ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

แม่ชีอำพัน เนตรวงษ์ สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีวัดย่านขาด
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=45577
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  สาวิกาน้อย [ 07 มิ.ย. 2013, 12:21 ]
หัวข้อกระทู้:  แม่ชีอำพัน เนตรวงษ์ สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีวัดย่านขาด

รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
แม่ชีอำพัน เนตรวงษ์ (คุณแม่ใหญ่)


สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีวัดย่านขาด
บ้านย่านขาด ต.พรหมพิราม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก



:b42: ชีวิตบนเส้นทางธรรม
ของแม่ชีอำพัน เนตรวงษ์ (คุณแม่ใหญ่)


แม่ชีอำพัน เนตรวงษ์ หรือคุณแม่ใหญ่ อายุ 82 ปี (เมื่อปี พ.ศ. 2556) เกิดเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2474 ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ ต.เสด็จ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย มีพี่น้องทั้งหมดรวม 3 คน เป็นผู้ชาย 2 คน คุณแม่ใหญ่เป็นคนสุดท้อง ท่านออกบวชเป็นแม่ชีเมื่ออายุได้ 50 ปี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 ณ วัดเขาสมโภชน์ ต.บัวชุม อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี โดยมี หลวงพ่อคง จตฺตมโล เป็นอุปัชฌาย์

ปี พ.ศ. 2525 หลังจากบวชแล้ว คุณแม่ใหญ่ก็ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ เพื่อเข้ารับการอบรมวิปัสสนากรรมฐานกับ หลวงพ่อคง จตฺตมโล คุณแม่ใหญ่เป็นผู้ศรัทธาและมุ่งมั่นในการปฏิบัติกรรมฐานอย่างแข็งขัน สนใจเรื่อง ธรรมะตัดกรรม ซึ่งสามารถรักษาโรคประจำตัวของตนเองให้หายขาดได้อย่างอัศจรรย์ ทั้งนี้ โดยใช้ ธรรมะเปิดโลก (เปิดบาปเปิดกรรมให้ผู้ปฏิบัติรู้เห็นได้ด้วยตนเอง แม้แต่โรคภัยต่างๆ ของตนก็สามารถรักษาให้หายได้ เมื่อผู้ปฏิบัติมีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ สมดุลกัน จะเกิดปัญญาแก้ไขได้เอง) คุณแม่ใหญ่ได้เรียนรู้และเข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆ ของพรหม เทพ ผีสาง นางไม้ ฯลฯ กระทั่งสามารถช่วยลูกศิษย์ลูกหา ออกกรรมรักษาโรคได้ ท่านได้ปฏิบัติอบรมวิปัสสนากรรมฐานอยู่กับหลวงพ่อคง จตฺตมโล ประมาณ 13 ปี ต่อมาหลวงพ่อคงก็ถึงแก่มรณภาพ คุณแม่ใหญ่ยังคงอยู่ต่อที่วัดเขาสมโภชน์อีก 2 ปี รวมเป็นเวลา 15 ปี

ปี พ.ศ. 2539 คุณแม่ใหญ่ได้มอบตัวเป็นศิษย์ของ คุณแม่จันดี โลหิตดี น้องสาวของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เพื่อศึกษาปฏิบัติกรรมฐานเพิ่มเติม

ปี พ.ศ. 2542 คุณแม่ใหญ่ได้ตั้ง สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีวัดย่านขาด จนถึงปัจจุบัน

สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีวัดย่านขาด เปิดสอนธรรมะเปิดโลก ธรรมะตัดกรรม การออกกรรม สถานที่ภายในสำนักฯ ร่มรื่น สัปปายะ เงียบสงัด สงบเย็น มีกุฎิให้พักเป็นหลังๆ ปัจจุบันมีประชาชน เยาวชน คณะนักเรียนนักศึกษา รวมถึง องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาขอเข้ารับการอบรมและปฏิบัติธรรมกับทางสำนักฯ เป็นจำนวนมาก

รูปภาพ
หลวงพ่อคง จตฺตมโล อาจารย์ของแม่ชีอำพัน เนตรวงษ์ (คุณแม่ใหญ่)

รูปภาพ
คุณแม่จันดี โลหิตดี อาจารย์ของแม่ชีอำพัน เนตรวงษ์ (คุณแม่ใหญ่)


สำหรับชีวิตบนเส้นทางธรรมนั้น คุณแม่ใหญ่เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นคุณแม่ใหญ่อายุประมาณ 47 ปี กำลังเข้าสู่วัยทอง ร่างกายไม่แข็งแรง อ่อนแอมาก เนื่องจากเจ็บป่วยด้วยโรค 6 ชนิด คือ ไมเกรน ความดันต่ำ โรคประสาท โรคหัวใจ โรคกระเพราะ และโรคกระดูกทับเส้นประสาท ได้ไปทำการรักษาจากโรงพยาบาลหลายแห่ง และสามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้เนื่องจากสามีรับราชการทหาร โดยหมอได้ให้น้ำเกลือเป็นประจำ รับประทานยาและฉีดยาด้วย แต่อาการป่วยทั้งหลายก็ไม่ดีขึ้นเลย จึงคิดว่า “เราคงมีเวรมีกรรมมาก ทำงานก็ไม่ไหว เราต้องแสวงหาวัดเพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้รู้ว่าในอดีตทำกรรมอะไรไว้ ทำไมจึงทุกข์ทั้งกายและใจอย่างนี้”

ต่อมาจึงมีเพื่อนที่รักกันมากมาชวนให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดธรรมกาย ก็ไปทำบุญและนั่งเพ่งลูกแก้วหรือพระพุทธรูปก็ทำไม่ได้ หลังจากนั้นก็ไปที่วัดของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ท่าซุง หลวงพ่อฤาษีท่านก็เมตตาสอนให้ขึ้นกรรมฐาน ท่านส่งพลังจิตมาเพื่อจะพาไปเที่ยวนรก สวรรค์ ก็ไปกับท่านไม่ได้ เพื่อนที่ไปด้วยกันเขาได้สมาธิหมด แต่เราไม่ได้สมาธิ หลังจากกลับจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็ได้ขึ้นไปโบสถ์ร้างบนภูเขา และได้จุดธูปอธิฐานว่า “ถ้าเรามีบุญ ขอให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่สอนสมาธิเราได้ และเราจะขอบวชตลอดชีวิต”

ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 ก็ได้พบ “หลวงพ่อคง จตฺตมโล” วัดเขาสมโภชน์ จ.ลพบุรี ท่านสอนให้นั่งสมาธิ และสามารถทำได้ภายใน 1 ชั่วโมง เป็นธรรมเปิดบาป เปิดบุญ เปิดกรรม ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นไมเกรน ปวดหัวมาก เพราะเราได้ทำกรรม คือ ชอบทุบหัวปลาช่อน ถือเป็นกรรมที่หนึ่ง

ส่วนกรรมที่สอง เราเป็นโรคความดันต่ำ เพราะกรรมที่เราชอบเบียดเบียนผู้อื่น เอารัดเอาเปรียบเขาด้วยกลโกงทุกรูปแบบ เพื่อให้ได้เงินมาในตอนที่ทำการค้าขาย โดยความไม่ยุติธรรม

โรคที่สาม โรคหัวใจ เรารู้กรรมเพราะเราได้เคยหลอกลวงให้เขารักเขาหลง และทำให้เขาชอกช้ำใจในอดีตชาติ ในชาตินี้จึงป่วยเป็นโรคหัวใจ

โรคที่สี่ โรคประสาท เพราะกรรมในอดีตเราเป็นคนชอบดื่มสุราของมึนเมา

โรคที่ห้า โรคกระเพราะ เพราะผลกรรมที่เราให้อาหารที่ไม่ดี อาหารที่เสียแก่ผู้อื่น

โรคที่หก โรคกระดูกทับเส้นประสาท มีสาเหตุมาจากการได้รับอุบัติเหตุก่อนที่จะมาบวชประมาณ 5-6 ปี และกลับมาปวดอีกครั้งที่สันหลังและเข่า ทุกข์ทรมานมาก ปวดจนนอนไม่หลับ เมื่อมานั่งสมาธิก็รู้กรรมว่า “เราเคยตีงูที่หลัง แต่งูไม่ตาย เราจึงได้รับผลแห่งกรรมนั้น”

นีคือธรรมะเปิดโลก ทำให้เราได้เห็นบาปเห็นกรรมที่เราได้ทำไว้ด้วยตัวเราเอง หลวงพ่อคงบอกว่า “ถ้าเรารู้กรรมแล้ว และเราใช้กรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายไปเสีย เราจะได้ไม่ต้องไปใช้กรรมในเมืองนรกอีก”

นี่แหละเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้แม่ชีไปขออนุญาตสามีเพื่อบวช โดยบอกว่าจะบวชเพียง 3 เดือนเพื่อใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย แต่พอมาบวชแล้วได้รู้อะไรมากขึ้น กลัวตกนรกมาก จึงตัดสินใจไม่ลาสิกขา แล้วอยู่ศึกษาธรรมะเปิดโลก เรียนรู้การสอนจากหลวงพ่อคงประมาณ 13 ปี ต่อมาไม่นานหลวงพ่อคงก็มรณภาพ คุณแม่ใหญ่ยังอยู่ต่อที่วัดเขาสมโภชน์อีก 2 ปี รวมเป็นเวลา 15 ปี

ช่วงที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ได้สอนวิปัสสนากรรมฐาน แต่เราก็ไม่เข้าใจแจ่มแจ้งเพราะปัญญาเรายังไม่พร้อม และเราก็รู้ว่า “เรายังมีอาสวะกิเลสอยู่ เราบวชมาเพื่อบรรลุนิพพาน” ดังนั้น เราจึงแสวงหาครูบาอาจารย์ต่ออีก พอดีมีกัลยาณมิตรบอกข่าวมาว่า “คุณแม่จันดี โลหิตดี” น้องสาวของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ท่านเปิดสอนแม่ชี ถ้าใครได้ไปอยู่ก็ให้อยู่ได้ 7 วัน ถ้ามีผลจากการปฏิบัติ มีสภาวธรรมก็ให้อยู่ต่อ และคุณแม่จันดีกล่าวว่า “พระหลวงตาสอนท่านอย่างไร ท่านก็สอนเราอย่างนั้น” คุณแม่ใหญ่อยู่ปฏิบัติกับคุณแม่จันดีประมาณ 2 ปี ก็ได้มาดูแลสำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีวัดย่านขาด จนถึงปัจจุบัน



ที่มา : วารสารมงคลนิมิต ฉบับพิเศษ วันวิสาขบูชา
พฤษภาคม 2552 คอลัมม์ แฟ้มพุทธบริษัท
เรียบเรียงโดย พระมหา ดร.เลิศศักดิ์ วุฒิญาโณ
ป.ธ. 6, ศน.บ., M.A., Ph.D., พระธรรมทูต
วัดอลาสก้าญาณวราราม รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา

เจ้าของ:  สาวิกาน้อย [ 07 มิ.ย. 2013, 12:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แม่ชีอำพัน เนตรวงษ์ สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีวัดย่านขาด

รูปภาพ

:b42: อำพันสักการะ
ร้อยกรองสรรเสริญคุณแม่ชีอำพัน เนตรวงษ์ (คุณแม่ใหญ่)
เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๓


โคลงสี่

หลายดวงใจ นอบน้อม…….สรรเสริญ
เป็นหนึ่ง เดียวอัญเชิญ……..เทพไท้
มาเป็นสิ่ง จำเริญ…....……..อารักษ์
อันโรคภัยเจ็บ ไข้…......……อย่าได้ มีมา

กาพย์ยานี

๑. เปลี่ยนปักษ์ศักราช….……จึงประกาศราศีใหม่
ย้ายหนีปีวัวไป…….....……….เป็นขาลไซร้ปีห้าสาม

๒. ฝนผ่านกาลของแม่.....….เจ็ดเก้าแลแล้วกาลยาม
แม่คงยัง แรงงาม…...………..บ่โทรมทรามไปตามวัย

๓. เป็นอยู่ผู้ทรงศีล….…..……สละสิ้นทุกข์วิสัย
หวังผลกุศลมัย……....………..วินิจฉัย อยู่กับธรรม

๔. สอนสั่งด้วยตั้งใจ…...…….ประชาไทให้รู้กรรม
เมตตาวาจาคำ………....……..ชี้ทางนำสว่างจริง

๕. ขอคุณบุญญาฤทธิ์.….……เทวาสิทธิ์สถิตสิง
ทั่วหล้าอาศัยอิง……......…….คอยเป็นสิ่งเฝ้าคุ้มครอง

๖. เป็นร่มห่มลูกหลาน…....….ไปชั่วนานนิรันดร์ปอง
ขอแม่สดใสผ่อง…...….………ชนยกย่องกราบบูชา

๗. ศรีศรีสวัสดิ์ผล…....….……ทั่วสากลจนโลกา
ขอเชิญเทพดา……......………ในแดนหล้ามาชุมนุม

๘. อินทราเทวาภพ…........….อีกพรหมทบเสริมมาคลุม
สวรรค์หกชั้นกลุ่ม.……...……..เป็นเกาะหุ้มป้องกันภัย

๙. หมื่นแสนจักรวาล…...…….น้อมสักการยิ่งหทัย
พร้อมพรด้วยอวยชัย........…..ปีตินัยจิตมงคล

พระมหาภาณิวิชญ์
๔ มกราคม ๒๕๕๓


รูปภาพ

รูปภาพ
ศาลาย่านร่มเย็น กุฏิที่พักสำหรับผู้มาปฏิบัติ และเสนาสนะอื่นๆ
ภายในสำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีวัดย่านขาด จ.พิษณุโลก

เจ้าของ:  สาวิกาน้อย [ 07 มิ.ย. 2013, 17:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แม่ชีอำพัน เนตรวงษ์ สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีวัดย่านขาด

รูปภาพ

:b42: กรรมฐาน “ธรรมะเปิดโลก”
ตามแนวทางและวิธีการของหลวงพ่อคง จตฺตมโล
วัดเขาสมโภชน์ ต.บัวชุม อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี



ความเป็นมาของกรรมฐาน “ธรรมะเปิดโลก”

ความเป็นมาของกรรมฐานธรรมะเปิดโลก คือ กาลครั้งหนึ่งสมัยที่สมเด็จพระบวรนาถสมณโคดมยังทรงพระชนม์อยู่ ในกาลนั้นได้เสด็จขึ้นสู่ดาวดึงส์เทวสถานเพื่อโปรดพระพุทธมารดา ในวันที่เสด็จกลับจากดาวดึงส์ ได้มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากคอยรับเสด็จอยู่ ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงใช้พุทธานุภาพแสดงโลกทั้งสามให้ปรากฏแก่พสกนิกรผู้เป็นศานุศิษย์ของพระพุทธชินสีห์ ประชาชนที่มารับเสด็จในวันนั้น ต่างก็ได้รับทิพยจักขุญาณ เห็นเทวโลก มนุษยโลก และอบายโลก พร้อมกัน กล่าวคือ เทวดาทั้งหลายก็เห็นมนุษย์และสัตว์ในอบาย มนุษย์ทั้งหลายก็เห็นเทวดาและสัตว์ในอบาย สัตว์ในอบายทั้งหลายก็เห็นทั้งมนุษย์และเหล่าเทวดา เรียกว่าทั้งสามโลกมองเห็นกันทะลุปรุโปร่ง

ในวันนี้พระพุทธคุณนั้นเป็นอานุภาพที่ไร้ขอบเขต ทรงพุทธฤทธานุภาพสูงสุดในจักรวาล ในวันนั้นเทวดา มนุษย์ และสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายทั้งปวงต่างๆ ก็ได้พบกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ หมู่มิตรสหาย และบริวารเก่าๆ ที่กำลังเสวยผลกรรมอยู่ในภพต่างๆ กัน เป็นทุกขเวทนาบ้าง สุขเวทนาบ้าง จึงเกิดเมตตาจิต อธิษฐานอโหสิกรรมผู้ที่ได้เคยกระทำชั่วต่อกันมา ให้ได้พ้นจากบาป จากกรรมเวรเหล่านั้น

ในวันนั้นเอง มีผู้มีปัญญาเกิดความเบื่อหน่ายคลายความยินดีในภพชาติ หลุดพ้นจากอาสวะสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก จากนั้นมาธรรมะเปิดโลกก็มิได้ปรากฏในพระประวัติพระพุทธศาสนาอีกเลย จนกระทั่งเมื่อ “หลวงพ่อคง จตฺตมโล” พุทธสาวกสมัยพุทธกาลนี้ ได้ถือเนกขัมมะวัตรเป็นบรรพชิตบำเพ็ญเพียรด้วยวิริยะอันแรงกล้า วิรัติแล้วจากการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายทั้งโดยตรงและโดยทางอ้อม ตั้งแต่อยู่ในฆราวาสวิสัย ดำริมั่นที่จะออกจากกาม ได้จาริกเพื่อเจริญวิมุติญาณเข้าสู่โลกกุตระสภาวะมาโดยลำดับ

จนกระทั่งลุถึง ถ้ำอรหันต์ เขาสมโภชน์ ลพบุรี ท่านได้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นอุกฤษฏ์ จนบังเกิดความตึงเครียดในทุกส่วนของประสาท ก็ยังไม่สำเร็จผลดังหวัง ทำให้รู้สึกท้อแท้ ท่านจึงน้อมจิตอธิษฐานว่า หากคุณพระพุทธเจ้ามีจริง ขอทรงมาโปรดให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรมด้วยเถิด ในครั้งนี้เอง ก็มีปรากฏการณ์บังเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ท่านได้พบพระวิสุทธิสัมมาสัมพุทธเทพ และได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติกรรมฐาน อาศัยบุญบารมีเก่าที่หลวงพ่อคงเคยเป็นหลวงพ่อร่วง ผู้รจนาคัมภีร์ไตรภูมิกถาไว้สั่งสอนปวงชนมาก่อน พระพุทธองค์จึงทรงประทานธรรมะเปิดโลกให้ เมื่อหลวงพ่อใช้กำลังสติปัญญาเข้าพิจารณาภูมิอันเป็นอาสวะแห่งงวัฏฏะแล้ว เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตใจมุ่งเข้าสู่ความบริสุทธิ์ สำเร็จวิสุทธิญาณในวันนั้นเอง

จากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมโลกเชษฐ์ได้ทรงประทานพุทธานุญาตให้หลวงพ่อคงโปรดแสดงธรรมะเปิดโลกแก่พสกนิกรพุทธบริษัทได้ โดยอาราธนาพระพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และอริยสังฆานุภาพ มาเป็นอำนาจเปิดโลก เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจแจ้งเรื่องกรรมและกลไกของกรรมโดยถ่องแท้

กรรมฐานธรรมะเปิดโลก จึงได้รับการถ่ายทอดสาธิตจากหลวงพ่อคงนับตั้งแต่นั้นมา

หลักการฝึกจิตแบบ “ธรรมะเปิดโลก”

ธรรมะเปิดโลกเป็นอานุภาพที่พระพุทธเจ้าทรงใช้สมัยเสด็จลงจากดาวดึงส์ โดยใช้พุทธานุภาพเปิดโลกทั้งสามให้มนุษย์ เทวดา และเปรต นรก เห็นกันได้หมด จากนั้นก็ไม่มีปรากฏการณ์ทำนองนี้อีกเลยในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

จนกระทั่งหลวงพ่อคงท่านปฏิบัติมหาสติปัฏฐานอยู่ที่ถ้ำอรหันต์ ลพบุรี หวังหลุดพ้นแต่ยังไม่หลุดพ้นสักที ท่านจึงอธิษฐานว่าหากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริงขอให้โปรดท่านให้มีดวงตาเห็นธรรมะและหลุดพ้นด้วยเถิด

และในที่สุดท่านก็ปฏิญาณว่าท่านได้พบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง และถึงฝั่งอรหันตภูมิแล้ว จึงประกาศธรรมะเปิดโลก แต่กำลังพระอรหันต์ไม่เท่าพระพุทธเจ้าที่จะสามารถทำให้เห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่ทำให้เห็นด้วยญาณ และปรากฏการณ์ทางกายและจิตใจได้ ด้วยกายนี้เป็นที่ตั้งแห่งกรรมชรูป และจิตชรูป กรรมกิเลส ตัณหา และอวิชชามากมาย โดยมีจิตและเจตสิกเป็นผู้ทำงานร่วมพร้อมด้วยตลอดเวลา จึงให้ใช้กายเป็นฐานในการบำเพ็ญจิต เพื่อคลายอาสวะเหล่านั้นแห่งเจตสิกออกมา

เมื่อมีการกระทบกันของกาย จิต เจตสิก ย่อมเกิดการเคลื่อนไหว และการคลายตัวตามธรรมชาติ คลายมลทินต่างๆ ที่ฝังแน่นในอัตตาออกมาในรูปของการสะท้อน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่อัดแน่นอยู่ในตัวตน และเพื่อให้ปลอดภัยและรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านให้ถวายกรรม ถวายเวรให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน และให้อาราธนาพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพมาโปรดกำกับกระบวนการด้วย

ก่อนอื่นผู้ประสงค์จะเจริญกรรมฐานธรรมะเปิดโลก จะต้องถวายกรรม ถวายเวรให้กับพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าก่อน เพื่อเป็นการอาราธนาอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ลงมาโปรด หากไม่อาราธนาแล้วท่านจะไม่มายุ่งด้วย เพราะถือว่าเจ้าของไม่อนุญาต แต่เมื่อาราธนาแล้ว น้อมธรรมะมาใส่ตัว อานุภาพของพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมเจ้าก็ดี พระสังฆเจ้าก็ดี จะลงมาโปรดเปิดโลกให้ได้รู้

วิธีภาวนาแบบ “ธรรมะเปิดโลก”
(หลายใจแรงๆ เข้า ออก-เข้า ออกๆ)


เมื่อมอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ต่อไปก็น้อมรับอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มาสถิตประสิทธิ์ประสาทในขันธสันดานของตน อำนาจวิสุทธิทิพย์จะเข้ามาเพื่อบุคคลน้อมเข้ามาใส่ตนเท่านั้น

ผู้ปฏิบัติพึงเฝ้าดูอาการของลมหายใจที่ลิ้นปี่ (ก้นปอด) ยามขยายตัวพองออกก็รู้แจ้งชัดว่าขยายพองตัวพองออก บริกรรมกำชับความรู้ตัวว่า “พองหนอ” เมื่อมันยุบแฟบลงก็รู้แจ้งชัดว่ายุบแฟบลง บริกรรมกำชับความรู้ตัวว่า “ยุบหนอ” นี่คืออานาปานสติฐานเดียว

เมื่อทราบวิธีการแล้วจึงลงมือปฏิบัติได้ โดยนั่งคู้บัลลังก์ เท้าขวาทับขาซ้าย หรือเท้าซ้ายทับขาขวา ก็ได้ตามถนัด เอามือขวาทับมือซ้าย หรือมือซ้ายทับมือขวา หรือประสานกันไว้วางบนหน้าตัก ตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น

มองไปที่พระพุทธรูป บอกกับตัวเองว่า “บัดนี้ฉันได้ถวาย ร่างกายและชีวิตนี้ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าแล้ว ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บัดนี้ฉันจะเจริญสมาธิให้นิ่งอยู่ด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม ฉันจะไม่สนใจเรื่องภายนอก ฉันจะไม่ยินดียินร้ายกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่อาจมากระทบ จะสนใจเพียงประการเดียวคือความรู้ตัวอันบริสุทธิ์เท่านั้น” จากนั้นค่อยๆ หลับตาลง แล้วเริ่มสังเกตดูอาการของลมหายใจ เอาจิตจดจ่ออยู่ที่ลิ้นปี่ เฝ้าดูอาการของลมปราณอยู่อย่างปกติเฉย เมื่อมันพองออกก็บริกรรมว่า “พอง” เมื่อมันยุบก็บริกรรมว่า “ยุบ” ลมจะสั้นจะยาวจะช้าจะเร็ว อย่าเข้าไปบังคับมัน การเข้าไปบังคับลมหายใจจะทำให้ขาดความสมดุลในกระบวนการ อาจเกิดการอึดอัด เหนื่อยหอบ คอแห้ง เป็นต้น

ด้วยอำนาจของสตินั้นจะทำให้จิตถอนตัวออกจากขันธ์และอาการของขันธ์ เมื่อเราถอนจิตออกจากขันธ์ ขันธ์จะผ่อนคลาย และสงบเย็น สิ่งผิดปกติในขันธ์จะถูกกำจัดออกไปปรากฎเป็นอาการต่างๆ ก็ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ตามและไม่ต้าน เสมือนขณะที่เรากวาดฝุ่นละอองออกจากบ้าน ฝุ่นกระจายฟุ้งไปเราก็ไม่คว้าฝุ่นนั้นไว้ หรือไล่ตามฝุ่นไปฉันใด ในยามที่เราชำระขันธ์ ความเครียดของกรรมเก่าคลายออกไป เราก็ไม่ต้องไปคว้ากรรมนั้นมาไว้อีก หรือไหลตามกรรมนั้นไปฉันเดียวกัน ปล่อยให้มันคลายออกไปตามกลไกธรรมชาติ เราพึงทรงสติรู้ดูเฉยอยู่ ขันธ์จะกระตุกเต้นก็ปล่อยไป แต่จิตจะไม่เข้าไปเต้นกระตุกด้วย ให้ทรงสติรู้อยู่ ด้วยวิธีนี้จิตจะถอนออกไป เมื่อกรรมนั้นคลายออกไปหมดก็เป็นอันสิ้นกรรมตัดเวรนั้นๆ ขาดไป แต่หากมีกรรมใหญ่ที่ไม่อาจคลายได้หมด หรือกรรมที่ตัดไม่ขาดเพราะยังมีเจ้ากรรมนายเวรจองล้างจองผลาญอยู่ ก็ให้เชิญเจ้ากรรมนายเวรมาแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล และทำพิธีอโหสิกรรม ตัดเวร เพื่อเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรเสีย

ชำระขันธ์เพิ่มพลังอำนาจ

การคลายกรรมและตัดกรรมออกไปด้วย จะทำให้ขันธ์ของท่านสะอาดโปร่งเบาขึ้น เมื่อใจสงบลง องค์ประกอบภายในอันได้แก่ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จะจัดเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น นำมาซึ่งความมั่นคง แข็งแรง และมีพลังอำนาจ

ความตึงเครียดทั้งหลายทั้งที่เครียดเพราะติดดี และติดเลว สามารถเอาออกจากขันธ์ได้โดยการลดความเร่าร้อนของจิตใจลง เมื่อใจสงบลงแล้ว อุณหภูมิของกายก็จะค่อยๆ ลดลง ขันธ์ต่างๆ ก็จะสงบลงระบบต่างๆ จะค่อยๆ จัดเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบ ช่วงนี้อาการเครียดอันแปลกปลอมอยู่ในร่างกายก็ดี ใจก็ดี จะเริ่มคลายออก ซึ่งอาจจะออกทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง

ทางร่างกาย เช่น ชาตามมือตามเท้า เกร็งทั้งตัว สั่น แน่นหน้าอก รู้สึกเสียวไปทั่วสารพางค์กาย ปวดศีรษะ ปวดเอว เมื่อยหลัง ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมของการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ประพฤติผิดในกาม และดื่มน้ำเมา เสพสิ่งเสพติด

ทางวาจา เช่น ร้องไห้ ร้องเพลง ส่งเสียงเอิ๊กอ๊าก ร้องด่าผู้อื่น โอดครวญคราง สารภาพผิด ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมของการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดล้อเลียน

ทางใจ เช่น รู้สึกอึดอัด มือตื้อ รู้สึกวาบหวิวเหมือนตกจากที่สูง ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมทางใจที่โลภ โกรธ และหลงใหล งมงาย ขาดปัญญา

เมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิ อาการเหล่านี้จะเริ่มคลายออกมา หากมีอาการใดเกิดขึ้น นักปฏิบัติไม่ต้องตกใจ ปล่อยให้มันเกิด ไม่ตาม ไม่ต้าน ทรงสติมั่นรู้อยู่ เข้าใจอยู่ว่านั่นสักแต่ว่าเป็นผลกรรม ไม่เป็นตน เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เรารู้แล้วว่าทำชั่วได้ชั่วจริง ต่อไปนี้ชีวิตเราจะไม่ทำกรรมชั่วอีกแม้แต่น้อย ตั้งใจให้แน่วแน่เด็ดเดี่ยวแล้วอาการจะค่อยๆ หายไปเอง ที่สำคัญอย่าออกจากสมาธิในขณะที่มีอาการเพราะจะทำให้อาการนั้นค้างอยู่ในชีวิต ควรนั่งต่อไปจนอาการนั้นหายไปจึงค่อยออกจากสมาธิ

สมาธิควบคู่กับการงาน

การประกอบการงานเป็นกุศโลบายที่สำคัญมากที่จะประคองสมาธิไว้กับจิตใจให้ตั้งมั่นตลอดเวลา นำพลังอำนาจของสมาธิมาใช้ประกอบการงานทำให้ผลงานมีประสิทธิภาพ นำพลังอำนาจของสมาธิมาใช้ประกอบการงานทำให้ผลงานมีประสิทธิภาพ ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างราบรื่นมีความเจริญทั้งในทางโลก และทางธรรม การเจริญสมาธิควบคู่กับการงานจึงเป็นตบะที่ทุกคนควรต้องฝึกหัดบำเพ็ญให้เป็นที่ยิ่ง

การเจริญสมาธิควบคู่กับการงานนั้น ควรบำเพ็ญสลับระหว่างนั่งกรรมฐาน และการออกสู่การงาน โดยนำอำนาจจิตที่เจริญขึ้นในระหว่างการภาวนานั้น มาใช้ประกอบการงานสรรค์สร้างความผาสุกให้กับสังคม เริ่มด้วยการออกจากกรรมฐานอย่างสำรวมระวัง รักษาสติอยู่เสมอในทุกๆ อิริยาบถที่เคลื่อนไหวไป อำนาจสมาธิก็จะตั้งมั่นแนบแน่นอยู่ในจิตใจ ด้วยการฝึกกรรมฐานแล้วออกมาประกอบการงานนั้น เสมือนหนึ่งการย้อมผ้า เมื่อเรานำผ้าไปจุ่มสีแล้วก็เอาขึ้นมาตากแดด เมื่อตากแดดแรกสีย่อมจางไปบ้าง จึงเอาไปจุ่มสีอีก ตากแดดที่สองก็จางลงอีกเล็กน้อย จึงเอาไปจุ่มสีอีก จุ่มอีกตากแล้ว ตากแล้วจุ่มอีกเช่นนี้ จนสีแนบแน่นติดเนื้อผ้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน ครานี้แม้จะนำผ้าไปตากแดดสักเท่าใดสีก็ไม่เสียไป

การฝึกกรรมฐานแล้วออกมาประกอบการงานก็เช่นกัน เมื่อมากระทบกับปัญหาในการทำงานครั้งแรกอาจจะรู้สึกว่าจิตหวั่นไหวเสียสมาธิไปบ้าง ก็เข้ากรรมฐานอีก เข้ากรรมฐานแล้วออกมาทำงานอีกเช่นนี้ตลอดไปในที่สุด จิตใจก็จะมั่นคงในทุกขณะของชีวิต แม้ระหว่างประกอบการงานหรือเผชิญคลื่นปัญหาที่รุนแรงเพียงใดก็ไม่ไหวหวั่น ที่สำคัญคือเมื่อออกจากกรรมฐานให้ประคองสติสัมปชัญญะไว้ด้วยความสำรวมระวัง

การจะพัฒนาจิตใจให้ก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์ได้นั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า จะต้องบำเพ็ญเป็นที่สม่ำเสมอ ดังนั้นจะหายใจทิ้งไปทำไมเปล่าๆ เล่า ควรเจริญสติ สมาธิ ไปด้วยทุกลมหายใจดีกว่า จะได้คุณประโยชน์อันเป็นอเนกอนันต์

ยามคิด คิดด้วยความสุขุม เปี่ยมด้วยเจตนาดีต่อสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งปวงโดยส่วนรวม
ยามพูด พูดด้วยใจอันอ่อนโยน การุณย์
ยามกระทำ ก็ทำด้วยใจดี มีปัญญาใคร่ครวญในทุกกิจที่กระทำ

เมื่อปฏิบัติด้วยดีแล้ว การงานทั้งหมดจะสำเร็จด้วยใจ มีใจเป็นใหญ่ขับเคลื่อนอำนาจสู่การกระทำ เพื่อสร้างสรรค์งานให้สำเร็จลุล่วงด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ นักปฏิบัติควรฝึกหัดกระทำดังนี้เสมอๆ ก็จะพบความมหัศจรรย์ของชีวิต พบคุณค่าแท้จริงของจิตใจ มีอำนาจภายในตั้งมั่นอยู่อย่างไม่เสื่อมสลาย

รูปภาพ
อุโบสถ วัดเขาสมโภชน์ ต.บัวชุม อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี



.............................................................

:: ขอขอบพระคุณที่มาของข้อมูลและรูปภาพ
= เว็บไซต์สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีวัดย่านขาด
http://www.maeyai.watyankhat.com/
= หนังสือธรรมะเปิดโลก หลวงพ่อคง จตฺตมโล
วัดเขาสมโภชน์ ต.บัวชุม อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=9&t=18502
= facebook ลูกศิษย์หลวงพ่อคง : วัดเขาสมโภชน์

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/