉันจะปีนต้นไม้ได้ไหม ฉันจะทำเหมือนเขาได้ไหม” นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าแม่จะเป็นห่วงเขาขนาดไหน แม่ก็ยอมปล่อยให้สตีวี ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เช่น การเดินบนท้องถนน

“แม่สอนผมให้เดินบนถนนได้เอง ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะจำความได้ แม่ไม่ได้มัดผมให้อยู่นิ่งๆ หรือเอาแต่ตะโกนว่า “อย่าก้าวไปตรงนั้น” หรือ “ระวัง เดี๋ยวจะล้ม” แต่แม่จะบอกให้ผมระมัดระวัง ซึ่งผมก็ยังคงหกล้มอยู่ดี โชคดีที่ท่านเร็วพอที่จะจับผมไว้ได้ แม่รู้ว่าผมต้องเรียนรู้และยิ่งแม่ปล่อยให้ผมทำอะไรต่อมิอะไรเองได้มากเท่าไร แม่ก็สามารถปล่อยวางได้มากเท่านั้น”

หลังจากย้ายมาอยู่ที่ดิทรอยต์ได้ไม่นาน สตีวีก็มีโอกาสได้เล่นเปียโนของเพื่อนบ้าน และทั้งๆที่ เปียโนหลังนั้นไม่ได้จูนเสียงไว้ แต่ทันทีที่เด็กชายกดแป้นคีย์ เสียงเปียโนกลับทำให้เขามีความสุขอย่างยิ่ง ราวกับได้พาเขากลับบ้านที่จากมานาน เด็กชายจึงมีเสียงดนตรีเป็นเพื่อนตั้งแต่บัดนั้น และยังไม่ทันถึงวันเกิดครบปีที่สิบ เขาก็สอนตัวเองให้เล่นเปียโน ฮาร์โมนิก้า และกลองจนเก่งเข้าขั้น

ในที่สุดชื่อเสียงของเด็กน้อยนักดนตรีอัจฉริยะ ก็ดังไปถึงหูผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทแผ่นเสียงโมทาวน์ ( Motown Records ) เขาหว่านล้อมให้สตีวีเซ็นสัญญากับบริษั่ทตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ทีมงานได้ตั้งชื่อในการแสดงให้เขาว่า ลิตเติ้ล สตีวี วันเดอร์ ( Little Stevie Wonder )

และสตีวีก็เป็นนักร้องที่มหัศจรรย์สมชื่อจริงๆ เมื่อเขาอายุ 13 ปี เพลง Fingertips ของเขาไต่ขึ้นสู่อันดับหนึ่งของชาร์ต U.S. Pop and R&B ขณะอายุเพียง 14 ปี เขาแต่งเพลงที่เรียกร้องให้คนหันมาสนใจเรื่องของสังคม เช่น With a Child's Heart และค่อยๆ ผันตัวเองมทำงานเบื้องหลังมากขึ้น โดยเฉพาะในการแต่งเพลง

ในการเขียนเพลงใหม่ๆ สตีวี วันเดอร์ จะเริ่มต้นด้วยการเขียนเมโลดี้ โดยดึงเสียงดนตรีที่อยู่ในหัวออกมาเป็นตัวโน๊ต หลังจากนั้นทบทวนด้วยการเล่นเพลงเดิมซ้ำๆ เพื่อหาว่าเขาจะลดทอนหรือเพิ่มเติมเสียงดนตรีใดๆ เข้าไปได้อีกหรือไม่ เขาต้องการให้ดนตรีสื่อสารความรู้สึกให้ตรงใจมากที่สุด และนั่นทำให้เพลงของเขามีความแปลกใหม่อยู่เสมอ สตีวีบอกว่า เคล็ดลับในการสร้างสรรค์เพลงไม่ต่างจากการใช้ชีวิตนั่นคือ คุณต้องการที่จะหันกลับไปทบทวนชีวิตของตัวเองบ่อยๆ เพื่อที่จะได้ไม่ทำผิดในเรื่องเดิมซ้ำๆ และเพื่อทำในสิ่งที่ดีขึ้น

สตีวีมองย้อนกลับไปแล้วรู้ว่าชีวิตที่ผ่านมา ชีวิตเขาได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นมาไม่น้อย เขาเคยให้คำจำกัดความสั้นๆ ว่า ความพิการก่อให้เกิดการพึ่งพา และนั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเสียเกียรติแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ความพิการกลับทำให้เขารู้สึกถึงการให้และการรับว่ามีความสำคัญเท่าๆกัน ดังนั้นในเวลาที่เขาเป็นฝ่ายได้รับความช่วยเหลือ เขาจะรู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจ และเมื่อมีโอกาส เขาก็จะเป็นผู้ให้ที่ให้ด้วยความเต็มใจที่สุด

นอกจากการแต่งเพลงเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกของผู้คนแล้ว สตีวี วันเดอร์ ยังแต่งเพลงและเล่นคอนเสริต์เพื่อช่วยเหลือองค์กรการกุศลหลายๆ แห่งมาโดยตลอด เมื่อต้นเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา สหประชาชาติได้แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ส่งสารแห่งสันติภาพ ( U.N. Messenger of Peace ) โดยสตีวีจะทำหน้าที่เรียกร้องให้คนทั่วโลก หันมาสนใจคนพิการในสังคม เช่น กระตุ้นให้ผู้ผลิตสินค้าผลิตสิ่งที่ผู้พิการสามารถให้งานได้ด้วย หรือทำการวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะทำให้คนพิการสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนปกติมากขึ้น

เหนือสิ่งอื่นใด งานที่สำคัญที่สุดของเขาในฐานะผู้ส่งสารก็คือการทำให้คนปกติร้อยละ 90 หันมาใส่ใจคนพิการอีกร้อยละ 10 ให้ได้มากที่สุด

เพราะสตีวีรู้ดีว่า หากปราศจากความรักและความใส่ใจเสียแล้ว สังคมไหนๆก็จะกลายเป็นสังคมที่อ่อนแอ แม้จะเป็นสังคมที่ไม่มีคนพิการเลยก็ตาม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 03:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร