ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

กินอย่างไร...จึงจะมีสุขภาพดี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=28963
หน้า 2 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  มัทนา ณ หิมะวัน [ 20 ก.พ. 2010, 03:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินอย่างไร...จึงจะมีสุขภาพดี

ท่านกบฯ เขียน:
นอนดึก..จังครับ :b12: :b12:


ทวดทักทาย เขียน:
นอกจากทานอาหารที่มีประโยชน์
และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว
ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ...และถูกเวลาด้วย
ตีสามแล้วยังไม่นอนหรือค่ะยายฮูก...ย่าทวด
เป็นห่วงนะ....นอนได้แล้วค้าาา...... :b13:


:b43: :b43: :b43:

tongue กะลังจานอนแล้วค่า
คือว่า อาทิตย์ที่ผ่านมายุ่งๆไม่ค่อยได้โพสต์น่ะค่ะ
พอมีเวลาบ้างคราวนี้ก็เลยเมามันส์
พรุ่งนี้วันเสาร์...ตื่นสายได้ บ่เป็นหยัง :b13:

ขอบคุณทั้งสองท่านที่ห่วงใยนะคะ :b8:

แล้วท่านกบฯล่ะคะ...อยู่ดึกเหมือนกันนะคะ
เอ...หรือตื่นเช้ามืดขนาดนี้
:b10:

ส่วนทวดทักทาย
ยายมัทรู้ว่าตอนนี้ที่โน่นเป็นกลางวัน :b12:

ราตรีสวัสดิ์นะคะ...แล้วพบกันใหม่ค่า... smiley

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 20 ก.พ. 2010, 03:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินอย่างไร...จึงจะมีสุขภาพดี

ดึก..แบบไม่ตั้งใจ.. :b12: :b12:

ราตรีสวัสดิ์..เหมียนกัน..ครับ
Onion Onion

เจ้าของ:  มัทนา ณ หิมะวัน [ 21 ก.พ. 2010, 01:49 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินอย่างไร...จึงจะมีสุขภาพดี

:b43: ๕. เจ็บป่วยเพราะอาหาร ต้องแก้ด้วยการกินอาหาร

เมื่อเราทราบว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยเหตุหนึ่งมาจากการกินอาหาร
เราต้องแก้ที่การกินอาหารเรียกว่าเอาเกลือจิ้มเกลือ
ในขั้นแรกจะขอแนะนำการล้างพิษเอาสิ่งที่เป็นพิษออกจากร่างกาย (ด้วยการกิน)
ตามวิธีแบบธรรมชาติบำบัดซึ่งเป็นคำแนะนำของท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ดังนี้...

:b47: สูตรที่ ๑ : ล้างไขมันในหลอดเลือด

ใช้ : โยเกิร์ต + นมสด (ประเภทพร่องไขมันก็ได้) + น้ำผึ้ง + มะนาว

นำมาผสมกันในอัตราส่วนตามความชอบ ผสมแล้วดื่มตอนเช้า
ในโยเกิร์ตมีแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส
เมื่อเอามาผสมกับนมสด น้ำผึ้ง และมะนาว
เพื่อเพิ่มตัวแบคทีเรียให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น แล้วจะเข้าไปทำลายไขมันในลำไส้

:b47: สูตรที่ ๒ ล้างพิษด้วยเห็ด ๓ อย่าง

ใช้ : เห็ดสามชนิดที่รับประทานได้ นำมาต้มเอาน้ำมาดื่ม
Onion_L (ห้ามนำเอาไปผัด) หรือทำอาหารประเภทแกงจืด แกงส้ม ตุ๋นไข่


ในกระบวนการล้างพิษมันมีสูตรหลายตัวที่ช่วยในการล้างพิษหลายสูตร
แต่ว่าบังเอิญอาจารย์สุทธิวัสส์ไปได้สูตรนี้มาจากผลพวงของงานวิจัย

คือ สมัยที่ท่านหุ้นกันกับเพื่อนเปิดโรงงานผลิตยา
และจะผลิตเห็ดหลินจือที่ดีที่สุดในโลก
เพราะเห็ดหลินจือที่ขายในท้องตลาดมันไม่ดี
เพราะกระบวนการผลิตยังไม่ได้ตัวของหลินจือที่ได้มาตรฐาน
ก็พยายามที่จะค้นหาวิธีให้ได้เห็ดหลินจือที่ได้คุณภาพดี
มีการวิจัยว่าลองใช้เห็ดหลินจือหลายตัว หลายสายพันธุ์

จนกระทั่งทดลองกับหลินจือ
ลองเอาเห็ดธรรมดาไปทดลองร่วมด้วย
คราวนี้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น
เราพบว่าเมื่อเอาเห็ดธรรมดาที่รับประทานได้ ชนิดขึ้นไป
มาปรุงอาหารร่วมกัน


ตัวอนุพันธ์ของเห็ดจะถักทอกันแล้วไปหุ้มสารพิษได้
โดยเฉพาะพวกอนุมูลอิสระ ชีสต์ เนื้องอก มะเร็ง อัลฟาท็อกซิล
ที่อยู่ในตัวมันหุ้มออกมาได้


พอดีหลังจากนั้นโครงการผลิตเห็ดหลินจือจึงล้มโครงการ


อาจารย์สุทธิวัสส์ก็เอาเรื่องของการใช้เห็ด ๓ ชนิด มาเผยแพร่ทั่วประเทศ
มีคนเอาเห็ด ๓ ชนิดมาปรุงเป็นอาหาร แต่ห้ามผัดน้ำมัน
ขอให้เป็นแกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ ขอให้ใส่เห็ด ๓ อย่าง

(ก๋วยเตี๋ยวป้าตุ๊ ของพลตรีจำลอง ขายดี เพราะว่าน้ำซุปใส่เห็ดลงไป ๓ ชนิด)

บางทีคนก็มาซื้อน้ำซุปเอาไปรับประทานก็หายจากมะเร็ง ชีสต์ เนื้องอกได้
เห็ดอะไรบ้าง เห็ดที่รับประทานได้ ๓ ชนิด
ขอให้หาให้ได้ ๓-๔ อย่าง เช่น เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ
เห็ดอะไรก็ได้ที่กินได้รวมกัน ทำได้ทั้งอาหารคาวและเครื่องดื่ม

บางคนเดี๋ยวนี้ต้มขาย มี ๓ อย่าง
เห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ เห็ดหอม ต้มด้วยกัน
ใส่มะตูม ใบเตย ให้หอม เติมน้ำตาลกรวดก็เป็นเครื่องดื่มที่ขายกัน
ขายดิบ ขายดี เป็นตัวล้างพิษได้
เพราะว่าการสะสมของพิษไวรัสบี ลงตับ
ก็ถูกชำระสะสางด้วยตัวนี้ได้ดี

นี่ก็เป็นอีกสูตรหนึ่งที่เผยแพร่ได้ดี ถึงการล้างพิษ
:b4:

(มีต่อ)

เจ้าของ:  มัทนา ณ หิมะวัน [ 21 ก.พ. 2010, 01:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินอย่างไร...จึงจะมีสุขภาพดี

:b47: สูตรที่ ๓ : การล้างหินปูนในหลอดเลือด

ใช้ : กระเจี๊ยบแดงสด หรือกระเจี๊ยบแดงแห้งต้มกับพุทราไทยแห้ง ต้มดื่มน้ำ

มีหมอท่านหนึ่งจะโจมตีเรื่องน้ำตาลมาก
ว่าน้ำตาลเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้เหนียวเกาะที่หลอดเลือด

ปกติหลอดเลือดคนจะลื่น พอน้ำตาลไปเกาะก็เหนี่ยว
เวลาโคเลสเตอรอล *( cholesterol) ไหลผ่านมา
น้ำตาลก็เกาะโคเลสเตอรอลไว้อีก

ปกติโคเลสเตอรอล มีประโยชน์ทำให้คนอารมณ์ดี มีความสุข
พอเจอน้ำตาลมันเหนียวไว้
ทำให้โคเลสเตอรอลซึ่งเป็นตัวดี กลายเป็นโคเลสเตอรอลตัวร้าย
ทำให้อุดตันในหลอดเลือด


(* cholesterol (โคเล็ส'เทอรัล) ไขมันในเส้นเลือด
พบในมันสัตว์ น้ำดี เลือด เนื้อเยื่อสมอง น้ำนม ไข่แดง ตับ ไต)


ตัวที่ล้างได้ ล้างตัวโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดได้ดี
หรือบางทีเกิดหินปูนตามร่างกาย ตามสมอง ตามตัว
ไม่มีอะไรเข้าไปล้างหินปูนได้

เราพบว่า

การเอากระเจี๊ยบแดงสดหรือแห้ง
มาต้มกับพุทรา อันนี้สูตรโบราณ
เขาจะใช้พุทราป่า พุทราบ้าน พุทราอยุธยา ต้มกับน้ำกระเจี๊ยบ
ถ้าหายาก ก็เอาพุทราจีน คือ พุทราแห่งทุกชนิด
แต่ถ้าเป็นพุทราไทย แบบพุทราป่า
จะประหยัดและหอมมาก หอมกว่าพุทราจีน
แล้วไปล้างหินปูนในสมอง แก้คนเป็นอัลไซเมอร์ได้
ล้างหลอดเลือดให้สะอาด


เพราะฉะนั้นที่บอกว่าน้ำตาลมันเป็นโทษาอย่างเดียวไม่จริง
ที่จริงแล้วน้ำตาลทรายมันบำรุงปอด มันมีผลทางยา


แต่ว่าอย่ากินมากเท่านั้นเอง

คือ ทุกอย่างไม่ว่าอะไรไม่ควรรับประทานมาก
เพราะจะไปแทนที่สารอาหารตัวอื่นแทนที่เราจะได้รับอย่างละนิด
ให้มันไปใช้ประโยชน์ เราไปเติมอย่างเดียว อย่างอื่นก็ไม่ได้


ไม่ใช่พอรู้ว่าอะไรมีประโยชน์รับประทานมาก ๆ อย่างเดียว อย่างนี้ไม่ได้
ต้องรับประทานให้หลากหลาย รับประทานเข้าไปเถอะ
แต่ต้องรู้จักว่ารับประทาน แล้วอะไรไปแก้

นี่เป็นเรื่องของการล้าง ล้างระบบดูดซึม ล้างสารพิษ ในตัว ในตับ ล้างหลอดเลือด

(มีต่อ)

เจ้าของ:  muntana [ 30 มี.ค. 2011, 17:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินอย่างไร...จึงจะมีสุขภาพดี

Proven: Eating Red Meat Raises Death Risk from Cancer and Other Diseases

Learn more: http://www.naturalnews.com/026692_meat_ ... z1EghvwD16
Red meat links to high deadly dieases

http://www.naturalnews.com/red_meat.html
****************************

สารพัดพิษที่มากับเนื้อสัตว์


สารพัดพิษที่มากับเนื้อสัตว์

คนในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น มักนิยมรับประทานแฮมเบอร์เกอร์ เนื้อไก่ น่องไก่ ตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งมีอยู่เกลื่อนในเมืองไทย เป็นค่านิยมที่ถูกปลูกฝัง ให้มีวัฒนธรรมในการกินแบบผิดๆ หากไม่ถอนตัวเสียแต่วันนี้ ก็เตรียมรับมือกับโรคภัย ที่จะมา เยือนในไม่ช้า

รองศาสตราจารย์ ดร.ไมตรี สุทธจิตต์

นี่เป็นความผิดพลาดทางโภชนาการ อันใหญ่หลวงของมนุษย์ ในศตวรรษที่ผ่านมา เพราะเป็นยุคที่เราเห่ออาหารฝรั่ง อเมริกัน และอาหารตะวันตก ซึ่งเป็นสินค้าข้ามชาติ

ฝรั่งเขาปรุงรสชาติอาหารให้มีรสอร่อย ติดใจและกินง่าย ให้เป็นอาหารจานด่วนหรือ “ฟาสต์ฟู้ด” ซึ่งนำไปสู่โรคร้ายเรื้อรังอย่างรวดเร็ว เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น

ถ้าเป็นเช่นนี้ “ฟาสต์ฟู้ด” ก็จะกลายเป็น “ฟาสต์ฟุบ” ของคนอเมริกันไปในที่สุด

สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา ได้วิจัยพบว่า ผู้ที่นิยมรับประทานเนื้อสัตว์ จะมีปริมาณระดับโคเลสเตอรอลสูงถึง ๒๑๐ มิลลิกรัม โคเลสเตอรอลในเลือด หากมีปริมาณมาก มันจะตกตะกอน เกาะติดกับผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบ และเกิดเส้นเลือดแข็ง หากเป็นเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ ก็จะทำให้หัวใจวายในที่สุด

โคเลสเตอรอลมีมากที่สุดในไขมันสัตว์ และไม่สามารถละลายได้ในร่างกายของมนุษย์ มันจะสะสม อยู่ตามผนังของเส้นเลือด ก่อให้เกิดภาวะอุดตันในเส้นเลือด หรือเส้นเลือดตีบ เมื่อเลือดไหลผ่านได้น้อย หัวใจต้องทำงาน หนัก ในการสูบฉีด เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูง และเป็นโรคหัวใจ


อาจารย์กนกวรรณ อุโฆษกิจ


การประชุมโรคหัวใจ… รายงานการป้องกันโรคหลอดเลือดว่า บทบาทของสารต้านออกซิแดนท์ ผักและผลไม้ ได้เป็นที่ยอมรับของผู้ X วชาญกว่า ๔๐ คนว่า มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เชื่อได้ว่า การกินผักและผลไม้ ที่มีสารต้านออกซิแดนท์มากๆ นั้น ช่วยลดการเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดได้
บทความจากกองทุนวิจัยมะเร็งแห่งโลก สรุปว่า อาหารที่มาจากพืช สามารถป้องกันการเกิดมะเร็ง ในสหราชอาณาจักรได้ถึงปีละ ๑๐๐,๐๐๐ รายต่อปี

งานวิจัยที่ศูนย์การแพทย์ควีนอลิซาเบธที่ ๒ ในเมืองเพิร์ธ แห่งออสเตรเลียตะวันตก เชื่อว่า ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผลไม้ ผักสด ป้องกันมะเร็งเต้านมได้ สารที่น่าเชื่อว่า เป็นสารต้านมะเร็ง ก็คือ เอสโตรเจนจากพืช นั่นเอง


นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษและอเมริกา พบว่า คนที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำ ทำให้แบคทีเรียในลำไส้เล็ก ทำปฏิกิริยากับน้ำย่อย ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในลำไส้ ซึ่งพบมากในกลุ่ม คนที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำ

เมื่อผ่านกระบวนการย่อยสลายแล้ว เนื้อสัตว์จะถูกขับไปยังลำไส้ใหญ่ และตกค้างอยู่เป็นเวลานาน ปริมาณแก๊สและเชื้อโรคในลำไส้จะสูงกว่าปกติ แซนติน (Xantin) คือหนึ่งในนั้น ที่เป็นสารก่อมะเร็งในลำไส้ พบว่าผู้ที่ทานเนื้อสัตว์ มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้มากที่สุด

ในเนื้อย่าง ๑ กิโลกรัม มีสาร “โซไพริน” เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง ๖๐๐ มวน ซึ่งทำให้คนเป็นมะเร็งได้เช่นเดียวกัน หากนำสารพิษที่สกัดมาฉีดให้กับหนู จะทำให้หนูเป็นเนื้องอกและมะเร็งในเม็ดเลือด

แม้แต่น้ำมันที่ได้จากไขมันสัตว์ เมื่อได้รับความร้อน จะแปรสภาพเป็นสารเคมีที่เป็นพิษ เรียกว่า เมธิลคอลเรนทีน (Methylcholan-threne) สารนี้ทำให้เกิดโรคมะเร็งในคน แต่ไม่พบสารนี้ในน้ำมันพืชเลย


ดร.นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์
อาหาร ประเภทพืช ผัก ผลไม้หลายชนิด มีสารเคมีธรรมชาติบางอย่าง ซึ่งป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้ Lee W.Wattenberg แห่งมหาวิทยาลัยมินเนโซต้า เป็นผู้บุกเบิกทางการวิจัยสารเคมี ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ของพืชผักและผลไม้ สามารถป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้

สารเคมีที่เกิดขึ้นในธรรมชาติของผัก เช่น บร๊อกโคลี ดอกกะหล่ำ และกะหล่ำปลี มีคุณสมบัติ สามารถป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ สารตัวนี้จะไปกระตุ้นตับให้ผลิตเอ็นไซม์ ซึ่งแก้สารพิษ ที่เกิดจากปฏิกิริยาของการสันดาป

สารเคมีธรรมชาติที่มีอยู่ในถั่วเหลือง ซึ่งสามารถป้องกันมะเร็ง ได้โดยหลายๆ วิธี วิธีหนึ่งคือ การป้องกันเส้นเลือด ไม่ให้เกิดขึ้นบริเวณเนื้องอก ซึ่งเมื่อไม่มีเส้นเลือด ที่จะนำอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้องอก เนื้อร้ายนั้น ก็ไม่สามารถขยายตัวใหญ่ขึ้นได้ และจะฝ่อไปในที่สุด

ตับทำหน้าที่ขจัดพิษ และสร้างกลูโคสชดเชยให้แก่ร่างกาย หากรับประทานเนื้อสัตว์ โดยไม่บันยะบันยัง ก็เท่ากับไปเพิ่มภาระให้กับตับ ซึ่งจะต้องทำงานหนักขึ้น ผลที่ตามมาคือ ตับเสื่อมสมรรถภาพ

อาการของโรคตับ สังเกตได้จาก เล็บมือ เล็บเท้า เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ท้องผูก สีหน้าเหลือง นานวันเข้าก็จะป่วยเป็นโรคตับแข็ง ตับบวม มะเร็งตับ หากรักษาไม่ถูกวิธี จนถึงระยะสุดท้าย ตับจะตีบจนเล็กลงในที่สุด

เนื้อสัตว์มีสารประกอบยูเรียและกรดยูริค อยู่เป็นจำนวนมาก ผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ จะเป็นการเพิ่มภาระแก่ไต พบว่ามีการเสื่อมของไตนั้น มีผลต่อระบบไขข้อต่างๆ เห็นได้จาก คนที่ป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบหรือโรคเก๊าท์ ซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานมาก


นายแพทย์ประพจน์ เภตรากาศ

โรคข้ออักเสบ เป็นโรคที่เกิดในประชากรจำนวนมาก และก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน และความพิการ

จากผลการวิจัยต่างๆ สรุปว่า อาหารมังสวิรัติมีคุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน มีพลังงานสูง แต่ผู้ป่วยกลับมีน้ำหนักลดลง ซึ่งเป็นผลดีต่อการอักเสบของข้อ
ดังนั้น อาหารมังสวิรัติ จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม และมีผลในการบำบัด รักษาโรคไขข้ออักเสบชนิดต่างๆ อย่างแน่นอน สมควรที่ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ จะหันมาบริโภคอาหารมังสวิรัติ ร่วมกับการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน


สตรีชาวอเมริกา สวีเดน และฟินแลนด์ เป็นโรคกระดูกผุ กระดูกพรุน ติดอันดับของโลก การค้นพบนี้ เป็นการยืนยันว่า ในเนื้อสัตว์มีโปรตีนอยู่ในระดับสูง ทำให้ไตทำงานหนัก เพื่อขับแคลเซียมออกจากร่างกาย จนกระทั่งป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน และไตเสื่อมในที่สุด

นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

การกินเนื้อสัตว์ล้นเกิน ยังเป็นสาเหตุของโรคกระดูกผุ ด้วยเหตุผลดังนี้คือ… โปรตีนเป็นสารอาหาร ที่ร่างกายไม่สะสมไว้ ถ้ามากเกินจะเก็บสะสมเป็นไขมัน และแยกเอาอนุมูลของเอมีน ให้ขับออกทางปัสสาวะ ในสภาพของแอมโมเนีย การขับเอมีนนี้ ร่างกายจะสูญเสียแคลเซียมออกไปด้วย

อีกประการหนึ่ง เนื้อสัตว์มักมีปริมาณแคลเซียม และฟอสฟอรัสไม่ได้ X ส่วน กัน คือ มีฟอสฟอรัสสูงกว่าแคลเซียม ๘–๑๐ เท่า ผลก็คือ การกินเนื้อสัตว์เข้าไป ฟอสฟอรัสที่สูง จะเร่งให้ต่อมพาราไทรอยด์ขับฮอร์โมน ซึ่งมีหน้าที่ละลายแคลเซียมออกจากกระดูก มาสมดุลกับฟอสฟอรัสในเลือด จึงเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดโรคกระดูกบาง

ถึงตรงนี้ ผู้รักเนื้อทั้งหลายก็รู้ได้ด้วยว่า “การกินเนื้ออย่างฉกาจฉกรรจ์ จึงเป็นปัจจัยสำคัญเอกอุ ในการเกิดโรคกระดูกผุ” เรื่องนี้ยืนยันโดยนักวิจัยชื่อ วอชแมน และเบอร์นสไตน์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

เนื้อสัตว์เมื่อไปเจอกับแบคทีเรียในลำไส้ ก็เป็นอาหารอันโอชะของมัน ผลจากการเน่าบูด จากการย่อยแบคทีเรีย ก็เกิดสารพิษมากมาย ตลอดลำไส้เล็กที่ยาวถึง ๒๐ ฟุต เมื่อถึงลำไส้ใหญ่ ซึ่งดูดซึมน้ำกลับเข้าร่างกาย ก็จะพาเอาพิษเหล่านี้เข้าไปด้วย นี่แหละแหล่งของสารพิษอีกแหล่งใหญ่ ที่มากับโรคมากมาย เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด

เนื้อสัตว์นอกจากจะมีสารพิษแล้ว ยังมีโอกาสจะได้รับตัวเชื้อพยาธิ หรือไข่ของมัน ที่ทนต่อการปรุงอาหาร และขยายตัวออกลูกหลานในร่างกาย ของเรา ทำให้เกิดโรคภัยได้ง่ายเสมอ เช่น ตัวอ่อนขึ้นสมอง ทำให้เกิดอาการชัก ปวดศีรษะ อาเจียน เป็นอัมพฤกษ์ พฤติกรรมเปลี่ยน คล้ายคนจะเป็นบ้า แต่ที่จริงแล้ว เกิดจากพยาธิ

อาการท้องผูก ทั้งนี้เนื่องจากเนื้อสัตว์ไม่มีกากใย และเคลื่อนตัวในระบบทางเดินอาหารช้ามาก กากอาหารจะถูกดูดเอาน้ำไปมาก จึงทำให้อุจจาระแข็ง แห้ง และถ่ายลำบาก เป็นสาเหตุของโรคท้องผูกเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร และมะเร็งที่ปลายลำไส้ใหญ่

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ
อาหารที่มีกากใย จะทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำ ซึ่งจะดูดน้ำจากภายนอกเข้าสู่ลำไส้ ทำให้อุจจาระอ่อนตัว และช่วยเร่งให้การขับถ่ายเร็วขึ้น จึงลดโอกาส ที่สารก่อมะเร็งจะสัมผัสกับผนังลำไส้ ให้น้อยลง เป็นการลดอัตราการก่อมะเร็งลำไส้ และป้องกันท้องผูก
การศึกษาใหม่ๆ พบว่า… อาหารกากใยประเภทละลายได้ในน้ำ เช่น รำข้าวโอ๊ต และถั่วต่างๆ สามารถลดโคเลสเตอรอลในเลือดได้ จึงช่วยลดอัตราเกิดโรคหัวใจ


ประ เทศที่มีการบริโภคเนื้อสัตว์มากที่สุด ได้แก่ อเมริกา, ออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์ พบว่า ประชากรในประเทศนิยมบริโภคเนื้อสเต็ก มีสถิติผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคนิ่ว มากที่สุด ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าประเทศที่นิยมบริโภคเนื้อ เพียงเล็กน้อย
จากสถิติการบริโภคเนื้อสัตว์ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างนิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, อเมริกาแล้ว คนอเมริกันบริโภคเนื้อสัตว์มากกว่าประเทศใดๆ ในโลก โรคหัวใจนับเป็นฆาตกรอันดับหนึ่ง ของอเมริกา โรคมะเร็งเป็นอันดับสอง ทั้งนี้ รวมถึงมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งเม็ดเลือด

ประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในแถบเอเชีย คือ ญี่ปุ่นและไต้หวัน คนญี่ปุ่นนิยมบริโภคปลาดิบ เนื้อดิบ กุ้งสด และเนื้อย่าง ด้วยเหตุนี้ คนในประเทศ จึงป่วยเป็นโรคหัวใจมาก ติดอันดับหนึ่งในแถบเอเชีย

สังคมไต้หวันเน้นที่การบริโภค อย่างอุดมสมบูรณ์ ซึ่งหนักไปทางเนื้อสัตว์ และอาหารทะเล คนในประเทศ จึงมีอัตราการป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง มากขึ้นทุกวัน และเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกระแสภาวะทางเศรษฐกิจ

คนสิงคโปร์ก็ไม่ด้อยกว่าชนชาติอื่น ธุรการร้านอาหารทะเล (ซีฟู๊ด) เปิดกันดาษดื่น เด็กๆ โตไวจนผิดปกติ แม้ว่า รัฐบาลจะมีโครงการรณรงค์ เพื่อสุขภาพอย่างเข้มงวด แต่ทว่า ประชากรก็ยังคงป่วยเป็นโรคร้ายต่างๆ กันมากมาย

เนื้อสัตว์… เป็นแหล่งกักตุน และแพร่ระบาดของเชื้อโรค เนื้อสัตว์จึงไม่ใช่อาหารของมนุษย์ ตรงกันข้าม กลับเป็นมหันตภัยสำหรับผู้ที่ลิ้มลอง และติดในรสชาติความอร่อย อาหารของมนุษย์ก็คือ พืช ผัก และผลไม้ เป็นของสดจากธรรมชาติ มีวิตามินที่บำรุงร่างกายให้แข็งแรง และเป็นยารักษาโรค

ศาสตราจารย์ นายแพทย์พงษ์ศิริ ปรารถนาดี

จะเห็นได้ว่า ในระยะ ๑๐ ปีที่ผ่านมา สาเหตุการตายของคนไทย ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เป็นที่น่าสังเกตว่า มีอัตราการเสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อันดับหนึ่ง สาเหตุการตายคือ โรคหัวใจ สาเหตุการตายอันดับที่สองคือ อุบัติเหตุ และอันดับสามคือ โรคมะเร็ง
ทำไม หลอดเลือดถึงตีบตัน

ถ้าเราดูสาเหตุการตีบตันของ หลอดเลือด เราจะพบว่า… ร่างกายของมนุษย์นั้น มีระบบการไหลเวียนของเลือด ทำให้มีชีวิตอยู่ได้ ถ้าเมื่อใดที่หัวใจหยุดเต้น การสูบฉีดโลหิตก็จะหยุด ถึงแม้สมองหยุดทำงาน ร่างกายก็ยังอยู่ได้ แต่ถ้าหัวใจหยุดทำงาน ร่างกายจะตายทันที

เพราะฉะนั้น หัวใจจึงเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญที่สุด เมื่อเราทราบความสำคัญแล้ว ก็ควรจะถนอมหัวใจ และหลอดเลือดของเรา ให้แข็งแรงอยู่เสมอ
ทำไมหลอดเลือดเกิดการตีบตัน หลอดเลือดของคนและสัตว์ ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับท่อน้ำประปา เมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะมีตะกรันเกิดขึ้นภายในท่อ เมื่อตะกรันสะสมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ขนาดของ ท่อประปาเล็กลง น้ำประปาที่เคยไหลได้ดี ก็จะเปลี่ยนเป็นไหลกระปริบกระปรอย กว่าจะถึงปลายทางอาจหยุดไหลได้

หลอดเลือดของคนเรา ก็เหมือนกัน ถ้าตีบตันเมื่อไหร่ อวัยวะที่สำคัญก็จะมีเลือดไปเลี้ยงลดน้อยลง เช่น สมอง หัวใจ ลำไส้ ตลอดจนปลายมือปลายเท้า ผลก็คืออวัยวะที่กล่าวมานี้ จะเกิดปัญหาติดตามมา

ต้นเหตุที่ทำให้หลอดเลือดแดง มีการตีบตันนั้น พิสูจน์กันแล้วว่า… มาจากการกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว มากเกินความต้องการ ไขมันอิ่มตัวมาจากไหน ไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันจากสัตว์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันหมู หนังไก่ หนังเป็ด และเนื้อสัตว์ทุกประเภท

ถ้าเปรียบเทียบดูจะพบว่า อาหารของคนอเมริกันนั้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสูงถึง ๕๐% แต่ถ้าเอาเนื้อออก จะลดความเสี่ยงลงได้อีก เหลือเพียง ๑๕% แต่ถ้างดไข่และเนื้อสัตว์ลงไปอีก จะเหลือความเสี่ยงเพียง ๔% เท่านั้น

จากผลสรุป ของวารสารของสมาคมแพทย์อเมริกา ได้กล่าวว่า… อาหารมังสวิรัติจะช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดโรคอัมพาต จากเส้นโลหิตในสมองอุดตันได้สูงถึง ๙๐% และป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอด เลือดหัวใจได้สูงถึง ๙๗%


ชนิดอาหาร
โอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
อาหารอเมริกันทั่วไป
๕๐%
อาหารมังสวิรัติ มีไข่-นม
๑๕%
อาหารมังสวิรัติเคร่งครัด
๔%
โอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และการเสียชีวิตในอาหารประเภทต่างๆ





ดร.ดีน ออร์นิส ได้ชี้ให้เห็นว่า… การตีบตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจนั้น สามารถทำให้หายตีบตันได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และใช้อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ อย่างจริงจัง ต้องเป็นอาหารที่ไม่มีไขมัน ไม่หวานจัด ไม่เค็ม และต้องเป็นอาหารที่มีเส้นใย และกากอาหาร

การเฝ้าสังเกตโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่มีอาการเจ็บหน้าอก ในผู้ป่วยที่ได้เปลี่ยนมากินอาหาร มังสวิรัติ ที่ไม่มีเนื้อสัตว์ และอาหารไขมันต่ำ พบว่า… อาการเจ็บหัวใจ หายไปภายในสองสัปดาห์ และพบว่า ๘๐% ของผู้ป่วยไม่มีอาการเจ็บหน้าอกอีกเลย เนื่องจากอาการตีบตันของหลอดเลือดดีขึ้น ทำให้เลือดไหลผ่านหลอดเลือด ไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น ผลก็คือ ความต้องการใช้ยาลดลง
เช่นนี้แล้ว ถ้าต้องการที่จะลดปัจจัยเสี่ยง ไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือต้องการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ ที่ตีบตัน กลับสู่สภาพปกติ จะต้องดูแลเรื่องอาหาร จึงจะได้ผล ไม่ทานเนื้อสัตว์ โดยใช้อาหารมังสวิรัติ ที่มีไขมันต่ำ กินอาหารประเภทผัก ผลไม้ให้มากขึ้น เพราะมีกากใย และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีธาตุเหล็กสูงกว่าที่พบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ซึ่งจะเป็นตัวป้องกัน ไม่ให้เกิดการทำลายผนังของหลอดเลือด



ข้อมูล
วารสารชีวจิต
---------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมุลจาก เวป ข้างล่าง

viewtopic.php?f=19&t=26584

**********************************************************************************
http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... 99142088cd

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=80012

ไฟล์แนป:
flesh.jpg
flesh.jpg [ 41.24 KiB | เปิดดู 3366 ครั้ง ]

เจ้าของ:  muntana [ 30 มี.ค. 2011, 17:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินอย่างไร...จึงจะมีสุขภาพดี

เนื้อสัตว์ แหล่ง รวมสารพัดโรคร้าย ต่อสุขภาพ จากผลศึกษา วิจัย
ทางการแพทย์ มาอย่างยาวนาน จาก

ข้อมูลที่น่าสนใจในเวปข้างล่าง

http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080

ไฟล์แนป:
can.jpg
can.jpg [ 27.49 KiB | เปิดดู 3366 ครั้ง ]

เจ้าของ:  bluebird [ 07 เม.ย. 2011, 06:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินอย่างไร...จึงจะมีสุขภาพดี

:b8: :b8: ขอบคุณมากมายสำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาโพสให้อ่าน :b8: :b8:


:b8: ขอบคุณค่ะ :b8:

:b45: :b54: :b41: :b53: :b41: :b44:

เจ้าของ:  AAAA [ 06 พ.ค. 2015, 19:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินอย่างไร...จึงจะมีสุขภาพดี

4A ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  sirinpho [ 28 ม.ค. 2019, 18:46 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินอย่างไร...จึงจะมีสุขภาพดี

Kiss

หน้า 2 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/