วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 19:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว




m173937.jpg
m173937.jpg [ 42.41 KiB | เปิดดู 5277 ครั้ง ]
:b27: อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณป้าโคม่า บทความประทับใจ
ทุกเรื่องค่ะ

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




0000.jpg
0000.jpg [ 82.85 KiB | เปิดดู 5233 ครั้ง ]
จิตดิ้นรน กลับกลอก
ป้องกันยาก ห้ามยาก
คนมีปัญญาสามารถดีดให้ตรงได้
เหมือนช่างศรดัดลูกศร

The flickering , fickle mind,
Difficult to guard, difficult to control,
The wise man straightens,
As a fletcher straightens an arrow.

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

สวัสดีค่ะ...คุณป้าCOMA! และกัลยาณมิตรทุกท่าน
สบายดีนะคะ ระวังรักษาสุขภาพกันนะคะ...ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ

:b53: คิดถึงค่ะ :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หวัดดีครับ..คุณป้าฯ

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




20051006_VolkovRainyDayMini.jpg
20051006_VolkovRainyDayMini.jpg [ 34.01 KiB | เปิดดู 5198 ครั้ง ]
เรื่องจิตอาสาเป็นการปฎิบัติธรรม เป็นการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนภิกษุไว้ว่าเธอจงจาริกไป เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์
นี่ก็คือ ความเมตตา และความกรุณา คือการแบ่งปัน ลดละตัวตน ลดละความอยากได้ อยากมี
อยากเป็น เป็นการให้ เป็นการแบ่งปัน จึงทำจิตของเรามีความบริสุทธิ์และงดงาม
และมีความสุขมากกว่าการเป็นผู้รับ

แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้รับเป็นผู้ที่ต่ำต้อยกว่า แต่เป็นผู้ที่เสมอภาพกัน
เราเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ได้รับความรัก ความเมตตา ความเคารพ ศรัทธา
และเราก็ให้ความเมตตากรุณา ก็ถือว่าเป็นการเชื่อมโยงการทำหน้าที่ด้วยการปฎิบัติธรรม
ด้วยจิตใจอาสา หมายถึงทำโดยไม่หวังสิ่งใด ตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นลาภยศสรรเสริญใดๆ

นี่คือจิตอาสาในแบบของ "อาจารย์เตือนใจ ดีเทศน์"
และต้นแแบบแรงบันดาลใจของอาจารย์
คือหลักของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอาจารย์ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์
สมัยตอนเรียนมหาวิทยาลัยเคยเป็นบัณฑิตอาสาสมัคร ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งปกติเขาจะเป็นกันปีเดียว คือลงพื้นที่ 8 เดือน
และทำงานสาระวิทยานิพนธ์อีก 4 เดือน

การเป็นอาสาสมัครทำให้เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
เราไม่ต้องกังวลว่าจบจากบัญฑิตอาสาแล้วเราจะไปทำอะไร
แต่เรามีชีวิตอยู่กับ ปัจจุบัน ทำหน้าที่ ณ ปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อพัฒนาตัวเอง
เช่นทำหน้าที่เป็นครู เป็นครูสอนหนังสือเด็กตอนกลางวัน ครูสอนนักศึกษาผู้ใหญ่ตอนกลางคืน
เราก็ต้องไปศึกษาด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับเด็กว่าเด็กเขาชอบอะไร
ครูที่ดีที่จะทำให้เด็กได้เรียนรู้สูงสุด และการแบ่งปันความรู้ให้กับเด็ก ก็อยู่กับปัจจุบันคือทำหน้าที่
ณ ปัจจุบันให้ดีที่สุด และป็นช่วงที่เห็นว่าการที่ไปชนบท ได้ทำประโยชน์มากกว่าอยู่กรุงเทพ
ถ้าอยู่ในกรุงเทพเรา ก็อาจจะไปเป็นพนักงานบริษัทเพื่อรับเงินเดือนไปแต่ละเดือน

แต่ในตอนนั้นคิดว่าถ้าไปอยู่ชนบท จะเป็นที่ไปเรียนรู้ศักยภาพของชนบท ของชนชาติพันธุ์ต่างๆ
ว่าเขามีเอกลักษณ์ยังไง ที่เป็นภูมิปัญญาของเค้า ในเรื่องของอาหารในเรื่องของความเชื่อ
ในเรื่องของการเคารพธรรมชาติ ในเรื่องของโครงสร้างสังคมและวัตณธรรม
อันนี้ก็เป็นจิตใจอาสาสมัครที่เราไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ว่าใครจะมารู้มาเห็นหรือไม่
ใครจะมายกย่องสรรเสริญหรือไม่ ก็ไม่ได้สนใจ แต่รู้ว่าเราทำแล้วมีความสุข
แล้วผู้อื่นได้รับประโยชน์ เราไม่ได้เป็นผู้ให้แต่เป็นผู้เรียนรู้ ร่วมกัน เป็นทั้งผู้รับผู้ให้
เป็นความสุขและเป็นการเรียนรู้การพัฒนาจิตใจ

ปัจจุบันคิดว่าการรณรงค์ เรื่องจิตอาสาในเมืองไทยเรายังมีน้อยจนเกินไป
ทำให้คนที่มีจิตอาสาคนที่เขาอยากจะอาสาทำประโยชน์ เค้าไม่รู้ช่องทาง
การมีเครือข่ายฯนี่เป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่น่าจะมีการประสานกันกับพื้นที่อื่นบ้าง
เช่นเด็กในมหาวิทยาลัย หรือในสถาบันการศึกษา ต่างๆ
ยังไม่รู้ว่าตนเองจะทำประโยชน์อะไรให้กับสังคมได้บ้าง
เพราะในสมัยที่พี่เรียนมีชมรมต่างๆในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนเยอะมากๆ
ตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว จะมีงานสังคมวิทัศน์งานวิทยาศาสตร์สัมพันธ์ต่างๆ เหล่านี้
เพื่อให้โรงเรียนในกลุ่มพื้นที่มารวมตัวกันทำกิจกรรมทั้ง ด้านวิชาการ และด้านสังคม
แต่ชมรมเหล่านี้มันหายไป เราควรจะสร้างขึ้นมาใหม่
เพื่อให้เยาวชนได้รู้ว่าเค้าควรจะใช้ศักยภาพของคนรุ่นใหม่

ความเป็นคนรุ่นเยาว์ของเขาเพื่อประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์
เช่นแค่ให้รอยยิ้มกับเพื่อนๆด้วยกัน ยิ้มให้พ่อ ยิ้มให้แม่
หรือช่วยจูงคนที่ข้ามถนนไม่เป็นให้ข้ามถนน ก็เป็นประโยชน์แล้ว
สิ่งใดเล็กๆน้อยๆที่เราควรจะกระทำเพื่อประโยชน์ต่อสังคม
ไม่อย่างนั้นเราจะมุ่งไปสู่ความเป็นบริโภค นิยมเป็นผู้เสพ เป็นผู้บริโภค
ดังนั้นเราต้องให้คำว่าจิตอาสาเป็นสำนึกของคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่อนุบาล หรือประถมวัยขึ้นมาเลย

เมื่อไม่นานมานี้ได้ทราบว่าที่สิงคโปร์ เขาเปลี่ยนหลักสูตร ว่าตั้งแต่อนุบาลขึ้นมาเลยว่า
ในเทอมนึงๆให้เด็กทำโครงการร่วมกัน ว่าจะทำอะไรให้สังคม
ซึ่งหลักสูตรไทย ควรจะเปลี่ยนได้แล้ว หรืออย่างในเกาหลีเหนือ
เขาจะให้เด็กปิดเทอมตามฤดูเกี่ยวข้าว ฤดูดำนา
แทนที่เกษตรกรจะต้องไปจ้างคนงานมาเกี่ยวข้าว ก็ให้เด็กมาช่วยแทน
เด็กจากโรงเรียนต่างๆก็ได้ไปช่วยชาวนาดำนา และได้รู้คุณของพระแม่โพสพ
และได้รู้กระบวนการว่ากว่าจะได้ข้าวออกมาแต่ละเม็ดนั้นทำอย่างไร
เราควรจะเสนอให้เป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการด้วย
เพราะฉะนั้นเด็กตอนปิดเทอมก็ไม่รู้จะทำอะไรเพราะเป็นฤดูแล้ง
ยังไม่ใช่ช่วงที่เกษตรกรทำงานในไร่นา ปิดเทอมอีกก็เป็นเดือนตุลา
ซึ่งก็ไม่ตรงกับฤดูกาลเกี่ยวข้าวอีก จึงทำให้ลูกหลานเกษตรกรไม่ได้ กลับบ้านไปช่วยพ่อแม่
เพื่อให้เด็กๆ สำนึกรู้รากเหง้าตนเอง ของสังคมชนบทเป็นสังคมเกษตร

ตอนนี้มันยังไม่สายเกินไป ที่เราจะทำให้จิตใจอาสามันเกิดขึ้นในทุกวิชาชีพ
ให้เด็กตั้งแต่อนุบาลขึ้นมาได้รู้ว่าเค้าจะทำประโยชน์อะไรให้กับตัวเอง
ให้กับครอบครัวให้กับสังคมได้ อย่างเช่นที่บ้านก็แค่เริ่มว่าลูกไม่เป็นภาระต่อพ่อแม่
ตื่นขึ้นมาก็รู้จักเก็บที่นอน พับผ้าห่ม คลุมเตียงให้เรียบร้อย
หรือช่วยพ่อแม่เก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ อันนี้ก็เป็นประโยชน์ของครอบครัวได้

ดังนั้นจิตอาสานี่ ต้องเริ่มจากตัวเอง ครอบครัว และออกมาสู่สังคม
โดยเฉพาะหลักสูตรของนักเรียนทุกระดับจนถึงชั้นมหาวิทยาลัย
ต้องมีกิจกรรมที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ในด้านใดด้านหนึ่ง

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2009, 05:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว




1690-5.jpg
1690-5.jpg [ 42.96 KiB | เปิดดู 5163 ครั้ง ]
tongue หวัดดีค่ะ คุณป้าโคม่า หายไปไหนน้า
คุณฟ้าด้วย :b20:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




1170992zsspfe2wid.gif
1170992zsspfe2wid.gif [ 172.84 KiB | เปิดดู 5155 ครั้ง ]
ของขวัญ

การให้ ของขวัญ สิ่งสำคัญต้องไม่อยู่ที่ตัววัตถุ แต่อยู่ที่น้ำใจ และถ้าเราให้ของขวัญในสิ่งที่ช่วยประเทืองปัญญาจะดีมาก ไม่ใช่ให้ของขวัญที่กระตุ้นโลภะ โทสะ หรือว่าเป็นของขวัญที่บั่นทอนสุขภาพ ของขวัญถ้ามันไปสนองกิเลสของผู้รับ มันก็เป็นโทษทั้งแก่ผู้รับและผู้ให้ ในทางพุทธศาสนาก็ไม่ได้บุญ แต่ถ้าคุณให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต เกื้อกูลสติปัญญา ประเทืองอารมณ์ จรรโลงใจ เหล่านี้จะเป็นบุญแก่ทั้งผู้รับและผู้ให้

อีกอย่างหนึ่งที่เรามัก จะมองข้ามคือการให้ของขวัญแก่ตัวเอง แต่ไม่ใช่ของขวัญที่ส่งเสริมกิเลสตัณหา อาจจะมีบ้างก็ได้ เช่น ไปดูหนัง ไปกินเลี้ยงกัน แต่ว่าของขวัญที่เป็นอาหารใจ เช่น อาจจะปลีกตัวไปต่างจังหวัด ไปทำสมาธิภาวนา ไปอยู่เงียบๆ ท่ามกลางธรรมชาติและใคร่ครวญชีวิตที่ผ่านมา และมองไปข้างหน้าว่าเราจะทำชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างไร การทำสมาธิภาวนาให้จิตใจได้รับความสงบก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะความสงบเป็นของขวัญที่คนยุคนี้โหยหาแต่ไม่ค่อยได้ ความสงบเย็นเป็นของขวัญล้ำค่าที่เราควรจะให้แก่ตัวเราบ้าง เพราะทุกวันนี้เราได้แต่ความสนุก ความเครียด สร้างอารมณ์ที่เป็นพิษให้แก่เรา ถ้าเราสามารถหาทางระบายอารมณ์ที่เป็นพิษออกไปบ้าง ความโกรธ ความเกลียด เอาออกไปบ้าง รับเอาความสงบเย็นเข้ามา จะเป็นของขวัญที่ล้ำค่ามาก


ขอบคุณ...กัลยาณมิตร..ทุกท่านที่เมตตา..คิดถึงป้า...
ช่วงนี้..ใกล้สอบ..ป้าต้องเตรียมข้อสอบนะจ๊ะ

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"


แก้ไขล่าสุดโดย COMA! เมื่อ 26 ก.ย. 2009, 16:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




1170998hj4ihka50f.gif
1170998hj4ihka50f.gif [ 169.18 KiB | เปิดดู 5173 ครั้ง ]
เงิน

มีคนพูดไว้น่าสนใจนะ ถ้าเรามีเงิน เงินนั้นก็เป็นข้ารับใช้ของเรา แต่ถ้าเราไล่ล่าหาเงิน เราก็จะเป็นทาสของเงิน เราต้องมองว่าเงินไม่สามารถซื้อหาความสุขได้ แต่มันอาจจะเช่าความสุขได้ ต่างกันนะ ถ้าซื้อมันเป็นของของเรา แต่ถ้าเช่ามันอยู่ได้ประเดี๋ยวประด๋าว ความสุขนั้นจะอยู่กับเรานานแค่ไหนไม่รู้ เงินอย่างมากแค่เช่าความสุข แต่บางทีความสุขยังไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะว่ามันกลายเป็นภาระแก่จิตใจ กังวล วิตกว่ามันจะอยู่กับเราอีกนานเท่าไหร่

อยากจะให้เรามองให้รอบด้าน ว่าเงินมีทั้งคุณและโทษ คุณคือมันทำให้เรามีอำนาจ มีอิสระที่จะทำอะไรได้มากขึ้น มีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ว่ามันก็สามารถสร้างความทุกข์ให้แก่เรา อย่างต่ำคือเป็นภาระในการรักษามันหรือป้องกันไม่ให้ใครมาช่วงชิง หรืออย่างเลวคือมันทำให้เราตกเป็นทาสของมันด้วยความคิดว่าเงินคือทุกสิ่ง ทุกอย่าง ถ้าฉันมีเงิน ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องพึ่งใครก็ได้

เรายังต้องการเพื่อน การทำความดี แต่เงินทำให้เราหลงได้ นี่คือโทษของเงินที่เราต้องตระหนัก และอยากจะฝากไว้เรื่องหนึ่งคือถ้าเรายึดติดถือมั่นมากเท่าไหร่ว่านี่เงินของ เรา เราจะกลายเป็นของมันทันที

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"


แก้ไขล่าสุดโดย COMA! เมื่อ 26 ก.ย. 2009, 16:59, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




12Roses-Lais503.jpg
12Roses-Lais503.jpg [ 21.69 KiB | เปิดดู 5179 ครั้ง ]
ความตาย

ความตายก็ เป็นธรรมดาของชีวิต คือความแน่นอน แต่ในความแน่นอนก็มีความไม่แน่นอนอยู่ คือไม่แน่นอนว่าจะตายเมื่อไหร่ หลายคนคิดว่าความตายคือสิ่งที่อยู่ไกลตัว ฉันยังแค่ 20 อีกตั้งนานกว่าจะตาย แต่เรารู้ได้ยังไงว่าเราจะอยู่ได้ถึงวันพรุ่งนี้ เราแน่ใจได้ยังไงว่าเราจะอยู่ถึงปีใหม่

ภาษิตทิเบตบอกว่า ระหว่างวันพรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะมาก่อน

เมื่อ เราตระหนักว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไหร่ก็ได้ เราต้องถามตัวเองว่าเราพร้อมจะตายหรือยัง เราได้ทำความดีเพียงพอหรือยัง เราได้ใช้ชีวิตที่ผ่านมาให้คุ้มค่าหรือยัง เราได้ทำสิ่งที่เป็นจุดหมายของชีวิตหรือยัง และเราพร้อมจะไปจากสิ่งต่างๆ ได้หรือยัง ถ้าคุณยังไม่พร้อม ยังไม่คิดว่าทำดีเพียงพอแล้ว ก็ต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ เตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ และเมื่อคุณคิดแบบนี้ คุณจะซาบซึ้งกับสิ่งที่คุณมีอยู่ในปัจจุบันมากขึ้น เวลาแต่ละนาที แต่ละขณะจะมีคุณค่ามากขึ้น ช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบันได้ง่ายขึ้น แทนที่จะเสียเวลากับความกังวลเรื่องที่ยังมาไม่ถึง แทนที่จะเสียเวลากับความทุกข์ระทมที่ผ่านไปแล้ว

เราเอาเวลามาทำ สิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด งานที่เราทำอยู่อาจจะเป็นงานสุดท้ายก็ได้ อาจจะไม่ได้ทำอีก ฉะนั้น ต้องทำให้ดีที่สุด คนที่เราคุยด้วยอาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายก็ได้ ปฏิบัติกับเขาอย่างดีที่สุด เอาใจใส่ความสัมพันธ์อย่างเต็มที่

เราจะชื่นชมปัจจุบัน เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือเปล่า จะทำให้เราใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วยความไม่ประมาท

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"


แก้ไขล่าสุดโดย COMA! เมื่อ 26 ก.ย. 2009, 16:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




ans4840.jpg
ans4840.jpg [ 45.41 KiB | เปิดดู 5187 ครั้ง ]
สุข-ทุกข์อยู่ที่ตัวเราเป็นสำคัญ

เราควรรู้จักตัวเราเองให้มากขึ้น และตระหนักว่าสุขหรือทุกข์อยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก ขณะนี้เราไปเพ่งมองที่ภายนอก แล้วเราก็ไปโทษภายนอกว่าเป็นเหตุให้เราทุกข์ แต่เราไม่เคยมองมาที่ตัวเราเองว่าเป็นเพราะใจของเราหรือเปล่า เป็นเพราะตัวเราเองหรือเปล่าที่เป็นต้นตอแห่งความทุกข์ ซึ่งเป็นการมองข้ามความรับผิดชอบของตัวเรา

เราต้องดูที่ตัวเราเอง ก่อนว่าเราแก้ตัวเราเองหรือยัง เพราะทุกวันนี้คนเราไปแก้ข้างนอกเยอะ จนกระทั่งไม่แก้ตัวเอง เราโกรธ เราเกลียด คนที่คิดต่างจากเรา แม้กระทั่งคนที่อยู่ในบ้านเดียวกับเราเพราะเขาคิดไม่เหมือนเรา ทั้งๆ ที่มีแค่เรื่องเดียวที่คิดไม่เหมือนเรา เรื่องอื่นนี่คิดเหมือนกันหมดเลย แล้วเราก็มาโกรธกัน อะไรทำให้เราโกรธ เกลียดกันอย่างนี้ เป็นเพราะคนอื่นหรือเป็นเพราะเราไปมองที่ความแตกต่างมากกว่าที่จะมองที่ความ เหมือนกัน

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




281-x-380.jpg
281-x-380.jpg [ 24.57 KiB | เปิดดู 5191 ครั้ง ]
ประสบการณ์

เป็นทรัพย์อันล้ำค่าที่เราไม่ควรปล่อยให้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าประสบการณ์นั้นจะดีหรือเลว บวกหรือลบ สำเร็จหรือล้มเหลว ประสบการณ์เป็นสิ่งล้ำค่าถ้าเรารู้จักใช้ แม้จะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีก็เอามาใช้เพื่อที่เราจะสรุปบทเรียนและหลีก เลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นอีก

การทบทวนด้วยใจที่เป็นกลาง หมายความว่าสามารถมองไปถึงความล้มเหลว ความผิดพลาดได้ โดยไม่รู้สึกแย่กับตัวเอง ไม่รู้สึกผิดกับตัวเอง เพราะถ้าหากเราเอาประสบการณ์ที่ผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียน จะทำให้เราลบล้างความผิดพลาดในอดีตได้ อยากให้เรากล้ามอง กล้าทบทวน ทบทวนเพื่อที่จะไม่ประมาทในชีวิต และอีกด้านเมื่อเราทบทวนด้านที่ประสบความสำเร็จก็อย่าหลงตัวลืมตน เพราะไม่มีอะไรแน่นอน มีคนบอกว่าความสำเร็จคือความล้มเหลวที่ยังไม่ปรากฏ อย่าเหลิงในความสำเร็จ เพราะนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวก็ได้ อย่าประมาท

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"


แก้ไขล่าสุดโดย COMA! เมื่อ 26 ก.ย. 2009, 18:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




ans4845.jpg
ans4845.jpg [ 66.54 KiB | เปิดดู 5190 ครั้ง ]
ตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน

การเจริญสติควรจะดำเนินในชีวิตประจำวันด้วย กินข้าว อาบน้ำ ทำครัว ซักผ้า นี่คือโอกาสในการเจริญสติได้ทั้งนั้น คือทำอะไรก็อยู่กับสิ่งนั้น อย่าปล่อยให้ใจฟุ้งซ่าน ทำเป็นอย่างๆ ไม่ใช่กำลังกินก็คิดไปเรื่องงานเรื่องการ คนเราสมัยนี้ชอบจะคิดข้ามชอตอยู่เป็นประจำ ไม่ยอมอยู่กับสิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา อย่างนี้คือไม่มีสติ

การอยู่กับปัจจุบันไม่ได้ขัดแย้งกับการวางแผนชีวิตนะ ขณะที่คุณวางแผน ถ้าใจคุณคิดอยู่กับการวางแผน ตอนนั้นก็เท่ากับการคิดวางแผนเป็นปัจจุบันขณะ เมื่อคุณกำลังวางแผนการทำงานในวันพรุ่งนี้ก็ให้คุณมีสติอยู่กับสิ่งนั้น อย่าวอกแวก อย่าคิดวน แล้วมันจะมีอารมณ์ความวิตกกังวลเข้ามา ที่พระพุทธเจ้าบอกให้อยู่กับปัจจุบันขณะคือไม่ฟูมฟายไปกับอดีต และไม่วิตกกังวลไปกับอนาคตเพราะมันยังมาไม่ถึง จะวิตกกังวลไปทำไม เพราะมันก็ไม่ช่วยให้อนาคตเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ

ง่ายๆ เวลาเจอไฟแดงแล้วรถติด ทำไมคนส่วนใหญ่ทุกข์ เพราะกลัวว่าจะไปสาย แล้วใจที่อยากจะให้ไฟเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวไวๆ ถามว่าทุกข์หรือเปล่า ถามว่าได้ประโยชน์อะไรมั้ย การที่คุณกังวลมากแล้วจะทำให้ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวหรือเปล่า จะทำให้ถึงที่หมายได้เร็วขึ้นหรือเปล่า ในเวลาเช่นนั้นไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าคุณจะสนใจกับเสียงเพลงหรือข่าวที่คุณเปิดทางวิทยุ หรือว่าดูลมหายใจเข้า-ออก แทนที่จะวิตกกังวลว่าเมื่อไหร่จะเขียวสักที นี่คือการอยู่กับปัจจุบัน ไม่มัวกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




001-109.jpg
001-109.jpg [ 198.76 KiB | เปิดดู 5198 ครั้ง ]
ผู้ผูกเวรคือผู้ผูกโกรธ...ย่อมทำบาปได้ทุกประการ

ทุกวันนี้จิตคนเราร้อนแรงนัก เช่นเดียวกันก็คงจะต้องเชื่อว่า กรรมเวรเริ่มส่งผลให้เห็น ณ.ปัจจุบัน
มิต้องรอภพหน้า ภูมิหน้ากันแล้ว กรรมของใครอย่างไร ก็สุดวิสัยที่ปุถุชนทั่วไป จะรู้ถูกต้องตามเป็นจริง
จึงควรจะร่วมกันสร้างสำนึกอย่างผู้ห่วงใย เราทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยกันแก้ไข ให้ความเดือดร้อนรุนแรงในสังคม สงบ,เย็นลงบ้างก็ยังดี

เมื่อ เกิดมามีบุญนักแล้ว ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว ก็มีบารมีที่จะช่วยดับทุกข์ดับร้อนใดๆ ให้ผ่อนคลายได้ ด้วยการอบรมเมตตาให้เต็มชีวิตจิตใจ ไม่ก่อเวรก่อภัยด้วยการผูกเวร

ระลึกไว้ทุกลมหายใจเข้าออกถึงพระพุทธภาษิตที่ว่า
“ผู้ใดผูกอาฆาตว่า เขาด่าได้ด่าเรา ได้ฆ่าเรา ได้ชนะเรา ได้ลักของเรา ดังนี้ เวรของผู้นั้นย่อมไม่ระงับ”
ผู้ ผูกเวรคือผู้ผูกโกรธ ย่อมทำบาปได้ทุกประการ แม้หนักหนาเพียงใด แก่ผู้ใดก็ได้ อำนาจของการผูกเวรหรือการผูกโกรธยิ่งใหญ่นัก ก่อให้จิตมืดมิดนัก ไม่รู้ผิด ไม่รู้ชอบ ไม่รู้บุญ ไม่รู้บาป

สมเด็จ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงบริสุทธิ์สะอาด ทรงพ้นแล้วจากบาปทั้งหลายทั้งปวง ทรงมีพระพุทธภาษิตเตือนสัตว์โลกไว้ด้วยพระมหากรุณาที่เปรียบมิได้ น่าที่เราผู้ปรารถนาความไม่เป็นทุกข์หนักหนา จะพึงพร้อมใจกันเทอดทูนพระพุทธภาษิตนั้น มุ่งมั่นปฏิบัติให้สุดสติปัญญาความสามารถ

จำไว้ให้มั่นว่าการผูกโกรธ คือการทำบาปหนัก ที่ทรงมีพระพุทธภาษิตเตือนว่า “ผู้ทำบาปย่อมโศกเศร้าในโลกนี้ ละไปแล้วก็เศร้าโศก ชื่อว่าเศร้าโศกทั้งสองโลก เขาเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน จึงเศร้าโศกและเดือดร้อน”

นั่นก็คือเกิดชาติไหนก็จะไม่พ้นความเศร้า โศกความเดือดร้อน แม้เป็นผู้ผูกเวรหรือผูกโกรธอยู่ ชาตินี้จึงสำคัญนัก ละการผูกเวรหรือผูกโกรธเสียแต่ชาตินี้กันเถิดนะ

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




mnpo009.jpg
mnpo009.jpg [ 47.21 KiB | เปิดดู 5201 ครั้ง ]
กัลยาณมิตร

การหากัลยาณมิตรมันไม่ยาก อยู่ที่ว่าคุณมีเป้าหมายชีวิตแบบไหน ถ้าคุณมีเป้าหมายชีวิตอยากจะรวยเยอะๆ อยากเป็นคนเด่นคนดัง คุณคิดว่าจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมาย ความคิดแบบนี้ก็จะพาคุณไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมอีกแบบหนึ่งซึ่งหากัลยาณมิตรได้ ยาก

แต่ถ้าคุณมีชีวิตเพื่อพัฒนาตน พยายามทำความดีให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวม ฉันเชื่อว่าความดี ความมีเมตตากรุณา มีน้ำใจ เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขและก็ช่วยเพื่อนให้มีความสุขด้วย ถ้าคุณมีเป้าหมายในชีวิตแบบนี้ มันก็จะนำพาคุณไปสู่กลุ่มคนที่เป็นกัลยาณมิตรได้ ประการแรกมันอยู่ที่ตัวเราว่าเราคิดยังไงกับชีวิต

ทีนี้ ถ้าจะดูว่าใครเป็นกัลยาณมิตรก็ดูว่าเขาส่งเสริมเกื้อหนุนให้เราทำความดีมั้ย เขาตักเตือนเวลาเราทำผิดพลาด หรือทักท้วงเราเวลาเราทำในสิ่งที่ไม่สมควรหรือเปล่า กัลยาณมิตรจะมีนิสัยอย่างหนึ่งคือเวลาเราได้ดีจะเตือนเรา ไม่เชียร์ ไม่ประจบ และเมื่อเวลาเราตกต่ำก็จะให้กำลังใจเรา แต่มิตรอีกแบบจะเป็นตรงข้ามกัน เวลาเราได้ดีเขาจะเชียร์ ชื่นชม สรรเสริญ แต่เวลาเราตกต่ำล้มเหลว เขาจะกระทืบซ้ำ มันต่างกันตรงนี้ เพราะฉะนั้นสังเกตดูเวลาคุณเป็นใหญ่เป็นโต เจริญก้าวหน้า แล้วมีคนทักท้วงคุณ ให้มองว่าเขาคนนั้นอาจจะเป็นกัลยาณมิตรก็ได้ แต่คนส่วนใหญ่เมื่อไปที่สูงจะไม่ชอบให้ใครทักท้วง จะมีแต่คนประจบ

ที่สำคัญอีกอย่างคือกัลยาณมิตรจะยอมรับในความเป็นเรา ยอมรับว่าเราอาจจะแตกต่างจากเขาได้
กัลยาณมิตรจะช่วยให้เราเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งในแง่นี้ ครูหรือครอบครัวก็เป็นกัลยาณมิตรได้
คือช่วยให้เราเติบโตบนเส้นทางของเรา ไม่ใช่ว่าเป็นอย่างที่เขาอยากจะให้เราเป็น

ดีใจค่ะ..ที่พบเห็นมิตรภาพ...ของมิตรแท้...ในโลกอินเตอร์เน็ต... :b35: :b35:


.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 19:59
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาสาธุครับ

.....................................................
ทำบุญวันเกิด


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron