วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 11:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 23:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านว่า ท่านพักอยู่ที่ถ้ำนั้นได้ความรู้
และอุบายแปลก ๆ ต่าง ๆ มากมาย ทั้งเป็นเรื่องภายใน
โดยเฉพาะ ทั้งเกี่ยวกับเรื่องภายนอกไม่มีประมาณ
ท่านเกิดความอาจหาญร่าเริงในข้อปฏิบัติ
จนลืมเวล่ำเวลา ไม่ค่อยได้สนใจกับวันคืนเดือนปีอะไรนัก
ความรู้ภายในใจเกิดขึ้นทุกระยะเหมือนน้ำไหลริน
ในฤดูฝน บางวันตอนบ่ายอากาศโปร่ง ๆ
ท่านก็เดินเที่ยวชมป่าชมเขา ภาวนาไปเรื่อย ๆ ทำ
ให้เพลินใจไปตามทัศนียภาพที่มีอยู่เป็น
อยู่ตามธรรมชาติของมัน เย็น ๆ หน่อยค่อยลงมาถ้ำ
ที่ที่ท่านพักอยู่ สัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ มีมาก พืชผลอัน
เป็นอาหารธรรมชาติก็มีมาก จำพวกสัตว์ป่าที่อาศัยผลไม้
เป็นอาหาร เช่น ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ก็รู้สึกว่า
เขาเพลิดเพลินไปตามภาษาของเขา เวลา
เขามองเห็นเราก็ไม่แสดงอาการกลัว
ต่างตัวต่างหากินไปตามภาษา
ท่านว่าท่านก็เพลินไปกับเขาด้วย
ความเมตตาสงสาร ว่าเขาก็
เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายเช่นเดียวกันกับเรา
ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้วาสนาบารมีของสัตว์
กับมนุษย์ต่างก็มีเช่นเดียวกัน ส่วน
ความยิ่งหย่อนแห่งวาสนาบารมีนั้นย่อมมีได้ทั้งคน
และสัตว์ นอกจากนั้นสัตว์บางตัวที่มีวาสนาบารมีแก่กล้า
และอัธยาศัยดีกว่ามนุษย์บางรายยังมีอยู่มาก แต่เวลา
เขาตกอยู่ในภาวะความเป็นสัตว์ก็จำต้องทนรับเสวยไป
เช่นเดียวกับมนุษย์เราแม้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งจัดว่า
เป็นชาติที่สูงกว่าสัตว์ แต่ขณะที่ตกอยู่ใน
ความทุกข์จนข้นแค้นก็จำต้องทนเอาจนกว่าจะสิ้นกรรม
หรือสิ้นวาระของมัน แล้วมีส่วนดีเข้ามาแทนที่
ให้รับเสวยผลสืบต่อไปตามวาระดังที่เห็น ๆ กันอยู่
เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนไม่
ให้ดูถูกเหยียดหยามชาติกำเนิดความเป็นอยู่ของกันและ
กัน และสอนว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมดีชั่วเป็นของของตน
พอตกเย็นท่านก็ทำข้อวัตรปัดกวาดหน้าถ้ำบริเวณที่
อยู่อาศัย เสร็จแล้วก็เริ่มทำความเพียร
โดยวิธีเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง จิตท่านมี
ความเจริญก้าวหน้าทั้งทางสมาธิ ความสงบใจ
ทั้งทางปัญญา พิจารณาแยกส่วนแบ่ง
ส่วนแห่งธาตุขันธ์ลงในไตรลักษณญาณ ปรากฏเป็น
ความมั่นใจขึ้นเป็นลำดับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 23:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระสาวกอรหันต์มาแสดงธรรมให้ฟัง
บางคืนปรากฏมีพระสาวกอรหันต์มาแสดงธรรม
ให้ท่านฟังตามทางอริยประเพณี
โดยปรากฏทางสมาธินิมิต เป็นใจความว่า
วิธีเดินจงกรมต้องให้อยู่ในท่าสำรวม
ทั้งกายและใจ ตั้งจิตและสติ
ไว้ที่จุดหมายของงานที่ตนกำลังทำอยู่
คือกำลังกำหนดธรรมบทใดอยู่ พิจารณาขันธ์ใดอยู่
อาการแห่งกายใดอยู่ พึงมีสติอยู่กับธรรมหรืออาการนั้น
ๆ ไม่พึงส่งใจและสติไปอื่น อันเป็นลักษณะของคน
ไม่มีหลักยึด ไม่มีความแน่นอนในตัวเอง
การเคลื่อนไหวไปมาในทิศทางใดควรมี
ความรู้สึกด้วยสติพาเคลื่อนไหว
ไม่พึงทำเหมือนคนนอนหลับ ไม่มีสติตามรักษา
ความกระดุกกระดิกของกาย และ
ความละเมอเพ้อฝันของใจในเวลาหลับของตน
การบิณฑบาต การขบฉัน การขับถ่าย
ควรถืออริยประเพณีเป็นกิจวัตรประจำตัว
ไม่ควรทำเหมือนคนผู้ไม่เคยอบรมศีลธรรมมาเลย
พึงทำเหมือนสมณะคือเพศของนักบวชอัน
เป็นเพศที่สงบเยือกเย็น
มีสติปัญญาเครื่องกำจัดโทษที่ฝังลึกอยู่ภายใน
อยู่ทุกอิริยาบถ
การขบฉันพึงพิจารณาอาหารทุกประเภท
ด้วยดี อย่าปล่อย
ให้อาหารที่มีรสเอร็ดอร่อยตามชิวหาประสาทนิยมกลายมา
เป็นยาพิษแผดเผาใจ แม้ร่างกายจะมีกำลัง
เพราะอาหารที่ขาดการพิจารณาเข้าไปหล่อเลี้ยง แต่ใจ
จะอาภัพเพราะรสอาหารเข้าไปทำลาย จะกลาย
เป็นการทำลายตนด้วยการบำรุงคือทำลายใจ
เพราะการบำรุงร่างกายด้วยอาหารโดยความไม่มีสติ
สมณะไปที่ใด อยู่ที่ใด ไม่พึงก่อความ
เป็นภัยแก่ตัวเองและผู้อื่น คือ
ไม่สั่งสมกิเลสสิ่งน่ากลัวแก่ตัวเอง
และระบาดสาดกระจายไปเผาลนผู้อื่น คำว่ากิเลส
อริยธรรมถือเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง พึงใช้
ความระมัดระวังด้วยความจงใจ
ไม่ประมาทต่อกระแสของกิเลสทุก ๆ กระแส เพราะ
เป็นเหมือนกระแสไฟที่จะสังหารหรือทำลายได้ทุก ๆ
กระแสไป
การยืน เดิน นั่ง นอน การขบฉัน
การขับถ่าย การพูดจาปราศรัยกับผู้มาเกี่ยวข้องทุก ๆ
ราย และทุก ๆ ครั้งด้วยความสำรวม นี่แล คืออริยธรรม
เพราะพระอริยบุคคลทุกประเภทท่านดำเนินอย่างนี้กันทั้ง
นั้น
ความไม่มีสติ ไม่มีการสำรวม
เป็นทางของกิเลสและบาปธรรม เป็นทางของวัฏฏะล้วน
ๆ ผู้จะออกจากวัฏฏะจึงไม่ควรสนใจ
กับทางอันลามกตกเหวเช่นนั้น เพราะจะพาให้
เป็นสมณะที่เลว ไม่เป็นผู้อันใคร ๆ พึงปรารถนา
อาหารเลวไม่มีใครอยากรับประทาน
สถานที่บ้านเรือนเลวไม่มีใครอยากอยู่อาศัย
เครื่องนุ่งห่มใช้สอยเลว ไม่มีใครอยากนุ่งห่มใช้สอย
และเหลือบมอง ทุกสิ่งที่เลวไม่มีใครสนใจ เพราะ
ความรังเกียจโดยประการทั้งปวง คนเลว ใจเลว ยิ่ง
เป็นบ่อแห่งความรังเกียจของโลกผู้ดีทั้งหลาย
ยิ่งสมณะคือนักบวชเราเลวด้วยแล้ว ก็ยิ่ง
เป็นจุดทิ่มแทงจิตใจของทั้งคนดีคนชั่ว สมณะชีพราหมณ์
เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมไม่เลือกหน้า
จึงควรสำรวมระวังนักหนา
การบำรุงรักษาสิ่งใด ๆ ในโลก
การบำรุงรักษาตน คือใจเป็นเยี่ยม
จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี
ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจตนแล้วคือเห็นธรรม รู้ใจ
แล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน
ใจนี่แลคือสมบัติอันล้นค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่
จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือ
ไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้
จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติก็คือผู้เกิดผิดพลาดนั่นเอง
เมื่อทราบแล้วว่าใจเป็นสิ่งประเสริฐ
ในตัวเรา จึงไม่ควรให้พลาดทั้งรู้ ๆ จะเสียใจภายหลัง
ความเสียใจทำนองนี้ไม่ควรให้เกิดได้เมื่อทราบ
อยู่อย่างเต็มใจ มนุษย์เป็นชาติที่ฉลาดในโลก แต่อย่า
ให้เราที่เป็นมนุษย์ทั้งคน โง่เต็มตัว จะเลวเต็มทนและหา
ความสุขไม่เจอ กิจการทั้งภายในภายนอกของสมณะ
เป็นกิจ หรือเป็นงานตัวอย่างของโลกได้อย่างมั่นใจ
เพราะเป็นกิจที่ขาวสะอาดปราศจากมลทินโทษ
ทั้งกิริยาที่ทำและงานที่ประกอบ จัดว่าชอบด้วยอรรถ
ด้วยธรรม จึงควรบำรุงส่งเสริมสมณกิจของตนให้มี
ความเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป จะเป็นผู้เจริญรุ่งเรือง
ในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ
สมณะผู้รักในศีล รักในสมาธิ รักสติ
รักปัญญา รักความเพียร จะเป็นสมณะอย่างเต็มภูมิ
ทั้งปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นี้
ธรรมที่แสดงนี้คือธรรมของท่านผู้มีความเพียร ของท่าน
ผู้อดผู้ทน ของท่านผู้เป็นนักต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด
เป็นยอดคน ของผู้พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง ปราศ
จากสิ่งกดขี่บังคับของท่านผู้เป็นอิสระอย่างเต็มภูมิ
คือพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาของโลกทั้งสาม
ถ้าท่านเห็นว่าธรรมทั้งนี้
เป็นธรรมสำคัญสำหรับท่าน ท่านจะเป็นผู้ไม่มีกิเลสใน
ไม่ช้านี้ จึงขอฝากธรรมไว้กับท่านนำไปพิจารณาด้วยดี
ท่านจะกลายเป็นคนที่แปลกขึ้นมาในใจ ซึ่ง
เป็นของแปลกอยู่แล้วตามหลักธรรมชาติดังนี้
เมื่อพระสาวกอรหันต์มาแสดงธรรม
ให้ท่านฟังจากไปแล้ว ท่านก็น้อมเอาธรรม
นั้นมาพิจารณาใคร่ครวญอีกต่อหนึ่ง โดยแยกแยะออก
เป็นแขนง ๆ ไตร่ตรองดูด้วยความละเอียด ทุก ๆ
ครั้งที่พระสาวกอรหันต์แต่ละองค์มาแสดงธรรมสั่งสอน
ท่านได้อุบายต่าง ๆ จากการสดับธรรมของพระอรหันต์
ทั้งหลาย ที่มาอบรมสั่งสอนแต่ละครั้งแต่ละองค์
ช่วยส่งเสริมกำลังใจกำลังสติปัญญาตลอดมา
ท่านเล่าว่า
ขณะที่ฟังธรรมพระอรหันต์ท่านแสดงธรรมให้ฟัง
ประหนึ่งได้ฟังธรรม
ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า แม้
ไม่เคยเห็นพระองค์มาก่อน ใจรู้สึกอิ่มเอิบ
และเพลิดเพลินไปตาม เหมือนโลกและธาตุขันธ์
ไม่มีกาลเวลามาบีบบังคับเลย ปรากฏว่ามีแต่จิตล้วน ๆ
ที่สว่างไสวไปด้วยอรรถด้วยธรรมเท่านั้น
พอจิตถอนออกมาจึงทราบว่าตนมีภูเขาอันแสนหนักทั้งลูก
คือร่างกายอันเป็นที่รวมแห่งขันธ์ ซึ่งแต่ละขันธ์ล้วน
เป็นกองทุกข์อันแสนทรมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 23:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บรรลุพระอนาคามีผลที่ถ้ำสาริกา
ท่านพักอยู่ที่ถ้ำนั้น
มีพระอรหันต์หลายองค์มาเยี่ยมและแสดงธรรม
ให้ฟังเสมอในวาระต่าง ๆ กัน ซึ่งผิดกับที่ทั้งหลายอยู่มาก
ในชีวิตที่ผ่านมา ธรรมเป็นที่แน่ใจได้ปรากฏขึ้นแก่ท่าน
ในถ้ำนั้น ธรรมนั้นคือพระอนาคามีผล
ธรรมนี้ในพระปริยัติท่านกล่าว
ไว้ว่าละสังโยชน์ได้ ๕ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ ท่าน
ผู้บรรลุธรรมขั้นนี้เป็นผู้แน่นอนในการไม่กลับมาอุบัติเกิด
เป็นมนุษย์ และสัตว์ที่มีธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
เป็นเรือนร่างอีกต่อไป หากยังไม่เลื่อนชั้นขึ้น
ถึงพระอรหันตภูมิในอัตภาพนั้น เวลาตาย
แล้วก็ไปอุบัติเกิดในพรหมโลก ๕ ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่ง
ตามภูมิธรรมที่ผู้นั้นได้บรรลุในพรหมโลก ๕ ชั้น คือ
อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐา ซึ่ง
เป็นที่สถิตอยู่ของพระอนาคามีบุคคล
ตามลำดับแห่งภูมิธรรมที่มีความละเอียดต่างกัน
ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าเป็นการภายในว่า
ท่านได้บรรลุอนาคามีธรรมในถ้ำนั้น แต่
ผู้เขียนก็เลยตัดสินใจนำมาลงเพื่อท่านผู้อ่านได้ติชมบ้าง
หากเป็นการผิดพลาดประการใด ก็ขอได้ตำหนิผู้เขียนว่า
เป็นผู้ไม่รอบคอบเสียเอง ท่านพักบำเพ็ญสมณธรรมด้วย
ความสงบเย็นใจอยู่ที่นั้นหลายเดือน
คืนวันหนึ่ง เกิด
ความเมตตาสงสารหมู่คณะขึ้นมาอย่างมากมายผิดสังเกตที่เคย
เป็นมา สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้น เนื่องมา
จากท่านทำสมาธิภาวนาเกิดความอัศจรรย์หลายอย่างที่
ไม่เคยคาดฝันว่าจะเป็นได้ในชีวิต แต่ก็
ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างประจักษ์ใจติด ๆ กันทุกคืน
เฉพาะคืนที่คิดถึงหมู่คณะนั้น รู้สึก
เป็นคืนที่แปลกมาก คือจิตเป็นสมาธิที่ละเอียดสุขุมมาก
เป็นพิเศษ ความรู้ความเห็นทั้งภายในภายนอกเป็นพิเศษ
ความอัศจรรย์ปรากฏขึ้นกับใจเป็นพิเศษ ถึง
กับน้ำตาร่วงไหลออกมาด้วยความเห็นโทษแห่ง
ความโง่ของตนในอดีตที่ผ่านมา ความเห็นคุณของ
ความเพียรที่ตะเกียกตะกายมาจน
ได้เห็นธรรมอัศจรรย์ขึ้นจำเพาะหน้า
ความเห็นคุณของพระพุทธเจ้า
ผู้มีพระเมตตาประสิทธิ์ประสาทธรรมไว้พอเห็นร่องรอย
ได้ดำเนินตาม และรู้ความสลับซับซ้อนแห่งกรรมของตน
และของผู้อื่น ตลอดสัตว์ทั้งหลาย ขึ้นมาอย่างประจักษ์
ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัย ตรงตามธรรมบทว่า
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นของตน
เป็นต้น อันเป็นบทธรรมที่รวมความสำคัญของศาสนา
ไว้แทบทั้งมวล
ท่านเตือนตนว่า แม้จะประสบ
ความอัศจรรย์หลายอย่างขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจก็ตาม
แต่ก็ทราบว่าทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ของท่านยัง
ไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ ยังจะต้องทุ่มเทกำลังสติปัญญาและ
ความพากเพียรทุกด้านลงอย่างเต็มกำลังอีกต่อไป
สิ่งที่ทำให้ท่านเย็นใจและอยู่ด้วย
ความผาสุกทั้งทางกายและทางใจนั้น คือโรคเรื้อรัง
ในท้องที่เคยรบกวนและตัดรอนเสมอมา ได้หายไป
โดยสิ้นเชิง จิตใจได้หลักยึดอย่างมั่นคง แม้ยัง
ไม่สิ้นกิเลส แต่ก็มิได้สงสัยปฏิปทาเครื่องดำเนินของตน
ปฏิปทาภายในเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ
เหมือนแต่ก่อน มีความแน่ใจว่าจะ
ไม่ลุ่มหลงสงสัยทางดำเนินเพื่อธรรมขั้นสูงสุดแบบลูบ ๆ
คลำ ๆ ดังที่เคยเป็นมา และมั่นใจว่าตนจะบรรลุ
ถึงธรรมแดนพ้นทุกข์ในวันหนึ่งแน่นอน
สติปัญญาก็ดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ถูกบังคับเคี่ยวเข็ญ วันคืนหนึ่ง ๆ เกิดความรู้
ความเห็นต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวแก่สิ่งภายใน
และเกี่ยวแก่สิ่งภายนอกไม่มีประมาณ ทำให้จิตใจรื่นเริง
ในธรรม และเกิดความสงสารหมู่คณะที่เคยอยู่ด้วย
กันมามากขึ้น อยากให้ได้รู้ได้เห็นอย่างที่ตนรู้เห็นบ้าง
ความคิดสงสารนี้เลยกลายเป็นสาเหตุ
ให้ท่านจำต้องจากถ้ำอันเป็นอุดมมงคลนี้
ไปหาหมู่คณะทางภาคอีสานอีก ทั้ง ๆ ที่อาลัยอาวรณ์
ไม่อยากไป
ก่อนที่ท่านจะจากถ้ำนี้ไปราว ๒-๓ วัน
ก็ปรากฏว่ามีพวกรุกขเทพ
โดยมีเทพลึกลับองค์ที่เคยมาหาท่าน
เป็นหัวหน้าพามาเยี่ยมฟังธรรมเทศนาท่าน เมื่อท่าน
ให้โอวาทแก่เทวดาจบลง และบอกความประสงค์ที่จะ
ต้องจากถ้ำและคณะเทพทั้งหลายไปสู่ถิ่นอื่นด้วย
ความจำเป็น บรรดาเทวดาที่รวมกันอยู่จำนวนมาก
ไม่ยอมให้ท่านจากไป และพร้อมกันอาราธนานิมนต์ท่าน
ไว้ เพื่อความร่มเย็นและ
เป็นสิริมงคลแก่ชาวเทพตลอดกาลนาน
ท่านก็บอกว่า ที่มาอยู่ที่นี่ก็มาด้วยความจำ
เป็น แม้การจะจากไปสู่ที่อื่นก็ไปด้วยความจำ
เป็นเช่นเดียวกัน มิได้มาและไปด้วยความอยากพาให้
เป็นไป จึงขอความเห็นใจจากท่านทั้งหลาย อย่า
ได้เสียใจ ถ้ามีโอกาสวาสนาอำนวยยังจะได้มาที่นี่อีก
ชาวเทพพากันแสดงความเสียใจ
และเสียดายท่านด้วยความเคารพรักจริง ๆ ไม่อยาก
ให้ท่านจากไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 23:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่งกระแสจิตมาดูท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
จวนจะถึงวันลงจากถ้ำ ตอนกลางคืนราว
๔.๐๐ นาฬิกา คือ ๑๐ ทุ่ม ท่านคิด
ถึงท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดบรมนิวาส
ว่าเวลานี้ท่านจะพิจารณาอะไรอยู่
จึงกำหนดจิตส่งกระแส ลงมาดูท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
ก็ทราบว่า เวลา
นั้นท่านกำลังพิจารณาปัจจยาการคืออวิชชาอยู่
ท่านอาจารย์ทราบแล้วก็จดจำวันไว้ เวลาลงมากรุงเทพฯ
ได้โอกาสก็เรียนถามท่านตามที่ตนทราบมาแล้ว
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ พอได้ทราบเท่านั้น
เลยต้องสารภาพและหัวเราะกันพักใหญ่ พร้อม
ทั้งชมเชยว่า
“ท่านมั่นนี้เก่งจริง เราเอง
เป็นขนาดอาจารย์ แต่ไม่เป็นท่า น่าอายท่านมั่นเหลือเกิน
ท่านมั่นเก่งจริง”
แล้วก็กล่าวชมเชยว่า
“มันต้องอย่างนี้ซิลูกศิษย์พระตถาคต ถึง
จะเรียกว่าเดินตามครู พวกเราอย่าทำตัวเป็นโมฆะ
จากธรรมของพระพุทธเจ้าเสียหมด ต้องมี
ผู้ทรงธรรมท่านไว้บ้าง สมกับธรรมเป็นอกาลิโก
ไม่ปล่อยให้กาลสถานที่และ
ความเกียจคร้านเอาไปกินเสียหมด ธรรมจะ
ไม่ปรากฏแก่โลกทั้งที่พระพุทธเจ้าประกาศสอนแก่หมู่ชน
ต้องทำอย่างท่านมั่นที่ได้ความรู้ต่าง ๆ มาเล่าสู่
กันฟังอย่างนี้จึงเป็นที่น่าชมเชย”
ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
เลื่อมใสและชมเชยท่านมาก บางครั้งเวลามีเรื่องราวต่าง
ๆ ที่ท่านไม่แน่ใจว่าควรจะพิจารณาและตัดสินใจอย่างไร
จึงจะถูกต้องเหมาะสม ท่านยัง
ให้พระนิมนต์ท่านพระอาจารย์มั่นไปร่วมปรึกษา
และมอบเรื่องราวให้ท่านไปพิจารณาช่วยก็ยังมี
พอควรแก่เวลาแล้ว
ท่านก็เดินทางไปภาคอีสาน
ท่านว่า ก่อนท่านจะขึ้นไปบำเพ็ญ
อยู่ที่ถ้ำสาริกาเขาใหญ่ จังหวัดนครนายก
ท่านเที่ยวจาริกไปทางประเทศพม่าก่อน
แล้วกลับมาผ่านจังหวัดเชียงใหม่ ลงไปทางหลวงพระบาง
ประเทศลาว บำเพ็ญสมณธรรมอยู่แถบ
นั้นนานพอสมควร แล้วไปจังหวัดเลย
และจำพรรษาที่บ้านโคก ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับถ้ำผาปู่
ในเขตจังหวัดเลย ๑ พรรษา และไปจำพรรษาที่ถ้ำผาบิ้ง
๑ พรรษาในเขตจังหวัดเดียวกัน
ที่ที่ท่านจำพรรษาเหล่านี้มีแต่ป่าแต่เขา
และเต็มไปด้วยสัตว์ชนิดต่าง ๆ เพราะหมู่บ้านและ
ผู้คนมีน้อยในสมัยนั้น เดินทางไปตั้งวันก็ไม่เจอหมู่บ้าน
ถ้าเกิดไปหลงทางเข้าต้องแย่ และนอนกลางป่า ซึ่ง
เป็นที่ชุกชุมของสัตว์นานาชนิด มีเสือ เป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 23:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสือโคร่งเข้ามาดูพระเดินจงกรม
ท่านเล่าว่า
ท่านข้ามไปเที่ยวธุดงค์ฟากฝั่งแม่น้ำโขงประเทศลาว
และพักอยู่ในป่าใกล้ภูเขา มีเสือโคร่ง
ใหญ่เคยมาหาท่านบ่อย ๆ บางทีมันก็มาดูท่านอยู่ห่าง ๆ
ในเวลากลางคืน ซึ่งกำลังเดินจงกรมอยู่ แต่มันมิ
ได้แสดงท่าทางให้เป็นที่น่ากลัวอะไรนัก นอก
จากมันร้องไปตามภาษาของมัน แลเที่ยวไปมาอยู่แถว ๆ
บริเวณนั้นเท่านั้น ท่านก็มิได้สนใจกับมัน เพราะเคยชิน
กับพวกสัตว์ต่าง ๆ มาแล้ว
คืนวันหนึ่งมีเสือโคร่งตัวใหญ่มาก
เข้ามาหาพระที่เป็นเพื่อนไปด้วยกัน ซึ่งกำลังเดินจงกรม
อยู่ แต่อยู่กันคนละหมู่บ้าน มิได้อยู่ด้วยกัน มัน
เข้ามานั่งดูท่าน
อยู่ข้างทางเดินจงกรมของพระอาจารย์องค์นั้น ห่าง
จากทางจงกรมท่านประมาณ ๑ วา ท่ามกลาง
ความสว่างของแสงไฟเทียนไขที่ท่านจุด
ไว้เพื่อมองเห็นหนทางเดินจงกรมไปมา
การนั่งของเสือโคร่งตัวนั้นเหมือนสุนัขบ้านเรานั่งนั้นเอง
มันนั่งหันหน้ามาทางจงกรมท่าน
ตามันจับจ้องมองดูพระที่ท่านกำลังเดินจงกรมไปมา
ไม่ลดละสายตา แต่มิได้แสดงอาการอย่างใดออกมา
ขณะที่พระท่านเดินจงกรมไป
ถึงตรงที่มันนั่งดูอยู่นั้น รู้สึกสงสัยนัยน์ตาและเฉลียวใจ
เพราะข้างทางจงกรมตรงนั้นปกติไม่มีอะไร แต่ขณะ
นั้นรู้สึกพิกลนัยน์ตา จึงมองไปดู ก็พอดีเห็นเสือโคร่ง
ใหญ่กำลังนั่งมองดูท่านอยู่แล้ว ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
พระท่านเองก็ไม่กลัวมัน มันก็ไม่ทำอะไรท่าน
เป็นเพียงนั่งดูอยู่เฉย ๆ เหมือนสัตว์ไม่มีวิญญาณ และ
ไม่กระดุกกระดิก ท่านก็เดินจงกรมผ่านหน้ามันไปมา
ไม่นึกกลัวอะไรกัน เป็นแต่เห็นมันนั่งดูท่าน
อยู่นานผิดปกติ จึงทำให้ท่านคิดขึ้นด้วย
ความสงสารมันว่า
แกจะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปซิ
จะมานั่งเฝ้าเราทำไมกัน
พอท่านคิดจบลงเท่านั้น
เสียงมันดังกระหึ่มขึ้นทันที จนสะเทือนป่าไปหมดในขณะ
นั้น เมื่อท่านได้ยินเสียงมันดังกระหึ่ม และ
ไม่ยอมหนีตามที่ท่านคิดอยากให้มันหนีไป
ท่านเลยรีบเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า
เท่าที่คิดเช่นนั้นก็เพราะความสงสาร
เกรงว่าจะเกิดความหิวโหย เพราะมีปากมีท้องที่จะต้อง
ได้รับการบำรุงรักษาเช่นทั่ว ๆ ไป
เพราะการมานั่งเฝ้าเรานาน ๆ ถ้าไม่เกิดความหิวกระหาย
ใด ๆ จะนั่งเฝ้าเพื่อรักษาอันตรายให้ก็ยิ่งดี เราก็
ไม่ว่าอะไร
พอท่านเปลี่ยนความคิดใหม่เช่นนี้จบลง
มันก็มิได้แสดงอาการอย่างไรต่อไปอีก
คงนั่งดูท่านเดินจงกรมต่อไปตามนิสัยของมัน
ท่านเองก็คงเดินจงกรมไปมาตามปกติ มิได้สนใจ
กับมันอีกต่อไป มันก็นั่งดูท่านอยู่เหมือนหัวตอ
ไม่กระดุกกระดิกตัวแต่อย่างใดเลย
จนถึงเวลาท่านก็เดินออกจากทางจงกรม
เข้าไปสู่ที่พักซึ่งเป็นแคร่เล็ก ๆ เหมือนเตียงนอน ที่อยู่
ไม่ห่างไกลจากทางจงกรมนัก ทำวัตรสวดมนต์
และนั่งสมาธิภาวนาต่อไป จน
ถึงเวลาพักผ่อนท่านก็พักนอนอยู่บนแคร่นั้น ซึ่งอยู่ไม่ห่าง
จากเสือโคร่งตัวนั้นนักเลย
ท่านตื่นนอน ๓.๐๐ นาฬิกา คือ ๙ ทุ่ม จาก
นั้นท่านก็เริ่มออกไปเดินจงกรมอีกตามเคย แต่
ไม่เห็นเสือตัวนั้นอีก ไม่ทราบว่ามันหายไปทางทิศใด
คืนต่อไปก็ไม่เห็นมันมาที่นั่นอีก จนกระทั่งท่านจากที่
นั้นหนีไป เผอิญเห็นเฉพาะคืนเดียวเท่านั้น จึงทำ
ให้พระอาจารย์องค์นั้นเกิดความสงสัย เวลาไปพบ
กับท่านพระอาจารย์มั่น จึงเล่าเรื่องเสือมาเฝ้าตน
ให้ท่านพระอาจารย์มั่นฟัง
ท่านเล่าว่า อาจารย์องค์นั้นชื่อ “สีทา”
อายุพรรษาแก่กว่าท่านเล็กน้อย ท่าน
เป็นพระนักปฏิบัติรุ่นเดียวกัน และเป็น
ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง ท่านชอบป่าชอบ
เขาชอบที่สงบสงัดมาก ท่านชอบอยู่ตามภู
เขาทางฝั่งแม่น้ำโขงประเทศลาวมากกว่าที่อื่น ๆ
แม้ข้ามมาฝั่งไทยเราก็ไม่นาน
ท่านพระอาจารย์สีทาเล่า
ให้พระอาจารย์มั่นฟัง คราวเสือกระหึ่มใส่ท่านนั้น
เป็นขณะที่ท่านคิดอยากให้มันหนีไปว่าท่านไม่รู้สึกกลัว
แต่ขนลุกไปหมดทั้งตัว ศีรษะชาเหมือนใส่หมวก
ต่อไปค่อยเป็นปกติและเดินจงกรมไปมา
ได้สะดวกธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรมาอยู่ที่นั้น
ความจริงมันคงจะมีความกลัวอยู่อย่างลึกลับจนเจ้าตัว
ไม่อาจรู้ได้ แม้คืนที่เสือโคร่งใหญ่ตัวนั้นไม่มาหาท่านถึงที่
อยู่ แต่ก็ได้ยินเสียงมันร้องกระหึ่ม ๆ อยู่บริเวณ
ใกล้เคียงที่ท่านพักอยู่แทบทุกคืน ท่านก็
ไม่เห็นรู้สึกกลัวมัน และทำความเพียร
ได้อย่างสบายเหมือนไม่มีอะไรในบริเวณนั้น
สมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่นออกปฏิบัติทีแรก
และเที่ยวไปตามจังหวัดต่าง ๆ มีจังหวัดนครพนม
สกลนคร อุดรธานี จนไปถึงพม่า
กลับมาผ่านจังหวัดเชียงใหม่ หลวงพระบาง เวียงจันทน์
จังหวัดเลย ลงไปจำพรรษาที่วัดปทุมวัน กรุงเทพฯ
และไปพักที่ถ้ำสาริกา เขาใหญ่
ตลอดเวลาที่ท่านกลับมาทางภาคอีสานอีก ท่านมัก
จะไปเพียงองค์เดียว แม้จะมีพระติดตามบ้างก็
เป็นบางสมัยเท่านั้น แล้วก็แยกกันไป เพราะท่านเป็น
ผู้ปฏิบัติเด็ดเดี่ยว ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับหมู่คณะ ท่านถือ
เป็นความสะดวกในการไปคนเดียวอยู่คนเดียว
บำเพ็ญสมณธรรมคนเดียวตลอดมา
จนปรากฏว่ามีกำลังใจมั่นคง จึงเกิดความสงสารหมู่คณะ
และสนใจที่จะแนะนำสั่งสอน
ความคิดอันนี้เป็นเหตุให้ท่านได้
จากถ้ำสาริกาอันแสนสบายกลับไปทางภาคอีสาน หลัง
จากท่านได้อบรมพระเณรไว้บ้างสมัยที่ท่านเที่ยวธุดงค์
อยู่ทางภาคอีสาน ก่อนหน้าจะลงมาทางภาคกลาง
และไปถ้ำเขาใหญ่
ก็ปรากฏว่ามีพระธุดงคกรรมฐานปฏิบัติ
อยู่ทางภาคอีสานมากพอสมควร พอท่านกลับไปเที่ยวนี้ก็
ได้ตั้งใจทำการสั่งสอนทั้งพระเณรและฆราวาสผู้มี
ความมุ่งหวังต่อท่านอยู่แล้วอย่างเต็มกำลัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 23:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิษย์รุ่นแรก ๆ
การเที่ยวทางภาคอีสานท่านก็เที่ยวไปตามจังหวัดต่าง
ๆ ที่เคยไปแล้ว ปรากฏว่ามีพระเณรญาติโยมเกิด
ความเชื่อเลื่อมใสท่านมากมาย ผู้ออกบวช
และปฏิบัติตามท่านด้วยความเชื่อเลื่อมใสมีจำนวนมาก
แม้พระที่มีอายุพรรษาจนเป็นขั้นอาจารย์
แล้วก็ยอมสละทิฐิมานะ
และภาระหน้าที่ออกปฏิบัติตามท่าน จนกลายเป็นผู้มี
ความมั่นคงทางข้อปฏิบัติและทางจิตใจ จน
สามารถสั่งสอนผู้อื่นได้อย่างเต็มภูมิก็มีจำนวนมาก
พระที่เป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของท่าน คือ
ท่านพระอาจารย์สุวรรณ ที่เคย
เป็นเจ้าอาวาสวัดอรัญญิกาวาส อำเภอท่าบ่อ
จังหวัดหนองคาย พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
เจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา
พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล เคย
เป็นเจ้าอาวาสวัดศรัทธาราม นครราชสีมา ทั้ง ๓
องค์นี้ท่านเป็นชาวอุบลราชธานี
และท่านมรณภาพไปหมดแล้ว ซึ่งล้วนเป็นลูกศิษย์
ผู้สำคัญที่ให้การอบรมพระเณรญาติโยม สืบทอด
จากพระอาจารย์มั่นมาเป็นลำดับถึงสมัยปัจจุบัน
พระอาจารย์สิงห์ กับ พระอาจารย์มหาปิ่น
ทั้งสององค์นี้ท่านเป็นพี่กับน้องร่วมอุทรเดียวกัน และเป็น
ผู้ได้รับการศึกษาทางปริยัติมามากพอสมควร
ทั้งสององค์นี้ท่านเกิดความเลื่อมใสพอใจ
ยอมสละทิฐิมานะ
และภาระหน้าที่ออกปฏิบัติตามท่านพระอาจารย์มั่นตลอดมา
และได้ทำประโยชน์แก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง
รองกันลงมาก็ พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี
ท่านเป็นพระราชาคณะ ปัจจุบันท่านจำพรรษา
อยู่วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
ท่านเป็นลูกศิษย์ผู้
ใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่นรูปหนึ่งที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสอยู่มาก และ
เป็นที่เคารพเลื่อมใสของพระเณรและประชาชน
ทั่วไปแทบทุกภาค ปฏิปทาของท่านเป็นไปอย่างเรียบ ๆ
สม่ำเสมอ สมกับอัธยาศัยท่านที่คล่องแคล่ว อ่อนโยน
สงบเสงี่ยม งามมาก ยากที่จะหาได้แต่ละองค์
คำพูดจาปราศรัยเป็นที่จับใจไพเราะต่อคนทุกชั้น
ท่านมีมารยาทสวยงามมาก ผู้ยึดไปเป็นคติ
และปฏิบัติตาม ย่อมเป็นผู้สวยงามและเย็นตาเย็นใจแก่ผู้
ได้เห็นได้ยิน ตลอดผู้มาเกี่ยวข้องทั่ว ๆ ไปอย่าง
ไม่มีประมาณ
เพราะมารยาทอัธยาศัยของครูอาจารย์แต่ละองค์
ไม่เหมือนกัน คือมารยาทของบางองค์ใครนำไป
ใช้ก็งามไปหมด ไม่แสลงใจแก่ผู้มาเกี่ยวข้อง และเป็น
ความงามตาเย็นใจในคนทุกชั้น
แต่มารยาทของบางอาจารย์ ย่อมเป็นสมบัติที่เหมาะสม
และสวยงามเฉพาะองค์ท่านเท่านั้น ผู้อื่นยึดเอาไป
ใช้ย่อมกลายเป็นสิ่งที่ปลอมแปลงและแสลงใจผู้อื่นที่
ได้เห็นได้ยินขึ้นมาทันที ดังนั้น
มารยาทของบางอาจารย์จึงไม่สะดวกที่จะยึดไปใช้ทั่ว ๆ
ไป
ท่านอาจารย์เทสก์
ท่านมีอัธยาศัยนุ่มนวลควรเป็นคติและเป็นสิริมงคลแก่
ผู้รับไปปฏิบัติตามทั่ว ๆ ไป โดยไม่มีปัญหาว่า
จะขัดต่อสายตาและจิตใจของผู้มาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
และเหมาะสมกับเพศนักบวช
ผู้ควรมีมารยาทอัธยาศัยสงบเสงี่ยมเย็นใจโดยแท้
นี่คือลูกศิษย์ของท่านรูปหนึ่งที่ควรกราบไหว้บูชาอย่างสนิทใจ
ตามความรู้สึกของผู้เขียนที่ได้เคยสมาคม
และกราบไหว้บูชาท่าน โดยถือ
เป็นครูอาจารย์อย่างสนิทใจตลอดมา
ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากในภาคต่าง ๆ
และทำประโยชน์แก่หมู่ชนอย่างกว้างขวาง จัดว่า
เป็นพระอาจารย์ที่หาได้ยากรูปหนึ่ง
ลำดับพรรษาลงมาก็มี พระอาจารย์ฝั้น
อาจาโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านผู้หนึ่ง
ขณะนี้ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดอุดมสมพร บ้านนาหัวช้าง
อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ท่าน
เป็นที่เลื่องลือระบือทั่วทุกหนทุกแห่ง
ด้วยกิตติศัพท์กิตติคุณแห่งการปฏิบัติดี
สามีจิกรรมที่ชอบทั้งภายนอกภายใน จิตใจท่านก็สูง
ด้วยคุณธรรม
เป็นที่เคารพนับถือของหมู่ชนทุกภาคของเมืองไทย
เป็นที่น่าเลื่อมใสอย่างยิ่ง เป็นผู้มี
ความเมตตามากต่อคนทุกชั้น การสงเคราะห์ทั้งด้านวัตถุ
และด้านธรรมะ นับว่าท่านเอาใจใส่อย่างพระ
ผู้มีจิตเมตตาไม่มีขอบเขตจริง ๆ แต่รู้สึกเสียใจที่จำ
ต้องงดเรื่องท่าน
ไว้ก่อนเพื่อดำเนินเรื่องของท่านพระอาจารย์มั่นสืบต่อไป
หากมีโอกาสจะนำมาลงในวาระต่อไป
ตอนจบเรื่องของท่านพระอาจารย์มั่นเรียบร้อยแล้ว
ลำดับศิษย์ของท่านองค์ต่อไปคือ
ท่านพระอาจารย์ขาว ซึ่งขณะนี้ท่านอยู่วัดถ้ำกลองเพล
อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี ท่าน
ผู้อ่านคงทราบกิตติคุณท่านได้ดีพอ เพราะ
เป็นอาจารย์สำคัญในปัจจุบัน ทั้งด้านข้อปฏิบัติและ
ความรู้ภายในใจ เป็นที่น่าเลื่อมใสอย่างมาก ท่าน
เป็นพระที่เด็ดเดี่ยวทางความเพียร ชอบแสวงหาอยู่
ในที่สงัดตลอดมา ทางความเพียรท่านเป็นเยี่ยม
ในวงพระธุดงคกรรมฐาน ยากจะหาตัวจับได้
แม้ปัจจุบันอายุท่านจะก้าวข้าม ๘๒ ปีอยู่แล้วก็ตาม แต่
ความเพียรยังไม่ยอมลดหย่อนผ่อนตามสังขารเลย
มีบางคนพูดเป็นเชิงวิตกเป็นห่วงท่านว่า
ท่านจะทำความเพียรไปเพื่ออะไรนักหนา เพราะอะไร ๆ
ท่านก็เพียงพอทุกอย่างแล้ว ไม่ทราบว่าท่าน
จะขยันไปเพื่ออะไรอีก
ก็ได้ชี้แจงเรื่องของท่านให้ฟังว่า ท่าน
ผู้หมดสิ้นสิ่งที่เป็นข้าศึกซึ่งคอยกีดกันบั่นทอน
และคอยเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลาโดยสิ้นเชิงแล้ว
ท่านไม่มีความเกียจคร้านมากีดขวางลวงใจ
ให้ลุ่มหลงไปตาม เหมือนพวกเราผู้สั่งสม
ความขี้เกียจอ่อนแอไว้ในใจจนกองเท่าภูเขาสูงลูกใหญ่ ๆ
แทบมองหาตัวคนไม่เห็น พอ
จะทำอะไรลงไปบ้างก็กลัวแต่จะได้มาก มีมากกลัว
จะหาที่เก็บไม่ได้ กลัวแต่จะเหนื่อยยากลำบาก สุดท้ายก็
ไม่มีอะไรจะเก็บใส่ภาชนะเลย มีแต่ภาชนะเปล่า ๆ
ใจเปล่า ๆ ใจเหี่ยวแห้ง ใจไม่มีคุณสมบัติเครื่องอาศัย
ใจลอย ๆ สิ่งที่เต็มก็คือการบ่นว่าทุกข์ ว่าจน
หรือเดือดร้อนกันทั่วโลก
เพราะมารตัวขี้เกียจคอยบันดาลขัดขวางและกดถ่วงไว้
ท่านผู้ปราบมารตัวเหล่านี้ออกจากใจได้
แล้ว จึงเป็นผู้ขยันหมั่นเพียรไม่ลดละ โดยไม่สนใจคิดว่า
จะมีภาชนะเก็บหรือไม่ ความมีใจเป็นธรรมล้วน ๆ
ไม่มีโลกเครื่องทำลายเข้ามาแอบแฝง จึงเป็นบุคคลที่มี
ความสง่าผ่าเผยอยู่ทุกอิริยาบถ ไม่มีความอับเฉาเศร้าใจ
เข้ามาครอบครอง จึงเป็นบุคคลตัวอย่างของโลก
ได้อย่างมั่นเหมาะ
ลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์แต่ละองค์รู้สึกมีสมบัติอันแพรวพราวราว
กับเพชรซ่อนอยู่ในตัวอย่างลึกลับแทบทุกองค์ เมื่อเข้า
ถึงองค์ท่านจริง ๆ แล้ว จะได้รับสิ่งแปลก ๆ
และอัศจรรย์ไปเป็นขวัญใจและระลึกไว้เป็นเวลานาน ๆ
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านมีลูกศิษย์ที่สำคัญ
ๆ อยู่หลายองค์และหลายรุ่น ทั้งรุ่นอายุพรรษา
และคุณธรรมรองกันลงมาเป็นลำดับลำดา สมกับท่าน
เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องรุ่งเรืองด้วยคุณธรรม
คือข้อปฏิบัติและธรรมภายใน ประหนึ่งพระไตรปิฎกย่อม
ๆ ตั้งอยู่ภายในดวงใจท่าน จริงดังบุพพนิมิตที่ปรากฏ
เป็นกรุยหมายไว้แต่เริ่มแรกออกปฏิบัติ
เวลาสำเร็จผลขึ้นมาก็ตรงตามนั้น
ทราบว่าท่านจาริกไปในที่ต่าง ๆ
และทำการอบรมสั่งสอนพระเณรและประชาชน
เป็นจำนวนมากต่อมาก พากันเกิด
ความเชื่อเลื่อมใสอย่างฝังใจ และติดใจ
ในรสพระสัทธรรมของท่านมาก เนื่อง
จากท่านนำเอาของจริงภายในใจออกสั่งสอนด้วย
ความรู้จริงเห็นจริง มิได้เป็นไปแบบสุ่มเดา
คือท่านก็แน่ใจและเห็นจริงในธรรมที่ปฏิบัติ รู้
และสอนจริงตามธรรมที่ท่านรู้ท่านเห็น
เมื่อกลับ
จากถ้ำสาริกาสู่ภาคอีสานครั้งที่สองนี้
ท่านเล่าว่าท่านตั้งใจอบรมสั่งสอนพระเณรและประชาชน
ทั้งชุดเก่าที่เคยอบรมไว้บ้างแล้ว ทั้งชุด
ใหม่ที่กำลังเริ่มตั้งรากตั้งฐานอย่างแท้จริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 23:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธุดงควัตรที่ท่านนับถือเป็นแบบฉบับ
การปฏิบัติต่อธุดงควัตรที่ท่านนับถือ
เป็นแบบฉบับอย่างฝังใจประจำองค์ท่าน
และสั่งสอนพระเณรให้ดำเนินตามมีดังนี้
การบิณฑบาตเป็นกิจวัตรประจำวันมิ
ได้ขาด ถ้ายังฉันอยู่ เว้นจะไม่ฉันในวันใด ก็ไม่จำต้องไป
ในวันนั้น
กิจวัตรในการบิณฑบาต ท่านสอนให้ตั้งอยู่
ในท่าสำรวมกายวาจาใจ มีสติประจำตนกับความเพียรที่
เป็นไปอยู่เวลานั้น ไม่ปล่อยใจ
ให้พลั้งเผลอไปตามสิ่งยั่วยวนต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาสัมผัส
กับอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งไป
และกลับ ท่านสอนให้มีสติรักษาใจ ตลอด
ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ไม่ให้เผลอตัว และถือเป็น
ความเพียรประจำกิจวัตรข้อนี้ทุก ๆ
วาระที่เริ่มเตรียมตัวออกบิณฑบาต หนึ่ง
อาหารที่ได้มาในบาตรมากน้อยถือว่า
เป็นอาหารที่พอดี และเหมาะสมกับผู้ตั้งใจ
จะสั่งสมธรรมคือความมักน้อยสันโดษให้สมบูรณ์ภาย
ในใจ ไม่จำต้องแสวงหา
หรือรับอาหารเหลือเฟือที่ตามส่งมาทีหลังอีก อัน
เป็นการส่งเสริมกิเลสความมักมากซึ่งมีประจำตนอยู่แล้ว
ให้มีกำลังผยองพองตัวยิ่ง ๆ ขึ้นจนตามแก้ไม่ทัน
อาหารที่ได้มาในบาตรอย่างใดก็ฉันอย่างนั้น ไม่แสดง
ความกระวนกระวายส่ายแส่อัน
เป็นลักษณะเปรตผีตัวมีวิบากกรรมทรมาน มีอาหาร
ไม่พอกับความต้องการ ต้องวิ่งวุ่นขุ่นเคืองเดือดร้อน
เพราะท้องเพราะปาก ด้วย
ความหวังอาหารมากยิ่งกว่าธรรม
ธุดงค์ข้อห้ามอาหารที่ตามส่งมาทีหลัง นี้ เป็นธรรม
หรือเครื่องมือหักล้างกิเลสความมักมากในอาหารได้
เป็นอย่างดี และตัดความหวังความกังวลต่าง ๆ ที่เกี่ยว
กับอาหารได้อย่างดีเยี่ยม หนึ่ง
การฉันมื้อเดียวหรือหนเดียวในวันหนึ่ง ๆ
เป็นความพอดีกับพระธุดงคกรรมฐาน ผู้มีภาระและ
ความกังวลน้อย ไม่พร่ำเพรื่อกับอาหารหวานคาว
ในเวลาต่าง ๆ อันเป็นการกังวล
กับปากท้องมากกว่าธรรมจนเกินไป ไม่สมศักดิ์ศรีของ
ผู้แสวงธรรมเพื่อความพ้นทุกข์อย่างเต็มใจ แม้เช่นนั้น
ในบางคราวยังควรทำการผ่อนอาหาร ฉันแต่น้อย
ในอาหารมื้อเดียวนั้น เพื่อจิตใจกับความเพียรจะ
ได้ดำเนินโดยสะดวก ไม่อืดอาดเพราะมากจนเกินไป
และยังเป็นผลกำไรทางใจอีกต่อหนึ่งจากการผ่อนนั้นด้วย
สำหรับรายที่เหมาะกับจริตของตน ธุดงควัตรข้อนี้
เป็นธรรมเครื่องสังหารลบล้าง
ความเห็นแก่ปากแก่ท้องของพระธุดงค์ที่มีใจมักละโมบโลเล
ในอาหารได้ดี และเป็นธรรมข้อบังคับที่เหมาะสมมาก
ทางโลกก็นิยมเช่นเดียวกับทางธรรม เช่น
เขามีเครื่องป้องกันและปราบปรามสิ่งที่เป็นข้าศึก ไม่ว่า
จะเป็นข้าศึกต่อทรัพย์สินหรือต่อชีวิตจิตใจ เช่น สุนัขดุ
งูดุ ช้างดุ เสือดุ คนดุ ไข้ดุ หรือไข้ทรยศ เขามีเครื่องมือ
หรือยาสำหรับป้องกันหรือปราบปรามกันทั่วโลก
พระธุดงคกรรมฐานผู้มีใจดุ ใจหนักในอาหารหรือในทาง
ไม่ดีใด ๆ ก็ตาม ที่ไม่น่าดูสำหรับตัวเองและผู้อื่น
จึงควรมีธรรมเป็นเครื่องมือไว้สำหรับปราบปรามบ้าง ถึง
จะจัดว่าเป็นผู้มีขอบเขตและงามตาเย็นใจสำหรับตัวและ
ผู้เกี่ยวข้องทั่ว ๆ ไป ธุดงค์ข้อนี้จึง
เป็นธรรมเครื่องปราบปรามได้ดี หนึ่ง
การฉันในบาตรไม่เกี่ยวกับภาชนะอื่นใด
จัดเป็นความสะดวกอย่างยิ่งสำหรับพระธุดงคกรรมฐาน
ผู้ประสงค์ความมักน้อยสันโดษและมีนิสัยไม่ค่อยอยู่
กับที่เป็นประจำ การไปเที่ยวจาริกเพื่อสมณธรรม
ในทิศทางใด ก็ไม่ต้องหอบหิ้วพะรุงพะรังอันเป็นความ
ไม่สะดวก และเหมาะสมกับพระผู้
ต้องการถ่ายเทสิ่งรกรุงรังภายในใจทุกประเภท
เครื่องบริขารใช้สอยแต่ละอย่างนั้น ทำ
ความกังวลแก่การบำเพ็ญได้อย่างพอดู ฉะนั้น
การฉันเฉพาะในบาตรจึงเป็นกรณีที่ควรสนใจ
เป็นพิเศษสำหรับพระธุดงค์ คุณสมบัติที่จะเกิด
จากการฉันในบาตรยังมีมากมาย คือ อาหารชนิดต่าง ๆ
ที่รวมลงในบาตร ย่อมเป็นสิ่งที่สะดุดตาสะดุดใจ
และเตือนสติปัญญามิให้นิ่งนอนใจต่อการพิจารณา
เพื่อถือเอาความจริงต่าง ๆ ที่มีอยู่กับอาหารที่รวมกันอยู่
ได้อย่างดีเยี่ยม ท่านเล่าว่า ท่านเคยได้รับอุบายต่างๆ
จากการพิจารณาอาหารในขณะที่ฉันมาเป็นประจำ
แม้ข้ออื่น ๆ ก็มีนัยเช่นเดียวกัน ท่านจึงได้ถือ
เป็นข้อหนักแน่นในธุดงควัตรตลอดมามิได้ลดละ
การพิจารณาอาหารในบาตร เป็นอุบายตัด
ความทะเยอทะยานในรสชาติของอาหารได้ดี
การพิจารณาก็เป็นธรรมเครื่องถอดถอนกิเลส
เวลาฉันใจก็ไม่ทะเยอทะยานไปกับรสอาหาร มีความรู้สึก
อยู่กับความจริงของอาหารโดยเฉพาะ อาหารก็เพียง
เป็นเครื่องยังชีวิตให้เป็นไปในวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ไม่กลับ
เป็นเครื่องก่อกวนและส่งเสริมให้ใจกำเริบ
เพราะอาหารดีมีรสอร่อยบ้าง เพราะอาหารไม่ดีมีรสไม่
ต้องใจบ้าง การพิจารณาโดยแยบคายทุก ๆ
ครั้งก่อนลงมือฉัน ย่อมทำให้ใจคงตัวอยู่ได้
โดยสม่ำเสมอ ไม่ตื่นเต้น ไม่อับเฉา เพราะอาหาร
และรสอาหารชนิดต่าง ๆ วางตัวคือใจเป็นกลางอย่างมี
ความสุข ฉะนั้น การฉันในบาตรจึง
เป็นข้อวัตรเครื่องกำจัดกิเลสตัวหลงรสอาหารได้
เป็นอย่างดี หนึ่ง
ท่านถือผ้าบังสุกุลเป็นกิจวัตร
พยายามอดกลั้นไม่ทำตามความอยากอันเป็น
ความสะดวกใจ ซึ่งมีนิสัยชอบสวยงามในความเป็นอยู่
ใช้สอยโดยประการทั้งปวงมาดั้งเดิม คือ
เที่ยวเสาะแสวงหาผ้าที่เขาทิ้งไว้ในที่ต่าง ๆ ที่ป่าช้า
เป็นต้น เก็บเล็กผสมน้อยมาเย็บปะติดปะต่อ
เป็นเครื่องนุ่งห่มใช้สอย โดยเป็นสบงบ้าง เป็นจีวรบ้าง
เป็นสังฆาฏิบ้าง เป็นผ้าอาบน้ำฝนบ้าง เป็นบริขารอื่น ๆ
บ้าง เรื่อยมา บางครั้งท่านชักบังสุกุลผ้าที่
เขาพันศพคนตายในป่าช้าก็มีที่เจ้าของศพเขายินดี
เวลาไปบิณฑบาตมองเห็นผ้าขาดตกทิ้ง
อยู่ตามถนนหนทาง ท่านก็เก็บเอาเป็นผ้าบังสุกุล ไม่ว่าจะ
เป็นผ้าชนิดใดและได้มาจากที่ไหน เมื่อมาถึงที่พัก
แล้วท่านนำมาทำการซักฟอกให้สะอาด
แล้วเอามาเย็บปะสบงจีวรที่ขาดบ้าง เย็บติดต่อกัน
เป็นผ้าอาบน้ำฝนบ้าง อย่างนั้นเป็นประจำตลอดมา
ต่อมาศรัทธาญาติโยมทราบเข้า
ต่างก็นำผ้าไปบังสุกุลถวายท่านที่ป่าช้าบ้าง
ตามสายทางที่ท่านไปบิณฑบาตบ้าง
ตามบริเวณที่พักท่านบ้าง ที่กุฎีหรือแคร่ที่ท่านพักบ้าง
การบังสุกุลที่ท่านเคยทำมาดั้งเดิมก็ค่อยเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ที่พา
ให้เป็นไป ท่านเลยต้องชักบังสุกุลผ้าที่เขามาทอด
ไว้ตามที่ต่าง ๆ
ในข้อนี้ปรากฏว่าท่านพยายามรักษามาตลอดอวสานแห่งชีวิต
ท่านว่าพระเรา
ต้องทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วที่ปราศจากราคาค่างวดใด ๆ
แล้วจึงเป็นความสบาย การกินอยู่หลับนอนและ
ใช้สอยอะไรก็สบาย การเกี่ยวข้องกับผู้คนก็สบาย
ไม่มีทิฐิมานะความถือตัวว่าเราเป็นพระเป็นเณรผู้สูงศักดิ์
ด้วยศีลธรรม เพราะศีลธรรมอันแท้จริงมิได้อยู่กับ
ความสำคัญเช่นนั้น แต่อยู่กับความไม่ถือตัวยั่วกิเลส อยู่
กับความตรงไปตรงมาตามผู้มีสัตย์มีศีลมีธรรม
ความสม่ำเสมอเป็นเครื่องครองใจ
นี้แลคือศีลธรรมอันแท้จริง ไม่มีมานะ
เข้ามาแอบแฝงทำลายได้ อยู่ที่ใดก็เย็นกายเย็นใจ
ไม่มีภัยทั้งแก่ตัวและผู้อื่น
การปฏิบัติธุดงควัตรข้อนี้
เป็นเครื่องทำลายกิเลสมานะความสำคัญตนในแง่ต่าง ๆ
ได้ดี ผู้ปฏิบัติจึงควรเข้าใจระหว่างตนกับศีลธรรมด้วยดี
อย่าปล่อยให้ตัวมานะ
เข้าไปยื้อแย่งครอบครองศีลธรรมภายในใจได้ จะกลาย
เป็นผู้มีเขี้ยวมีเขาแฝงขึ้นมาในศีลธรรมอัน
เป็นธรรมชาติเยือกเย็นมาดั้งเดิม
การฝึกหัดทรมานตนให้
เป็นเหมือนผ้าเช็ดเท้าจนเคยชิน โดยไม่ยอม
ให้ตัวทิฐิมานะโผล่ขึ้นมาว่าตัวมีราคาค่างวดนี้
เป็นทางก้าวหน้าของธรรมภายในใจโดยสม่ำเสมอ
จนกลายเป็นใจธรรมชาติ เป็นธรรมธรรมชาติ
ไม่หวั่นไหวเหมือนแผ่นดิน ใครจะทำอะไร ๆ ก็
ไม่สะเทือน จิตที่ปราศจากทิฐิมานะทุกประเภท
โดยประการทั้งปวงแล้ว ย่อม
เป็นจิตที่คงที่ต่อเหตุการณ์ดีชั่วทั้งมวล
การปฏิบัติต่อบังสุกุลจีวรท่านถือว่า เป็นทางหนึ่งที่จะ
ช่วยตัดทอนลบล้างตัวมีราคาที่ฝังอยู่ในใจอย่างลึกลับ
ให้สูญซากลงได้อย่างมั่นใจข้อหนึ่ง
การอยู่ป่าเป็นวัตรตามธุดงค์ระบุไว้
ท่านก็เริ่มเห็นคุณแต่เริ่มฝึกหัดอยู่ป่าเป็นต้นมา ทำให้เกิด
ความวิเวกวังเวงอยู่คนเดียว ตาเหลือบมองไปในทิศทาง
ใดก็ล้วนเป็นทัศนียภาพเครื่องปลุกประสาทให้ตื่นตน
อยู่เสมอ ไม่ประมาทนอนใจ นั่งอยู่ก็มีสติ ยืนอยู่ก็มีสติ
เดินอยู่ก็มีสติ นอนอยู่ก็มีสติ กำหนดธรรมทั้งหลายที่มี
อยู่รอบตัว เว้นแต่หลับเท่านั้น ในอิริยาบถทั้งสี่เต็มไป
ด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ ไม่มีพันธะใด ๆ มาผูกพัน
มองเห็นแต่ความมุ่งหวังพ้นทุกข์ที่เตรียมพร้อมอยู่ภายใน
ไม่มีวันจืดจางและอิ่มพอ ยิ่งพักอยู่ในป่าเปลี่ยวอันเป็นที่
อยู่ของสัตว์ทุกชนิด ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านด้วย
แล้ว ใจปรากฏว่าเตรียมพร้อมอยู่ทุกขณะ ประหนึ่ง
จะทะยานเหาะขึ้นจากหล่มลึกคือกิเลสในเดี๋ยวนั้น ราว
กับนกจะเหาะบินขึ้นบนอากาศฉะนั้น ความจริงกิเลสก็คง
เป็นกิเลสและฝังอยู่ในใจตามความมีอยู่ของมันนั่นแล
แต่ใจมันมีความรู้สึกไปอีกแง่หนึ่ง
เมื่อไปอยู่ในที่เช่นนั้น ความรู้สึก
ในบางครั้งเป็นเหมือนกิเลสตายลงไปวันละร้อยละพัน
ยังเหลืออยู่บ้างประปรายราวตัวสองตัวเท่านั้น
เพราะอำนาจของสถานที่ที่พักอยู่ช่วยส่งเสริม ทั้ง
ความรู้สึกโดยปกติและเวลาบำเพ็ญเพียร กลาย
เป็นเครื่องพยุงใจไปทุกระยะที่พักอยู่ ความคิดเกี่ยว
กับสัตว์ต่าง ๆ ทั้งสัตว์ร้ายและสัตว์ดีที่มีอยู่ทั่วไป
ในบริเวณนั้น ก็คิดไปในทางสงสารมากกว่าจะคิดในทาง
เป็นภัย โดยคิดว่าเขากับเราก็มีความเกิดแก่เจ็บตายเท่า
กันในชีวิตที่ทรงตัวอยู่เวลานี้ แต่เรายังดีกว่า
เขาตรงที่รู้จักบุญบาปดีชั่วอยู่บ้าง ถ้าไม่มีสิ่งนี้แฝง
อยู่ภายในใจบ้างก็คงมีน้ำหนักเท่ากันกับเขา
เพราะคำว่า “สัตว์”
เป็นคำที่มนุษย์ไปตั้งชื่อให้เขาโดยที่เขามิได้รับทราบ
จากเราเลย ทั้ง ๆ ที่เราก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง
คือสัตว์มนุษย์ที่ตั้งชื่อกันเอง ส่วนเขาไม่ทราบว่าได้ตั้งชื่อ
ให้พวกมนุษย์เราอย่างไรหรือไม่ หรือเขาขโมยตั้งชื่อ
ให้ว่า “ยักษ์” ก็ไม่มีใครทราบได้
เพราะสัตว์ชนิดนี้ชอบรังแกและฆ่าเขา แล้วนำเนื้อมาปรุง
เป็นอาหารก็มี ฆ่าทิ้งเปล่า ๆ ก็มี
จึงน่าเห็นใจสัตว์ที่พวกมนุษย์เราชอบเอารัดเอาเปรียบ
เขาเกินไปประจำนิสัย และไม่ค่อยยอมให้อภัยแก่สัตว์ตัว
ใดง่าย ๆ แม้แต่พวกเดียวกันยังรังเกียจและเกลียดชังกัน
เบียดเบียนกัน ฆ่ากันไม่มีหยุดหย่อน
และผ่อนเบาลงบ้างเลย ในวงสัตว์ก็ร้อน
เพราะมนุษย์เบียดเบียนและฆ่าเขา ในวงมนุษย์เองก็ร้อน
เพราะมนุษย์เบียดเบียนและฆ่ากันเอง ฉะนั้น สัตว์
จึงระเวียงระวังมนุษย์ประจำสันดาน
ท่านว่าการอยู่ในป่ามีทางคิดทางไตร่ตรอง
ได้กว้างขวาง ไม่มีทางสิ้นสุด ทั้งเรื่องนอกเรื่องใน ซึ่งมี
อยู่รอบตัวตลอดเวลา ใจที่มี
ความใคร่ต่อธรรมแดนพ้นทุกข์ จึงรีบเร่งตักตวง
ความเพียรไม่มีเวลาลดละ
บางครั้งหมูป่าเดินเข้ามาหาในบริเวณที่นั้น
และมองเห็นท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ แทนที่มัน
จะกระโดดโลดเต้นวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่เปล่า มันมองเห็น
แล้วก็เดินหากินไปตามภาษาของมันอย่างธรรมดา
ท่านว่ามันจะเห็นท่านเป็นยักษ์ไปกับมนุษย์ผู้ร้ายกาจ
ทั้งหลายด้วย แต่มันไม่คิดเหมาไปหมด มันจึงไม่รีบวิ่งหนี
และเที่ยวขุดกินอาหารอย่างสบายเหมือนไม่มีอะไร
ในตอนนี้ผู้เขียนขอแทรกบ้าง
เล็กน้อยเพื่อเรื่องกระจ่างขึ้นบ้าง อย่าว่าแต่หมูมัน
ไม่กลัวท่านพระอาจารย์มั่นที่อยู่องค์เดียวในป่าเลย
แม้แต่วัดป่าบ้านตาด เมื่อเริ่มสร้างวัดใหม่ ๆ
และมีพระเณรอยู่ด้วยกันหลายรูป หมูป่าเป็นฝูง ๆ ยังพา
กันมาอาศัยนอนและเที่ยวหากิน
อยู่ตามบริเวณหน้ากุฏีพระเณรในเวลากลางคืน ห่าง
จากที่ท่านเดินจงกรมราว ๒-๓ วาเท่านั้น
ได้ยินเสียงมันขุดดินหาอาหารด้วยจมูกดังตุ๊บตั๊บ ๆ อยู่
ในบริเวณนั้น ไม่เห็นมันกลัวท่านเลย เวลาท่านเรียก
กันมาดูและฟังเสียงมันอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่เห็นมันวิ่งหนีไป
ยังพากันเที่ยวหากินตามสบายในบริเวณนั้นแทบทุกคืน
ทั้งหมูและพระเณรเคยชินกันไปเอง แต่ทุกวันนี้ยังมีเหลือ
เล็กน้อยและนาน ๆ พากันมาเที่ยวหากินทีหนึ่ง
เพราะยักษ์ที่สัตว์ตั้งชื่อให้ดังท่านพระอาจารย์มั่นว่าไว้
เอาไปรับประทานเกือบจะไม่มีสัตว์เหลือค้างแผ่นดินแถบ
นั้นอยู่แล้วเวลานี้ ต่อไปไม่กี่ปีคงจะเรียบไปเอง
ที่ท่านเล่าคงเป็นความจริงในทำนองเดียว
กัน เพราะสัตว์แทบทุกชนิดชอบมาอาศัยพระ พระ
อยู่ที่ไหน สัตว์ชอบมาอยู่ที่นั้นมาก แม้วัดที่อยู่ในเมือง
สัตว์ยังต้องมาอาศัย เช่น สุนัข เป็นต้น บางวัดมีเป็นร้อย
เพราะท่านไม่เบียดเบียนมัน เพียงเท่านี้ก็พอทราบ
ได้ว่าธรรมเป็นของเย็น สัตว์โลกจึงไม่มีใครค่อยรังเกียจ
เว้นกรณีที่สุดวิสัยจะกล่าวเสีย
เท่าที่ท่านปฏิบัติมาก่อน ท่านว่าป่า
เป็นสถานที่ช่วยพยุงใจได้ดีมาก ฉะนั้น ป่าจึง
เป็นจุดที่เด่นของพระผู้มีความใคร่ต่อทางพ้นทุกข์ จะถือ
เป็นสมรภูมิสำหรับบำเพ็ญธรรมทุกชั้น โดย
ไม่ระแวงสงสัยว่าป่าจะกลับ
เป็นข้าศึกต่อการบำเพ็ญธรรม ตรง
กับอนุศาสน์ที่พระอุปัชฌาย์อบรมสั่งสอนภิกษุผู้อุปสมบท
ใหม่ ให้พากันเสาะแสวงหาอยู่ป่าตามอัธยาศัย
ท่านพระอาจารย์
จึงถือธุดงค์ข้อนี้จนวาระสุดท้ายแห่งขันธ์ นอก
จากสมัยที่จำต้องอนุโลมผ่อนผันไปตามเหตุการณ์เท่านั้น
เพราะทำให้ระลึกว่าตนอยู่ในป่าซึ่ง
เป็นที่เปลี่ยวกายเปลี่ยวใจตลอดเวลาจะนอนใจมิได้
คุณธรรมจึงมีทางเกิดไม่เลือกกาล หนึ่ง
ธุดงควัตรข้อรุกขมูลคือร่มไม้
ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ท่านอาจารย์มั่นเล่าว่า
ขณะที่จิตของท่านจะผ่านโลกามิสไปได้โดยสิ้นเชิง
คืนวันนั้นท่านก็อาศัยอยู่รุกขมูลคือร่มไม้ ซึ่งตั้ง
อยู่โดดเดี่ยวต้นเดียว ตอนสำคัญนี้
จะรอลงข้างหน้าตามลำดับของการเที่ยวจาริก
และการบำเพ็ญของท่าน จึงขออภัยท่านผู้อ่าน
ทั้งหลายโปรดรออ่านข้างหน้า วาระนี้จำ
จะเขียนไปตามลำดับความจำเป็นก่อน เพื่อเนื้อเรื่องจะ
ไม่ขาดความตามลำดับ
การอยู่ใต้ร่มไม้ซึ่งปราศจากที่มุงบัง
และเครื่องป้องกันตัว ย่อมทำให้มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
จิตที่ตั้งความรู้สึกไว้กับตัว ย่อม
เป็นทางถอดถอนกิเลสไปทุกโอกาส เพราะกาย เวทนา
จิต ธรรม หรือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่เรียกว่า
“สติปัฏฐานและสัจธรรม” อัน
เป็นจุดที่ระลึกรู้ของจิตแต่ละจุดนั้น ย่อม
เป็นเกราะเครื่องป้อง
กันตัวเพื่อทำลายกิเลสแต่ละประเภทได้อย่างมั่นเหมาะ
ซึ่งไม่มีที่อื่นใดจะยิ่งไปกว่า
ฉะนั้น จิตที่ระลึกรู้อยู่กับสติปัฏฐาน
หรืออริยสัจ เพราะความเปลี่ยวและความกลัวเป็นเหตุ
จึงเป็นจิตที่มีหลักยึดเพื่อการรบชิงชัยเอาตัวรอด
โดยสุคโต ตามทางอริยธรรมไม่มีผิดพลาด
ผู้ประสงค์อยากทราบเรื่องของตัวอย่างละเอียดทั่วถึง
โดยทางที่ถูกและปลอดภัย จึงควรแสวงหาธรรม
และสถานที่ที่เหมาะสมเป็นเครื่องพยุงทางความเพียร จะ
ช่วยให้มีความสะดวกรวดเร็วขึ้นกว่าธรรมดาที่ควรจะเป็น
อยู่มาก ดังนั้น ธุดงควัตรข้ออยู่รุกขมูล จึง
เป็นธรรมเครื่องทำลายกิเลสได้เป็นอย่างดีเสมอมา
ที่ควรสนใจเป็นพิเศษอีกข้อหนึ่ง
ธุดงควัตรที่เกี่ยวกับการเยี่ยมป่าช้า
เป็นธุดงค์เครื่องปลุกเตือนพระและหมู่ชนมิให้ประมาท
ในเวลามีชีวิตอยู่ โดยเข้าใจว่าตัวจะไม่ตาย
ความจริงก็คือคนที่เริ่มตายเล็กตายน้อย ตายไป
อยู่ทุกเวลานั่นเอง เพราะคนที่ตายจนถึงกับย้ายบ้าน
ใหม่ไปปลูกสร้างกันอยู่ที่ป่าช้าจนดาษดื่น แทบ
จะหาที่เผาและที่ฝังกันไม่ได้ ก็ล้วนแต่คนที่เคยตาย
เล็กตายน้อยมาแล้ว เช่น พวกเราผู้ยังมีชีวิตอยู่นี่เอง จะ
เป็นคนแปลกหน้ามาจากที่ไหน พอจะเห็นว่าเรา
เป็นคนที่แปลกกว่าเขา แล้วประมาทว่าตนจะไม่ตาย
ที่ท่านสอนให้เยี่ยมญาติพี่น้องผู้เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน
ก็เพื่อเตือนไม่ให้หลงลืมญาติพี่น้องอันดั้งเดิม
ในป่าช้านั่นเอง เพื่อจะได้ท่องบ่นไว้ในใจว่า เรามี
ความแก่ เจ็บ ตายอยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน ไม่มีใคร
จะกล้าอุตริเย่อหยิ่งตัวว่า จะไม่เกิด แก่ เจ็บ ตายได้
เมื่อสายทางแห่งวัฏฏะที่ตนยังท่องเที่ยวเรียนสูตรอยู่ยัง
ไม่จบ
พระซึ่งเป็นเพศที่เตรียมพร้อมแล้วเพื่อ
ความหลุดพ้น จึงควรศึกษามูลเหตุแห่งวัฏทุกข์ที่มีอยู่
กับตน คือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งภายนอก
คือการเยี่ยมป่าช้าอันเป็นที่เผาศพ ทั้งภายใน คือตัวเอง
อันเป็นป่าช้าร้อยแปดพันเก้าแห่งศพที่นำมาฝัง หรือบรรจุ
อยู่ในตัวตลอดเวลา ทั้งเก่าและใหม่ จนนับไม่ครบ
และแทบเรียนไม่จบ ให้จบสิ้นลง
ด้วยการพิจารณาธรรมสังเวชโดยทางปัจจเวกขณะ คือ
องค์สติปัญญาเครื่องทดสอบ แยกแยะหามูลความจริง
ไม่นิ่งนอนใจ
ทั้งนักบวชและฆราวาสที่ชอบเข้าเยี่ยม
ทั้งป่าช้านอกและป่าช้าในตัวเอง โดยการพิจารณา
ความตาย เป็นต้น เป็นอารมณ์ ย่อมมีทางถอดถอน
ความเผยอเย่อหยิ่งในวัย ในชีวิต และในวิทยฐานะต่าง ๆ
ออกได้อย่างน่าชม ไม่ชอบผยองพองตัวในแง่ต่าง ๆ
ตามนิสัยมนุษย์ซึ่งมักมีความพิสดารประจำใจอยู่เป็นนิตย์
ทั้งจะเห็นโทษแห่งความบกพร่องของตัว
และพยายามแก้ไขไปเป็นลำดับ มากกว่า
จะไปเห็นโทษคนอื่น แล้วนำมานินทาเขา ซึ่ง
เป็นการสั่งสมความไม่ดีใส่ตน ประจำนิสัยมนุษย์ที่ชอบ
เป็นกันอยู่ทั่วไป เหมือนโรคระบาดเรื้อรังชนิดแก้ไม่หาย
หรือไม่สนใจจะแก้ นอกจากจะเพิ่มเชื้อให้มากขึ้นเท่านั้น
ป่าช้าเป็นสถานที่อำนวยความรู้ความฉลาด
ให้แก่ผู้สนใจพิจารณาอย่างกว้างขวาง เพราะคำว่าป่าช้า
เป็นจุดใหญ่ที่สุดของโลก ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย
และทุกชาติชั้นวรรณะ จำต้องประสบด้วยกัน
จะกระโดดข้ามไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่คลองเล็ก ๆ พอ
จะก้าวข้ามไปอย่างง่ายดาย โดยมิ
ได้พิจารณาจนรู้รอบขอบชิดก่อน ดังพระพุทธเจ้า
และพระสาวกอรหันต์ท่านข้ามไป แม้เช่นนั้นก็ปรากฏว่า
ท่านต้องเรียนวิชาจากสถาบันใหญ่ คือ ความเกิด แก่
เจ็บ ตาย จนเชี่ยวชาญทุก ๆ แขนงก่อน แล้ว
จึงโดดข้ามไปอย่างสบายหายห่วง ไม่
ต้องติดบ่วงแห่งมารอยู่เหมือนพวกที่ลืมตนลืมตาย
ไม่สนใจพิจารณาเรื่องของตัวคือมรณธรรมอันขวางหน้า
อยู่ ซึ่งจะต้องโดนในไม่ช้านี้
การเยี่ยมป่าช้าเพื่อพิจารณาความตาย จึง
เป็นทางผ่อนคลายหายกลัว ทั้งเรื่องของตัว
และเรื่องของคนอื่นได้อย่างไม่มีประมาณ จนเกิด
ความอาจหาญต่อความตาย ทั้ง ๆ ที่โลกกลัวกัน
ทั่วดินแดน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ได้เป็นไป
ในวงของนักปฏิบัติธรรมมาแล้ว มีพระพุทธเจ้า
และพระสาวกเป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยม เสร็จแล้ว
จึงประทานพระโอวาทเกี่ยวกับการพิจารณาความเกิด แก่
เจ็บ ตาย ไว้ทุกแง่ทุกมุม เพื่อหมู่ชนผู้มีความรับผิดชอบ
ในตนและผู้เกี่ยวข้องได้นำไปพิจารณาหาทางแก้ไข
บรรเทาความมัวเมาเขลาปัญญาของตนขณะที่ยังมีชีวิต
อยู่ ซึ่งเป็นเวลาที่พอดิบพอดี ยังไม่สายเกินไป
เมื่อสิ้นลมหายใจจนไปถึงสถาบันใหญ่แล้ว
ต้องนับว่าหมดหนทางแก้ไข มีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ถ้า
ไม่เผาก็ต้องฝังเท่านั้น
จะพาไปรักษาศีลภาวนาทำบุญสุนทานอย่างแต่ก่อนนั้น
เป็นไปไม่ได้แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 23:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุบายปราบความกลัวของพระกลัวผี
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเห็นคุณของการเยี่ยมป่าช้า
ว่าเป็นสถานที่ที่ให้สติปัญญารอบรู้
กับเรื่องของตนตลอดมา ท่านจึงสนใจเยี่ยมป่าช้านอก
และป่าช้าในอยู่เสมอ แม้พระบางองค์ที่
เป็นลูกศิษย์ท่านก็
ยังพยายามตะเกียกตะกายปฏิบัติตามท่าน ทั้ง ๆ ที่ตน
เป็นพระที่กลัวผีมาก ซึ่งเราไม่ค่อยได้ยินกัน
ในคำว่าพระกลัวผีและธรรมกลัวโลก แต่พระองค์นั้นได้
เป็นพระที่กลัวผีเสียแล้ว
ท่านเล่าให้ฟังว่า
พระองค์หนึ่งเที่ยวธุดงค์ไปพักอยู่ในป่าใกล้
กับป่าช้า แต่เจ้าตัวไม่รู้ว่าถูกโยมพาไปพักริมป่าช้า
เพราะไปถึงหมู่บ้านนั้นตอนเย็น ๆ และถาม
ถึงป่าที่ควรพักบำเพ็ญเพียร โยมก็ชี้บอกตรงป่านั้นว่า
เป็นที่เหมาะ แต่มิได้บอกว่าเป็นป่าช้า
แล้วพาท่านไปพักที่นั้น พอพักได้เพียงคืนเดียว
วันต่อมาก็เห็นเขาหามผีตายผ่านมาที่
นั้นเลยไปเผาที่ป่าช้า ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักท่านประมาณ ๑
เส้น ท่านมองตามไปก็เห็นที่เขาเผาอยู่อย่างชัดเจน
องค์ท่านเองพอมองเห็นหีบศพที่เขาหามผ่านมาเท่า
นั้นก็ชักเริ่มกลัว ใจไม่ดี และยังนึกว่าเขา
จะหามผ่านไปเผาที่อื่น แม้เช่นนั้นก็นึกเป็นทุกข์
ไว้เผื่อตอนกลางคืนอยู่อีก กลัวว่าภาพนั้น
จะมาหลอกหลอน ทำให้นอนไม่ได้ตอนกลางคืน
ความจริงที่ท่านพักอยู่กลับเป็นริมป่าช้า
และยังได้เห็นเขาเผาผีอยู่ต่อหน้า ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลเลย
ท่านยิ่งคิดไม่สบายใจและเป็นทุกข์ใหญ่ คือทั้งจะคิด
เป็นทุกข์ในขณะนั้น และคิด
เป็นทุกข์เผื่อตอนกลางคืนอีก
ใจเริ่มกระวนกระวายเอาการอยู่ นับแต่ขณะที่
ได้เห็นศพทีแรก เมื่อตกกลางคืนยิ่งกลัวมาก
และหายใจแทบไม่ออก ปรากฏว่าตีบตันไปหมด
น่าสงสารที่พระกลัวผีถึงขนาดนี้ก็มี จึง
ได้เขียนลงเพื่อท่านผู้อ่านที่เป็นนักกลัวผี จะ
ได้พิจารณาดูความบึกบึนที่ท่านพยายามต่อสู้กับผี
ในคราวนั้น จนเป็นประวัติการณ์อันเกี่ยวกับส่วนได้
ส่วนเสียมีอยู่ในเนื้อเรื่องอันเดียวกันนี้
พอเขากลับกันหมดแล้ว
ท่านเริ่มเกิดเรื่องยุ่งกับผีแต่ขณะนั้นมาจนถึงตอนเย็น
และกลางคืน จิตใจไม่เป็นอันเจริญสมาธิภาวนาเอาเลย
หลับตาลงไปทีไร ปรากฏว่ามีแต่ผี
เข้ามาเยี่ยมถามข่าวถามคราวความทุกข์สุกดิบต่าง ๆ
อันสืบสาวยาวเหยียดไม่มีประมาณ และปรากฏว่าพา
กันมาเป็นพวก ๆ ก็ยิ่งทำให้ท่านกลัวมาก แทบ
ไม่มีสติยับยั้งตั้งตัวได้เลย เรื่องเริ่มแต่ขณะมองเห็นศพที่
เขาหามผ่านหน้าท่านไปจนถึงกลางคืน
ไม่มีเวลาเบาบางลงบ้างพอให้หายใจได้ นับว่าท่าน
เป็นทุกข์ถึงขนาดที่จะทนอดกลั้นได้
นับแต่วันบวชมาก็เพิ่งมีครั้งเดียวเท่านั้นที่ต่อสู้กับผี
ในมโนภาพอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง
ท่านจึงพอมีสติระลึกได้บ้างว่า
ที่เราคิดกลัวผีก็ดี ที่เข้าใจว่าผีพากันมาเยี่ยมเราเป็นพวก
ๆ ก็ดี อาจไม่เป็นความจริงก็เป็นได้ และอาจ
เป็นเรื่องเราวาดมโนภาพศพขึ้นมาหลอกตนเอง
ให้กลัวเปล่า ๆ มากกว่า อย่ากระนั้นเลย เพราะ
ถึงอย่างไรเราก็เป็นพระธุดงคกรรมฐานทั้งองค์ ที่โลก
ให้นามว่าเป็นพระที่เก่งกาจอาจหาญเอาจริงเอาจัง และ
เป็นพระประเภทที่ไม่กลัวอะไร ๆ ไม่ว่าจะเป็นผีที่ตาย
แล้ว หรือเป็นผีเปรต ผีหลวง ผีทะเลอะไร ๆ มาหลอกก็
ไม่กลัว แต่เราซึ่ง
เป็นพระธุดงค์ที่โลกเคยยกยอสรรเสริญอย่างยิ่งมาแล้ว
ว่าไม่กลัวอะไร แล้วทำไมจึงมา
เป็นพระที่อาภัพอับเฉาวาสนา บวชมากลัวผี กลัวเปรต
กลัวลมกลัวแล้งอย่างไม่มีเหตุมีผลเอาได้
เป็นที่น่าอับอายขายหน้าหมู่คณะซึ่ง
เป็นพระธุดงคกรรมฐานด้วยกัน เสียเรี่ยวแรง
และกำลังใจของโลกที่อุตส่าห์ยกยอให้ว่าเป็นพระดี พระ
ไม่กลัวผีกลัวเปรต ครั้นแล้วก็เป็นพระอย่างนี้ไปได้
เมื่อท่านพรรณนาคุณของพระธุดงค์
และตำหนิตัวเองว่าเป็นพระเหลวไหลไม่เป็นท่าแล้ว
ก็บอกกับตัวเองว่า นับแต่ขณะนี้เป็นต้นไป ซึ่งขณะนั้น
เป็นเวลากลางคืน เรามีความกลัวในสถานที่ใด จะต้องไป
ในสถานที่นั้นให้จงได้
ก็บัดนี้ใจเรากำลังกลัวผีที่กำลังถูกเผา ซึ่งมองเห็นกองไฟ
อยู่ในป่าช้านั้น เราต้องไปที่นั้นให้ได้ในขณะนี้
ว่าแล้วก็เตรียมตัวครองผ้าออกจากที่พัก
เดินตรงไปที่ศพซึ่งกำลังถูกเผาและมองเห็น
อยู่อย่างชัดเจนทันที พอออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว
ขาชักแข็ง ก้าวไม่ค่อยออกเสียแล้ว ใจทั้งเต้นทั้งสั่น
ตัวร้อนเหมือนถูกแดดเผาเวลากลางวัน เหงื่อแตกโชกไป
ทั้งตัว เห็นท่าไม่ได้การจึงรีบเปลี่ยนวิธีใหม่
คือเดินแบบเท้าต่อเท้าติด ๆ กันไป ไม่ยอมให้หยุดอยู่
กับที่ ตอนนี้ท่านต้องบังคับใจอย่างเต็มที่ ทั้งกลัว
ทั้งสั่นแทบไม่เป็นตัวของตัว เหมือนอะไร ๆ มันจะสุด ๆ
สิ้น ๆ ไปเสียแล้วเวลานั้น แต่ท่านไม่ถอย
ความพยายามที่จะก้าวไปให้ถึงแบบเอาเป็นเอาตาย
เข้าว่ากัน สุดท้ายก็ไปจนถึง
พอไปถึงศพแล้ว แทนที่จะสบายตาม
ความรู้สึกในสิ่งทั่ว ๆ ไปว่า “สมประสงค์แล้ว” แต่เวลา
นั้นปรากฏว่าตัวเองจะเป็นลมและลืมหายใจไปจน
แล้วจนรอด จึงข่มใจพยายามดูศพที่กำลังถูกเผาทั้ง ๆ
ที่กำลังกลัวแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังไปอยู่แล้ว
พอมองเห็นกะโหลกศีรษะผีที่ถูกเผาจนไหม้
และขาวหมดแล้ว ใจก็ยิ่งกำเริบกลัวใหญ่ แทบ
จะพาเหาะลอยไปในขณะนั้น จึงพยายามสะกดใจไว้
แล้วพานั่งสมาธิลงตรงหน้าศพห่าง
จากเปลวไฟเผาศพพอประมาณ โดยหันหน้ามาทางศพ
เพื่อทำศพให้เป็นเป้าหมายของการพิจารณา
บังคับใจที่กำลังกลัว ๆ ให้บริกรรมว่า เราก็
จะตายเช่นเดียวกับเขาคนนี้ ไม่ต้องกลัว เราก็จะตาย ไม่
ต้องกลัว เราก็จะตาย กลัวไปทำไม ไม่ต้องกลัว
ขณะที่นั่งบังคับใจให้บริกรรมภาวนา
ความตายอยู่ด้วยทั้งความกระวนกระวาย เพราะกลัวผี
นั้น ได้ปรากฏเสียงแปลกประหลาดขึ้นข้างหลัง
เสียงบาทย่างเท้าดังเข้ามาเป็นบทเป็นบาท
เหมือนมีอะไรเดินมาหาท่าน ซึ่งกำลังนั่งสมาธิภาวนาอยู่
และเดิน ๆ หยุด ๆ เป็นลักษณะจด ๆ จ้อง ๆ คล้าย
จะมาทำอะไรท่าน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่คิดขึ้นในขณะนั้น
ก็ยิ่งทำให้ใจกำเริบใหญ่ ถึงขนาดจะวิ่งหนี
และร้องออกมาดัง ๆ ว่า ผีมาแล้ว ช่วยด้วย
ถ้าเทียบทางวัตถุ ก็ยังอีกเส้นผมเดียวที่ท่านจะออกวิ่ง
ท่านอดใจรอฟังไปอีก ก็ได้ยินเสียงค่อย ๆ
เดินมาข้าง ๆ ห่างท่านประมาณ ๓ วา แล้วก็
ได้ยินเสียงเคี้ยวอะไรกร้อบแกร้บ ยิ่งทำ
ให้ท่านคิดไปมากว่า มันมาเคี้ยวกินอะไรที่นี่ เสร็จแล้วก็
จะมาเคี้ยวเอาศีรษะเราเข้าอีก ก็เป็นอันว่าเรา
ต้องจบเรื่องกับผีตัวร้ายกาจไม่ไว้หน้าใครอยู่ที่นี้แน่ ๆ
พอคิดขึ้นมาถึงตอนนี้ ท่านอดรนทนไม่ไหว
จึงคิดจะลืมตาขึ้นดูมัน เผื่อเห็นท่าไม่ได้การจะ
ได้เตรียมวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอด ดีกว่าจะมายอมจอดจม
ให้ผีตัวไม่มีความดีอะไรเลยกินเปล่า เมื่อชีวิตรอดไป
ได้เรายังมีหวังได้บำเพ็ญเพียรต่อไป ยัง
จะมีกำไรกว่าการเอาชีวิตของพระทั้งองค์มาให้ผีกินเปล่า
พอปลงตก
แล้วก็รีบลืมตาขึ้นมาดูผีตัวกำลังเคี้ยวอะไรกร้อบ ๆ
อยู่ขณะนั้น พร้อมกับเตรียมตัว
จะวิ่งเพื่อตัวรอดหวังเอาชีวิตไปจอดข้างหน้า
พอลืมตาขึ้นมาดูจริง ๆ สิ่งที่เข้าใจว่าผีตัวร้ายกาจ
เลยกลายเป็นสุนัขบ้านออกมาเที่ยวเก็บกินเศษอาหารที่
เขานำมาเพื่อเซ่นผู้ตายตามประเพณี ซึ่งไม่สนใจกับใคร
และมาจากที่ไหน คงเที่ยวหากินไปตามภาษาสัตว์ซึ่งเป็น
ผู้อาภัพทางอาหารประจำชาติตามกรรมนิยม
ส่วนพระธุดงคกรรมฐาน
พอลืมตาขึ้นมาเห็นสุนัขอย่างเต็มตาแล้ว เลย
ทั้งหัวเราะตัวเอง และคิดพูดทางใจกับสุนัขตัวไม่รู้ภาษา
และไม่สนใจกับใครนั้นว่า
แหม! สุนัขตัวนี้มีอำนาจวาสนามากจริง
ทำเอาเราแทบตัวปลิวไปได้ และ
เป็นประวัติการณ์อันสำคัญต่อไปไม่มีสิ้นสุด ทั้งเกิด
ความสลดสังเวชตนอย่างยิ่งที่ไม่เป็นท่าเอาเลย ทั้ง ๆ ที่
ได้พูดกับตัวเองแล้วว่า จะเป็นนักสู้แบบเอาชีวิตเข้าประ
กัน แต่พอเข้ามาเยี่ยมศพในป่าช้า และ
ได้ยินเสียงสุนัขมาเที่ยวหากินเท่านี้ก็แทบตั้งตัวไม่ติด
และจะเป็นกรรมฐานบ้าวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปจนได้
ยังดีที่มีพระธรรมท่านเมตตาไว้ให้รอ
อยู่ประมาณผมเส้นหนึ่ง พอรู้เหตุผลต้นปลายบ้าง ไม่เช่น
นั้นคงเป็นบ้าไปเลย
โอ้โฮ! เรานี้โง่และหยาบถึงขนาดนี้เชียว
หรือ ควรจะครองผ้าเหลืองอัน
เป็นเครื่องหมายของศิษย์พระตถาคตผู้องอาจกล้าหาญ
ไม่มีใครเสมอเหมือนอีกต่อไปละหรือ และควร
จะไปบิณฑบาตจากชาวบ้านมากินให้สิ้นเปลืองของ
เขาเปล่า ๆ ด้วยความไม่เป็นท่าของเราอยู่อีกหรือ
เรา
จะปฏิบัติต่อตัวเองที่แสนต่ำทรามอย่างไรบ้าง จึง
จะสาสมกับความเลวทรามไม่เป็นท่าของตนซึ่งแสดง
อยู่ขณะนี้ ลูกศิษย์พระตถาคตผู้โง่เขลา
และต่ำทรามขนาดเรานี้จะยังมีอยู่
ให้หนักพระศาสนาต่อไปอีกไหมหนอ
ขนาดมีเราเพียงคนเดียวเท่านี้ก็นับว่าจะทำพระศาสนา
ให้ซวยพอแล้ว ถ้าขืนมีอีกเช่นเรานี้พระศาสนาคงแย่แน่ ๆ
ความกลัวผีซึ่งเป็นเรื่องกดถ่วงให้เราเป็นคนต่ำทรามไม่
เป็นท่านั้น เราจะปฏิบัติต่อกันอย่างไร รีบตัดสินใจเดี๋ยวนี้
ถ้ารอไปนานก็ขอให้เราตายเสียดีกว่า อย่ามายอมตัวให้
ความกลัวผีเหยียบย่ำบนหัวใจอีกต่อไปเลย อายโลก
เขาแทบไม่มีแผ่นดินจะให้คนหนักพระศาสนา
อยู่ต่อไปอีกแล้ว
พอพร่ำสอนตนจบลง ท่านทำความเข้าใจ
กับตัวเองว่า ถ้าไม่หายกลัวผีเมื่อไร จะไม่ยอมหนี
จากที่นี้อย่างเด็ดขาด ตายก็ยอมตาย ไม่ควรอยู่
ให้หนักโลกและพระศาสนาต่อไป คนอื่นยังจะเอาอย่าง
ไม่ดีไปใช้อีกด้วย และจะกลายเป็นคนไม่
เป็นท่าไปหลายคน
และหนักพระศาสนายิ่งขึ้นไปอีกมากมาย
นับแต่ขณะนั้นมา ท่านตั้งใจปฏิบัติต่อ
ความกลัวอย่างกวดขัน โดยเข้าไปอยู่ป่าช้า
ทั้งกลางวันกลางคืน ยึดเอาคนที่ตายไปแล้วมาเทียบ
กันตนซึ่งยังเป็นอยู่ ว่าเป็นส่วนผสมของธาตุเช่นเดียวกัน
เวลาใจยังครองตัวอยู่ก็มีทางเป็นสัตว์เป็นบุคคลสืบต่อไป
เมื่อปราศจากใจครองเพียงอย่างเดียว ธาตุทั้งมวลที่ผสม
กันอยู่ก็สลายลงไป ที่เรียกว่าคนตาย และยึดเอา
ความสำคัญ ที่ไปหมายสุนัขทั้งตัวที่มาเที่ยวหากิน
ในป่าช้า ว่าเป็นผี มาสอนตัวเองว่า เป็น
ความสำคัญที่เหลวไหล จนบอกใครไม่ได้
ไม่ควรเชื่อถือว่าเป็นสาระต่อไป กับคำว่าผีมาหลอก
ความจริงแล้วคือใจหลอกตัวเองทั้งเพ การกลัว ก็กลัว
เพราะใจหลอกหลอนตัวเอง ทุกข์ก็เพราะความเชื่อ
ความหลอกลวงของใจ จนทำให้เป็นทุกข์แบบจะเป็น
จะตายและแทบจะเสียคนไปทั้งคนในขณะนั้น ผีจริง
ไม่ปรากฏว่ามาหลอกหลอน
เราเคยหลงเชื่อความคิด
ความหมายมั่นปั้นเรื่องหลอกลวงต่าง ๆ ของจิตมานาน
แต่ยังไม่ถึงขั้นจะพาตัวให้ล่มจมเหมือนครั้งนี้
ธรรมท่านสอนไว้ว่า สัญญาเป็นเจ้ามายา
นั้น แต่ก่อนเรายังไม่ทราบความหมายชัดเจน
เพิ่งมาทราบเอาตอนจะตายทั้งเป็น และจะเหม็นทั้งที่ยัง
ไม่เน่า ขณะกลัวผีที่ถูกเจ้าสัญญาหลอกและต้มตุ๋นนี้เอง
ต่อไปนี้สัญญาจะมาหลอกเราเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แน่นอน
เราจะต้อง
อยู่ป่าช้านี้จนกว่าเจ้าสัญญาที่เคยหลอกตายไปเสียก่อน
จนไม่มีอะไรมาหลอกให้กลัวผีต่อไปถึงจะหนีไปที่อื่น
เวลานี้เป็นเวลาที่เรา
จะทรมานสัญญาตัวปลิ้นปล้อนหลอกลวงเก่ง ๆ นี้
ให้ตายไป จนได้เผาศพมันเหมือนเผาศพผีตาย
ดังที่เราเห็นเมื่อวานเสียก่อน เมื่อชีวิตยังอยู่
อยากไปที่ไหนเราถึงจะไปทีหลัง
ตอนนี้ถึงขั้นเด็ดขาดกับสัญญา
ท่านก็เด็ดจริง ๆ และทรมาน
ถึงขนาดที่สัญญาหมายขึ้นว่า ผีมีอยู่ ณ ที่ใด
และเกิดขึ้นขณะใด ท่านต้องไปที่นั้น เพื่อดูและรู้
เท่ามันทันที จนสัญญาเผยอตัวขึ้นไม่ได้ในคืนวันนั้น
เพราะท่านไม่ยอมหลับนอนเอาเลย ตั้งหน้าต่อสู้
กับผีภายนอก คือสุนัขซึ่งเกือบเสียตัวไปกับมัน พอ
ได้เงื่อนและได้สติ ท่านก็ย้อนกลับมาต่อสู้กับผีภายใน
ให้หมอบราบไปตาม ๆ กัน
นับแต่ขณะที่รู้ตัวแล้ว ความกลัวผี
ไม่เคยเกิดขึ้นรบกวนท่านได้อีกตลอดทั้งคืน แม้คืนต่อมา
ท่านก็ตั้งท่ารับความกลัวนั้นอย่างแข็งแกร่งต่อไป
จนกลายเป็นพระองค์กล้าหาญต่อหลาย ๆ สิ่งขึ้นมาอย่าง
ไม่น่าเชื่อ แต่เรื่องก็เป็นความจริงจากท่านมาแล้ว จน
เป็นเรื่องฝังใจและตั้งตัวได้เพราะผีเป็นเหตุแต่บัดนั้น
เป็นต้นมา
ความกลัวผีจึง
เป็นธรรมเทศนากัณฑ์เอกโปรดท่าน ให้กลาย
เป็นพระอันแท้จริงขึ้นมาองค์หนึ่ง ถึงได้นำมาแทรกลง
ในประวัติของท่านพระอาจารย์มั่น เผื่อท่านผู้อ่าน
ได้นำไปเป็นคติต่อไป คงไม่ไร้สาระไปเสียทีเดียว เช่น
กับประวัติของท่านผู้เป็นอาจารย์ ซึ่งเป็นประวัติที่
ให้คติแก่โลกอยู่เวลานี้ ฉะนั้น การเยี่ยมป่าช้าจึงเป็น
ความสำคัญสำหรับธุดงควัตรประจำสมัยตลอดมา หนึ่ง
การถือไตรจีวรคือผ้า ๓ ผืนเป็นวัตร
ท่านพระอาจารย์มั่นถือปฏิบัติมาแต่เริ่มอุปสมบท
ไม่ลดละ จนถึงวัยชราจึงลดหย่อนผ่อนตามธาตุขันธ์ที่
ต้องการความบำรุงมากขึ้นทุกระยะ ที่ท่านปฏิบัติเช่นนั้น
โดยเห็นว่า พระธุดงคกรรมฐานครั้งนั้นไม่อยู่ประจำที่นัก
นอกจากในพรรษาเท่านั้น ต้องเที่ยวไปในป่านั้น ในภู
เขาลูกนี้อยู่เสมอ การไปก็ต้องเดินด้วยเท้าเปล่า
ไม่มีรถราเหมือนสมัยนี้ มีบริขารมากน้อย
ต้องสะพายไปเอง ช่วยตัวเองทั้งนั้น ของใครของเราช่วย
กันไม่ได้ เพราะต่างคนต่างมีพอกับกำลังของตัว
จะมีมากกว่านั้นก็เอาไปไม่ไหว ทั้งเป็นความไม่สะดวก
พะรุงพะรังอีกด้วย จึงมีเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ
นานไปก็กลายเป็นความเคยชินต่อนิสัย แม้ผู้มีมาถวายก็
ให้ทานผู้อื่นไป ไม่สั่งสมให้เป็นการกังวล
เพราะสมณะเรามีความสวยงามอยู่
กับการปฏิบัติดีและไม่สั่งสม เวลาตายไป
ให้มีแต่บริขารแปด ซึ่งเป็นของจำเป็นสำหรับพระเท่านั้น
เป็นความงามอย่างยิ่ง เมื่อมีชีวิตอยู่ก็สง่าผ่าเผยด้วย
ความจนแบบพระ เวลาตายก็เป็นสุคโต ไม่มีอารมณ์
กับสิ่งใด อันเป็นเกียรติอย่างยิ่งของพระผู้ตายด้วย
ความจน มนุษย์และเทวดาสรรเสริญ ธุดงควัตรข้อนี้จึง
เป็นเครื่องประดับสมณะให้งามตลอดอวสานข้อหนึ่ง
ธุดงควัตรเหล่านี้ ท่านเคยปฏิบัติมา
เป็นประจำไม่ลดละ ปรากฏว่าเป็น
ผู้คล่องแคล่วชำนิชำนาญในทางนี้อย่างยากจะหาผู้เสมอ
ได้ในสมัยปัจจุบัน และได้อบรมสั่งสอนพระเณร
ผู้มาศึกษาอบรมด้วยธุดงควัตรเหล่านี้ คือ ท่านพา
อยู่รุกขมูลร่มไม้ ในป่า ในเขา ในถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้า
ซึ่งล้วนเป็นสถานที่เปล่าเปลี่ยวน่ากลัว พาบิณฑบาต
เป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่พารับอาหารที่มีผู้ตามส่งทีหลัง
ข้อนี้คณะศรัทธาเมื่อทราบอัธยาศัยท่านแล้ว
เขามีอาหารคาวหวานอย่างไร ก็พากันจัด
ใส่บาตรถวายท่านไปพร้อมเสร็จ ไม่ต้องไปส่งให้ลำบาก
พาฉันสำรวมในบาตร ไม่มีภาชนะชนิดสำหรับใส่อาหาร
ทั้งคาวหวานรวมลงในบาตรใบเดียว
พาฉันมื้อเดียวคือวันละหนมา
เป็นประจำจนอวสานสุดท้าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 23:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วัตรปฏิบัติในการอบรมศิษย์
พระเณรที่
เป็นลูกศิษย์ตลอดฆราวาสญาติโยมนับวันแน่นหนาขึ้น
เป็นลำดับ ท่านไปพัก ณ ที่ใด
มีพระเณรพยายามติดสอยห้อยตามเป็นจำนวนมาก
บางสมัยมีพระเณรอยู่กับท่านราว ๖๐–๗๐ รูปก็มี
ที่พักอยู่แถวบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีอีกมาก
แต่ท่านพยายามระบายพระเณรให้แยกย้ายกันไป
อยู่ในที่ต่าง ๆ ไม่ไกลกัน
พอไปมาหาสู่เพื่อศึกษาอรรถธรรมในเวลาเกิด
ความสงสัย สะดวกและเหมาะแก่การบำเพ็ญธรรม
ไม่หลายองค์เกินไปจนกลายเป็นความไม่สงบ
วันอุโบสถ ปาฏิโมกข์ต่างก็ทยอยมารวม
กันทำที่สำนักท่าน หลังจากปาฏิโมกข์แล้ว ท่าน
ให้โอวาทสั่งสอนและแก้ปัญหาข้อข้องใจแก่ผู้มี
ความสงสัยเรียนถามเป็นราย ๆ ไป จนเป็นที่พอใจ
แล้ว ต่างองค์ก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตนด้วยความอิ่มเอิบ
ในธรรมที่ได้รับจากท่าน และต่างก็ตั้งหน้าปฏิบัติ
ด้วยความสนใจ ทั้งศีล ทั้งสมาธิและปัญญาตามภูมิ
และกำลังของตน ตลอดข้อวัตรปฏิบัติอย่างอื่นที่
เป็นอุปกรณ์แก่การบำเพ็ญ
พระเณรแม้จะอยู่กับท่าน
เป็นจำนวนมากในบางสมัย แต่การปกครอง
เป็นที่เบาใจตลอดมา เพราะท่านที่มาศึกษา
ต่างพร้อมแล้วที่จะปฏิบัติตนเพื่อความเป็นคนดี
ตามโอวาทที่ท่านอบรมสั่งสอน เรื่องราวอัน
เป็นข้าศึกต่อความสงบจึงไม่ค่อยมี ในป่าที่พระเณร
กับท่านพักอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก แต่เป็นเหมือน
ไม่มีคนอยู่ที่นั้นเลย ถ้าไปไม่ถูกกับเวลาที่ท่านมารวม
กัน เช่น เวลาฉันและเวลาประชุมเท่านั้น
นอกเวลาแล้วจะไปหาท่านก็ไม่พบ
เพราะต่างองค์ต่างหลีกเร้นอยู่กับความเพียร
คือการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาในป่า เป็นแห่ง ๆ
จำเพาะองค์ ทั้งกลางวันและกลางคืน
เวลาท่านประชุม
ให้โอวาทแก่พระเณรตอนกลางคืน จะ
ได้ยินเฉพาะเสียงท่านที่ให้โอวาทเท่านั้น เสียง
จากพระเณรแม้จะอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก
ไม่ปรากฏในขณะนั้น กระแสเสียง
และเนื้อธรรมที่ท่านให้โอวาทแก่พระเณร
รู้สึกซาบซึ้งจับใจไพเราะ ทำให้
ผู้ฟังเคลิ้มไปตามกระแสธรรมจนลืมเนื้อลืมตัว
ลืมความเหน็ดเหนื่อย ลืมเวล่ำเวลา ไม่รู้สึกกับสิ่ง
อื่นใดในขณะนั้น นอกจากกระแสธรรม
กับใจสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่อย่างเพลินตัว
ไม่รู้จักอิ่มพอเท่านั้น การประชุมครั้งหนึ่ง ๆ
เป็นเวลาหลายชั่วโมง เพราะถือเป็นการทำ
ความเพียรทางสมาธิและปัญญา อันเป็นภาคปฏิบัติอยู่
กับการฟังในขณะนั้นด้วย
พระธุดงค์จึงมีความเลื่อมใส
ในอาจารย์และในการฟังมากเป็นพิเศษ เนื่อง
จากอาจารย์ผู้คอยให้โอวาทตักเตือนและการฟัง ถือ
เป็นเส้นชีวิตจิตใจแห่งการปฏิบัติทางภาย
ในของพระธุดงค์จริง ๆ ท่านจึงมี
ความเคารพรักต่ออาจารย์มาก
แม้ชีวิตก็ยอมสละแทนได้ ที่พระอานนท์มี
ความจงรักภักดีต่อพระพุทธองค์ ถึง
กับกล้าสละวิ่งออกขัดขวางช้างตัวเมามัน
ที่เทวทัตปล่อยให้มาทำลายพระองค์ได้ อย่าง
ไม่อาลัยชีวิต ก็เพราะความเคารพรักเป็นสำคัญ
พระธุดงค์
ในสมัยท่านพระอาจารย์มั่นพาดำเนิน รู้สึกเป็นไป
ด้วยความเคารพเชื่อฟังโอวาทอย่างถึงใจ พอจะทราบ
ได้ เวลาท่านหาอุบาย จะให้พระที่อาศัยอยู่กับท่าน
ได้กำลังใจเป็นกรณีพิเศษว่า ท่านองค์นั้นควรไปอยู่
ในป่านั้น องค์นี้ควรไปอยู่ในถ้ำนั้นดังนี้
พระองค์ที่ถูกระบุนามจะไม่ขัดขืนและไปด้วย
ความเคารพเต็มใจจริง ๆ โดยไม่สนใจคิดว่าจะกลัว
หรือจะเป็นจะตายอะไรเลย มีแต่ความดีใจ
และมั่นใจว่า ตัวจะต้องได้กำลังใจ
จากสถานที่ที่ท่านแสดงอุบายให้ไปท่าเดียว
และตั้งใจบำเพ็ญเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน
ไม่หยุดยั้งลดละ มีความมุ่งมั่นต่อผลที่จะพึงได้จาก
ความเพียรในสถานที่นั้น ตามคำที่ท่านแนะให้ไป
ประหนึ่งได้รับคำพยากรณ์จากท่านมา
แล้วอย่างมั่นใจว่า เมื่อพักอยู่ที่นั้นจะได้ผลอย่างนั้น
ทำนองพระอานนท์ที่ได้รับคำพยากรณ์
จากพระพุทธเจ้าเวลาจะเสด็จปรินิพพานว่า
อีกสามเดือนเธอจะไปเป็นผู้ไม่มีกิเลสเหลืออยู่ในใจ
คือจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตบุคคล
ในวันทำสังคายนาแน่นอนฉะนั้น
เหล่านี้พอจะทราบได้ว่า
ความเคารพเชื่อฟังครูอาจารย์ เพื่อผลที่ตนมุ่งหวัง
เป็นสิ่งสำคัญมาก ทำให้ผู้นั้นมีความสนใจจดจ่อ
ไม่เผอเรอและเลื่อนลอย ปล่อยใจปล่อยตัว
นับว่าเป็นผู้มีหลักยึดของใจด้วยดี
พูดอะไรก็พอรู้เรื่องกันบ้าง ไม่ต้องพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ
จนกลายเป็นเรื่องรำคาญ และหนักใจด้วยกัน
ทั้งสองฝ่าย โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 00:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพระอาจารย์มั่นกลับไปภาคอีสานเที่ยวที่สองนี้
ทำให้ผู้คนพระเณรตื่นเต้นและกระตือรือร้นกัน
ทั้งภาค เพราะท่านเที่ยวจาริกและอบรมสั่งสอน
ในที่ต่าง ๆ เกือบทุกจังหวัด
เริ่มผ่านไปแต่จังหวัดนครราชสีมา ศรีสะเกษ
อุบลฯ นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองคาย
เลย หล่มสัก เพชรบูรณ์ และข้ามไปเวียงจันทน์
ท่าแขก ประเทศลาว กลับไปมาหลายตลบ
ในแต่ละจังหวัด
จังหวัดที่มีป่ามีเขามาก ท่านชอบพัก
อยู่นานเพื่อการบำเพ็ญเป็นแห่ง ๆ ไป เช่น ทางทิศใต้
และทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวจังหวัดสกลนคร
มีป่ามีเขามาก ท่านพักจำพรรษาอยู่แถบนั้น
คือจำพรรษาที่หมู่บ้านโพนสว่าง อำเภอสว่างแดนดิน
จังหวัดสกลนคร แถบนั้นมีแต่ป่าแต่เขา พระธุดงค์
จึงมีประจำมิได้ขาดตลอดมาจนทุกวันนี้
เพราะท่านเหล่านี้ชอบป่าชอบเขามาก
เวลาท่านเที่ยวจาริกในหน้าแล้ง
ที่พักหลับนอนโดยมากก็เป็นร้านหรือแคร่เล็ก ๆ
ปูด้วยฟากที่ทำด้วยไม้ไผ่สับแผ่ออกเป็นแผ่นแบน ๆ
ยาวประมาณ ๑ วา กว้าง ๒ หรือ ๓ ศอก
สูงประมาณ ๑ ศอก เฉพาะแต่ละรูปอยู่ห่าง
กันตามแต่ป่าที่ไปอาศัยกว้างหรือแคบ ถ้าป่ากว้างก็
อยู่ห่างกันออกไปประมาณ ๒๐ วา มีป่าคั่นมองไม่เห็น
กัน ถ้าป่าแคบและอยู่ด้วยกันหลายรูป ก็ห่าง
กันราว ๑๕ วา แต่โดยมากตั้งแต่ ๒๐ วาขึ้นไป
อยู่น้อยองค์ด้วยกันเท่าไรก็ยิ่งอยู่ห่างกันออกไปมาก
พอได้ยินเสียงไอหรือจามเท่านั้น
ญาติโยมพา
กันมาทำทางสำหรับเดินจงกรมให้ท่านประจำที่พัก
องค์ละหนึ่งสาย ยาวประมาณ ๕ วาหรือ ๑๐ วา
ทุกองค์ สำหรับทำความเพียรในท่าเดิน และเดินได้
ทั้งกลางวันและกลางคืน ตามแต่สะดวก ในเวลา
ต้องการ
ถ้ามีพระขี้กลัวผี หรือกลัวเสือไปอยู่
ด้วย ท่านมักจะให้อยู่ห่าง ๆ หมู่เพื่อนเป็นพิเศษ เพื่อ
เป็นการฝึกทรมานให้หายพยศ
ความขี้ขลาดของตัวเสียบ้าง จนมี
ความเคยชินต่อป่าดงพงลึกและสัตว์เสือหรือผีต่าง ๆ
ที่จิตไปทำความสำคัญมั่นหมายสิ่งนั้น ๆ
มาหลอกตัวเอา จะได้เหมือนท่านที่เคยฝึกมาแล้วบ้าง
ไปที่ไหนจะไม่ต้องหาบหามความกลัวไปด้วย
เพราะวิธีนี้ท่านถือว่าได้ผลดีกว่าการปล่อยตามใจ
ซึ่งไม่มีวันจะเกิดความกล้าหาญได้เลย ถ้าไปอยู่ใหม่
ๆ ต่างองค์ก็นอนกับพื้นดินไปก่อน โดยเที่ยวหาใบไม้แห้ง
หรือใบไม้สดมารองนอน
ถ้ามีฟางก็เอาฟางมาปูรองที่นอน
ท่านว่า หน้าเดือน ๑-๒ ซึ่งเป็นฤดูฟ้า
ใหม่ฝนเก่าประสานกันนี้ รู้สึกลำบากอยู่บ้าง
เวลาฝนตกต้องเปียกและตากฝนทุกปี
บางครั้งนอนตากฝนตลอดคืนจนกว่าจะหยุด
กลดก็สู้ไม่ไหว เพราะทั้งฝนทั้งลม
ต้องทนหนาวตัวสั่นอยู่ในกลดนั่นแล ตาก็มองไม่เห็น
จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ ถ้ากลางวันก็ค่อยยังชั่วบ้าง แม้
จะเปียกก็พอมองเห็นนั่นเห็นนี่ และคว้านั่นคว้านี่มา
ช่วยปิดบังฝนได้บ้าง ไม่มืดมิดปิดตาเสียทีเดียว
ผ้าสังฆาฏิและไม้ขีดไฟซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ต้องเก็บไว้
ในบาตร เอาฝาปิดไว้ให้ดี ส่วนจีวรเอาไว้สำหรับห่ม
กันหนาวขณะฝนกำลังตก มุ้งที่กางไว้กับกลด
ต้องลดลงเพื่อกันฝนสาดเวลาลมพัดแรง ไม่เช่น
นั้นก็เปียกหมด ตกตอนเช้าไม่มีผ้าห่มบิณฑบาตก็ยิ่งแย่
ใหญ่
พอตกเดือน ๓ เดือน ๔ หรือเดือน ๕
อากาศเริ่มร้อนขึ้น ก็ขึ้นบนภูเขา หาพักตามถ้ำ
หรือเงื้อมผา พอบังแดดบังฝนได้บ้าง ถ้าไปตอนเดือน
๑-๒ ซึ่งพื้นที่ยังไม่แห้งดี ก็ทำให้เป็นไข้
และชนิดจับสั่นที่เรียกกันว่ามาลาเรีย ซึ่งใครเป็น
เข้าแล้วไม่ค่อยหายเอาง่าย ๆ เสียเวลาตั้งหลาย ๆ
เดือนกว่าจะหายขาด หรือบางทีก็กลาย
เป็นไข้เรื้อรังไปเลย คิดอยากไข้เมื่อไรก็เป็นขึ้นมา
ชนิดที่เขาเรียกว่า “ไข้พ่อตาแม่ยายหน่ายเกลียดชัง”
รับประทานได้ แต่ทำงานไม่ได้ คอยแต่จะไข้ ถ้า
เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าแต่พ่อตาแม่ยาย ใคร ๆ ก็คง
จะเบื่อหน่ายเหมือนกัน ไข้ประเภทนี้
ไม่มียารับประทาน ในสมัยโน้นใครเป็นเข้า
ต้องปล่อยให้หายไปเอง
ไข้ที่น่าเข็ดหลาบประเภทนี้
ผู้เขียนเองเคยถูกมาบ่อยที่สุด เวลาเป็นขึ้นมาแล้วก็
ต้องปล่อยให้หายไปเองเช่นกัน เพราะไม่มียารักษา
ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าเรื่องพระธุดงค์เป็นไข้ป่า
ไข้มาลาเรีย นับแต่องค์ท่านลงไปถึงลูกศิษย์
บางองค์ถึงกับตายไปก็มี ฟังแล้วเกิด
ความสงสารสังเวชท่านและคณะของท่านมากมาย
รอดตายมาแล้วถึงได้มาสั่งสอนธรรม พอ
เป็นร่องรอยแก่คณะลูกศิษย์ได้ยึดถือ
และปฏิบัติตามท่านบ้าง
แต่ก่อนที่ท่านพระอาจารย์มั่น
และพระอาจารย์เสาร์ ยังไม่
ได้ผ่านไปอบรมสั่งสอนพอ
ให้รู้เรื่องดีเรื่องชั่วเรื่องผีเรื่องคน
เรื่องบุญเรื่องบาปบ้าง ภาคอีสานทั้งภาค
เป็นภาคที่นับถือผีอย่างเป็นชีวิตจิตใจจริง ๆ
จะทำนาทำสวนปลูกบ้านสร้างเรือนอะไร ๆ แทบทั้ง
นั้น ต้องลงเลขลงยามหาวันดี เดือนดี ปีดี
หาฤกษ์งามยามดี และเซ่นสรวงวิงวอนผี
ให้เห็นดีเห็นชอบก่อนถึงจะลงมือทำอะไรลงไปได้
ไม่เช่นนั้นหากมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น เช่น
ไอบ้างจามบ้างตามธรรมดาธาตุขันธ์ แม้แต่สุนัขก็ยังมี
ได้เป็นได้ แต่เป็นต้องหาว่าผิดผีเข้าแล้ว
ต้องไปเชิญหมอมาทำนายทายทักให้ในทันทีทันใด
หมอสมัยนั้นก็เก่งจริง เก่งกว่าหมอสมัยนี้เป็นไหน ๆ
เป็นต้องทายเปาะออกมาว่าผิดผีตรงนั้นบ้าง
ตรงนี้บ้างทันที เมื่อไปบวงสรวงแล้วจะหาย
หวัดก็หาย จามก็หาย ไอก็หาย แม้ผู้เป็นจะยังไอ
ยังจามฟิก ๆ แฟก ๆ อยู่ก็ตาม ถ้าหมอสมัยนั้นว่าหาย
แล้วก็หายไปตามและสบายใจไปเลย ทั้งที่ไอ
และจามฟิก ๆ อยู่นั้นแล ฉะนั้น
จึงกล้าเขียนว่าหมอสมัยนั้นเก่งจริง และคนไข้สมัย
นั้นเก่งจริง หมอบอกอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ไม่
ต้องสนใจหาหยูกหายามารักษากัน เอาหมอกับผีมา
เป็นยารักษาเป็นหายเรียบไปเลย
แต่พอท่านอาจารย์ทั้งสองผ่านไป
และอบรมสั่งสอนอย่างมีเหตุผล
เรื่องบ้าผีแลบ้าหมอทายผีก็ค่อยจางลงจนแทบ
ไม่มีเลย
แม้หมอเสียเองก็ยอมรับพระไตรสรณคมน์
คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แทนการถือผีไหว้ผีต่าง ๆ แต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ทุกวันนี้แทบจะไม่มีใครทำกันก็ว่าได้
เวลาเที่ยวไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทางภาคอีสาน
ไม่ค่อยโดนและเหยียบผี
และเหยียบเครื่องสังเวยผีเหมือนแต่ก่อน นอกจากเขา
จะพากันไปทำอยู่ใต้ดิน ซึ่งสุดวิสัยที่
จะไปเที่ยวซอกแซกเห็น
จึงนับว่าภาคอีสานมีวาสนาอยู่บ้าง ไม่พา
กันกอดคอกันตายกับผีไปตลอดชาติ ยังมีพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ กราบไหว้บูชาแทนผีบ้าง
ในกาลต่อมา ชาวอีสานที่ได้รับ
ความเมตตาอนุเคราะห์จากท่านพระอาจารย์
ทั้งสองคงไม่ลืมบุญคุณท่าน เพราะเป็น
ผู้มีพระคุณแก่คนภาคนั้นจนสุดที่พรรณนา
ทั้งนี้เขียนตามประวัติที่ท่านเล่าให้ฟัง ส่วนจะผิด
หรือถูกผู้เขียนก็ทราบไม่ได้ ในระยะนั้นอาจยัง
ไม่เกิดหรือยังเป็นเด็กอยู่มาก ที่พ่อแม่พานับถือผี
เป็นชีวิตจิตใจเหมือนคนทั่วไปก็ได้ จึงขออภัยด้วย
สมัยโน้น ไม่ว่าการอบรมฆราวาส
หรือพระเณร ท่านได้ทุ่มเทกำลังและความ
สามารถทุกด้านเพื่อให้คนเป็นคนจริง ๆ
ท่านเที่ยวไปบางหมู่บ้าน
มีนักปราชญ์บัณฑิตประจำหมู่บ้านมาถามปัญหา
กับท่านก็มี ความว่า ผีมีจริงไหม บ้าง ว่า มนุษย์เกิดมา
จากไหน บ้าง ว่า อะไรทำให้ผู้หญิงกับ
ผู้ชายเกิดรักชอบกันเองโดย
ไม่มีโรงร่ำโรงเรียนสอนให้รักชอบกัน บ้าง ว่า
สัตว์ชนิดเดียวกันตัวผู้กับตัวเมียทำไมจึงเกิดรักชอบ
กันเอง บ้าง ว่า มนุษย์และสัตว์ไปเรียนความรักชอบ
ซึ่งกันและกันมาจากไหน จึงได้เกิดรักชอบกันขึ้นมา
บ้าง
แต่ผู้เขียนก็จำได้บ้างเล็กน้อย
ไม่ละเอียดทั่วถึง จึงนำมาลงไว้เท่าที่จำได้ จะถูก
หรือผิดประการใดนั้นขึ้นอยู่กับผู้เขียนเอง เพราะ
เป็นผู้จดจำผิดพลาดคลาดเคลื่อนมาตามนิสัยที่เคย
เป็นมาประจำ แม้แต่จำคำที่ตนเคยพูด
และเรื่องของตัวที่เคยเป็นมา ก็ยังมีผิดพลาด
ได้เสมอมาอย่างแก้ไม่ตก จึงไม่
สามารถจดจำคำของท่านทุกคำด้วยความถูกต้องได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 00:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบปัญหาของชาวบ้าน
ปัญหาที่ว่ามีผีจริงไหม?
ท่านแก้ว่า ไม่ว่าแต่ผีหรือสิ่งใด ๆ
ในโลก ถ้าสิ่งนั้นมีอยู่จริง สิ่งนั้นต้อง
เป็นอิสระไปตามความมีอยู่ของตน ไม่ขึ้นอยู่กับ
ความสนับสนุนหรือทำลายของใครที่ไปว่าสิ่ง
นั้นมีจริงหรือสิ่งนั้นไม่มี สิ่งนั้นถึงจะมีหรือจะสูญไป
แต่สิ่งนั้นต้องมีอยู่ตามธรรมชาติของตน
ไม่มีการเพิ่มขึ้น
และลดลงตามคำเสกสรรของใคร ๆ
ผีที่มนุษย์สงสัยกันทั่วโลกว่ามีหรือไม่มีก็เช่นกัน
ความจริงผีที่ทำให้คนเกิดความกลัวและเป็นทุกข์กัน
นั้น เป็นผีที่คนคิดขึ้นที่ใจ ว่าผีมีอยู่นั้นบ้างที่นี้บ้าง ผี
จะมาทำลายบ้างต่างหาก จึงพาให้เกิดความกลัวและ
เป็นทุกข์ขึ้นมา ถ้าอยู่ธรรมดาไม่ก่อเรื่องผีขึ้นที่ใจ ก็
ไม่เกิดความกลัวและไม่เป็นทุกข์ ฉะนั้น ผีจึงเกิดขึ้น
จากการก่อเรื่องของผู้กลัวผีขึ้นที่ใจมากกว่าผีจะมา
จากที่อื่น
แต่ผีจะมีจริงหรือไม่นั้น แม้
จะบอกว่าผีมีจริง ก็ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันกันพอ
ให้เชื่อได้ เพราะนิสัยมนุษย์เราไม่ชอบยอมรับ
ความจริง แม้ไปเที่ยวขโมยของเขามา
เจ้าของตามจับตัวได้พร้อมทั้งของกลาง
และพยานหลักฐานมาอย่างพร้อมมูล ยัง
ไม่ยอมรับตามความจริง แถม
ยังปั้นพยานเท็จขึ้นหลอกลวงเพื่อหาทางรอดตัวไปจน
ได้ โดยไม่ยอมรับว่าตัวทำผิด นอกจากถูกบังคับ
ด้วยหลักฐานพยานเท่านั้นก็ยอมรับโทษไป ทั้ง ๆ
ที่ใจจริงและกิริยาที่แสดงออกไม่ยอมรับว่าตัวผิด
เวลาไปเป็นนักโทษอยู่ในเรือนจำแล้ว มี
ผู้ไปถามว่าคุณทำผิดอะไรถึงต้องมาติดคุก
และเสวยกรรมอย่างนี้ นักโทษคนนั้นจะรีบตอบ
เป็นเชิงแก้ตัวทันทีว่า เขาหาว่าผมขโมยของเขา แต่
จะยอมรับตามความจริงว่า ผมไปขโมยของเขา
อย่างนี้ไม่ค่อยมี รายไหนถูกถาม รายนั้น
ต้องตอบอย่างเดียวกัน นี่คือมนุษย์เราโดยมาก
เป็นอย่างนี้
ปัญหาที่ว่ามนุษย์เกิดมาจากไหน?
ท่านตอบว่า มนุษย์เราต่างก็มีพ่อมีแม่
เป็นแดนเกิด แม้ผู้ถามก็มิได้เกิดจากโพรงไม้
แต่มีพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาเหมือนกัน จึง
ไม่ควรถาม ถ้าจะตอบว่ามนุษย์เกิดจากอวิชชาตัณหา
ก็ยิ่งจะมืดมิดปิดตายิ่งกว่าไม่ตอบเป็นไหน ๆ เพราะ
ไม่เคยรู้ว่าอวิชชาตัณหาคืออะไร ทั้ง ๆ ที่มีอยู่
กับทุกคน เว้นพระอรหันต์ท่านเท่านั้น แต่
ไม่สนใจอยากรู้และปฏิบัติเพื่อรู้สิ่งดังกล่าว นอก
จากจะตอบว่าเกิดจากพ่อกับแม่ที่เห็น ๆ กันอยู่นี้เท่านั้น
ผู้ถามก็จะหาว่าตอบตัดสำนวน จึงลำบาก
ในการตอบตามความจริง เพราะผู้ถามมิได้สนใจกับ
ความจริงเท่าไรนัก
ในธรรมท่านว่ามนุษย์และสัตว์เกิดจาก
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ฯลฯ สมุทโย โหติ
และดับภพชาติอันเป็นความดับทุกข์ทั้งมวล จาก
อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ฯลฯ
นิโรโธ โหติ เหล่านี้ก็มีอยู่
กับจิตของทุกคนที่มีกิเลสบนหัวใจ
ถ้ายอมรับความจริงแล้ว ก็นี่แลพา
ให้เกิดเป็นมนุษย์และสัตว์อยู่เต็มโลก จนจะหาที่
อยู่ที่กินกันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะอวิชชาตัณหา
ความหิวโหยไม่มีเวลาลดตัวเป็นต้นเหตุ ทั้งที่ยัง
ไม่ตายก็เตรียมหาที่เกิดและที่อยู่กินอยู่แล้ว
นี่แลตัวที่พาให้มนุษย์และสัตว์เกิดและเป็นทุกข์
อยู่เต็มโลก ถ้าอยากทราบ ก็จงดูจิตดวงที่เต็มไป
ด้วยกิเลส ประเภทที่พา
ให้ร้อนรนกระวนกระวายส่ายแส่ หาที่เกิดที่อยู่ทุก
ๆ ขณะนี้ จะได้พบสิ่งที่มุ่งหวังอย่างสมใจ
และหายสงสัยในตัวเอง ไม่ต้องไปถามใคร อัน
เป็นการแสดงความงมงายของตัวให้คนอื่นเห็นว่า ตัว
ยังบกพร่องเรื่องของตัวอยู่มาก เพราะจิต
เป็นตัวคะนองและจองหอง ไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบ
ได้ในโลก หากแต่ขาดความสนใจเหลียวแลเท่านั้น
จึงไม่รู้ความดื้อดึงของตัว และทำให้คว้าน้ำเหลว
โดยไม่มีอะไรติดมือพอเป็นความสมหวังบ้าง
ที่ว่าอะไรที่ทำให้มนุษย์หญิงชาย
และสัตว์ชนิดเดียวกันเกิดความรักชอบกัน โดย
ไม่มีโรงร่ำโรงเรียนสอนให้รักชอบกัน?
ท่านตอบว่า เพราะราคะตัณหา
ความรักชอบไม่ได้อยู่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่
ในโรงร่ำโรงเรียน และครูที่ควรจะไปเรียน
กับสิ่งดังกล่าวนั้น แต่ราคะตัณหาความหน้าด้าน
ไม่มียางอาย มันเกิดและอยู่กับใจของมนุษย์หญิงชาย
และสัตว์ต่างหาก จึงทำให้ผู้มีสิ่งลามกนี้ กลาย
เป็นหญิงชายและสัตว์ผู้ลามกไปตามอำนาจของมัน
โดยไม่รู้สึกตัว และไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ
และวัยอะไรทั้งสิ้น ถ้ามีมากก็ยิ่งทำให้โลกกลาย
เป็นโลกวินาศไปได้อย่างไม่มีปัญหา หาก
ไม่มีสติปัญญาสกัดกั้นมันไว้บ้างพอให้น่าดู ก็จะกลาย
เป็นน้ำล้นฝั่งท่วมทับหัวใจและท่วมบ้านเมือง
ให้ฉิบหายป่นปี้ไปได้ โดยไม่มีอะไรยังเหลือพอให้
เป็นที่น่าดูบ้างเลย สิ่งที่เกิดอยู่ที่จิตใจของสัตว์โลก
และเจริญอยู่ที่จิตใจของสัตว์โลกตลอดมา ก็
เพราะมัน
ได้รับการบำรุงส่งเสริมอย่างเหลือเฟือเสมอมา
จึงมีกำลังเขย่าก่อกวนและทำลายสัตว์โลกให้
ได้รับความทุกข์เดือดร้อนเสมอมา
ไม่มีวันเวลาผ่อนตัวพอให้หายใจบ้างเลย
โดยมากเคยได้ยินแต่น้ำท่วมบ้านท่วมเมือง
ผู้คนและสัตว์ ตลอดทรัพย์สินสมบัติต่าง ๆ
ให้พินาศฉิบหาย แต่
ไม่เคยสนใจสังเกตดูน้ำราคะตัณหาไม่มีเมืองพอดี
ท่วมหัวใจสัตว์โลก ตลอดสมบัติที่พึงพอใจ
ให้ฉิบหายวายป่วงไปทุกระยะเวลา โดย
ไม่นิยมว่าหน้าแล้งหน้าฝนเลย จึงไม่เห็น
ความเสื่อมโทรมของโลก ที่กำลังเป็นอยู่และจะ
เป็นไป ว่ามีสาเหตุเป็นมาอย่างไร
เพราะต่างคนต่างผลิต ต่างคนต่างส่งเสริม โดย
ไม่สนใจดูความเสื่อมโทรมเพราะน้ำนี้เป็นต้นเหตุ
การมองหาความสงบสุขของโลกจึงเป็นสิ่งที่ออก
จะสุดวิสัยไปได้ ถ้าไม่มองดูตัวที่กำลังก่อเหตุ
ผู้ถามถามเฉพาะ
ความรักชอบระหว่างหญิงชายและสัตว์เท่านั้น
ไม่ถามถึงความเกลียดชังกริ้วโกรธและทำลาย
เพราะราคะตัณหาเป็นต้นเหตุบ้างเลย
แต่ท่านก็อธิบายเกี่ยวโยงไปถึงความไม่ดี
ทั้งหลายที่ราคะตัณหาไปเที่ยวก่อกรรมทำลาย
ไว้อย่างไม่มีประมาณบ้างแล้ว
ท่านว่าราคะตัณหานี่แล
เป็นสื่อมวลพาให้หญิงชายและสัตว์รักชอบกัน และ
เป็นผู้อำนวยการให้หญิงชายและสัตว์ยินดีซึ่งกัน
และกันตามหลักธรรมชาติ นอกนี้ไม่มีอะไรทำ
ให้เกิดความรักชอบเกลียดชังซึ่งกันและกันได้
เวลาราคะตัณหาใช้เล่ห์เหลี่ยมไปทางรัก คน
และสัตว์ก็รัก เวลามันใช้เล่ห์เหลี่ยมไป
ในทางเกลียด ทางโกรธ หรือทางทำลาย คน
และสัตว์ก็ต้องเกลียด ต้องโกรธ และทำลายกัน
ได้ มันต้องการเลี้ยงมนุษย์และสัตว์ไว้ด้วยวิธี
ให้รักชอบกัน มนุษย์และสัตว์ก็รักชอบกัน ประหนึ่ง
จะไม่มีวันเหินห่างจืดจางจากกันเลย เวลามัน
ต้องการให้มนุษย์และสัตว์ที่อยู่
ใต้อำนาจของมันเกลียดโกรธกัน ก็จำต้อง
เป็นไปตามมันจนได้ ไม่มีทางขัดขืน
พวกโยมไม่เคยทะเลาะกันบ้างหรือ
ระหว่างสามีภรรยาซึ่งแสนรักกันมาก่อนวันแต่งงาน
จึงต้องมาถามอาตมา
อาตมาคิดว่าโยมรู้เรื่องนี้ดีกว่าพระเป็นไหน ๆ
ท่านย้อนถามเขาตอนจบประโยค
เขาตอบท่านว่า เคยทะเลาะ
กันเสียจนเบื่อ ไม่อยากทะเลาะกันเลยท่าน แต่ก็จำ
ต้องทะเลาะกันจนได้ เรื่องของโลกมัน
เป็นอย่างนี้แล เดี๋ยวรักกัน เดี๋ยวชังกัน เดี๋ยวโกรธ
กัน เดี๋ยวเกลียดกัน ทั้งที่รู้อยู่ว่าไม่ดีแต่ก็แก้
ไม่ตกสักที
ท่านถามเขาว่า โยมพยายามแก้มันจริง ๆ
หรือ มิใช่ว่าโกหกอาตมาเล่นเปล่า ๆ หรอกหรือ
ถ้าต่างพยายามแก้กันอยู่บ้าง แม้ไม่ได้มาก เข้าใจว่าจะ
ไม่เป็นไปอยู่บ่อย ทำนองผักชีจิ้มน้ำพริกกับอาหาร
เช้าเย็น คือ เช้าก็ทะเลาะกัน เย็นก็ทะเลาะกัน
ทะเลาะกันไม่หยุด จนได้หย่าร้างกันไปก็มี
ในบางราย ผู้ที่พลอยเป็นเชื้อเพลิงไปด้วยคือลูก ๆ
ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยก็จำ
ต้องหาบบาปหาบกรรมไปด้วย ต่างก็ร้อน
เป็นไปไฟไปตาม ๆ กัน เข้ากับใครไม่ติด เพราะ
ความอิดหนาระอาใจละอายเพื่อนฝูง
ถ้าต่างฝ่ายต่างสนใจอยู่บ้างเพียงแต่เริ่ม
จะทะเลาะกันก็ทราบอยู่ด้วยกันว่าเป็นเรื่องไม่ดี
ต่างก็พยายามระงับและแก้ไขตัวให้ถูกต้องเสีย
ในขณะนั้น เรื่องก็ระงับไปเอง ต่อไปก็
ไม่มีเรื่องทำนองนั้นเกิดขึ้นอีก ประการหนึ่ง เวลา
จะโกรธจะเกลียดก็ควรคิดถึงความหลังบ้าง คิด
ถึงอนาคตที่จะอยู่อาศัยกันไปตลอดชีวิตบ้าง
มาบวกลบกันกับความไม่ดีที่เกิดขึ้นเวลานั้น
จะพอมีทางระงับได้ โดยมากคนเราที่เป็นไปในทาง
ไม่ดี ก็เพราะความอยากให้
ได้ตามใจหวังของตัวอย่างเดียว และอยากให้ใจคน
ในครอบครัวมาอยู่ใต้อำนาจของตัวคนเดียว โดย
ไม่คำนึงถึงความผิดถูก ซึ่งเป็นสิ่งสุดวิสัยที่จะเป็นไปได้
เรื่องจึงระบาดออกมาและลุกลามไปไหม้คนอื่น
ให้เดือดร้อนไปด้วย
นอกจากนั้น ยังอยากให้ใจของคน
ทั้งโลกมารวมอยู่ในอุ้งมือของตัวคนเดียว ซึ่ง
เป็นลักษณะความคิดเพื่อกั้นน้ำมหาสมุทรด้วยฝ่ามือ
อันเป็นความคิดที่ผิดวิสัย จึงเป็นเรื่องไม่ควรคิด
ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ถ้าฝืนคิดไปก็อกแตกตายเปล่า ๆ
การอยู่ด้วยกันต้องมีหลักที่ถูกต้องดีงาม
เป็นเครื่องยึดเครื่องดำเนินทั้งฝ่ายสามี
และภรรยา ตลอดลูก ๆ และคนงานในบ้าน แม้
กับคนอื่นหรือคนในวงงาน
ก็ควรปฏิบัติอย่างมีเหตุมีผลที่เป็นทางลงรอยกันได้
หากคนอื่นไม่ยอมรับความจริง ก็เป็นความผิดของเขา
ผู้ไม่มีขอบเขตเหตุผลสำหรับตัวเขา และเป็น
ความเสียหายอยู่กับตัวเขาเอง ตนไม่มีส่วนผิด และ
ยังพอมีหลักยึดเพื่อการครองตัวต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 00:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การอบรมสั่งสอนประชาชนและพระเณร
การอบรมสั่งสอนประชาชน
และพระเณร ถ้ามีคนมาเกี่ยวข้องมาก ท่านก็แบ่ง
เป็นเวลา ไม่ให้ตรงกัน คือ บ่ายราว ๔-๕ โมงเย็น
อบรมคณะญาติโยม แต่ ๑
ทุ่มขึ้นไปอบรมพระเณร พอเลิกจากประชุม
ต่างองค์ต่างไปที่พักของตน และประกอบความเพียร
เวลาพักอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ
ทางภาคอีสาน ท่านปฏิบัติต่อประชาชน
พระเณรอย่างหนึ่ง ในเที่ยวแรกกับเที่ยวที่ ๒
เวลาท่านไปพักอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่
และกลับไปอุดรเที่ยวที่ ๓ คือ เที่ยวสุดท้าย
ท่านปฏิบัติกับประชาชน พระเณรอีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งผิดกับแต่ก่อนอยู่มาก แต่ทั้งสองตอนหลังนี้ จะรอ
ไว้เขียนข้างหน้าเพื่อให้เรื่องติดต่อกันไม่ขาดความ
ท่านสนใจสั่งสอนพระเณรมาก
เป็นพิเศษ ถ้าปรากฏว่ารายใดภาวนาจิตเป็นไป
และรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับภายนอกหรือภายใน
ท่านจะพยายามสนใจและเรียกมาสอบอารมณ์
เป็นพิเศษ เพราะตามธรรมดาของผู้ปฏิบัติภาวนาทั่ว
ๆ ไป ย่อมมีจริตนิสัยแปลกต่างกัน
การปฏิบัติและความรู้ที่เกิดขึ้น
จากการภาวนาก็มีความแปลกต่างกันเป็นราย ๆ
แต่ผลคือความสงบสุขเย็นใจนั้นเหมือนกัน
ที่แปลกต่างกันก็คืออุบายวิธีและความรู้
ความเห็นที่ปรากฏขึ้นในขณะภาวนา
บางรายก็รู้เกี่ยวกับสิ่งภายในด้วย เกี่ยว
กับสิ่งภายนอกด้วย เช่น เห็นภูตผีเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง
เห็นเทวบุตรเทวดาเป็นต้น เข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง เห็นคน
หรือสัตว์มาตายอยู่ต่อหน้าบ้าง เห็นเขาหามผีมาทิ้ง
ไว้ต่อหน้าบ้าง เห็นร่างของตัวออกไปนอนตาย
อยู่ต่อหน้าบ้าง เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สุดวิสัยของ
ผู้เพิ่งรู้เพิ่งเห็นในขณะเริ่มต้นภาวนาและจิตเริ่มสงบ
ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่สุดวิสัยที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องแม่นยำ
ได้ทุก ๆ กรณีไป ทั้ง
ไม่แน่ใจว่าที่ปรากฏขึ้นมาแต่ละอย่างนั้น จะมี
ความผิดถูกแฝงอยู่ประการใดบ้าง บางรายที่
เป็นนิสัยไม่ชอบใคร่ครวญก็อาจเห็นผิดไปตาม
และยึดถือเอาว่าเป็นความจริง ก็ยิ่ง
เป็นทางล่อแหลมต่อความเสียหายในอนาคตมากขึ้น
แต่นิสัยที่จิตออกรู้สิ่งต่าง ๆ
ดังกล่าวมาขณะที่จิตสงบลง มีจำนวนน้อยมาก
ร้อยละห้าคนก็ทั้งยาก แต่ก็ต้องมีรายหนึ่งจนได้ ที่
จะปรากฏเช่นนั้นขึ้นมา จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้อง
ได้รับการแนะนำจากท่านผู้มีความรู้เชี่ยวชาญ
ในทางนี้มาก่อน
เวลาพระธุดงค์ท่านเล่าผลของการภาวนาที่ปรากฏ
ในลักษณะต่าง ๆ กันถวายครูอาจารย์
และเวลาอาจารย์ชี้แจงวิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่รู้ที่เห็นให้
ผู้มาศึกษาไต่ถามฟัง รู้สึกว่าซาบซึ้งจับใจเพลิดเพลิน
ในการฟังไม่อยากให้จบลงอย่างง่าย ๆ เวลาอธิบาย
ท่านแยกประเภทแห่งนิมิตออกเป็นตอน ๆ
และอธิบายวิธีปฏิบัติต่อนิมิตนั้น ๆ
อย่างละเอียดลออมาก จนผู้ฟังหายสงสัย
และร่าเริงในธรรมที่ท่านแสดงให้ฟัง พร้อมทั้ง
ความมีแก่ใจที่จะบำเพ็ญตนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แม้รายที่
ไม่ปรากฏเห็นนิมิตเกี่ยวกับสิ่งภายนอก
แต่ก็น่าฟังไปอีกทางหนึ่ง
เวลาท่านเล่า
ความสงบสุขของใจที่รวมลงสู่ความสงบ
ตลอดอุบายวิธีที่ท่านทำถวายอาจารย์ ผู้ที่ยังไม่
สามารถถึงขั้นที่ได้ยินได้ฟังในขณะนั้น ก็เกิดศรัทธา
ความเชื่อมั่นขึ้นมา ที่จะพยายามทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง
หรือยิ่งกว่านั้นบ้าง ทั้งผู้ที่มีจิตเป็นไปและ
ผู้ที่กำลังตะเกียกตะกาย ต่างก็ได้รับ
ความปลาบปลื้มปีติในขณะฟัง
บางรายเวลาจิตสงบลง ปรากฏว่า
ได้ไปเที่ยวบนสวรรค์ชมวิมานชั้นต่าง ๆ จนจวนสว่าง
ใจถึงกลับสู่ร่างและรู้สึกตัวขึ้นมาก็มี
บางรายลงไปเที่ยวปลงธรรมสังเวช
กับพวกเสวยกรรมต่าง ๆ กันในนรกก็มี บางราย
ทั้งขึ้นไปเที่ยวบนสวรรค์ทั้งลงไปเที่ยวในนรก
ดูสภาพทั้งสองแห่งซึ่งมีความแตกต่างกันมาก
คือพวกหนึ่งรื่นเริงบันเทิง แต่อีกพวกหนึ่งคร่ำครวญ
ด้วยความทุกข์ทรมาน ซึ่งไม่มีกำหนดว่าจะพ้นโทษไป
ได้เมื่อไรก็มี บางรายก็ต้อนรับแขกคือพวกภูตผี
และเทวดาที่มาจากที่ต่าง ๆ คือชั้นบนบ้าง
รุกขเทพฯบ้าง
ขณะที่จิตสงบลง บางรายก็เสวย
ความสงบสุขที่เกิดจากสมาธิประเภทต่าง ๆ
กันตามกำลังของตัวบ้าง
บางรายก็พิจารณาทางปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ออก
เป็นแผนก และแยกให้สลายจากกันจน
เป็นคนละชิ้นละส่วน และทำ
ให้สลายลงสู่คติเดิมของตนบ้าง
บางรายก็กำลังเริ่มฝึกหัด
และกำลังล้มลุกคลุกคลาน
เหมือนเด็กกำลังฝึกหัดนั่งบ้างเดินบ้างต่าง ๆ กัน
บางรายภาวนาบังคับจิตให้ลงอย่างใจหวังไม่ได้ เกิด
ความน้อยเนื้อต่ำใจร้องไห้บ้าง บางราย
ได้ยินท่านสนทนาธรรมประเภทต่าง ๆ
ตามภูมิที่ตนรู้เห็นกับอาจารย์เกิดความปีติ
และอัศจรรย์ในธรรมนั้น ๆ แล้วร้องไห้บ้าง
บางรายก็ไปเป็นทัพพีนอนแช่อยู่กับแกง
ไม่รู้รสของแกงว่าเป็นอย่างไร
และทำตัวขวางหม้อต้มหม้อแกงอยู่ ซึ่งเป็นธรรมดา
ของหลายอย่างอยู่ด้วยกันย่อมมีทั้งดีทั้งชั่วปะปน
กันไปแต่ไหนแต่ไรมา
ผู้มีสติปัญญาก็เลือกเก็บเอาเฉพาะที่เห็นว่าดีและ
เป็นประโยชน์ ก็เป็นสาระแก่ผู้รอบคอบนั้น
รายเช่นนี้แม้ผู้เขียนเองก็ไม่รับรองตัว คงต้องมีส่วน
อยู่ด้วยจนได้ ท่านผู้อ่านกรุณาผ่านไป อย่าได้สนใจ
เพราะเรื่องเช่นนี้ แม้ในบ้านและ
ในตัวเราเองก็อาจมีในบางครั้งบางคราว และอาจมี
อยู่ทั่วไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 00:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านมา
อยู่อบรมสั่งสอนภาคอีสานเที่ยวที่สองนี้ปรากฏว่าหลายปี
แต่การจำพรรษาไม่ค่อยซ้ำที่เก่า
ในปีหลังพอออกพรรษา
แล้วก็ออกเที่ยวธุดงค์ตามป่าตามเขาไปแบบสุคโต
เหมือนนกที่มีเฉพาะปีกกับหาง บินไปเที่ยวหากินในที่ต่าง
ๆ ตามความสบาย บินไปจับต้นไม้และหากินบนต้นไม้ใด
บึงหรือหนองใด พออิ่ม
แล้วก็บินไปอย่างสบายหายห่วง ไม่คิดว่าไม้ต้นนั้น
ผลไม้นั้น เปือกตมนั้น บึงนั้น หนองนั้นเป็นของมัน
ผู้ปฏิบัติธรรมได้แบบนกก็
เป็นสุขไปทางหนึ่ง ซึ่งยากจะทำได้ เพราะมนุษย์เรา
เป็นสัตว์หมู่ สัตว์พวก ชอบอยู่กันเป็นหมู่เป็นพวก
และชอบติดถิ่นฐานบ้านเรือน ผู้
จะออกไปโดดเดี่ยวดังท่านพระอาจารย์มั่นปฏิบัติมา
ในบั้นต้นและจวบบั้นปลาย คือ เวลาท่านอยู่เชียง
ใหม่ จึงรู้สึกฝืนใจไม่น้อยเลย ขออภัยถ้าเทียบก็ราว
กับจูงสัตว์บกใส่น้ำใส่ฝนฉะนั้น แต่ถ้าใจคุ้นกับธรรม
แล้วกลับตรงข้าม คือชอบไปคนเดียว อยู่คนเดียว
อิริยาบถทั้งสี่เป็นเรื่องของคน ๆ เดียว ใจดวงเดียว
ไม่มีอารมณ์เครื่องก่อกวนยุ่งเหยิง นอกจากธรรม
เป็นอารมณ์อันพาให้สบายเท่านั้น
ฉะนั้น ท่านผู้มีใจเป็นเอการมณ์ คือ
มีธรรมเป็นอารมณ์เพียงอย่างเดียว จึง
เป็นใจที่แสนสบายและสว่างไสว
ไม่มีอะไรมาปกปิดกำบังให้อับเฉาเมามัว เป็นผู้
อยู่ตัวเปล่า ใจเปล่าจากอารมณ์ ชมสันติสุข
ด้วยธรรมชาติที่มีอยู่กับตัวอย่างสมบูรณ์
ไม่เกรงกลัวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
และสิ้นไปหมดไป เพราะเป็นอกาลิกธรรม
คือธรรมที่ปราศจากกาลสถานที่ มีอยู่
กับใจที่ปราศจากสมมุติเครื่องหลอกลวง
พระอาจารย์มั่นท่านดำเนินแบบสุคโต ไปเป็นสุข อยู่
เป็นสุข นั่งเป็นสุข ยืนเป็นสุข เดินเป็นสุข นอนเป็นสุข
นำหมู่คณะโดยสุคโต
แต่บรรดาลูกศิษย์ที่พยายามตามให้เป็นไปตาม
ความประสงค์ท่านรู้สึกว่ามีน้อยในธรรมขั้นสูง แต่ก็
ยังนับว่าเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอยู่มาก
เวลาท่านพาออกบิณฑบาตเฉพาะองค์
ท่านเองจะมีเรื่องสัตว์ชนิดต่าง ๆ มา
เป็นอารมณ์คู่เคียงกับธรรมภายในใจ
ให้แสดงออกทางวาจาพอผู้เดินทางตามหลังถัดท่าน
ได้ยินชัดถ้อยชัดคำ อันเป็นเชิงสอนเรา
ให้รู้วิบากกรรมว่า แม้สัตว์เดียรัจฉานก็ยังมี
และเสวยกรรมไปตามวิบากของมัน
โดยนำเรื่องของสัตว์นั้น ๆ ที่เดินผ่านไป พบเห็น
เขาเที่ยวหากินอยู่ตามรายทางมาแสดง เพื่อมิ
ให้ประมาทเขาว่าเป็นสัตว์ที่เกิดในกำเนิดที่ต่ำทราม
ความจริงเขาเพียงเสวยกรรมตามวาระที่เวียนมาถึง
เท่านั้น เช่นเดียวกับมนุษย์เราเกิดเสวยชาติเป็นคน
ซึ่งมี
ความสุขบ้างทุกข์บ้างตามวาระของกรรมที่อำนวย
ในเวลาต่าง ๆ กัน
ฉะนั้น ที่ท่านพร่ำเรื่องของสัตว์ชนิดต่าง
ๆ มีไก่ สุนัข วัว ควายเป็นต้น
เพราะความสงสารที่เขาต้องมา
เป็นอย่างนั้น หนึ่ง
เพราะความตระหนัก
ในกรรมของสัตว์ว่ามีต่าง ๆ กัน หนึ่ง
เพราะท่านและพวกเราที่กำลัง
เป็นมนุษย์ก็มีกรรมชนิดหนึ่งที่พาให้มาเป็นเช่นนี้
ซึ่งล้วนเคยผ่านกำเนิดต่าง ๆ มาจนนับไม่ถ้วน หนึ่ง
เพราะความวิตกรำพึงกับสิ่งที่พาให้
เป็นภพเป็นชาติประจำมวลสัตว์ ว่า
เป็นสิ่งลึกลับมาก ยากที่จะรู้เห็นได้แม้มีอยู่กับตัวทั่ว
กัน ถ้าไม่ฉลาดแก้หรือถอดถอนออกได้ก็ต้องเป็นภัย
อยู่ร่ำไป ไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะหลุดพ้นไปได้
ในกาลและสถานที่ใด ๆ หนึ่ง
แทบทุกครั้งที่ออกบิณฑบาต ท่าน
จะนำเรื่องสัตว์หรือเรื่องคนมาพร่ำไปตามสายทาง
ในลักษณะที่กล่าวมา
ผู้สนใจพิจารณาตามก็เกิดสติปัญญา ได้อุบายต่าง ๆ
จากท่าน ผู้ไม่สนใจพิจารณาตามก็ไม่เกิดประโยชน์
และยังอาจคิดไปว่าท่านพูดอะไรกับสัตว์กับมนุษย์ ซึ่ง
เขาเหล่านั้นไม่มีทางทราบได้ เพราะท่านมิ
ได้พูดเฉพาะหน้าเขา ดังนี้ก็อาจมีได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 00:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โปรดชาวเทพที่มาขอฟังธรรม
เวลาท่านพักอยู่ภาคอีสานบางจังหวัด
ขณะท่านแสดงธรรมอบรมพระตอนดึก ๆ หน่อย
ในบางคืนซึ่งเป็นกรณีพิเศษ ท่านยังสามารถทราบ
และมองเห็นพวกรุกขเทวดาที่พากันมาแอบฟังท่าน
อยู่ห่าง ๆ เพราะพวกเทพฯ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง มี
ความเคารพพระมาก
ท่านเล่าว่า เวลาพวกเทพฯ ชั้นบนลงมา
จากชั้นต่าง ๆ มาฟังธรรมท่านในยามดึกสงัด จะ
ไม่มาทางที่มีพระพักอยู่ แต่จะมาตามทางที่ว่าง
จากพระ และพร้อม
กันทำประทักษิณสามรอบขณะที่มาถึง แล้วนั่งอย่าง
เป็นระเบียบเรียบร้อย เสร็จ
แล้วหัวหน้ากล่าวคำรายงานตัวที่พาพวกเทพฯ มา
จากที่นั้น ๆ ประสงค์อยากฟังธรรมนั้น ๆ
ท่านก็เริ่มทักทายพอสมควร
แล้วเริ่มกำหนดจิตเพื่อธรรมที่สมควร
จะแสดงแก่ชาวเทพฯ จะผุดขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มแสดง
ให้ชาวเทพฯ ฟังจนเป็นที่เข้าใจ จบแล้วชาวเทพฯ พร้อม
กันสาธุการสามครั้งเสียงลั่นโลกธาตุ สำหรับ
ผู้มีหูทิพย์ได้ยินทั่วกัน ส่วนหูกระทะหูหม้อต้มหม้อแกง
ไม่มีทางทราบได้ตลอดไป
พอจบการแสดงธรรมแล้ว ชาวเทพฯ
พร้อมกันทำประทักษิณสามรอบ
แล้วลาท่านกลับอย่างมีระเบียบสวยงาม ผิด
กับชาวมนุษย์เราอยู่มาก แม้ผู้เป็นพระและผู้
เป็นอาจารย์พวกชาวเทพฯ ก็ไม่สามารถทำ
ได้อย่างสวยงามเหมือนเขา เพราะความหยาบ
ความละเอียดแห่งเครื่องมือคือกายต่างกันกับเขามาก
พอออกไปพ้นเขตวัดหรือที่พักแล้ว ชาวเทพฯ เหล่า
นั้นพากันเหาะลอยขึ้นสู่อากาศเหมือนปุยนุ่น
หรือสำลีเหาะปลิวขึ้นบนอากาศฉะนั้น
เวลาที่ชาวเทพฯ มาก็เช่นกัน พา
กันเหาะลอยมาลงนอกบริเวณที่พัก แล้วเดินเข้ามา
ด้วยความเคารพอย่างมีระเบียบสวยงามมากและมิ
ได้พูดคุยกันอึกทึกครึกโครมเหมือนชาวมนุษย์เรา
เข้าไปหาอาจารย์ที่ถือว่าเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งนี้อาจ
เป็นเพราะพวกเทพฯ เป็นกายทิพย์ จะพูดอย่างมนุษย์
จึงขัดข้อง ข้อนี้พวกเทพฯ
ต้องยอมแพ้มนุษย์ที่พูดเสียงดังกว่า มนุษย์จึง
ได้เปรียบพวกเทพฯ ตรงนี้เอง
พวกเทพฯ ขณะฟังเทศน์มี
ความสำรวมดีมาก ไม่ส่ายโน่นส่ายนี่
ไม่แสดงทิฐิมานะออกมาให้กระทบจิตใจของผู้จะ
ให้อรรถให้ธรรม ตามปกติก่อนหน้าพวกเทพฯ
จะมาฟังเทศน์ ท่านเคยทราบไว้ก่อนเสมอ เช่น เขา
จะมาในราวที่สุดของสองยาม คือ ๖ ทุ่ม
พอตกตอนเย็นท่านทราบไว้ก่อนแล้ว
บางวันท่านคิดว่าจะมีการประชุมพระตอนเย็นก็
ต้องสั่งงดในคืนวันนั้น พอขึ้นจากทางจงกรมแล้ว
ท่านเริ่มเข้าที่ทำสมาธิภาวนา พอจวนเวลาพวกเทพฯ
จะมาถึง ท่านเริ่มถอยจิตออกมา รอ
อยู่ขั้นอุปจารสมาธิและส่งกระแสจิตออกไปดู ถ้ายัง
ไม่เห็นมา ท่านก็เข้าสมาธิอีก พักอยู่พอสมควร
แล้วถอยจิตออกมาอีก บางครั้งพวกเทพฯ มาถึงก่อน
แล้ว บางครั้งกำลังหลั่งไหลเข้ามา
ในบริเวณที่พัก บางครั้งท่านก็รอคอย
อยู่ขั้นอุปจารสมาธินานพอสมควร จึงเห็นพวกเทพฯ มา
วันไหนที่ทราบว่าเขาจะมาดึก ๆ หน่อย
ราวตี ๑ ตี ๒ หรือตี ๓ ก็มีห่าง ๆ วันเช่นนั้นพอทำ
ความเพียรจนถึงเวลาพอสมควร
แล้วท่านก็พักผ่อนจำวัด ไปตื่นเอาตอนนั้นทีเดียว
แล้วเตรียมต้อนรับแขกตามเวลาที่กำหนดไว้
พวกเทพฯ ที่มาฟังเทศน์ท่านเวลาพักอยู่ทางภาคอีสาน
ไม่ค่อยมีมาบ่อย ๆ และไม่มีมากนัก
ส่วนรายที่มาแอบฟังเทศน์ท่านอยู่ห่าง ๆ
ขณะที่ท่านกำลังอบรมพระนั้น
พอทราบท่านก็หยุดการอบรมในเวลานั้น
และสั่งพระให้เลิกประชุม สำหรับองค์ท่านก็รีบ
เข้าที่ทำสมาธิภาวนาเพื่อแสดงธรรมให้ชาวเทพฯ ฟัง
ในลำดับต่อไปจนจบ พอพวกเทพฯ กลับไปแล้ว
ท่านก็พักจำวัดจนกว่าถึงเวลาอันควร ก็ตื่นทำ
ความเพียรต่อไปตามปกติที่เคยทำมาเป็นประจำ
การต้อนรับชาวเทพฯ เป็นกิจของท่าน
โดยเฉพาะไม่ให้คลาดเคลื่อนเวลาได้เลย เพราะ
เขามาตามกำหนดเวลา คำสัตย์เขาถือเป็นสำคัญมาก
แม้พระทำให้เคลื่อนโดยไม่มีความจำเป็น
เขาก็ตำหนิติเตียน พวกเทพฯ เคารพหัวหน้ามาก
คอยฟังคำสั่งและปฏิบัติตามด้วยความสนใจ
พวกนี้ไม่ว่าจะมาจากชั้นบน หรือที่
เป็นรุกขเทพฯ มาจากที่ต่าง ๆ ต้องมีหัวหน้าเป็น
ผู้นำเสมอ การสนทนาระหว่างพวกเทพฯ กับพระ
ใช้ภาษาใจภาษาเดียวเท่านั้น
ไม่มีหลายภาษาเหมือนมนุษย์และสัตว์ชนิดต่าง ๆ กัน
เนื้อหาของใจที่คิดขึ้นเพื่อผู้ตอบนั้น
เป็นคำถามของภาษาใจที่แสดงออกอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
แล้วผู้ตอบเข้าใจได้ชัดเช่นเดียวกับเราถามกัน
เป็นประโยคด้วยคำพูดทางวาจา ประโยคที่
ผู้ตอบคิดขึ้นแต่ละประโยคแต่ละคำ
เป็นเนื้อหาของภาษาใจอย่างเต็มที่แล้ว ผู้ถามเข้าใจ
ได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน ภาษาของใจยิ่งตรงตาม
ความรู้สึกที่ระบายออกทีเดียว ไม่ต้องแยกแยะ
หรือขยายเนื้อความให้เด่นชัด เหมือน
ใช้คำพูดทางวาจาเป็นเครื่องมือของใจอีกวาระหนึ่ง
ซึ่งบางประโยคความรู้สึกทางใจกับคำพูดที่จะใช้
ให้เหมาะสมไม่ค่อยตรงกัน จึงทำให้เสียความมุ่งหมาย
อยู่บ่อย ๆ
ตราบใดที่ใช้วาจาเป็นสื่อแทนใจอยู่
ความไม่สะดวกย่อมมีอยู่ตราบนั้น แต่ก็เป็นเรื่องจำ
เป็นที่คนเราไม่รู้ภาษาใจของกันและกัน จำต้อง
ใช้วาจาเป็นเครื่องมือของใจอยู่ตลอดไปอย่างแยก
ไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ไม่สู้จะตรงกับความมุ่งหมายของใจ
เท่าไรนัก เพราะโลกหากพานิยมใช้กันมาอย่างนี้
ไม่มีทางแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นซึ่งดียิ่งกว่านี้ได้ นอกจาก
จะรู้ภาษาใจกันเท่านั้น สิ่งลี้ลับก็กลับเปิดเผย
และยุติกันไปเอง
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเชี่ยวชาญทางนี้มาก
เครื่องมือท่านก็มีพร้อมในการฝึกอบรมคนให้
เป็นคนดี ส่วนพวกเราแม้แต่จะคิดขึ้นมาใช้เฉพาะตัว ยัง
ต้องเที่ยวหาหยิบยืมจากผู้อื่น คือเที่ยวศึกษาอบรม
จากครูอาจารย์ในที่ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ แม้เช่น
นั้นก็ยังหลุดไม้หลุดมือไปได้ รักษาไว้ไม่อยู่ คือฟัง
จากท่านแล้วก็หลงลืมไปแทบ
ไม่มีอะไรเหลือติดตัว แต่สิ่งที่ไม่ดีอันมีอยู่ดั้งเดิม คือ
ความผิดพลาดขาดสติปัญญา
ความระลึกรู้ไตร่ตรอง ไม่ยอมหลงลืม
และตกไป คงยังสมบูรณ์อยู่ตลอดไป ฉะนั้น จึงมีแต่
ความผิดหวัง คือนั่งอยู่ก็ผิดหวัง เดินไปก็ผิดหวัง ยืน
อยู่ก็ผิดหวัง นอนอยู่ก็ผิดหวัง อะไร ๆ มีแต่
ความผิดหวัง เพราะขาดคุณธรรมดังกล่าวที่
จะทำให้มีหวังในสิ่งที่พึงใจทั้งหลาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 00:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วยชาวท่าแขกให้พ้นจากโรคระบาด
ปฏิปทาเครื่องดำเนิน
และการอบรมสั่งสอน
ท่านพระอาจารย์มั่นรู้สึกว่าราบรื่นสม่ำเสมอ
ไม่ค่อยมีเรื่องกระเทือนฝั่ง ดังที่เคยปรากฏมา
ท่านไปที่ไหนชุ่มเย็นราบเรียบในที่นั้น พระเณรมี
ความเคารพเลื่อมใสศรัทธา
ญาติโยมพอทราบข่าวว่าท่านไปที่ไหนต่างมี
ความยิ้มแย้มแจ่มใส พา
กันหลั่งไหลไปกราบไหว้บูชาด้วย
ความเคารพเลื่อมใสอย่างฝังจิตฝังใจ
ไม่มีเวลาจืดจางตลอดมา ดังชาวบ้านถ้ำที่ท่าแขก
ฝั่งแม่น้ำโขงแห่งประเทศลาว ซึ่ง
เป็นหมู่บ้านที่ท่านพระอาจารย์มั่น
พระอาจารย์เสาร์เคยไปพัก
ก่อนหน้าที่ท่านไปเล็กน้อย ชาวบ้าน
นั้นเกิดโรคฝีดาษกันเกือบทั้งบ้าน พอเห็นท่านไป
เขาดีอกดีใจกันมากแทบตัวลอย พร้อม
กันวิ่งออกมาต้อนรับและวิงวอนขอให้ท่านเป็นที่พึ่ง
ท่านก็ให้เขาพากันมารับพระไตรสรณคมน์ คือ
ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เป็นสรณะแทนถือผี เพราะแต่ก่อนเขาพากันนับถือผี
กันทั้งบ้าน ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติให้เขา เช่น ตอน
เช้าตอนเย็นเวลาจะหลับนอนให้พา
กันไหว้พระสวดมนต์ก่อน และให้พา
กันทำวัตรสวดมนต์ทุก ๆ เช้าเย็น เขาก็ทำตาม
ส่วนท่านเองก็ทำพิธีอะไร ๆ อันเป็นการภายใน ช่วย
เขา
เป็นที่น่าประหลาด
และอัศจรรย์ทันตาเห็น คนที่ล้มตาย
กันวันละหลาย ๆ ศพเรื่อยมาเพราะโรคนั้น กลับ
ไม่มีใครตายอีกเลยนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา
แม้ที่กำลังเป็นกันอยู่ก็กลับหายไปอย่างรวดเร็ว
และไม่มีการกำเริบอีกต่อไปราวกับปาฏิหาริย์
ชาวบ้านเกิดความอัศจรรย์ ไม่เคยเห็นและ
ไม่คาดฝันว่าจะเป็นได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งเกิด
ความเชื่อเลื่อมใสกันทั้งบ้าน
ตลอดลูกหลานติดต่อสืบเนื่องกันมากระทั่งทุกวันนี้
แม้พระที่เป็นสมภารองค์ปัจจุบันประจำหมู่บ้านนั้น
ก็เกิดศรัทธาเคารพเลื่อมใสท่านพระอาจารย์
ทั้งสองมากมาจนบัดนี้ พูดถึงท่านพระอาจารย์
ทั้งสองทีไรต้องยกมือไหว้ก่อน
แล้วคอยพูดเรื่องของท่านพระอาจารย์
ทั้งสองต่อไป ที่เป็นทั้งนี้ก็เพราะอำนาจธรรม
ในใจท่านแผ่กระจายออกไปให้เป็น
ความสุขเย็นใจแก่โลก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร