วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 17:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2014, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ

วัดป่าเวฬุวนาราม (วัดป่าผาน้อย)
บ้านโนนกกจาน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย


:b44: :b44:

ธรรมศรีขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

นามเดิมของท่าน : นายสมศรี ศรีบุญเรือง
ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๘๙
ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอ
ที่บ้านหนองบัวบาน ต.หนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี


โยมบิดาของท่านชื่อ นายชน ศรีบุญเรือง
โยมมารดาของท่านชื่อ นางเผือ ศรีบุญเรือง

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านเป็นบุตรคนสุดท้องของตระกูล
มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๗ คน เป็นชาย ๖ คน เป็นผู้หญิง ๑ คน
ดังมีรายนามตามลำดับดังนี้
๑. นายเหลือ ศรีบุญเรือง
(ต่อมาได้สมรสกับนางก่อง สาลีเชียงพิณ
ซึ่งเป็นน้องสาวของหลวงปู่ลี กุสลธโร)

๒. นายบัวเครือ ศรีบุญเรือง (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๓. นายใบ ศรีบุญเรือง
๔. นางใจ ตะจันดา
๕. นายไหม ศรีบุญเรือง
๖. นายมี ศรีบุญเรือง
๗. หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ (ศรีบุญเรือง)

พื้นเพเดิมบรรพบุรุษปู่ย่าตายายของท่านเป็นชาวบ้านผาน้อย
ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย บรรพบุรุษของท่านได้อพยพหนีภัยแล้ง
จากบ้านผาน้อยไปอยู่ที่บ้านหนองบัวบาน จ.อุดรธานี
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงได้มาถือกำเนิดที่บ้านหนองบัวบาน

การอพยพหนีภัยแล้งเมืองเลยในครั้งนั้น
ตระกูลของหลวงปู่ลี กุสลธโร
ตระกูลของหลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
และตระกูลของหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร

ได้อพยพไปอยู่ที่บ้านหนองบัวบาน จ.อุดรธานี พร้อมกัน

ชีวิตในวัยเด็กนั้น บิดามารดาชอบพาไปทำบุญเป็นประจำ
ท่านเป็นคนเรียบร้อยมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนพูดน้อย ขยันเอาการเอางาน
เมื่ออายุได้ ๕ ขวบ บิดาของท่านได้เสียชีวิตลง
ต่อมาท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมบ้านหนองวัวซอ
เมื่อจบชั้น ป.๔ แล้ว จึงตัดสินใจไม่เรียนต่อ
เพราะไม่สะดวกต่อการเดินทางไปเรียน โดยอยู่ช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา
ในช่วงนั้นเมื่อว่างเว้นจากการทำไร่ทำนา ท่านได้ศึกษาวิชาทางการแพทย์
กับทหารเสนารักษ์ที่ประจำอยู่ในหมู่บ้าน
ทำให้ท่านมีความรู้ในเรื่องของยาและการรักษาในเบื้องต้นและได้รักษาคนในหมู่บ้าน

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านเป็นสายญาติสายธรรม
ของพระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่ลี กุสลธโร
หลวงพ่อบัวคำ มหาวีโร หลวงปู่คำผอง กุสลธโร
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร และหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ฯลฯ


หลวงพ่อสมศรีท่านเป็นรุ่นน้องของหลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
และหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร สมัยเด็กท่านจะเป็นเด็กเลี้ยงควาย
มาด้วยกันกับหลวงพ่อประสิทธิ์ หลวงปู่จันทร์เรียน
ครั้นหลวงพ่อประสิทธิ์และหลวงปู่จันทร์เรียนท่านออกบวชแล้ว
ใจของท่านก็อยากจะออกบวชตามรุ่นพี่

พออายุท่านได้ ๒๐ ปี ท่านมาพิจารณาดูในชีวิตของตนเอง
ทั้งอดีตและอนาคต ชีวิตของท่านแต่ละวันละปี
มีแต่หมุนเวียนอยู่แต่กับไร่กับนาอยู่อย่างนั้น
ชีวิตจะหาทางแตกปอกนอกคอกไปจากนี้ไม่มีกับเขา

ครั้นคิดถึงรุ่นพี่ หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
และหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ที่ท่านออกบวชไปก่อนหน้านี้แล้ว
ท่านอยากจะออกบวชตามรุ่นพี่ ท่านจึงขอมารดาออกบวช
มารดาและญาติพี่น้องของท่านมีความยินดีที่ท่านจะออกบวช
มารดาและญาติพี่น้องจึงพาท่านมาฝาก
เป็นลูกศิษย์พระคุณเจ้าหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่านิโครธาราม
บ้านหนองบัวบาน ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
เพื่อหัดท่องขานนาคและฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระป่า

วันที่มารดาและญาติพี่น้องพาท่านมาฝากฝึกหัดท่องขานนาคนั้น
องค์ท่านหลวงปู่อ่อนไม่อยู่วัด องค์ท่านติดกิจนิมนต์
เดินทางมาโปรดลูกศิษย์ที่กรุงเทพฯ
ทางมารดาของท่านจึงนำท่านไปฝากไว้กับหลวงปู่อว้าน เขมโก
ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่อว้านท่านอยู่เฝ้าวัดป่านิโครธารามให้กับองค์ท่านหลวงปู่อ่อน

(ปัจจุบันหลวงปู่อว้านท่านอยู่จำพรรษาที่วัดป่านาคนิมิตต์
ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร)

ในรุ่นของท่านมีนาคที่จะบวชพระพร้อมกัน ๑๐ รูป
เนื่องจากมีผู้ที่เตรียมตัวบวชเป็นผ้าขาวมาก
องค์ท่านหลวงปู่อ่อนจึงหมอบหมายให้
หลวงปู่ลี กุสลธโร และหลวงปู่อว้าน เขมโก
ซึ่งมาอยู่ร่วมจำพรรษาอยู่ที่วัดป่านิโครธารามในขณะนั้น
เป็นพระพี่เลี้ยงฝึกหัดท่องขานนาค
และทำนองครองบวชให้กับนาครุ่นของท่าน

พอถึงวันที่ท่านและเพื่อนนาคทั้ง ๑๐ รูปจะบวช
หลวงปู่ลีท่านถามหลวงปู่อว้านว่า

“นาคทั้งสิบรูปที่พวกเราฝึกกันมานี้
จะมีใครเหลือไว้สืบพระศาสนาบ้างไหม”


หลวงปู่อว้านท่านบอก

“นาคทั้งสิบรูปนี้จะเหลือไว้สืบพระศาสนาอยู่สององค์
คือ นาคศรี กับ นาคบุญรอด นอกนั้นออกไปหมด”


[“นาคบุญรอด” ต่อมาท่านก็คือ หลวงพ่อบุญรอด อธิปุญโญ
แห่งวัดถ้ำไทรทอง ต.นาตาล อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์]


หลวงพ่อสมศรี ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุคู่กับหลวงพ่อบุญรอด
โดยหลวงพ่อสมศรีเป็นนาคขวา หลวงพ่อบุญรอดเป็นนาคซ้าย
เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙
ที่วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมี

พระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป)
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระราชเมธาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่จันโท กตปุญโญ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่สวัสดิ์ ขันติวิริโย)
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูอุดรคณานุศาสน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า “อัตตสิริ”
ซึ่งมีความหมายในทางธรรมว่า “ผู้มีสิริแห่งตน”
แต่องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
จะแปลนามฉายาของหลวงพ่อสมศรีว่า “ผู้งดงามในธรรม”


ส่วนหลวงพ่อบุญรอดนั้นได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า “อธิปุญโญ”
แปลว่า ผู้มีบุญยิ่ง ต่อมาท่านได้มาอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำไทรทอง
ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง
และเป็นครูบาอาจารย์คอยสั่งสอนอบรมพระกรรมฐาน
อีกทั้งได้ช่วยเผยแผ่พระศาสนา โดยมีวัดสาขาเกือบ ๒๐ วัด
ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขต จ.กาฬสินธุ์ นั่นเอง
หลวงพ่อบุญรอดท่านมรณภาพเมื่ออายุเพียง ๖๑ ปี พรรษา ๔๐ เท่านั้น
(มรณภาพเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙)
ท่านได้บวชตลอดชีวิตสมดังที่หลวงปู่อว้านพยากรณ์ไว้


รูปภาพ
หลวงปู่ลี กุสลธโร - วัดเกษรศิลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง)

รูปภาพ
หลวงปู่อว้าน เขมโก - วัดป่านาคนิมิตต์ (วัดป่าบ้านนามน)

รูปภาพ
หลวงพ่อบัวคำ มหาวีโร - วัดป่าสัมมานุสรณ์ (วัดเหนือ)

รูปภาพ
หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป - วัดโพธิสมภรณ์

รูปภาพ
หลวงปู่สวัสดิ์ ขันติวิริโย - วัดโพธิสมภรณ์

รูปภาพ
แถวหน้า จากซ้าย : พระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป),
พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พันธุโล), พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่จันโท กตปุญโญ)

แถวหลัง จากซ้าย : พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน),
พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่สวัสดิ์ ขันติวิริโย) หรือท่านเจ้าคุณอุดร,
พระพ.ต.พักตร์ ญาณิสฺสโร (มีนะกนิษฐ) และจ่าคำมูล สีดาลาด นายทหารคนสนิท
ณ ด้านหน้าพระอุโบสถ วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี


:b44: :b44:

สองพรรษาแรกที่หลวงพ่อสมศรีท่านบวชมา
ท่านจำพรรษากับองค์ท่านหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่านิโครธาราม
บ้านหนองบัวบาน ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
หลังพ้นพรรษาที่สองแล้ว องค์ท่านหลวงปู่อ่อนบอกให้ท่าน
กับ หลวงพ่อบุญรอด อธิปุญโญ และพระอีกสามรูป
เดินทางไปฝึกปฏิบัติกับองค์ท่าน “หลวงปู่ชอบ ฐานสโม”
ที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน หลวงพ่อสมศรีกับเพื่อนพระอีกสี่รูป
จึงพากันเดินเท้ามาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่บ้านโคกมน

หลวงพ่อสมศรีท่านเดินทางมาถึงวัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน
เวลาราวสองทุ่ม ท่านเข้าไปกราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ
หลวงปู่ชอบก็บอกให้ท่านกับหมู่เพื่อนที่มาด้วยกันไปหาที่พักตามอัธยาศัย
โดยที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบก็ไม่ได้พูดอะไรกับท่านมาก

องค์ท่านหลวงปู่ชอบพิจารณาในวาสนาของพระทั้งห้ารูป
ที่มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ขององค์ท่านในวาระเดียวกัน
องค์ท่านเห็นพระสองรูปที่จะเจริญในธรรม อีกสามรูปจะตายคาโลก
องค์ท่านพิจารณาในหลวงพ่อสมศรีโดยรอบแล้ว
หลวงปู่ชอบท่านจึงบอกกับศิษย์รุ่นพี่ของหลวงพ่อสมศรี
ที่เป็นคนบ้านหนองบัวบานเหมือนกันว่า

“เราจะฝึกท่านศรีให้เป็นทายาทธรรมสืบพระศาสนาแทนเรา”


อนึ่ง องค์ท่านหลวงปู่ชอบจะวางลูกศิษย์ลูกหาท่านใด
ให้เป็นทายาทธรรมสืบพระศาสนา
องค์ท่านจะพิจารณาในวาสนาลูกศิษย์ผู้นั้น ดังนี้
๑. เป็นผู้ที่รู้ธรรม ๒. เป็นผู้ที่มีวาสนาสอนบรรพชิตและฆราวาส
๓. เป็นผู้ที่มีบริวารบรรพชิตและฆราวาส
๔. เป็นผู้ที่มีบารมีสงเคราะห์โลกและธรรมได้


จากนั้นมาองค์ท่านหลวงปู่ชอบจึงฝึกฝน
เคี่ยวเข็ญหลวงพ่อสมศรีอย่างเข้มข้น
หลวงปู่ชอบท่านพาหลวงพ่อสมศรีออกเที่ยววิเวก
ฝึกฝนความอดทนตามป่าเขาในเขตเมืองเลย
บางครั้งหลวงปู่ชอบท่านก็ปล่อยปละละทิ้ง
ให้อยู่ในที่กันดารเพื่อทดสอบจิตใจของหลวงพ่อสมศรี

หลังจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบเดินไม่ได้
หลวงปู่ชอบท่านมอบหมายให้หลวงปู่ลี กุสลธโร
หลวงปู่ผาง ปริปุณโณ หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ทำการเคี่ยวเข็ญฝึกฝน
อบรมหลวงพ่อสมศรีต่อจากองค์ท่าน
แต่รุ่นพี่ที่ฝึกฝนท่านมาอย่างโหดลำบากที่สุด
คือ หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร

หลวงพ่อสมศรีท่านจึงเป็นหนึ่งในทายาทธรรมกรรมฐานเมืองเลย
สมกับที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบไว้วางใจให้สืบทอดพระศาสนา
และแนวทางพระกรรมฐานเมืองเลยแทนองค์ท่าน


รูปภาพ
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ - วัดป่านิโครธาราม

รูปภาพ
หลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ - วัดประสิทธิธรรม

รูปภาพ
หลวงปู่คำผอง กุสลธโร - วัดป่านิโครธาราม

รูปภาพ
หลวงพ่อบุญรอด อธิปุญโญ - วัดถ้ำไทรทอง

:b50: :b49: :b50:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2014, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม - วัดป่าสัมมานุสรณ์

รูปภาพ
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร - วัดป่าหมู่ใหม่

รูปภาพ
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร - วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต


ปฏิปทาของหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ
จากคำปรารภของครูบาอาจารย์


หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านเคยปรารภให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังว่า

“ท่านศรีเป็นลูกศิษย์อีกองค์หนึ่งของเราที่มีภูมิธรรมสูง
ท่านศรีเป็นผู้ไม่มีความบกพร่องในเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ
เป็นที่พึ่งพาอาศัยทางใจของลูกศิษย์ต่อไปในอนาคต”


หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ศิษย์ผู้พี่ ท่านก็เคยปรารภว่า

“ท่านศรี เป็นคนเงียบๆ พูดน้อย ถูกอัธยาศัยกับเรา
เราจึงยอมให้ท่านศรีธุดงค์ไปร่วมกันกับเรา
ท่านศรีไปไหนกับเราถึงไหนถึงกัน ไม่มีบ่น หรือท้อถอย”


หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร และหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ
ท่านทั้งสองสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก
เพราะท่านถือกำเนิดในหมู่บ้านเดียวกัน คือ บ้านหนองบัวบาน
ท่านบวชในสำนักเดียวกัน คือ วัดโพธิสมภรณ์
โดยมี “หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป” เป็นพระอุปัชฌาย์เดียวกัน


สมัยเมื่อก่อนบวช หลวงพ่อสมศรีท่านปรารภกับท่านเองว่า

อายุครบ ๒๐ ปี เพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกัน รวมถึงรุ่นพี่ในหมู่บ้าน
อาทิ หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร, หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
ได้พากันออกบวชแล้ว คงเหลือแต่ท่านเท่านั้น
ที่ยังไม่ได้ออกบวชเหมือนท่านเหล่านั้น

เมื่อหันมามองดูวิถีชีวิตของตนเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ชีวิตนี้ก็หมุนเวียนอยู่แต่ในวัฏฏจักรวังวนหนเดิมอยู่ซ้ำซาก
พอฝนก็มาทำนา พอสิ้นฟ้าก็ทำไร่ จับแอกจับไถไล่ควายอยู่กลางทุ่ง
ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ไม่จบสิ้น ท่านจึงพิจารณาหาแนวทาง
ในการขจัดวงจรทุกข์เหล่านั้นออกจากจิตใจของตนเอง จึงได้ข้อสรุปว่า


“การบวชและการปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น
จึงจะเป็นการดับทุกข์ทั้งมวลได้อย่างสิ้นเชิง”


คงด้วยเหตุที่มีความตั้งใจจริงเช่นนั้น
เมื่อหลวงพ่อสมศรีท่านเข้าสู่พระศาสนา ท่านจึงมีความมุ่งมั่น
ดังที่ท่านเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงเตรียมตัวอุปสมบทไว้ดังนี้

ในปีนั้นมีนาคที่จะบวชพระด้วยกันรวมท่านด้วยจึงเป็น ๑๐ คน
เนื่องจากมีผู้ที่เตรียมตัวบวชเป็นผ้าขาวมาก
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ จึงมอบหมายให้ท่านพระอาจารย์ลี
หรือหลวงปู่ลี กุสลธโร แห่งวัดเกษรศิลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง)
ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
และท่านพระอาจารย์อว้าน หรือหลวงปู่อว้าน เขมโก
แห่งวัดป่านาคนิมิตต์ ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
ซึ่งมาร่วมจำพรรษาอยู่ที่วัดป่านิโครธารามในขณะนั้น
ช่วยกันแบ่งเบาภาระเป็นผู้ฝึกหัดให้ท่องขานนาคสวดมนต์
แนะนำข้อวินัยสงฆ์ และข้อวัตรปฏิบัติครูบาอาจารย์

หลวงพ่อสมศรี เล่าว่า สมัยนั้นท่านเคยแต่กินข้าว ๓ มื้อ
แต่พอต้องมาเป็นผ้าขาวต้องหัดกินมื้อเดียว จึงทำให้ทรมานด้วยความหิว
ผ้าขาวหลายๆ คนในยุคนั้นแอบครูบาอาจารย์กิน ๒ มื้อบ้าง ๓ มื้อบ้าง
แต่ท่านเองเล็งเห็นว่า ขนาดพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านยังฉันมื้อเดียวเลย
ท่านเองจึงตั้งใจจะปฏิบัติตามคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์
จะขอฉันข้าวมื้อเดียว และตั้งแต่นั้นมาจวบจนถึงปัจจุบัน
หลวงพ่อสมศรีก็ฉันข้าวเพียงวันละมื้อเท่านั้น


นอกจากนี้แล้ว หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเคยกล่าวชมเชย
ในความสมถะเรียบง่าย และความอดทนของหลวงพ่อสมศรีว่า


“เราฝึกท่านศรีให้หลวงปู่ชอบ บางครั้งเราทรมานท่านศรีทางอาหาร
บิณฑบาตได้ไข่ต้มมาเราแบ่งให้ฉัน ไข่มันก็เป็นไข่ต้มธรรมดา
ไม่ได้มีพริกมีเกลือพอให้รู้รสชาติว่าเผ็ดเค็ม
ถามท่านศรีว่าเป็นใด๋ศรี รสชาติเป็นจั๋งใด๋ ท่านศรีกะว่า พอดีครับ”


“วันหน้าได้ไข่ต้มมาอีก เราให้เณรเอาน้ำปลาเทใส่จนชุ่มน้ำปลา
รสชาติเค็มจนขม ถามท่านศรีว่ารสชาติเป็นจั๋งใด๋ ท่านศรีกะว่าพอดีครับ
เราทรมานความอดทนท่านศรีมาหลายอย่างจนพอแล้ว
ท่านศรีทนลำบากทางกายทางใจได้หมดแล้ว
จนท่านศรีไปอยู่วัดสวนกล้วยแทนเรา
จากนั้นมาเราก็บ่สงสัยทั้งทางนอกทางในของท่านศรีอีกแล้ว”


ที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบให้รุ่นพี่ช่วยกันฝึกฝนหลวงพ่อสมศรี
เพราะองค์ท่านวางหลวงพ่อสมศรีไว้
ให้เป็นหนึ่งในสามทหารเสือ “ทายาทธรรมเมืองเลย” ขององค์ท่าน
องค์ท่านหลวงปู่ชอบเคี่ยวเข็ญฝึกฝน
อบรมหลวงพ่อสมศรีที่จะให้ท่านเป็น “เพชรยอดธำมรงค์”


หลังจากหลวงพ่อสมศรีท่านได้รู้ “ธรรมอันงดงาม” แล้ว
องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกกับลูกศิษย์ลูกหาว่า

“ต่อไปท่านศรีจะเป็นลูกศิษย์ตัวแทนของเราในทางด้านการปฏิบัติ
ท่านศรีจะเป็นพระกรรมฐานเมืองเลยแทนเราในอนาคต
ทำบุญกับเราได้อานิสงส์แค่ไหน ทำบุญกับท่านศรีก็ได้อานิสงส์เท่ากัน
ท่านศรีสงบศึกในธรรมแล้ว เราไม่มีอะไรสงสัยในตัวของท่านศรีอีกแล้ว”


หลวงพ่อสมศรีท่านเป็นคนที่พูดน้อย นิสัยเรียบง่ายสมถะ
หลีกเร้นปิดบังคุณธรรมของท่านเองมาโดยตลอด
จนหลวงปู่จันทร์เรียนว่าให้ท่าน
“ท่านศรีก็พอตัวแล้ว สมควรที่ท่านจะแบ่งให้ผู้อื่นได้แล้ว”


:b39:

หลวงปู่ลี กุสลธโร แห่งวัดเกษรศิลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง)
ได้บอกกับหลวงพ่อสมศรีให้พิจารณาในเรื่องสงเคราะห์โลกว่า
“ท่านสอนตนเองได้แล้ว ก็ออกมาสอนผู้อื่นช่วยครูบาอาจารย์บ้าง”

หลวงพ่อสมศรีท่านพิจารณาในคำพูดขององค์ท่านหลวงปู่ลี
ท่านนั่งพิจารณาในธรรมคำนี้อยู่ที่ข้างกองฟืน
ตั้งแต่ฉันข้าวเสร็จจนถึงเวลาบ่ายสามโมง
ท่านถึงปลงใจที่จะออกมาสงเคราะห์โลก


:b39:

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ท่านได้เคยพูดคุยกันกับ
ผู้เขียน (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
ที่วัดป่าหมู่ใหม่ บ้านป่าหมู่ใหม่ ต.แม่แตง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
ในคราวจำพรรษาร่วมกับองค์ท่านเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๔

หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านบอก...
อาจารย์จันทร์เรียนท่านเป็น “ลูกแพง” ของหลวงปู่ชอบ
หลวงปู่ชอบฝึกฝนท่านอาจารย์จันทร์เรียนเพื่อเป็น “แก้วตา”
อาจารย์สมศรีท่านเป็น “ลูกรัก”
ที่หลวงปู่ชอบท่านฝึกฝนขึ้นมาเพื่อให้เป็น “ดวงใจ”
คำพูดของหลวงพ่อประสิทธิ์ช่างเหมาะสม
กับพี่ชายทางธรรมของเราทั้งสองเหลือเกิน


ปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ ผู้เขียนได้พาหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ
ขึ้นไปเยี่ยมองค์ท่านหลวงพ่อประสิทธิ์ ที่วัดป่าหมู่ใหม่ จ.เชียงใหม่
วันนั้นหลวงพ่อประสิทธิ์ท่านเดินออกมาบิณฑบาตไม่ไหวเนื่องจากองค์ท่านอาพาธ
หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านจึงให้หลวงพ่อสมศรีออกไปบิณฑบาตแทนองค์ท่าน

วันหนึ่งหลวงพ่อสมศรีนั่งอยู่กับพื้นต่อหน้าขององค์ท่านหลวงพ่อประสิทธิ์
องค์ท่านหลวงพ่อประสิทธิ์ได้พูดขึ้นมาว่า
“เรารู้ศาสนาแล้วถ้าเราไม่สอนคนในศาสนา ศาสนาก็จะสั้นลง
ถ้าอยากให้ศาสนายืนยาวก็สอนคนในศาสนาบ้าง”


หลวงพ่อสมศรีท่านไม่พูดอะไรขึ้นมาในตอนนั้น
ท่านพนมมือน้อมรับในคำพูดขององค์ท่านหลวงพ่อประสิทธิ์


:b46: :b46:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2014, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร - วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต

รูปภาพ
หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ - วัดป่าเวฬุวนาราม


ประสบการณ์เที่ยววิเวกของหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
ร่วมกับ “หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ”


:b45: :b45:

(๑) ตอน...พญานาคบ้านนาเบี้ยสำแดงเดช

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านเล่าเรื่องประสบการณ์ครั้งแรก
ที่ท่านได้เห็นพญานาคสำแดงเดชให้ฟังว่า
หลังจากออกพรรษาที่ ๓ ของท่าน ปลายปีพุทธศักราช ๒๕๑๑
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร พาท่านฝึกหัดออกเที่ยววิเวก
ตามคำสั่งขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
หลวงปู่จันทร์เรียนพาท่านมาเที่ยววิเวก
ทางเขตอำเภอภูเรือและเขตอำเภอด่านซ้าย
ออกจากภูเรือหลวงปู่จันทร์เรียนพาท่านมาพักภาวนา
อยู่ที่บ้านนาเบี้ย ตำบลนาหอ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย


มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่จันทร์เรียนชวนหลวงพ่อสมศรี
และเณรที่เป็นหลานหลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ
ไปเก็บมะขามป้อมที่ป่าบนภูเขา พวกท่านไปพบถ้ำในป่า
จึงพากันเข้าไปสำรวจถ้ำโดยให้เณรรออยู่นอกถ้ำ
ภายในถ้ำแห่งนี้มีธารน้ำไหลและมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่
น้ำลึกเท่ากับหน้าอกของหลวงพ่อสมศรี
ขณะเดินลุยน้ำภายในถ้ำ หลวงพ่อสมศรีท่านทำไฟแช็กตกลงไปในน้ำ
ท่านจึงคลำหาไฟแช็กของตนเองอยู่ในแอ่งน้ำ

ขณะท่านกำลังคลำหาไฟแช็กอยู่นั้น
ท่านรู้สึกว่ามีตัวอะไรลื่นๆ ขนาดลำตัวประมาณเท่ากระติกน้ำแข็ง
ทรงกลมขนาดใหญ่ เลื้อยผ่านขาของท่านไป
ท่านมีความรู้สึกเกรงในอำนาจของสัตว์ลึกลับตัวนี้
พอท่านควานหาไฟแช็กเจอแล้วท่านก็รีบออกจากถ้ำ
ตามไปสมทบกับหลวงปู่จันทร์เรียนที่ออกจากถ้ำมาก่อนหน้าของท่าน


หลวงพ่อสมศรีท่านบอกหลวงปู่จันทร์เรียนว่า
เมื่อสักครู่ตอนผมอยู่ในถ้ำ
ไม่รู้ว่าตัวอะไรใหญ่ๆ ลื่นๆ มันเลื้อยผ่านขาของผม


หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกเป็นพญานาคที่อาศัยอยู่ในถ้ำ
เขามาสัมผัสท่านศรีเพื่อที่จะบอกให้ท่านรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเห็นพญานาคตนนี้ตั้งแต่ตอนท่านเข้าไปในถ้ำ
พญานาคมาแสดงตนให้ท่านเห็นว่าเขาเป็นเจ้าของถ้ำ


จากนั้นมาอีกสามวันเกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก
ชาวบ้านนาเบี้ยจึงพากันไปทำฝายกั้นน้ำเพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้
หลังจากชาวบ้านนาเบี้ยสร้างฝายผ่านไปได้สองวัน
ปรากฏมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่บนภูเขา
เสียงดังลั่นสั่นสะเทือนนี้คล้ายกับเสียงรถไถกำลังดันภูเขาลงมา
ชาวบ้านจึงเกิดอาการตื่นกลัวพากันวิ่งหลบหนี
เพราะกลัวว่าหินหรือดินจากภูเขาจะไหลถล่มลงมา

เสียงดังลั่นคล้ายกับเสียงรถไถดังผ่านมาทางวัด
ที่หลวงปู่จันทร์เรียนกับหลวงพ่อสมศรีท่านพักอยู่
เสียงดังที่ว่านี้ผ่านไปทางไหน
ปรากฏว่าดินตามสายทางจะยุบตัวลงตามไปด้วย
ท่านว่าดินจะยุบตัวลงเป็นร่องลึกขนาดครึ่งแข้งของท่าน
กว้างประมาณเท่ากับรอยรถไถ


หลังจากแผ่นดินยุบตัวลงแล้ว
ปรากฏมีน้ำไหลตามร่องดินลงมาจากภูเขา
พระเณรในวัดเห็นท่าไม่ดีจึงพากันรีบขึ้นกุฏิของตน


หลวงพ่อสมศรีท่านไม่เคยเห็นปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อน
ท่านจึงเดินดูน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา
ท่านเดินมาเห็นหลวงปู่จันทร์เรียนกำลังเดินจงกรมอยู่
หลวงปู่จันทร์เรียนว่าให้ท่าน
มาดูอะไรกับของแบบนี้ ให้กลับไปกุฏิโน่น
อย่ามาสนใจกับของพวกนี้มากนัก ท่านจึงเดินกลับกุฏิ

วันต่อมาหลวงปู่จันทร์เรียนเล่าให้หลวงพ่อสมศรีฟังว่า
พญานาคที่เขาอาศัยอยู่บนถ้ำ ไม่พอใจที่ชาวบ้านไปทำฝาย
ปิดกั้นเส้นทางสัญจรที่เขาเคยอาศัยผ่านไปมา
พญานาคตนนี้จึงสำแดงเดชดันดินมาจากข้างล่าง
เพื่อจะพังฝายน้ำของชาวบ้าน

ระหว่างทางที่พญานาคตนนี้ผ่านมาเขาจะพ่นพิษไปด้วย
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจึงห้ามไม่ให้หลวงพ่อสมศรี
เดินตามพญานาคขณะที่เขากำลังสำแดงเดชด้วยโทสะ
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเป็นห่วงเกรงว่าหลวงพ่อสมศรี
ท่านจะได้รับอันตรายจากฤทธิ์เดชของพญานาคตนนี้ได้


เป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อสมศรีท่านได้เห็นฤทธิ์เดชของพญานาคด้วยตาเนื้อ
อีกครั้งหนึ่งพญานาคที่วัดป่าม่วงไข่แสดงฤทธิ์หยอกล้อท่าน
ตอนท่านพักปฏิบัติอุปัฏฐากองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
อยู่ที่วัดป่าม่วงไข่ บ้านม่วงไข่ ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย


:b47: :b47:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2014, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
หลวงปู่ซามา อาจุตฺโต - วัดป่าอัมพวัน


(๒) ตอน...ยักษ์ใหญ่บ้านไร่ม่วง

เกริ่นนำ..ประวัติการเที่ยวธุดงค์และการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ
ในเรื่องนี้ ผู้เขียน (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) ตั้งใจจะเขียนบันทึก
เก็บไว้ในเรื่องราวที่ตนเองที่ได้อยู่ปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มาเท่านั้น
เป็นเรื่องสุดบรรยายภายนอกของหลวงพ่อสมศรีที่คนทั้งหลายไม่เคยรู้มาก่อน

เรื่องนี้ตนเองขออนุญาตท่านลงเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗
ที่งานทำบุญโรงเรียนมูลมังหลวงปู่ชอบ วัดท่าแขก ตำบลเชียงคาน
อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ท่านบอกให้เอาพอสมควร


หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านเล่าให้ฟัง
เมื่อต้นปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ พรรษาที่ ๓ ของท่าน
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ศิษย์ผู้พี่ พาท่านออกฝึกเที่ยววิเวก
ตามคำสั่งขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ที่มอบหมายให้หลวงปู่จันทร์เรียนรับหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยง
ฝึกฝนทางด้านจิตภาวนาให้กับท่าน
นี่เป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อสมศรีท่านได้ออกเที่ยววิเวกอย่างจริงจัง
โดยมีหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร เป็นพระพี่เลี้ยง
คอยกำกับดูแลท่านทั้งภายนอกภายใน


ท่านบอก หลวงปู่จันทร์เรียนพาท่านเดินทางออกจาก
บ้านโคกมนมาบ้านผาน้อย และบ้านแหล่งควาย อำเภอเมืองเลย
แบบจรวดทางเรียบ โดยไม่มีการหยุดพักระหว่างทางเลย
หลวงพ่อสมศรีท่านรู้สึกเหนื่อย แต่ท่านก็ไม่กล้าเอ่ยปาก
ขอให้หลวงปู่จันทร์เรียนพาหยุดพัก
ท่านได้แต่คิดในใจว่าเมื่อไหร่ครูบาจันทร์เรียนจะพาหยุดพักซักที
เราเหนื่อยจนเดินขาเป๋ตบตั๊กแตนแล้ว
(สำนวนภาษาอีสาน ขาตบตั๊กแตน ความหมายก็คือ ขาล้าอ่อนแรง)


ความคิดจิตบ่นในใจของหลวงพ่อสมศรีไปกระทบกับ
ความรู้ภายในของหลวงปู่จันทร์เรียน ท่านจึงดุให้ว่า
“ท่านศรีดีนะที่มากับเฮา ถ้าท่านออกเที่ยววิเวกกับพ่อแม่ครูจารย์แล้ว
พ่อแม่ครูจารย์เพิ่นไปปานฟากจรวดบ่ได้หยุดบ่ได้เซา
เฮานี่ไปกับเพิ่นแต่ละครั้งจนเยาตาย (เรานี้ไปกับท่านแต่ละครั้งแทบตาย)
มันดีปานใด๋แล้วที่ท่านได้มากับเฮา ซ่ำนี่กะจ่มปู๊ดๆ (แค่นี้ก็บ่นพึมพำ)


หลวงพ่อสมศรีท่านเล่าไปขำไปในเรื่องที่
หลวงปู่จันทร์เรียนดักจิตรู้ใจในความคิดของท่าน
ท่านมารู้จากองค์ท่านหลวงปู่ชอบเปิดเผยให้ท่านฟังในภายหลังว่า
หลวงปู่จันทร์เรียน ศิษย์ผู้พี่ของท่านนั้น มี “ปรจิตวิชา”
รู้จิตรู้ใจมนุษย์และอมนุษย์ตั้งแต่ท่านพรรษาที่สี่
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงไม่แปลกใจเลยที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบ
มอบดาบอาญาสิทธิ์ให้หลวงปู่จันทร์เรียนปกครองดูแล
พระเณรแทนองค์ท่านตั้งแต่หลวงปู่จันทร์เรียน
ท่านเป็นพระอนุเถระ พรรษายังไม่พ้นฟ้าห้าฝน


ในบรรดาลูกศิษย์รุ่น “ทายาทธรรม” ขององค์ท่านหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
และองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งสององค์ท่านร่วมฝึกฝนอบรมมาด้วยกัน

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นทายาทธรรม
ที่โดดเด่นมากในทางด้านเลิศ “ฤทธิ์”

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นทายาทธรรม
ที่โดดเด่นมากในทางด้านเลิศ “ปัญญา”


ซึ่งเป็นที่รู้จักและยอมรับกันในบรรดาลูกศิษย์
สายขององค์ท่านหลวงปู่อ่อน และองค์ท่านหลวงปู่ชอบ


หลวงปู่จันทร์เรียนพาหลวงพ่อสมศรีมาแวะพักภาวนา
กับหลวงปู่ซามา อาจุตฺโต ที่วัดป่าอัมพวัน บ้านไร่ม่วง
ตำบลน้ำหมาน อำเภอเมือง จังหวัดเลย
อยู่หลายวัน
ระหว่างหลวงพ่อสมศรีท่านพักภาวนาอยู่ที่บ้านไร่ม่วง
ท่านบอกตอนนั้นจิตท่านยังกะเตาะกะแตะเหมือนกับเด็กกำลังหัดตั้งไข่
บางวันจิตก็เจริญธรรม บางวันจิตก็ซึมกะทือตันตื้อเป็นกรรมฐานหัวตอ


ท่านบอกอยู่ที่วัดป่าอัมพวัน บ้านไร่ม่วง ท่านก็ทำความเพียรของท่านทุกวัน
แต่ความเพียรของท่านไม่ถึงขั้นห่ำหั่นแบบเอาเป็นเอาตายกับกิเลส
เหมือนตอนที่ท่านขึ้นศาลฎีกาว่าความตัดสินสิ้นธรรม
กันกับจอมจักรพรรดิราชามหากิเลส ที่วัดป่าสวนกล้วย บ้านสวนกล้วย
ตำบลกกทอง อำเภอเมือง จังหวัดเลย เมื่อต้นปีพุทธศักราช ๒๕๓๑


ระหว่างที่หลวงพ่อสมศรีท่านพักภาวนาอยู่ที่วัดป่าอัมพวัน บ้านไร่ม่วงนั้น
ท่านบอกมีวันหนึ่งท่านเดินจงกรมอยู่ในป่าตั้งแต่ฉันข้าวเสร็จ
จนถึงเวลาตะวันคล้อยบ่าย ท่านรู้สึกเหนื่อยหิวกระหาย
เพราะตอนนั้นท่านอดอาหารทำความเพียร
ท่านเดินออกจากป่าทางจงกรมมาฉันน้ำ ที่ศาลาวัดป่าอัมพวัน
เพื่อคลายเหนื่อยเมื่อยกระหาย หลังฉันน้ำแล้วท่านทิ้งตัวลงนอน
ที่ตะแคร่หน้าศาลาวัดป่าอัมพวันเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า

ท่านนอนกำหนดจิตอยู่ระยะหนึ่ง
จิตของท่านก็ดำดิ่งลงสู่ชั้นความสว่างไสว
ของฐานแน่นสมถะราวหนึ่งชั่วโมง
จากนั้นจิตท่านก็ถอนออกมาดูภายนอก

ภายนอกท่านเห็นบุรุษรูปร่างใหญ่ผิวดำสูงราวสามเมตร
ยืนทะมึนทึนทำหน้าตาดุดันใส่ท่าน ด้วยกิริยาท่าทางที่ไม่เป็นมิตร
เมื่อแรกจิตที่หลวงพ่อสมศรีท่านเห็นบุรุษรูปร่างใหญ่ผู้นี้
ท่านก็รู้ว่าเขาเป็น “ยักษ์” ใจท่านจึงเกิดอาการเกรงกลัว
ในอำนาจบาตใหญ่ที่เขากำลังแสดงใส่ท่าน


ยักษ์ตนนี้มีจิตมุ่งร้ายพยายามจะเข้ามาทำร้ายท่าน โดยจะจับท่านทุ่มลงกับพื้น
ท่านกำหนดหนียักษ์ตนนี้โดยเอาร่างจิตของตนเองขึ้นไปอยู่บนต้นมะม่วง
หน้าศาลาวัดป่าอัมพวัน ยักษ์ตนนี้ลอยตัวตามท่านขึ้นมาเพื่อจะจับตัวของท่าน
หลวงพ่อสมศรีท่านบอกตอนนั้นตนเองจนมุมไม่มีที่ไปแล้ว
จึงกำหนดจิตระลึกถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

ท่านได้ยินเสียงผู้ชายคล้ายกับเสียงของ
องค์ท่านหลวงปู่ชอบ พูดขึ้นมาว่า
“ท่านศรี ให้ท่านท่องพระคาถาบทนี้ขึ้นมา
ยักษ์มันจะกลัวแล้วหนีไปเอง”


หลังจากนั้นมีเสียงพูดคล้ายกับเสียงขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ
กล่าวพระคาถาธรรมบทนี้ขึ้นมา…

ท่านบอก ความยาวของพระคาถานี้มีความยาวพอๆ กับบทสวดมนต์อิติปิโสฯ
พอท่านท่องพระคาถาธรรมนี้ขึ้นมา ปรากฏมีเสียงลั่นเปรี้ยง
เหมือนกับเสียงฟ้าผ่าเกิดขึ้นมา จนจิตท่านเกิดกระทบรับทราบ

ปรากฏยักษ์ตนนี้เมื่อได้ยินเสียงอัสนีธรรมลั่นเปรี้ยงขึ้นมา
ยักษ์ตนนี้รีบลนลานหนีออกจากท่านไปทางภูผาหมาน
(ทางเขื่อนน้ำหมาน ในปัจจุบัน) ท่านบอกการเคลื่อนตัวหนีของยักษ์ตนนี้
เร็วกว่าลมพายุ แค่อึดใจเดียวยักษ์ตนนี้หนีไปไกลถึงภูผาหมาน
ยักษ์ก็ไปเร็ว จิตท่านก็กำหนดไล่ตามทันกันเร็ว


ครั้งนี้หลวงพ่อสมศรีท่านได้เห็น
ปรากฏการณ์ธรรมภายนอกภายในของตนเองหลายอย่าง

ปรากฏการณ์ธรรมภายนอก ท่านบอกตนเองได้เห็นภูมิยักษ์เป็นครั้งแรก

ปรากฏการณ์ธรรมภายใน ตนเองได้เห็นวาสนาในธรรมของตนเอง
เห็นเมตตา “ธรรมวิมุติ” ของพระศาสนาที่เหนือ “สมมุติ” ที่โลกยากจะหยั่งรู้ได้

ท่านได้เห็น “คุณวิเศษ” ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ
แสดงให้ท่านเห็นอย่างเหนือโลกเหนือสงสาร

จากนั้นมาหลวงพ่อสมศรีท่านจึงปักใจเชื่อใน “ธรรม”
ที่เหนือโลกเหนือสงสารของพระพุทธศาสนาที่เป็นธรรม
ปัจจัตตัง วิญญู หีติ วิญญูชนพึงรู้ได้ด้วยการปฏิบัติของตนเอง
ที่เกิดจากการปฏิบัติของท่านอย่างสนิทใจ


หลังจากหลวงพ่อสมศรีท่านพักภาวนาอยู่ที่วัดป่าอัมพวันอยู่หลายวัน
หลวงปู่จันทร์เรียนได้พาท่านและสามเณรแอ๊ว บ้านหนองบัวบาน
กราบลาองค์ท่านหลวงปู่ซามา อาจุตฺโต
พาท่านเดินทางมาเที่ยววิเวกที่เขตอำเภอภูเรือและเขตอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
จนสิ้นเดือนหกพฤษภา หลวงปู่จันทร์เรียนจึงพาท่านและสามเณรแอ๊ว
กลับมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่วัดป่าสัมมานุสรณ์

เมื่อท่านเข้าไปทำข้อวัตรอุปัฏฐากพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์ท่านหลวงปู่ชอบ
หลวงปู่ชอบถามท่านว่า
“ไปเที่ยววิเวกกับท่านเรียนทางนอกทางในตนเองเป็นยังไงบ้างล่ะ”

หลวงพ่อสมศรีท่านบอก ภายในของข้าน้อยเป็นแบบนี้ๆ
องค์ท่านหลวงปู่ชอบก็ชี้แนะแนวทางเพิ่มเติมให้ในขั้นธรรมที่ท่านยังไม่ผ่าน
ทางภายนอกท่านบอกองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วัดป่าอัมพวัน บ้านไร่ม่วง
และเรื่อง “ผีพระที่ภูหมาจอก” บ้านโคกงาม อำเภอด่านซ้าย


องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกหลวงพ่อสมศรีว่า
“เรื่องคาถาอาคมนิยมโลกนั้นเกิดจากบุญบารมีของท่านเอง
คาถาอาคมใดที่เกิดจากฝันหรือนิมิตที่เห็นนั้น
เป็นคาถาอาคมจำเพาะที่เกิดจากบุญบารมีของบุคคลนั้น
สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดเป็นสาธารณะ
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จากบุญบารมีเฉพาะบุคคลเท่านั้น
ให้ท่านจดจำคาถาธรรมนี้เอาไปใช้เป็นคาถาธรรมประจำตัว
คาถาธรรมนี้จะเป็นฤทธิ์ธรรมประจำตัวของท่าน”


หลวงพ่อสมศรีท่านจึงถือเอาคาถาธรรม
ที่เกิดกับท่านในนิมิตมาเป็นคาถาธรรมประจำตัวของท่าน
เพื่อสงเคราะห์โลกนับแต่ที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกท่านเอาไว้


(เคยถามหลวงพ่อสมศรี พระพี่ชาย ถึงคาถาบทนี้
เบื้องต้นหลวงพ่อสมศรีท่านไม่บอก ผ่านไปหลายปี
ตนเองใช้เทคนิคพิเศษของครูบากล้วยถามหลวงพ่อสมศรี
ท่านจึงบอกออกมาให้ทราบ
ท่านกล่าวเพียงครั้งเดียวตนเองจำได้ด้วยอักขระฐานกรณ์ทันที)


องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกหลวงพ่อสมศรีว่า...
“เรื่องพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บูรพาจารย์ในอดีต
ท่านเรียบเรียงเอาไว้แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น
หากเทียบแล้วเป็นเพียงแค่เม็ดทรายในอุ้งมือของท่านเท่านั้น
พระธรรมทั้งหลายที่แท้จริงนั้นเปรียบได้ดั่งเม็ดทราย
ในมหาสมุทรทะเลหลวง จนยากเกินกว่าจะประมาณคาดการณ์ได้
ความรู้ที่ท่านรู้มานั้นเทียบเท่าแค่ทรายเพียงเม็ดเดียวในมหาสมุทร
ถ้าท่านอยากจะรู้มากไปกว่านี้ ท่านต้องข้ามมหาสมุทรโอฆะ
ทะเลหลวงห้วงสงสารนี้ไปก่อน
ถึงตอนนั้นท่านจะได้รู้ถึงที่สิ้นสุดของพุทธธรรมพระพุทธเจ้า”


:b47: :b47:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 11:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


(๓) ตอน...ผีกะเหรี่ยงบ้านแม่แสะ

ปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ พรรษาที่ ๑๐
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านชวน “หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ”
ขึ้นไปเที่ยววิเวกเพื่อหาสถานที่พักภาวนาจำพรรษา
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเลือกที่จะจำพรรษาอยู่ที่
สำนักสงฆ์โป่งเดือด ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
หลวงพ่อสมศรีท่านแยกออกไปจำพรรษาที่บ้านแม่แสะ
หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง ซึ่งห่างจากสำนักสงฆ์โป่งเดือด
ลึกเข้าไปอีกประมาณ ๕ กิโลเมตร


ระหว่างในพรรษาหลวงพ่อสมศรีท่านเดินลัดป่าเพื่อมาเยี่ยมเยียน
สนทนาธรรมกับหลวงปู่จันทร์เรียน ที่สำนักสงฆ์โป่งเดือด
หลังจากท่านเยี่ยมเยียนสนทนาธรรมกันเสร็จแล้ว
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงเดินลัดป่ากลับมายังที่จำพรรษา
บ้านแม่แสะ ระหว่างที่หลวงพ่อสมศรีท่านเดินทางลัดป่า
ท่านเกิดเดินหลงทางเนื่องจากมีฝนตกลงมา
ทำให้สภาพอากาศมืดครึ้ม มองไม่รู้ทิศรู้ทาง...


ขณะที่ท่านเดินหลงป่าอยู่นั้น
ท่านเดินผ่านไปเห็นหอผีศาลของชาวกะเหรี่ยง
ท่านเกิดนึกสนุกขึ้นมาอยากจะหยอกลมหยอกแล้ง
กับศาลผีของชาวกะเหรี่ยง ท่านจึงเดินเข้าไป
พูดกับศาลผีของชาวกะเหรี่ยงว่า

“อุ้ยๆ เฮาเดินหลงตาง ไปส่งตางเห้อเฮาตวยเน้อ”

พอพูดจบท่านก็เอาไม้เท้าเคาะหลังคาหอผี


จากนั้นท่านก็เดินลัดเลาะป่าไปเรื่อยๆ
ราวทุ่มกว่าท่านก็เดินพ้นป่ากลับมาถึงสถานที่จำพรรษาบ้านแม่แสะ

ตกดึกในคืนวันนั้นขณะที่หลวงพ่อสมศรีท่านนั่งภาวนาอยู่
ปรากฏมีจิตวิญญาณของผู้หญิงวัยกลางคน
เข้ามาแสดงตนให้ท่านเห็นในนิมิต
จิตวิญญาณของผู้หญิงนางนี้เป็นผีชาวกะเหรี่ยง
มายืนอยู่ทางด้านหน้าที่พักของท่านโดยไม่พูดจาใดๆ
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงกำหนดจิตถามผีผู้หญิงกะเหรี่ยงนางนี้ว่า


“มาทำอะไร มาถึงแล้วทำไมไม่ไหว้พระ”

ผีกะเหรี่ยงนางนี้ก็ยืนเฉยจ้องมองท่าน
ด้วยท่าทีที่ไม่พอใจในตัวของท่าน
แต่ก็ไม่กล้าเข้ามาทำอะไรให้กับท่าน
ได้แต่ยืนจ้องหน้าท่านด้วยสายตาที่ดุดันของนาง

หลวงพ่อสมศรีท่านจึงบอกผีหญิงกะเหรี่ยงนางนี้

“ถ้าเจ้ารู้จักไหว้พระ เราจะแผ่เมตตาให้”

ผีกะเหรี่ยงนางนี้ก็ยืนเมินเฉยอยู่อย่างนั้น
แสดงกิริยาไม่ต้องการในเมตตาธรรม
ที่ท่านจะสงเคราะห์ให้เธอได้รับความผาสุก
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงพิจารณาในเจตนาของผีกะเหรี่ยงนางนี้
ท่านทราบในเจตนาของผีนางนี้
ต้องการมารบกวนจิตของท่านขณะกำลังภาวนาเท่านั้น
ท่านจึงดุผีกะเหรี่ยงนางนี้ว่า

“ถ้ามาวัดแล้วไม่รู้จักไหว้พระสงฆ์องค์เจ้าก็อย่ามา
จะไปไหนก็ไปอย่ามารบกวน เราจะภาวนา”


สิ้นคำดุของท่านผีกะเหรี่ยงนางนี้ก็ร้องไห้
วิ่งหนีออกไปจากที่พักสงฆ์บ้านแม่แสะ

หลวงพ่อสมศรีท่านกำหนดตามไปดูว่าผีนางนี้หนีไปที่ไหน
ผีกะเหรี่ยงนางนี้หนีกลับไปอยู่ที่หอผีของชาวกะเหรี่ยง
ที่ท่านเดินผ่านเมื่อตอนเย็น ท่านกำหนดจิตแผ่เมตตาให้เขาก็ไม่รับเอา
เพราะจิตของผีนางนี้มืดบอดไม่มีสรณะรองรับเอาผลบุญ
ตั้งแต่คืนวันนั้นเป็นต้นมาผีกะเหรี่ยงนางนี้ก็ไม่เคยมาหาท่านอีกเลย


บันทึกโดย ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท
ในระหว่างจำพรรษาที่วัดป่าเวฬุวนาราม
หรือวัดป่าผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย พ.ศ.๒๕๔๖


:b47: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
หลวงปู่ขาน ฐานวโร - วัดป่าบ้านเหล่า

รูปภาพ
หลวงพ่อคำแปลง ปุณณชิ - วัดป่าพรไพรวัลย์

รูปภาพ
พระอาจารย์เฉลา โกสโล - วัดป่าสานตม


(๔) ตอน...ครั้งไปภาวนาที่ “ผาคอก”

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านเล่าเรื่อง
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร พาท่านไปพักภาวนาอยู่ที่
ถ้ำผาคอก ตำบลผางาม อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๐ ครั้งนั้นมีสามเณรเฉลา ศรีบุรินทร์

(พระอาจารย์เฉลา โกสโล วัดป่าสานตม
ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย)

ติดตามไปเที่ยววิเวกด้วย

ท่านบอกตอนไปพักที่ผาคอกนั้นเป็นหน้าแล้ง
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจะพักอยู่บนยอดเขา
หลวงพ่อสมศรีท่านจะพักอยู่กลางเขา ส่วนสามเณรเฉลา
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านให้เข้าไปพักอยู่ในถ้ำผาคอก

ท่านบอกผาคอกลักษณะภูเขาคล้ายกับคุกคุมขังนักโทษ
ชาวบ้านท้องถิ่นจึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า “ผาคอก”

คำว่า คอก ภาษาภาคเหนือแปลว่า คุก

ท่านว่าที่บนเขาผาคอกจะมีหมีควายใหญ่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น
คืนแรกที่พวกท่านไปพักหมีควายตัวนี้มันออกมาหากิน
มันเห็นกลดหลวงปู่จันทร์เรียนแขวนอยู่ หมีควายตัวนี้มันคงสงสัยว่าเป็นอะไร
หมีควายมันจึงเดินเข้ามาหาท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน
พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านนั่งอยู่ในกลด มองดูหมีควายเดินเข้ามาหา
หมีควายตัวนี้เอาจมูกของมันมาดมมุ้งกลดของท่านหลวงปู่จันทร์เรียน
พอมันได้กลิ่นคนมันยิ่งดมไปใหญ่

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านนึกขำในกิริยาขี้สงสัยของหมีควายตัวนี้
ท่านเกิดนึกสนุกขึ้นมาอยากจะหยอกล้อ
ท่านหลวงปู่จันทร์เรียนจึงร้องขึ้น...
เฮ้ย มึงมาเฮ็ดอีหยังอยู่นี่ (มึงมาทำอะไรอยู่นี่)
ว่าไม่ว่าเปล่า หลวงปู่จันทร์เรียนท่านกระโดดจะเข้าไปกอดเจ้าหมีตัวนี้
หมีควายมันตกใจที่หลวงปู่จันทร์เรียนจะกอดมัน
มันจึงถอยหนีออกไปตั้งหลักห่างจากหลวงปู่จันทร์เรียนราวสิบกว่าเมตร

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านยังไม่หายสนุก ท่านอยากจะกอดคอหมีตัวนี้
ท่านลุกออกจากกลดเดินเข้าไปหาหมี
หมีมันเห็นท่านหลวงปู่จันทร์เรียนเดินเข้าไปหา
หมีมันกลัวท่าน มันจึงรีบเปิดแนบวิ่งหนีขึ้นไปบนยอดเขา

พอตอนเช้าหลวงปู่จันทร์เรียนท่านนำเรื่องนี้มาเล่าให้หลวงพ่อสมศรีฟัง
เป็นเรื่องสนุกสนานก่อนออกไปบิณฑบาต
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอก อยู่คนเดียวบนเขามันเหงาไม่มีเพื่อน
ท่านจึงอยากจะกอดคอขอเป็นเพื่อนกับหมีตัวนี้
แต่หมีมันไม่ยอมเป็นเพื่อนกับเรา มันจึงวิ่งหนีขึ้นไปบนเขา
หลวงพ่อสมศรีท่านขำเรื่องที่หลวงปู่จันทร์เรียนท่านขอเป็นเพื่อนกับหมี

คืนต่อมาหมีควายตัวนี้มันมาหากินทางที่พักของหลวงพ่อสมศรี
ท่านได้ยินเสียงหมีมันมาพึมพำอยู่ใกล้ที่พักของท่าน
ท่านนึกเกรงหมีตัวนี้ ท่านจึงพาใจของตนเองเข้าที่พักจิต
อยู่ในสมาธิแน่วแน่ราวสองชั่วโมง
พอจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ท่านไม่ได้ยินเสียงของหมีตัวนี้
ท่านออกมาดูนอกกลดก็ไม่พบกับหมีตัวนี้
พบแต่รอยเล็บของมันที่ขีดข่วนดินและต้นไม้รอบๆ ที่พักของท่านเท่านั้น
ท่านจึงกลับเข้ากลดเพื่อนั่งภาวนาของท่านต่อ


จิตท่านสงบอยู่ในสมาธิได้ระยะหนึ่ง
ท่านได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้ขอความช่วยเหลือ
ดังมาจากภายในถ้ำผาคอกที่สามเณรเฉลาพักอยู่
ท่านจึงกำหนดดูที่มาของเสียงผู้ชายที่ร้องไห้
ขอให้ท่านช่วยเหลือเผื่อแผ่บุญให้
เสียงผู้ชายร้องให้ขอความช่วยเหลือนี้
ดังขึ้นมาจากก้นเหวภายในถ้ำผาคอก
ท่านจึงกำหนดแผ่เมตตาให้กับเขา


ปรากฏว่าจิตของท่านไม่สามารถมองเห็นรูปร่างของบุคคลนี้ได้เลย
ได้ยินแต่เสียงของเขาร้องไห้เพ้อรำพันดำมืดอยู่อย่างนั้น

ท่านย้อนจิตเข้ามาพิจารณาดูในเรื่องนี้
ท่านจึงทราบว่า วาสนาของท่านไม่สามารถสงเคราะห์ธรรม
ให้กับจิตวิญญาณของภูตผีตนนี้ได้
เนื่องจากไม่เคยมีวาสนาธรรมสงเคราะห์กันมาก่อนหนึ่ง
และสอง จิตวิญญาณของผู้นี้มีกรรมหนัก
ตอนเป็นมนุษย์อยู่นั้นเป็นผู้มืดบอดในธรรม
กรรมที่ตนเองก่อมาจึงปิดกั้นแสงธรรมไม่ให้ส่องเข้าถึงจิต
เมื่อท่านพิจารณาทราบในเรื่องนี้แล้วท่านจึงวางจิตเป็นอุเบกขาธรรม
หันจิตของตนเองเข้ามาพิจารณาในธรรม
ที่ตนเองกำลังก้าวเดินอยู่ในมรรคคาขณะนั้น


วันต่อมาท่านถามสามเณรเฉลาว่านอนอยู่ในถ้ำ ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ บ้างมั๊ย
สามเณรเฉลาบอกท่านว่า ไม่ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ
ได้ยินแต่เสียงค้างคาวบินพรึ่บๆ ไปมาอยู่ในถ้ำ
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงไม่บอกเรื่องนี้ให้สามเณรเฉลาทราบ
เพราะถ้าบอกไปท่านเกรงว่าสามเณรเฉลาจะกลัวผี ไม่กล้าพักคนเดียวอยู่ในถ้ำ
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงนำเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านหลวงปู่จันทร์เรียนฟัง

หลวงปู่จันทร์เรียนบอกท่านว่า เราเห็นมันตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ที่นี่
มันก็ร้องไห้มาขอเมตตาช่วยเหลือกับเราแบบนี้แหละ
เราเองก็ไม่สามารถช่วยอะไรมันได้เพราะไอ้นี่มันบาปหนัก
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกหลวงพ่อสมศรีถึงที่มาของชายผู้นี้

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอก แต่ก่อนชายผู้นี้เป็นคนท้องถิ่นที่นี่
ตอนมีชีวิตอยู่เป็นคนนั้น ชายผู้นี้เป็นผู้ที่มีนิสัยเกเรอันธพาล
ชอบเบียดเบียนระรานคนอื่นให้ได้รับความเดือดร้อน
มันจึงถูกคนอื่นจับมาฆ่าโยนศพทิ้งเหว
กรรมที่มันก่อมาจึงทำให้มันเป็นผีเปรตเฝ้าถ้ำเฝ้าเหวจนเท่าทุกวันนี้

พอท่านหลวงปู่จันทร์เรียนอธิบายที่มาที่ไปของผีเปรตตนนี้
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงสิ้นสงสัยในที่มาที่ไปของมัน


หลวงพ่อสมศรีท่านบอก หลวงปู่จันทร์เรียน
ท่านเป็นผู้มีวาสนารู้ละเอียดในเรื่องลึกลับเหมือนกับ
องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ผู้เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์
เรื่องความรู้ภายในฤทธิ์เดชพิสดารนี้
องค์ท่านหลวงปู่ชอบยกให้ท่านหลวงปู่จันทร์เรียน
เป็นที่หนึ่งในศิษย์ “ทายาทธรรม” ขององค์ท่าน


หลวงปู่จันทร์เรียนพาหลวงพ่อสมศรี และสามเณรเฉลา
พักภาวนาอยู่ที่ผาคอกประมาณสามเดือน
จากนั้นหลวงปู่จันทร์เรียนท่านพาหลวงพ่อสมศรี และสามเณรเฉลา
เดินทางมากราบเยี่ยมหลวงปู่ขาน ฐานวโร วัดป่าบ้านเหล่า
ตำบลบ้านเหล่า อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย พักอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง

พอใกล้จะเข้าพรรษา ปีพุทธศักราช ๒๕๒๐
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านพาหลวงพ่อสมศรี และสามเณรเฉลา
มาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์บ้านป่าสักน้อย
ตำบลบ้านเหล่า อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักกับสำนักขององค์ท่านหลวงปู่ขาน

ปีพุทธศักราช ๒๕๒๐ เป็นปีพรรษาที่ ๑๒ ของหลวงพ่อสมศรี

พอออกพรรษาแล้วหลวงปู่จันทร์เรียนพาหลวงพ่อสมศรี
เดินทางกลับมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
หลวงพ่อสมศรีท่านอยู่อุปัฏฐากพ่อแม่ครูบาอาจารย์
องค์ท่านหลวงปู่ชอบอยู่นานจนใกล้จะเข้าพรรษา


พอใกล้จะเข้าพรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๒๑
หลวงพ่อสมศรีทราบข่าวว่า หลวงพ่อคำแปลง ปุณณชิ
ท่านพักอยู่ที่ถ้ำผาสิงห์ ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
เพียงลำพังองค์เดียว ท่านจึงกราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
เดินทางมาจำพรรษาที่ถ้ำผาสิงห์กับหลวงพ่อคำแปลง ศิษย์ผู้พี่
ปี ๒๕๒๑ หลวงพ่อสมศรีจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำผาสิงห์กับหลวงพ่อคำแปลง

ปีนี้ท่านบอกจำพรรษาสององค์กับหลวงพ่อคำแปลง
พากันอาศัยบิณฑบาตที่บ้านโนนสมบูรณ์
ตำบลหนองหญ้าปล้อง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
การภาวนาของท่าน ท่านบอกภายในนั้นดี
จิตท่านเดินก้าวตามมรรคตามผล
แต่ภายนอกนั้นท่านบอกมีคนบ้าเลขบ้าหวยมารบกวน
จนท่านต้องหลบหนีเข้าไปภาวนาอยู่ในถ้ำลึกๆ
เพราะท่านไม่ชอบพูดคุยกับผู้คนประเภทศรัทธาบ้าหวย


บันทึกโดย ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท พ.ศ.๒๕๔๔

:b47: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร - วัดป่าหมู่ใหม่

รูปภาพ
หลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ - วัดประสิทธิธรรม


(๕) ตอน...ครั้งไปภาวนาที่ “ดงหมากค้อเขียว”

ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม องค์ท่านได้มอบหมายให้ครูบาอาจารย์รุ่นพี่
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร พาหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ
และสามเณรนารี (ทิดนารี หลานหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร)
ออกฝึกหัดเที่ยววิเวกที่เขตป่าภูในท้องที่จังหวัดเลย

เหตุการณ์ในช่วงนี้นั้นเกิดขึ้นมาเมื่อระหว่างเดือนพฤศจิกายน
ต่อกันมาจนถึงเดือนธันวาคมของปีพุทธศักราช ๒๕๑๑
และเป็นเหตุการณ์ร่วมในกาลต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๖
ที่พลิกทุกข์อันอย่างใหญ่ที่สุดออกไปจากใจของท่านพระอาจารย์สมศรี

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านว่า ออกพากันไปพักภาวนาอยู่ที่วัดร้าง
บ้านนาหอ ตำบลนาหอ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ก็พาท่านกับสามเณรนารี
ขออาศัยนั่งกระบะท้ายรถของกรมทางหลวง
มาลงที่แขวงการทางเลย (บ้านสานตม ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ)
ตอนท่านนั่งกระบะท้ายรถของกรมทางหลวงกับสามเณรนารี
มาลงที่แขวงการทางบ้านสานตมนั้น หลวงพ่อสมศรีท่านว่า
“นั่งอยู่ท้ายรถกับเณรนารีมาสององค์ ลมกะแฮงๆ หนาวกะหนาวหลาย
จนเจ้าของสั่น ขี่สบ (ริมฝีปาก) เจ้าของกับเณรนารีนี่พากันแห้งแตกเบิ่ด
อาจารย์จันทร์เรียนนั่นเพิ่นกะสบายแหล่วได้นั่งหน้ามากับคนขับ
บ่ได้ตากนั่งตากลมหนาวมาคือกับพวกเฮา”

หลวงพ่อสมศรีท่านก็เล่าอดีตปนยิ้มอุ่นใจของท่านให้ฟัง...


หลวงพ่อสมศรีท่านว่า ตอนนั้นมันยังเป็นเวลาเย็นๆ ยังไม่ค่ำมากเท่าไหร่
หลวงปู่จันทร์เรียนก็เลยพาท่านกับสามเณรนารีเดินทางไปพัก
ที่บ้านกลาง ตำบลท่าศาลา อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย
หลวงปู่จันทร์เรียนได้พาท่านกับสามเณรนารีไปหยุดพักภาวนา
กันอยู่ที่บริเวณ “ดงหมากค้อเขียว” ก่อนที่จะถึงทางเข้าบ้านกลาง


หลวงพ่อสมศรี “ต้นหมากค้อเขียวแนวเดียวกับครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ
ท่านมักฉันบ่ายคำกับข้าวเหนียวนั่นล่ะ”


ว่าถึงต้นหมากค้อเขียวปั้นใส่ข้าวเหนียว กินแบบผู้เฒ่าคนโบราณไทเลยเรานี้
เรา (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
ก็เล่าพื้นครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบให้หลวงพ่อสมศรีฟัง
หลวงปู่ชอบท่านมักจะมีคำกลอนเรื่องหมากค้อเขียวของท่าน
มาพูดจาว่าหยอกให้พระเณรลูกหลานบ้านโคกมนฟัง
ท่านจะว่าเป็นภาษาสำเนียงเสียงของคนทางอำเภอด่านซ้ายนาแห้วว่า
“ขึ่นโห้วยลงโห้วยได่โก้ยโหน่ยเดว
เห็นงูเขวโตท่อด่ามเกวนอนขดเหล่วเอว”

หลวงพ่อสมศรีท่านก็หัวเราะขำขัน คือเรื่องแบบนี้นั้น
ถ้าใครไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนานๆ ก็จะไม่รู้ในเรื่องเล็กเรื่องใหญ่
ในอุปนิสัยคำว่าวาจาของกันและกัน...

(ความหมายคำนี้ที่หลวงปู่ชอบท่านว่า คือ
ขึ้นห้วยลงห้วยได้กล้วยลูกเดียว
เห็นงูเขียวตัวเท่าด้ามเคียวนอนขดตัวนิ่งอยู่
)


เหตุการณ์ที่ดงหมากค้อเขียว อำเภอภูเรือแห่งนี้
หลวงพ่อสมศรีท่านว่า “บริเวณป่าที่นี่มันเป็นป่าต้นหมากค้อเขียวทั้งหมด
มันเป็นป่าหมากค้อเขียวมีใบปรก เป็นอึมครึมดูวังเวงในใจ
อยู่ในดงหมากค้อเขียวแห่งนี่มันสิมีหอผีปู่ตา
รอบๆ หอผีปู่ตานี่มันสิมีขันหมากเบง (ขันบายศรีข้าวตอกดอกไม้)
ที่ชาวบ้านเขาเอาเซ่นสรวงบูชาพวกผีอยู่ในหอปู่ตาดงหมากค้อเขียว”


พอมาถึงที่นี่แล้วหลวงพ่อสมศรีว่า
หลวงปู่จันทร์เรียนก็บอกท่านกับสามเณรนารีว่า
คืนนี้พวกเราจะพักกันอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้จะไปที่ไหนต่อนั้นค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านไปเก็บเอาพวกขันหมากเบง
ต้นบายศรีบูชาผีของไทบ้านทิ้งออกไปข้างทาง
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่า “อยู่นำกันเด้ออย่ามากวนกัน”
จากนั้นท่านก็กางกลดของตนเอง
ขึ้นที่หน้าของศาลผีหอปู่ตา “ดงหมากค้อเขียว”


พอกลางกลดแก้บาตรบริขารของตนเองแล้ว
มันมีเหตุอะไรบางอย่างเข้ามาสะดุดข้างในใจของท่าน
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเลยเดินมาบอกสามเณรนารีว่า
“เณรนารีเจ่าบ่ต้องกางกลดเจ้าของดอก
คืนนี่ไห่เจ้านั่นไปนอนอยู่ในกลดอันเดียวกันกับท่านศรี”

ทางฝ่ายเณรนารีตอนนั้นก็เกิดอาการกลัวผีที่หอปู่ตาดงหมากค้อเขียวอยู่แล้ว
จึงรีบยินดีไม่รีรอที่ปฏิเสธในคำพูดของหลวงปู่จันทร์เรียนที่บอกตนเอง

หลวงพ่อสมศรีว่า “ตอนนั่นอาจารย์จันทร์เรียนท่านรู้ว่า
พวกผีสัมภเวสีที่มาอาศัยอยู่ในหอปู่ตาดงหมากค้อเขียว
พวกนี่มันสิมาเล่นงานพวกเรา มันสิไปเล่นงานผู้ที่อ่อนแอกว่าหมู่คือเณรนารี
อาจารย์จันทร์เรียนท่านรู้ว่าเณรนารีสิลำบาก
ในคืนนั่นอาจารย์จันทร์เรียนท่านเลยบอกให้เณรนารีมานอนอยู่ในกลดกับเรา”


หลวงพ่อสมศรี “การได้ออกเที่ยววิเวกกับครูบาอาจารย์เพิ่นผู้มีธรรมภายในนี่
หมู่คณะลูกศิษย์ที่ได้ไปนำกะสิพากันอุ่นใจ เวลามีเหตุอันใดเกิดขึ้น
ครูบาอาจารย์ท่านกะสิซ่วยเหลือลูกศิษย์ลูกหาได้ทัน
อย่างครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบนี่เวลาท่านพาลูกศิษย์ออกเที่ยววิเวก
พอเวลาสิเกิดเหตุอันใดขึ้นมาแล้วหลวงปู่ชอบเพิ่นกะสิออกมาเตือน
มากั้นกันไว้ให้ก่อน พวกลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่นำเพิ่นนี่กะเลยพากันอุ่นใจหลาย”


หลวงพ่อสมศรี “บางเทื่อ (บางครั้ง) ไปเที่ยววิเวกด้วยกัน
อาจารย์จันทร์เรียนเพิ่นกะว่า พวกเฮานี่มีอีหยังเกิดขึ้น
กะบ่ต้องไปว่ารายงานให้พ่อแม่ครูอาจารย์ (หลวงปู่ชอบ) เพิ่นฟังดอก
เพิ่นนั่นเคี้ยวหมากจ๊ะๆ นั่งเหลาไม้ตอกอยู่บ้านโคกมน
เพิ่นกะฮู้ดอกว่าพวกเฮานี่พากันไปคิด ไปหลบลี้ (ไปซ่อน) ตัวอยู่ม่องใด๋”


เหตุการณ์ภายในที่ดงหมากค้อเขียวศาลปู่ตาบ้านกลาง อำเภอภูเรือ
ในวันนั้นหลวงพ่อสมศรีท่านว่า หลวงปู่จันทร์เรียนบอกท่านกับสามเณรนารี
ให้พากันไหว้พระสวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาให้กับสถานที่
ห้ามพากันออกมานอกกลดเป็นอันขาดจนกว่าท่านจะสั่ง
หลวงพ่อสมศรีพอไหว้พระสวดมนต์ย่อๆ แล้วท่านก็นั่งภาวนา
หันหน้าไปทางที่กลดของหลวงปู่จันทร์เรียนนั้นกางอยู่
ส่วนเณรนารีนั้นท่านว่า พอไหว้พระสวดมนต์ของตนเองแล้ว
เณรนารีก็ขอนอนพักเลยเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง
จากบ้านสานตม (ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ) มาที่บ้านกลาง

เหตุการณ์ที่ศาลปู่ตาดงหมากค้อเขียวที่บ้านกลางในคืนนั้น
หลวงพ่อสมศรีว่า ท่านรู้แต่ว่าในคืนนั้นมันมี
“หมาดำหลายร้อยตัว มารุมล้อมพวกท่านเอาไว้”
ท่านรู้แต่ว่าตอนนั้นหลวงปู่จันทร์เรียนท่านนั่งภาวนา
อยู่ภายในกลดของตนเอง จากนั้นรอบดึกเกือบเที่ยงคืน
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็ลุกออกมาจากกลดของตนเอง
เดินมาดูที่กลดของท่านที่มีสามเณรนารีมาขอนอนลี้ภัยมืดพักอยู่ชั่วคราว
ตอนนั้นหลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็ไม่ว่าอะไรออกมา หลังจากส่องดูพอรู้กันแล้ว
ท่านก็เดินกลับเข้าไปนั่งภาวนาต่อในกลดของตนเอง

หลวงพ่อสมศรีว่า “พอตอนเช้ามาแล้วอาจารย์จันทร์เรียนท่านถึงบอกว่า
เมื่อคืนที่ผ่านมานี้มันมีอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นท่านไม่อยากบอกในตอนกลางคืน
เพราะกลัวว่าเณรนารีที่กลัวผีอยู่แล้วมันจะเกิดอาการกลัวผีหนักขึ้นไปกว่าเดิมเสียอีก”

ตนเองเรียนถามท่านเหตุการณ์ในคืนวันนั้นมันเป็นอย่างไรบ้าง

หลวงพ่อสมศรีท่านว่า “อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอก
ตอนกลางคืนพวกผีสัมภเวสีที่อยู่หอปู่ตาดงหมากค้อเขียว
ไม่พอใจที่ท่านพาพวกเรามาพักรบกวนพวกมันอยู่ที่นี่
พวกผีหอปู่ตาดงหมากค้อเขียวมันเลยพากันจำแลงตนเป็นหมาดำหลายร้อยตัว
เข้ามาแสดงท่าข่มขู่เพื่อที่จะให้อาจารย์จันทร์เรียนนั้นกลัวพวกมัน
ทีแรกอาจารย์จันทร์เรียนท่านก็บอกพวกนี้
ถ้าจะมาเอาบุญเอากุศลแล้วก็ให้พวกมันพากันหมอบนั่งลง
เพื่อเป็นการเคารพในธรรม พวกนี้มันกะพากันแยกเขี้ยวตาแดงขู่ใส่ท่าน”


หลวงพ่อสมศรีท่านก็เล่าตอนนี้ให้เราฟังแบบขำๆ
“อาจารย์จันทร์เรียนเพิ่นว่า เอ้า..! พวกห่านี่แหม๋
มึงสิพากันหนีไปทางใด๋ พวกมึงกะพากันหนีไปเด้อ
ถ่าพวกมึงบ่อยากได้บุญได้กุศลแล้วพวกมึงกะสิมาถ่าเห่าหาเอาฆ้อนกูบ้อ”


หลวงพ่อสมศรี “อาจารย์จันทร์เรียนว่า
เพิ่นกะกำหนดจิตตนเองเข้าฌานเหาะลอยถือไม้ฆ้อนขึ้นไปบนอากาศ
เหนือกว่าฝูงพวกหมาดำสัมภเวสีผีหอปู่ตาดงหมากค้อเขียวพวกนี่
เพิ่น
(อาจารย์จันทร์เรียน) ว่า พอเฮายกไม่ฆ้อนขึ้นทำท่าสิฟาดลงมาไส่พวกนี่
พวกผีหมาดำหอปู่ตาพวกนี่มันกะพากันย่าน (มันก็พากันกลัว)
แตกหนีไปคนละทิศละทางกันเบิ่ดแหม๋”


เรา (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) ก็ว่า
“ท่านครูอาจารย์จันทร์เรียนนี้ นอกจากท่านจะดุกับคนแล้ว
ท่านก็ยังมาดุกับผีอยู่เน๊าะ”
หลวงพ่อสมศรีท่านก็ขำหัวเราะ


หลวงพ่อสมศรีท่านก็ว่าถึงหลวงปู่จันทร์เรียน
ครูบาอาจารย์รุ่นพี่ของตนเองแบบขำๆ
“พวกผีหมาดำหอปู่ตาดงหมากค้อเขียว บ้านกลาง
มันพากันย่าน (มันพากันกลัว) ฆ้อนฤทธิ์เพิ่นอาจารย์จันทร์เรียน
มันพากันแตกหนีไปออดหลอด”


หลวงพ่อสมศรี “เรากะเลยบ่แปลกใจเลยว่า
เป็นหยังครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบเพิ่นจั่ง (ท่านถึง)
ไว้ใจอาจารย์จันทร์เรียนให้คุมพระเณรลูกศิษย์เพิ่น
มาตั้งแต่อาจารย์จันทร์เรียนเพิ่นบวชมาได้สี่พรรษา”


หลวงพ่อสมศรีว่า เวลาออกเที่ยววิเวกด้วยกัน
ตอนท่านยังเป็นพระนวกะอยู่นั้น เวลามีเหตุปะทะอะไรภายในท่านนั้น
ก็จะอาศัยครูบาอาจารย์รุ่นพี่สามองค์ คือ หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร,
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร และหลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ ท่านช่วยปะทะให้

อย่างเช่น เหตุการณ์พญานาคดันดิน ที่อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์
และเหตุการณ์ภาวนาที่ผาคอก อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
ท่านก็ได้อาศัยหลวงปู่จันทร์เรียน ครูบาอาจารย์ผู้พี่ที่คอยปะทะให้

เหตุการณ์ในโป่งเดือด อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
ท่านก็อาศัยหลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ท่านปะทะให้

เหตุการณ์ผี ที่อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์
ท่านก็อาศัยครูบาอาจารย์รุ่นพี่ หลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ ท่านปะทะให้


เรา (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) เรียนถามหลวงพ่อสมศรี
“แล้วเหตุการณ์..ดอกบัวบานในใจที่บ้านกกกอก
(ตำบลหนองงิ้ว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย) นั้นเป็นยังไงมายังไง
ทำไมถึงทำให้ท่านอาจารย์หัวใจเอียงหล่นจนได้เป็นไข้
คือจั่งปานว่าหมากหอยหงอยไข้แท้”


หลวงพ่อสมศรีท่านว่า “อันนี่ กล้วยกะอย่าไปจำเอา”

เราก็บอกท่านว่า มันห้ามกันบ่ทันแล้วครูอาจารย์
มันจำเอาไว้ในใจเจ้าของไปเบิ่ดแล้ว
หลวงพ่อสมศรีท่านก็หัวเราะขำขันไปกับเรา

ซึ่งเหตุการณ์ “ดอกบัวบานในใจที่บ้านกกกอก” นี้
เป็นเหตุการณ์วิกฤตในบุญบวชที่หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ
ท่านได้พบเจอมากับตัวของท่านเองมากที่สุด
ถ้าตอนนั้นในพรรษาก่อนสิบที่ท่านไม่ภาวนาเอาอย่างจริงจัง
จนจิตใจของตนเองนั้นฉีกขาดจาก “กามคุณ” ที่เคยหนุนโทษให้กับตนเองนั้น
ได้เวียนว่ายตายมาในก้นดากของสัตว์โลกตนใดแล้ว
ปัจจุบันก็จะไม่มีใครที่ได้รู้จักผู้ที่ชื่อว่า
“ธรรมศรีขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ” หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ผู้นี้


จนหลวงพ่อสมศรีท่านว่า “สี่ห้าวันตอนนั้นนี้ที่เราป่วยอยู่บ้านกกกอก
เป็นด่านธรรมอันยากหลายที่สุดที่เราเคยได้ผ่านมา”


“ด่านทุกข์ใจด่านธรรม ดอกบัวบานในใจที่บ้านกกกอก” วังสะพุง เมืองเลย


:b47: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


(๖) ตอน...เปรตพระนุ่งผ้าถุง

เรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจในเรื่องพระธรรมวินัย
ผู้เขียน (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้จากประสบการณ์เที่ยววิเวกของศิษย์ผู้พี่
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร กับ หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ
ที่ศิษย์ผู้พี่ทั้งสองท่านพบเจอกับภูมิลึกลับ..

หลวงพ่อสมศรีเล่าให้ฟังว่า หลังออกพรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๑๑
พรรษาที่สามของท่าน องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม บอก
หลวงปู่จันทร์เรียนให้พาหลวงพ่อสมศรีออกฝึกหัดเที่ยววิเวกภาวนา

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านได้พาหลวงพ่อสมศรี
และสามเณรอีกสองรูปออกเที่ยววิเวกมาทางเขตอำเภอภูเรือ-ด่านซ้าย

หลวงพ่อสมศรีท่านบอกตอนพักอยู่บ้านโคกงาม อำเภอด่านซ้าย
หลวงปู่จันทร์เรียนชวนท่านไปเยี่ยมญาติคนบ้านหนองบัวบาน
ที่มาแต่งงานมีสามีอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ทางตำบลนาหอ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
หลวงปู่จันทร์เรียนพาท่านกับสามเณรอีกสองรูปเดินลัดภูเขาจากบ้านโคกงาม
มาถึงเขตตำบลนาหอเวลาพลบค่ำ แล้วไปพักที่วัดร้างแห่งหนึ่ง

กลางคืนราวสองทุ่มหลวงพ่อสมศรีท่านได้ยินเสียงผู้ชาย
เดินร้องไห้ผ่านที่พักของท่านไปทางที่หลวงปู่จันทร์เรียนพักภาวนาอยู่
เสียงผู้ชายร้องไห้มาหยุดเงียบตรงที่พักของหลวงปู่จันทร์เรียน
ตกดึกหลวงพ่อสมศรีท่านได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
แล้วเงียบหายไปทางด้านหลังวัด..


ตอนเช้าหลวงปู่จันทร์เรียนเล่าให้หลวงพ่อสมศรีฟังว่า
ศรี เมื่อคืนนี้มีเปรตพระองค์หนึ่งร้องไห้มาหาเรา
เปรตพระองค์นี้นุ่งอังสะเหมือนกับพระเณรเราทั่วไป
แต่ข้างล่างนุ่งผ้าซิ่นผ้าถุงลายดอกแบบผู้หญิง


หลวงปู่จันทร์เรียนท่านพิจารณาถึงบุพกรรมที่มาของเปรตพระตนนี้

เปรตพระนุ่งผ้าซิ่นผ้าถุงตนนี้ เมื่อสมัยบวชอยู่
เคยเป็นเจ้าอาวาสที่วัดร้างแห่งนี้มาก่อน
ตอนสมัยบวชมักประพฤติผิดพระวินัยอาบัติ “ปาจิตตีย์” อยู่เป็นอาจิณ
มีจิตลามกเจ้าชู้ ชอบพูดจาเกี้ยวพาราหญิงสาวด้วยใจกำหนัด
กิเลสพาคิดเหมาเอาเองว่าเป็นอาบัติปาจิตตีย์ปลงแล้วจะหายได้
หารู้ไม่ว่าอาบัติปาจิตตีย์นี้เป็นอาบัติบาปทางจิตใจ
พอตายแล้วจิตติดคาในอาบัติที่ตนเองข้องอยู่กรรม
จึงส่งผลให้มาเกิดเป็นเปรตพระนุ่งผ้าซิ่นผ้าถุง..


(อาบัติปาจิตตีย์ แปลว่าบาปทางจิต
ภิกษุเมื่อต้องอาบัตินี้แล้วจะทำให้จิตเศร้าหมอง
อาบัติปาจิตตีย์มีทั้งหมด ๙๒ ข้อ อาบัติปาจิตตีย์เป็นอาบัติที่สละปลงได้
แต่ถ้ากลับมาประพฤติผิดซ้ำซากโดยเจตนาเพราะคิดว่าผิดแล้วก็ปลงได้
องค์ท่านหลวงปู่ชอบเคยบอกเอาไว้มันจะเป็นบาปที่สละไม่หลุด
องค์ท่านบอกพระเราเป็นเปรตหรือตกนรกเพราะอาบัติปาจิตตีย์นี้
มากกว่าทุกอาบัติ องค์ท่านถึงสอนลูกศิษย์ให้พึงสังวร)


เปรตพระนุ่งผ้าถุงตนนี้มาแสดงตนร้องไห้
ขอให้หลวงปู่จันทร์เรียนช่วยเหลือสงเคราะห์
หลวงปู่จันทร์เรียนบอกกับเปรตพระตนนี้ว่า
เราไม่สามารถช่วยท่านได้ กรรมผิดธรรมผิดวินัยสงเคราะห์กันไม่ได้
ให้ยอมรับผลกรรมของตนเองเสีย เปรตพระนุ่งผ้าถุงพอรู้ว่า
หลวงปู่จันทร์เรียนสงเคราะห์ธรรมให้ตนเองพ้นกรรมไม่ได้
เปรตพระตนนี้จึงเดินร้องไห้ออกไปทางหลังวัด..


หลวงพ่อสมศรีบอกวัดแห่งนี้ร้างพระเณรมาได้ร่วมปี
ก่อนที่หลวงปู่จันทร์เรียนจะพาท่านเข้ามาพัก
หลังจากเจ้าอาวาสรูปนี้มรณภาพไปแล้ว
พระเณรองค์อื่นๆ ก็พักอยู่ที่วัดแห่งนี้ไม่ได้
เนื่องจากถูกผีเปรตเจ้าอาวาสตนนี้รบกวน
แม้แต่ชาวบ้านก็ไม่กล้าเข้าวัดเพราะกลัวผีเจ้าอาวาส
วัดนี้จึงถูกทิ้งให้ร้างจนตราบเท่าทุกวันนี้..

หลวงพ่อสมศรี “พักอยู่วัดร้างคืนหนึ่ง บิณฑบาตฉันเช้า เยี่ยมญาติพี่น้องกัน
แล้วอาจารย์จันทร์เรียนท่านพานั่งรถกรมทางหลวงมาลงภูเรือ
อาจารย์จันทร์เรียนท่านพาไปพักอยู่หอผีปู่ตา บ้าน..(ขอสงวนชื่อ)
บ้านนี่เขานับถือผีกันเป็นล่ำเป็นสัน พักอยู่หอผีปู่ตาคืนเดียว
อาจารย์จันทร์เรียนท่านใช้ฤทธิ์ปราบผีหอปู่ตาบ้านนี้
จนแตกกระเจิง ฤทธิ์ผีบ่สู้ฤทธิ์พระอริยะ”


หลวงพ่อสมศรีท่านเล่าไปขำไปกับวิธีการปราบผีของหลวงปู่จันทร์เรียน
ศิษย์ผู้พี่ มือปราบมือโปรดขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ตนเอง (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) ขำเรื่องที่หลวงพ่อสมศรี
ธรรมศรีขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ
บอกหลวงปู่จันทร์เรียนท่านหยอกผี ท่านเข้าสมาธิกำหนดจิต
เหาะถือไม้ค้อนไล่ผีจนหนีกระเจิงป่าหอปู่ตาดงหมากค้อเขียว
จนหลวงพ่อสมศรีท่านอัศจรรย์พันลึกในฤทธิ์เดชของหลวงปู่จันทร์เรียนศิษย์ผู้พี่


:b47: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


(๗) ตอน...ค้อนไล่ผี

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านพาหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ
และสามเณรอีกสองรูปมาพักที่หอผีปู่ตา บ้าน...(ขอสงวนชื่อ)
หลวงพ่อสมศรีท่านบอกที่หมู่บ้านแห่งนี้มีหอผีปู่ตาแปลกกว่าที่อื่น
หอผีปู่ตาบ้านนี้เขาไม่สร้างเป็นอาคาร
เหมือนกับหอผีปู่ตาทั่วไปที่ท่านเคยเห็นมา
บริเวณหอผีของหมู่บ้านที่นี่จะเป็นดงต้นหมากค้อเขียว
รอบบริเวณหอผีแห่งนี้ชาวบ้านร้านถิ่นเขาจะเอาขันตอกดอกไม้
เครื่องเซ่นสรวงต่างๆ นานามาวางเรียงรายเพื่อบูชาผี
พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านเห็นที่นี่สะอาดสะอ้าน
จึงบอกให้หมู่คณะพักค้างคืนกันที่นี่...

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกว่า ผีที่นี่มันดื้อดึงเอาเรื่องอยู่นะ
พวกเราไม่ต้องกลัว มันทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกให้พากันไหว้พระสวดมนต์
นั่งภาวนาของใครของมันอยู่ในกลด เรื่องทุกอย่างเราจะจัดการเอง
เณรน้อยสององค์ที่มาด้วยกลัวผี
จึงขอท่านหลวงปู่จันทร์เรียนไปนอนรวมกันอยู่ในกลดเดียว
ท่านหลวงปู่จันทร์เรียนว่า กลัวมันทำไมประสาผีเฉยๆ


ท่านเปรียบเปรยให้เณรฟังว่า
ธรรมชาติแขกไปไทยมาเขาก็มาหาพ่อแม่
เขาไม่ไปหาพวกลูกๆ ดอก
เณรน้อยทั้งสองเชื่อในคำพูดของท่าน
แต่คืนนี้ขอนอนด้วยกันเพราะกลัวผีหอปู่ตาหมากค้อเขียว
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็ไม่ว่าอะไร
เพราะเห็นใจในความกลัวของเด็ก...

พอเข้ากลดภาวนาแล้ว หลวงพ่อสมศรีท่านบอก
ผีอยู่หอปู่ตาหมากค้อเขียวเป็นร้อยๆ
พากันไปหาท่านหลวงปู่จันทร์เรียน
โดยไม่มารบกวนท่านกับเณรน้อยสององค์เลย
ท่านบอกที่ผีไม่เข้ามารบกวนท่านกับสามเณร
เพราะหลวงปู่จันทร์เรียนใช้อำนาจพิเศษปิดกั้นคุ้มภัยไว้ให้
พวกผีจึงเข้ามารบกวนท่านกับสามเณรน้อยไม่ได้


หลวงพ่อสมศรีท่านได้เห็นในอำนาจธรรม
ของหลวงปู่จันทร์เรียน ศิษย์ผู้พี่
ท่านจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ
จึงไว้วางใจมอบหมายให้หลวงปู่จันทร์เรียนเป็นครูฝึกภาวนา
ให้กับพระเณรรุ่นน้อง ตั้งแต่หลวงปู่จันทร์เรียนท่านพรรษาสี่


เหตุการณ์ภายในหลวงปู่จันทร์เรียน
ท่านเล่าให้หลวงพ่อสมศรีฟังในภายหลังว่า
พวกผีไม่พอใจที่พวกเราเข้ามาพักอยู่ที่นี่
พวกผีจึงจำแลงเป็นหมาดำใหญ่มาข่มขู่ให้เรากลัว
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่า ป๊าดติโธ่...พวกนี่มึงเก่งมาแต่ใส

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านกำหนดจิต
เหาะขึ้นเหนือพวกหมาดำใหญ่ผีจำแลง
ท่านกำหนด “ไม้ค้อน” ขึ้นมาหนึ่งดุ้น
ทำท่าเหมือนจะฟาดใส่ผีพวกนี้
พวกผีเกรงในอำนาจธรรมของท่าน
จึงพากันแตกหนีกระเจิงไปจนหมดหอผีปู่ตาดงหมากค้อเขียว
หลวงปู่จันทร์เรียนบอกหลวงพ่อสมศรีว่า
เฮาหยอกมันเล่นซื่อๆ พวกผีมันหนีไปหมดแล้ว...


พักภาวนาอยู่หอผีปู่ตาดงหมากค้อเขียวหนึ่งคืน
หลวงปู่จันทร์เรียนพาหลวงพ่อสมศรีมาฝึกภาวนาที่บ้านสานตม
ออกจากบ้านสานตมก็ไปพักภาวนาที่บ้านกลาง ตีนภูหลวง
ที่บ้านกลางแห่งนี้องค์ท่านหลวงปู่ชอบ
เคยพาหลวงปู่จันทร์เรียนมาฝึกภาวนาแล้ว


:b44:

ว่ามาถึงตรงนี้ขอเขียนแทรกเรื่องที่หลวงปู่จันทร์เรียน
ศิษย์ผู้พี่ท่านเล่าให้ฟังซักเล็กน้อย...


หลวงปู่จันทร์เรียนบอกท่านเป็นคนกลัวช้างมาแต่ไหนแต่ไร
ตอนพรรษาที่สาม องค์ท่านหลวงปู่ชอบพาท่านมาฝึกภาวนา
ที่บ้านกลาง ตำบลปลาบ่า อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย
หลวงปู่จันทร์เรียนบอก “หลังสรงน้ำพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว
หลวงปู่ชอบท่านบอกให้รีบสรงน้ำก่อนตะวันตกดินเด้อ
สรงน้ำแล้วก็ให้พากันกลับไปเดินจงกรมภาวนาอย่ามานั่งคุยกัน
ค่ำมาแลงมาเสือช้างสัตว์ป่ามันจะออกหากิน
พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านบอก
วันนั้นไม่รู้เป็นอะไรเราเปรี้ยวปากอยากคุยหลาย
จึงชวนเณรมานั่งคุยกันจนค่ำโพล้เพล้...


พอค่ำลงช้างป่าภูหลวงลงมาหากินทางวัดบ้านกลาง
เรานั่งคุยกับเณรได้ยินเสียงช้างหักไม้ไผ่ดังโพล๊ะเพละๆ เข้ามาทางวัด
พอตนเองมองเห็นช้างเท่านั้น
เราบอกเณรให้กลับที่พัก ช้างป่ามันมาแล้ว
ตนเองรีบกลับที่พักเอากลดลงนั่งมองดูช้างมันกินใบไผ่
คิดในใจว่า ช้างเอ้ยมึงอย่ามาทางนี้เด้อกูย่าน (กูกลัว)
คิดในใจบ่อยากให้ช้างมันมาทางเจ้าของ ปานบอกให้มันมาหา...

ช้างมันเดินมาทางที่เฮาอยู่ ช้างมันเอางวงมาดมกลด
เฮาตกใจย่านช้างหลาย (กลัวช้างมาก)
เฮาฮ้องพุทโธแฮงๆ ในใจบาดเดียวเท่านั่น
จิตรวมพรึ่บสว่างไสวอยู่ในอัปปนาสมาธิ
ตั้งแต่หกโมงแลงจนถึงหกโมงเช้า
พอจิตรวมแล้วช้างกะช้างเถอะ จิตสงบแล้วกูบ่ย่านมึงดอก”


หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเล่าไปหัวเราะไปอย่างขำขัน
ตนเอง (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) ขำกลิ้งขำหงาย
กับเรื่องที่หลวงปู่จันทร์เรียนศิษย์ผู้พี่ท่านเล่าให้ฟัง บอกท่าน
ท่านอาจารย์เป็นลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบอีกรูปหนึ่ง
ที่อาจหาญชาญชัยในธรรม ทำไมท่านอาจารย์ต้องกลัวช้างด้วย
กระผมยังไม่แจ้งใจ...

ท่านบอก “ฮ่วย...บ่ย่านมันจั๋งใด๋ ซ้างมันโตใหญ่กว่าเฮาแหม๋
ไปหือไปเก่งกับมันตี้ มันสิเหยียบเอาขี้แตกตาย
เรื่องนี้อย่าไปว่าให้ผู้ใด๋ฟังเด้อ”


ตนเองบอกท่านอย่างมั่นเหมาะ
“บ่รับปาก ผมเป็นคนปากบอน กล้วยรู้ โลกรู้”

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเลยสรรเสริญ
ด้วยคำมูลสมัยพ่อขุนรามคำแหงเป็นที่สนุกสนาน
ในการสนทนากันแบบพี่น้องร่วมอุทรธรรมขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ


หลวงปู่จันทร์เรียนบอก “ตอนเช้าพอจิตถอนออกมา
เห็นพ่อแม่ครูจารย์ชอบยืนอยู่หน้ากลด
เพิ่นบอก เรียนไปเอาบาตร เฮาจะบิณฑบาตแล้ว
พ่อแม่ครูจารย์เพิ่นว่าให้ อาจารย์ชอบนี่บ่มีวาสนาสอนลูกศิษย์
ให้จิตสงบคืออาจารย์ช้างเน๊าะ ต่อไปให้ท่านเรียนเอาช้างเป็นอาจารย์เด้อ
ว่าให้แล้วพ่อแม่ครูจารย์เพิ่นกะยิ้มย้วยๆ (ยิ้มหวาน)
พ่อแม่ครูจารย์เพิ่นฮู้ว่าจิตเฮาเป็นจั่งใด๋
เพิ่นรอให้เฮาถอนจิตออกมาก่อนเพิ่นถึงบอก”


“การได้อยู่ฝึกฝนอบรมธรรม
กับครูบาอาจารย์ผู้รู้จริงอย่างหลวงปู่ชอบนี่
เป็นบุญวาสนามหาศาลหลาย
เกิดอีกร้อยชาติล้านชาติจะได้พบจะได้พ้อ
กับพระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ ทรงธรรม อย่างหลวงปู่ชอบอีกบ้อ”


หลวงปู่จันทร์เรียนศิษย์ผู้พี่ท่านเตือน
“คนเราถ้าเชื่อปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
เฮารับรองได้ว่าบ่มีทางที่ผู้นั่นตกจะอบายภูมิ
ผู้ใดเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วมีแต่เจริญไปหน้า
ที่ตกนรกอบายภูมิอยู่ทุกวันนี้เพราะมันบ่เซื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า
มันรั้นเกินธรรมพระพุทธเจ้า เอาแม้คนเราถ้าใจมั่นคง
อยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ใจผู้นั่นบ่มีทางตกนรกดอก”


:b47: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2019, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
แถวหน้า องค์ที่ ๑-๔ จากซ้าย : หลวงปู่รินทร์ (กองมี) ปิยสีโล,
หลวงพ่อชำนาญ ชุติปัญโญ, หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร,
หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ

แถวหลัง องค์ขวามือสุด : พระอาจารย์นิสสัย กันตวีโร
ในงานถวายกฐินแด่วัดป่าเวฬุวนาราม (วัดป่าผาน้อย) จ.เลย
เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
(ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ : คุณ Pakorn Kengpol)

-----------------------------------


เรื่องเล่าจาก “หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ”

:b44: :b44:

(๑) เรื่อง “จิตติดคาในของสงฆ์”

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ เล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนท่านอยู่ปฏิบัติ
กับองค์ท่านหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่านิโครธาราม
บ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี


หลวงพ่อสมศรีบอกมีโยมผู้ชายคนหนึ่งที่องค์ท่านหลวงปู่อ่อน
ไว้วางใจให้เป็นผู้ถือปัจจัยเงินทองของสงฆ์ภายในวัด
พ่อออกคนนี้ได้นำเงินสงฆ์ของวัดป่านิโครธาราม ไปเก็บไว้ที่บ้าน
โดยไม่บอกให้ผู้ใดทราบเพราะกลัวเงินทองของสงฆ์จะสูญหาย
ปรากฏว่าวันหนึ่งโยมคนนี้ได้ถึงแก่กรรมอย่างกะทันหัน
ภาคอีสานเรียกว่า “ไหลตาย” พอจิตกายตายขาดจากกันจิตวิญญาณ
โยมผู้นี้เกิดข้องคาในวัตถุเงินทองของสงฆ์ที่ตนเองเก็บรักษาไว้
โดยที่ตนเองไม่มีโอกาสได้ส่งคืนเพราะตายก่อน


จิตวิญญาณโยมผู้นี้เดินร้องไห้จากบ้านของตนเอง
ไปที่วัดป่านิโครธาราม โดยแสดงตนให้พระเณรเห็นด้วยตาเนื้อ

จนพระเณรบางท่านที่ทราบว่าโยมคนนี้ตายไปแล้ว
เกิดอาการหวั่นไหวไม่กล้าออกจากกุฏิ องค์ท่านหลวงปู่อ่อนทราบที่มาของเรื่อง
ท่านจึงบอกให้เมียพ่อออกคนนี้ทราบว่าที่พ่อบ้านของโยมเป็นแบบนี้
เพราะจิตเขาติดคาในปัจจัยเงินทองของสงฆ์ที่ตนเองถือรักษาโดยยังไม่ได้ส่งคืน

ทางผู้เป็นเมียพ่อออกคนนี้ก็ไม่รู้ว่า
สามีของตนนำปัจจัยเงินทองของวัดมาเก็บรักษาไว้ที่บ้าน
จึงไม่รู้จำนวนเงินและสถานที่ที่สามีของตนเอง
เก็บรักษาสิ่งของเหล่านี้ไว้ที่ไหน


องค์ท่านหลวงปู่อ่อนจึงบอกสถานที่เก็บซ่อนปัจจัยของวัด
ให้เมียพ่อออกคนนี้ทราบ พอเมียพ่อออกคนนี้ไปค้นหาปัจจัยเงินทอง
ที่สามีของตนเองเก็บซ่อนรักษาเอาไว้ ตามที่องค์ท่านหลวงปู่อ่อนบอก
แม่ออกผู้นี้พบซองเงินตามจำนวนที่องค์ท่านหลวงปู่อ่อนบอก
จึงนำเงินของสงฆ์ทั้งหมดมามอบคืนให้กับวัด
หลังจากเมียพ่อออกคนนี้นำเงินสงฆ์มาส่งคืนให้กับวัดแล้ว
หลวงพ่อสมศรีท่านบอกเหตุการณ์ที่พ่อออกคนนี้
เดินร้องไห้จากบ้านเข้ามาวัดก็เงียบหายไปนับแต่วันนั้น

องค์ท่านหลวงปู่อ่อนบอกพระเณรให้ทราบในภายหลังว่า
พ่อออกคนนี้จิตเขาพ้นในเรื่องนี้แล้ว
ตอนนี้เขาจุติไปเกิดใหม่ตามกรรมดีที่เขาได้กระทำไว้


ผู้เขียน (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
เรียนถามท่านหลวงพ่อสมศรีว่า...

พ่อออกคนนี้ตอนจิตเขามาแสดงตนให้พระเณรเห็นนั้น
เขาพูดหรือบอกอะไรให้พระเณรเราทราบหรือไม่ถึงเรื่องที่เขาข้องคา

หลวงพ่อสมศรีท่านบอก เขาไม่ได้ว่ากล่าวอะไรกับพระเณร
นอกจากมายืนร้องไห้ ให้เห็นเหมือนกับเขาจะพยายามสื่อสารอะไรบางอย่าง
ให้พระเณรในวัดทราบเท่านั้น
ท่านว่าตอนนั้นเราเองกับพระเณรในวัดก็ไม่มีใครทรงภูมิ
พอที่จะสื่อสารเรื่องลึกซึ้งกับโยมผู้นี้ได้
จิตวิญาณของโยมผู้นี้จึงไปหาองค์ท่านหลวงปู่อ่อนเพื่อบอกความนัย
องค์ท่านหลวงปู่อ่อนพอท่านทราบที่มาท่านจึงรีบแก้ไขเรื่องนี้
เพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านพ้นจาก “กรรมที่ไม่มีเจตนา”


:b50: :b50:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2019, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


(๒) เรื่อง “ไข้พ่อเฒ่าซัง”

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ บอกอาจารย์ผาง
(หลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ วัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น จังหวัดอุดรธานี)
ชวนไปเที่ยววิเวกจำพรรษาทาง อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์

ปีที่ท่านจำพรรษากับหลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ
หลวงพ่อสมศรีบอกปีนี้ท่านมีอาการอาพาธแทบทั้งปี
ท่านบอกมันก็แปลกๆ เหมือนกันนะ
ตอนไม่ฉันอาหาร อาการป่วยจะไม่กำเริบแสดงออกมา
พอฉันอาหารเข้าไปแล้วอาการป่วยไข้หนาวสั่นจะกำเริบขึ้นมาทันที
เราเองตอนนั้นก็แปลกใจหาสาเหตุไม่เจอ...

ท่านบอก “ทีแรกเราเข้าใจว่าตนเองเป็นไข้ป้าง (ไข้ป่ามาลาเรีย)
เพราะมีอาการไข้จับสั่นคล้ายกัน หลังเวลาฉันข้าวแล้ว
อาการไข้จะกำเริบขึ้นมาทันที แทบไม่มีเรี่ยวแรงเอาบาตรไปล้าง
บางวันอาการหนักพอล้างบาตรเช็ดบาตรแล้ว
ต้องนอนซมลงกับที่จนไม่มีแรงทำความเพียรเดินจงกรมภาวนาได้เลย
ท่านว่าอาการไข้แบบนี้มันก็แปลก พอเวลาบ่ายเย็นค่ำอาการแบบนี้ก็จะหายไปเอง
แต่พอเวลาเช้าหลังฉันอาหารแล้วอาการไข้ก็จะกำเริบขึ้นมาทันที”


“จนอาจารย์ผาง (หลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ) ท่านว่าให้
ศรีเอ้ย ไข้อย่างท่านนี้ถ้าเป็นลูกเขยเขาพ่อเฒ่ากะซัง (พ่อตาก็รังเกียจ)
เขาจะหาว่าขี้เกียจทำงาน ไข้อย่างท่านนี้เขาเรียกว่าไข้พ่อเฒ่าซัง”


ผู้เขียน (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
ฟังท่านหลวงพ่อสมศรีเล่าแล้วขำ
“ไข้พ่อเฒ่าซัง” ไข้พ่อตารังเกียจนี้ก็มีในโลกภาษาธรรมกรรมฐาน
ตนเองกับท่านหลวงพ่อสมศรีพากันหัวเราะขำขัน
ในคำพูดของท่านหลวงปู่ผาง บ้านดงเย็น...


หลวงพ่อสมศรีบอก มีวันหนึ่งโยมเอาลอดช่องมาถวาย
พอตนเองเห็นลอดช่องแล้วอยากจะฉันมาก
วันนั้นท่านฉันลอดช่องจนหมดถ้วยใหญ่ๆ ระหว่างฉันลอดช่องไป
ท่านบอกมันอร่อยหวานมันมากอย่างที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

ท่านว่า พอฉันลอดช่องหมดแล้วอาการไข้ประหลาดอย่างที่ตนเองเป็นนี้
ตีกำเริบขึ้นอย่างหนักจนมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อาการปวดหัวนี้ท่านบอกมันหนักมากจนมีความรู้สึกเหมือน
ลูกตาจะหลุดออกมาจากเบ้าข้างในกายเหมือนกับไม่มีธาตุไฟไออุ่น
มันเกิดอาการหนาวออกมาจากข้างในจนตนเองนอนขดหนาวสั่นสะบั้นทั้งตัว


ท่านว่าหลวงปู่ผางเห็นอาการของท่านเป็นแบบนี้
หลวงปู่ผางท่านเอายามาให้ฉัน
พอฉันยานี้แล้วรู้สึกอาการตนเองดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง
หลวงปู่ผางท่านเลยให้โยมไปซื้อยาชนิดนี้มาให้ฉันอีก
ท่านฉันยานี้ทุกครั้งเมื่อมีอาการไข้กำเริบจนกระเพาะของท่านบาง
พอฉันอาหารอะไรที่มีรสเผ็ดอาการแสบท้องก็จะกำเริบขึ้นมาทันที
ท่านว่าเวทนาไข้หายไป แต่เวทนาที่ได้รับแทนคือแสบท้องร้อนรุ่มดั่งไฟสุม


หลวงพ่อสมศรีบอก เราพิจารณาถึง “กรรม” ที่ทำให้ตนเองเป็นแบบนี้
ท่านบอก มันเกิดจากบาปกรรมในปัจจุบันของเรา
ตอนเป็นเด็กเราเอาตะขอไปเกาะกบเขียดออกมาจากรู ตะขอเกาะท้องกบเขียดจนทะลุ
พอได้กบเขียดมาตนเองก็ทุบหัวกบเขียดเอามาปิ้งกินเป็นอาหารภายในครอบครัว
อาการไข้ของตนเองนั้นไม่ว่าหนาวสั่นปวดหัวจนลูกตาแทบหลุด
อาการเจ็บท้องของตนเองนั้นเกิดจากกรรมที่เราไปทำกับกบเขียดทั้งนั้น


พอทราบที่มาของกรรมแล้ว ท่านน้อมใจยอมรับในกรรมตนเอง
ท่านตั้งจิตขออโหสิกรรมกับกบเขียดและสัตว์อื่นๆ ที่ตนเองเคยได้เบียดเบียนเขามา
ท่านภาวนาแผ่เมตตามาโดยตลอดจนอาการป่วยไข้ที่ตนเองเป็นอยู่บางจางหายลง
อย่างเช่นอาการไข้หนาวสั่นปวดหัวปวดตานั้นหายไป
เหลือแต่อาการปวดแสบร้อนท้องเป็นบางครั้งที่มันจะกำเริบขึ้นมา

ถามท่านหลวงพ่อสมศรี “ทุกวันนี้กรรมกบกรรมเขียดยังไม่จบกันอีกหรือ”

หลวงพ่อสมศรีบอก “เราไม่ได้เบียดเบียนกบเขียดเพียงตัวสองตัว
ตอนเป็นฆราวาสเราเบียดเบียนชีวิตพวกนี้มานับไม่ถ้วน
ผู้ที่ยกโทษให้เราก็พ้นกรรม ผู้ยังจองจำกันอยู่เราก็ยอมรับ
พระอรหันต์อย่างหลวงปู่ชอบ
ท่านยังรับกรรมหักขากบขาเขียดจนตนเองเดินไม่ได้
ทำไมเราจะยอมรับกรรมของตนเองไม่ได้เหมือนท่าน
กรรมจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ยังไงก็หนีไม่พ้น
ทำกรรมอันใดไว้ไม่ว่าดีหรือชั่ว ตนเองจะต้องได้รับทั้งนั้น
หนีไม่พ้น คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีผิด”


:b50: :b50:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2019, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


(๓) เรื่อง “สัญญาบุพเพสันนิวาสในอดีต”

เย็นวันที่ ๒๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
นั่งฉันน้ำกับหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ด้วยกันสององค์ที่โรงน้ำร้อน
หลวงพ่อสมศรีท่านชวนเรา (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
คุยเรื่องขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม และเรื่องการปฏิบัติระหว่างท่านกับเรา
ระหว่างที่คุยกันเรื่องขององค์ท่านหลวงปู่ชอบด้วยความสนุกสนานกันนั้น
หลวงพ่อสมศรีท่านถามเราว่า กล้วย...ตอนหลวงปู่เป็นพระหนุ่ม
ท่านเคยมีใจชอบพอผู้หญิงบ้างไหม ท่านเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังไหม
ผมไม่กล้าถามท่านในเรื่องนี้กลัวหลวงปู่ท่านจะดุเอา
รุ่นสุดท้ายผมก็เห็นท่านนี่แหละที่หลวงปู่ท่านเปิดออกมาทุกเรื่อง...


เราก็เลยเล่าเรื่ององค์ท่านหลวงปู่ชอบหัวใจท่านตกหล่ม
ที่อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ท่านหลวงพ่อสมศรีฟัง

องค์ท่านหลวงปู่ชอบไปเจอกับคู่วาสนาบารมีเก่า
ที่เคยเกิดเป็นคู่กันในภพชาติที่ผ่านมา
ท่านบอกพอมาเจอกันในชาติปัจจุบัน ใจท่านเกิดเอนเอียงไปกับผู้หญิงคนนี้
สัญญาบุพเพสันนิวาสในอดีตมันตีขึ้นมาในจิตใจของท่าน
ท่านว่าพุทโธที่เคยสั่งสมอบรมมากลายเป็น “พุดทอง” ขึ้นมาแทนที่
หลวงปู่ท่านมีใจปฏิพัทธ์ให้กับสาวทองบ้านหินฮาว อำเภอหล่มเก่า
จนท่านเจริญจิตเจริญธรรมในใจไม่ขึ้น...


ขนาดตอนนั้นภูมิจิตขององค์ท่านได้ฌานสมาบัติแปดแล้ว
ยังเกิดตื้อตันพลันสะดุดเพราะกามคุณมาปกปิดปัญญาของจิตเอาไว้
องค์ท่านหลวงปู่ชอบทบทวนพิจารณาหาเหตุที่มาของกามคุณ
ที่มากวนจิตใจของตนเอง ท่านพิจารณาเห็นเหตุ


“เหตุเพราะความคิดนี้เองที่เป็นสะพานทอดผ่าน
ให้กิเลสมันมาย่ำยีจิตใจของเราในตอนนี้”

พอท่านพิจารณาเห็นสะพานของเหตุแล้ว
องค์ท่านหลวงปู่ชอบจึงพลิกปัญญาทำลายสะพานความคิด
ปิดเส้นทางสัญจรของกิเลสบุพเพอาละวาดของท่านลงไปได้
แต่ตอนนั้นท่านเป็นเพียงละลาอาลัยในบุคคลเท่านั้น
ท่านยังไม่ได้ถึงขึ้นถอดถอนในชั้นกามคุณ...

องค์ท่านหลวงปู่ชอบหนีออกไปจำพรรษา
ที่ถ้ำนายม จังหวัดเพชรบูรณ์ กับตาผ้าขาวสง่า อนาคามี
องค์ท่านเร่งความเพียรแบบเอาเป็นเอาตายเข้าแลก
จนก้นกับเท้าของท่านแตก ท่านถือเนสัชชิกธุดงค์ไม่หลับไม่นอน
จนตาท่านเกือบบอดเพราะความเพียร
การแลกเอาธรรมอย่างอุกฤษฎ์ของท่านนี้หลวงปู่ท่านก็ได้ธรรมอย่างสมใจ
จิตท่านยกภูมิขึ้นเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น เป็นพระโสดาบัน “เอกพีชี”
เพราะผลจากกำลังวิปัสสนาภูมิขององค์ท่าน...

ท่านบอกถ้าเราตายในตอนนั้นเราก็จะได้เกิดอีกเพียงชาติเดียว
แต่เราไม่ต้องการเกิดอีกต่อไป เราจึงเร่งเอาให้มันจบทุกข์กันทีเดียวในชาตินี้
สุดท้ายท่านก็มาจบทุกข์โศกที่เมืองพม่า...


:b39:

เราก็คิดคะนองอยากจะรู้เรื่องของหลวงพ่อสมศรี
ในชีวิตบวชของท่านเคยมีเหตุแบบนี้หรือไม่...?
เพราะท่านไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อน


ถามท่านว่า ชีวิตบวชของอาจารย์เคยสะดุดในเรื่องแบบนี้หรือเปล่า

หลวงพ่อสมศรีท่านก็ยิ้มตามบุคลิกลักษณะนิสัยของท่าน
ท่านบอกก็มีเหมือนกัน เคยเป็นครั้งเดียวตอนพรรษายังไม่ถึงสิบ
หัวใจหลงทางอยู่สี่วันจึงแก้กลับคืนมาได้
ตอนนั้นตัวท่านเองป่วยทั้งกาย ป่วยทั้งใจ


พอว่าจบหลวงพ่อสมศรีท่านก็หัวเราะกับเรื่องราวของตนเองที่ผ่านมา

เราก็เลยนิมนต์ขอให้ท่านเล่าถึงเหตุที่มาที่ไป
และกลอุบายวิธีที่ท่านใช้แก้ไขจิตใจตนเองให้ผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้
หลวงพ่อสมศรีท่านก็พูด ผมไม่อยากเล่าให้ท่านฟังในเรื่องนี้
เดี๋ยวท่านจะเอาไปเล่าต่อ ถ้าเล่าให้ฟังแล้วท่านอย่าเอาไปเล่าต่อได้ไหม

เราก็บอกท่านว่า เรื่องนี้ผมไม่กล้ารับปากเพราะผมเป็นคนปากบอน
ถ้าเรื่องไหนได้ยินได้ฟังมาแล้วเป็นเรื่องที่สะดุดใจได้คติ
ถ้าไม่ได้พูดไม่ได้เล่าออกมาแล้วมันจะจุกในใจ กินข้าวบ่แซบ
นอนกะบ่หลับ หลวงพ่อสมศรีท่านก็หัวเราะอย่างใหญ่

ท่านบอกท่านจะเล่าเพียงจบเดียวแล้วจะไม่เล่าอีก
จากนั้นท่านก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องท่านจิตสะดุด ท่านว่า
ตอนนั้นหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
พาท่านไปเที่ยววิเวกแถวภูเรือ หลังจากออกจากบ้านกลาง ตำบลสานตม
อาจารย์จันทร์เรียนชวนท่านกลับมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน จังหวัดเลย
อาจารย์จันทร์เรียนพากันเดินทางออกจากบ้านกลาง
โดยท่านอาจารย์จันทร์เรียนเดินนำหน้าไปกับเณรอีกรูปหนึ่ง
หลวงพ่อสมศรีท่านเดินตามหลังมาพร้อมกับเณรนารี
(ทิดนารี หลานหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร)

เนื่องจากตอนนั้นท่านป่วยเป็นไข้จึงเดินตามอาจารย์จันทร์เรียนไม่ทัน

ท่านเดินทางผ่าทางบ้านถ้ำมูลตัดเข้าถนนเส้นภูเรือ-วังสะพุง
โดยที่ท่านไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จันทร์เรียนแวะเข้าพักรอท่านอยู่ที่ถ้ำมูลน้อย
ท่านเข้าใจว่าอาจารย์จันทร์เรียนคงแวะพักที่บ้านกกกอก
พอเดินทางมาถึงทางปากทางแยกเข้าบ้านหมากแข้ง
หลวงพ่อสมศรีกับเณรนารีจึงพากันแวะเข้าไปบ้านกกกอก
เพราะท่านเข้าใจว่าท่านอาจารย์จันทร์เรียนท่านรออยู่ที่นั่น…

ตอนเย็นท่านกับเณรนารีพากันเดินทางมาถึงวัดป่าบ้านกกกอก
(วัดป่าปริตบรรพต อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย)

ปรากฏไม่พบท่านอาจารย์จันทร์เรียนอยู่ที่นี่
และไม่มีพระเณรซักองค์อยู่ที่วัดป่าบ้านกกกอกเลยในตอนนั้น
ไหนๆ ก็เดินทางมาถึงตอนค่ำมืดแล้ว
ร่างกายตนเองก็ไม่ไหวเจ็บระบมเพราะพิษไข้
ท่านกับเณรนารีจึงพากันพักอยู่ที่นี่ก่อน
ท่านอยากจะพักฟื้นร่างกายของตนเองให้หายจากพิษไข้
ก่อนที่จะเดินทางมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่บ้านโคกมน

วันที่สองที่หลวงพ่อสมศรีท่านพักอยู่บ้านกกกอก
ชาวบ้านเมื่อทราบว่ามีพระเณรมาพักที่วัด
เป็นธรรมเนียมของชาวบ้านกกกอกสมัยนั้น
เมื่อมีครูบาอาจารย์พระเณรเข้ามาพักอยู่ในวัด
คนหนุ่มสาวเขาจะพากันมาตักน้ำใส่ตุ่มใส่ไห
เอาไว้ให้ครูบาอาจารย์พระเณรใช้บริโภคอาบสรง
วันนั้นหลวงพ่อสมศรีท่านยืนอยู่ที่ศาลา
มองดูวัยรุ่นหนุ่มสาวพากันมาตักน้ำในวัดใส่ตุ่มใส่ไห
สายตาของท่านก็ไปสะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มาตักน้ำกับเพื่อนๆ

พอท่านได้สบหน้าสบตากับหญิงสาวนางนี้แค่เพียงชั่วขณะจิต
ใจของท่านก็เกิดวูบวาบ มีใจปฏิพัทธ์ให้กับหญิงสาวคนนี้ขึ้นมาในทันทีทันใด
แต่ก่อนแต่ใดมาจิตใจของท่านก็ไม่เคยเป็นแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย
แต่พอมาเจอกันกับหญิงสาวคนนี้ ใจของท่านถึงกับรวนเรเซซวนไป
ตั้งแต่พบกับหญิงสาวคนนี้จิตใจของท่านก็ว้าวุ่น
ข่มจิตข่มใจภาวนาไม่ลงปลงไม่ตก สามวันผ่านที่ใจเป็นแบบนี้
ท่านก็ยังหาอุบายวิธีปลงจิตปลงใจให้กับตนเองยังไม่ได้...


เข้าวันที่สี่ หลังจากหลวงพ่อสมศรีท่านเดินจงกรม
ดับความว้าวุ่นให้หัวใจของตนเองไม่ลง
ท่านเข้ามานั่งพักในศาลาวัดป่าบ้านกกกอก
ท่านนั่งพิจารณาหาอุบายวิธีดับทุกข์ปัญหาคาใจให้กับตนเอง
จู่ๆ เหมือนมีสิ่งดลใจหรือเป็นเพราะบุญบารมีธรรมของท่าน
มาดลบันดาลให้ก็ไม่รู้ได้ ท่านเดินไปเปิดตู้พระไตรปิฎก
เพื่อจะเอาหนังสือพระไตรปิฎกออกมาอ่าน
ท่านบอกตอนนั้นเรากะจะเอาหนังสือพระไตรปิฎกออกมาอ่าน
เพื่อแก้กลุ้มให้กับหัวใจของตนเองเท่านั้น...

เหมือนมีสิ่งดลใจให้ท่านหยิบหนังสือไตรปิฎกเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน
หนังสือเล่มที่ท่านหยิบขึ้นมาอ่าน
ท่านบอกมีเรื่องหนึ่งในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงพระภิกษุบวชใหม่
สมัยพุทธกาล แอบมีใจหลงใหลใฝ่รักหญิงสาวคณิกานางหนึ่ง
ท่านเล่าแบบรวบรัดพระภิกษุรูปนี้พิจารณาซากศพของหญิงคณิกานางนี้
จนปัญญาของท่านแตกฉานในอสุภกรรมฐาน
ถอดถอนกามคุณออกไปจากจิตใจของท่านได้
จนท่านพิจารณาในอวิชชาแตกฉาน สามารถบรรลุมรรคผลได้ในปัจจุบัน


หลวงพ่อสมศรีท่านอ่านธรรมบทเรื่องนี้จบ
ท่านหันเข้ามาพิจารณาตัวเอง
กายเราก็ป่วย จิตเราก็ยังมาป่วยตามอีกหรือนี่
ขณะนั้นกามคุณในจิตของท่านอ่อนตัวลงให้เห็น
ท่านวางหนังสือไตรปิฎกเล่มนี้ไว้ที่ตัก
ท่านพลิกหมุนจิตของตนเองเข้ามาพิจารณาในกายธาตุ
ตามกำลังของวิปัสสนาที่กำลังฮึกเหิมห้าวหาญในตอนนั้น
ท่านเกิดปัญญาพิจารณาในกายธาตุอย่างรวดเร็ว
ท่านว่าเราพิจารณาเข้าไปในเนื้อหนังมังสาเอ็นเสาเถ้ากระดูกตรงไหน
ปัญญาก็ทำหน้าที่อย่างแหลมคมตัดขาดปัญหานั้นๆ
จนแหลกกระจุยขาดกันไปหมด
ไม่ต่างอะไรกับเอามือฉีกกระดาษให้ขาดสะบั้นโดยทันที

ท่านว่าใช้เวลาไม่นานเพียงแค่ชั่วเคี้ยวหมากแหลก
จิตท่านก็ถอนจากความหลงใหลในผู้หญิงคนนี้
และถอดถอนอุปาทานคนอื่นใดในโลกนี้
ออกไปจากจิตของตนเองได้ทั้งหมด
จิตพ้นสภาวะเป็นทาสของกามคุณ จิตเป็นธรรมไท
เป็นอิสระสิ้นสุดในสัญญาของกามารมณ์
มองหญิงมองชายคนไหนก็เป็นไปด้วยเมตตาธรรม
จิตไม่ยึดติดกับบุคคลหญิงชายเหมือนกับคฤหัสถ์ผู้สร้างโลก
ท่านมาสิ้นสุดในการอาศัยท้องผู้อื่นเพื่อถือกำเนิดที่บ้านกกกอกนี้เอง


ฟังหลวงพ่อสมศรีท่านเล่าแล้วเราก็ทึ่งในบุญบารมี
ที่ท่านถอดถอนกิเลสธรรมราชาหยาบหนาออกไปจากจิตใจได้
เมื่อท่านยังเป็นพระหนุ่มพรรษาไม่พ้นสิบ
ไม่แปลกใจเลยที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบ
กล่าวยกย่องคุณธรรมของท่านให้พระเณรรุ่นน้องฟังว่า


“ท่านศรีเห็นเงียบๆ อย่างนี้ ข้างในท่านแหลมคมแล้วนะ
อย่าประมาทในคุณธรรมของท่านศรีเป็นอันขาด
จะทำให้ตนเองเป็นกรรมภาวนาไม่ขึ้น”


:b39:

นึกถึงคำพูดที่เราเคยคุยกันกับ “หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร”
ที่วัดป่าหมู่ใหม่ ตำบลแม่แตง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อคราวจำพรรษากับท่านปีพุทธศักราช ๒๕๔๔

หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านบอก...
อาจารย์จันทร์เรียนท่านเป็น “ลูกแพง” ของหลวงปู่ชอบ
หลวงปู่ชอบฝึกฝนท่านอาจารย์จันทร์เรียนเพื่อเป็น “แก้วตา”
อาจารย์สมศรีท่านเป็น “ลูกรัก”
ที่หลวงปู่ชอบท่านฝึกฝนขึ้นมาเพื่อให้เป็น “ดวงใจ”
คำพูดของหลวงพ่อประสิทธิ์ช่างเหมาะสม
กับพี่ชายทางธรรมของเราทั้งสองเหลือเกิน


บันทึกโดย ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท
ในระหว่างจำพรรษากับหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ที่วัดป่าเวฬุวนาราม
บ้านโนนกกจาน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย ปี พ.ศ.๒๕๔๖


:b50: :b50:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2019, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


(๔) เรื่อง “พญานาคที่วัดป่าม่วงไข่”

เป็นเรื่องพญานาคที่วัดป่าม่วงไข่มาแสดงฤทธิ์หยอกล้อท่าน

ปีพุทธศักราช ๒๕๒๓ องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
พาลูกศิษย์ลูกหามาพักภาวนาที่วัดป่าม่วงไข่
บ้านม่วงไข่ ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย

ครั้งนั้นมีหลวงพ่อบัวคำ มหาวีโร หลวงปู่ลี กุสลธโร
หลวงปู่คำผอง กุสลธโร หลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ
และหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
พักภาวนาอยู่กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่วัดป่าม่วงไข่

หลวงพ่อสมศรีท่านพักภาวนาอยู่ที่วัดป่าสวนกล้วย
บ้านสวนกล้วย ตำบลกกทอง อำเภอเมือง จังหวัดเลย
พอท่านทราบข่าวพ่อแม่ครูจารย์ชอบเดินทางมาพักภาวนา
ที่วัดป่าม่วงไข่ หลวงพ่อสมศรีท่านจึงตามเข้ามาสมทบ


หลวงพ่อสมศรีท่านเดินทางจากบ้านสวนกล้วย
ลัดป่าภูผาหมานมาบ้านม่วงไข่อย่างทุลักทุเล
ท่านไม่เคยเดินทางเส้นนี้มาก่อน จึงลังเลสงสัยว่าตนเองจะเดินหลงทาง
ท่านเดินมาคิดมาตามทางว่า เรามาถูกทางหรือเปล่า
เส้นทางที่เราเดินผ่านมามีแต่รกทึบ หารอยทางรอยเท้าของคนไม่เห็นเลย

ระหว่างครึ่งทางที่หลวงพ่อสมศรีท่านเดินมา
ท่านเห็นต้นไม้ใบหญ้าล้มราบลงเป็นระยะๆ
รอยต้นไม้ใบหญ้าที่ล้มราบ มีความกว้างประมาณหนึ่งวาของท่าน
ท่านบอกลักษณะต้นไม้ต้นหญ้าล้มราบนี้ คล้ายกับรอยรถล้อเหล็กบดถนนวิ่งผ่าน
ท่านจึงอาศัยเดินตามรอยทางนี้มาเรื่อยๆ ก่อนท่านจะถึงบ้านม่วงไข่
รอยต้นไม้ใบหญ้าที่ล้มราบนี้ก็มาสิ้นสุดที่ทางเข้าบ้านม่วงไข่พอดี

ท่านบอก ระหว่างที่เดินมาบนรอยล้มของต้นหญ้า
ท่านสงสัยว่าต้นไม้ใบหญ้าพวกนี้มันล้มราบลงได้อย่างไร
ฝนฟ้าพายุก็ไม่ได้ตก ทำไมจึงมีรอยทางแบบนี้เกิดขึ้น
คล้ายกับมีคนจงใจทำให้เกิด...

พอท่านเดินทางมาถึงวัดป่าม่วงไข่
หลวงพ่อสมศรีท่านเข้าไปกราบรายงานตัวกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
องค์ท่านหลวงปู่ชอบเห็นหน้าท่านแล้วยิ้มให้
องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกหลวงพ่อสมศรีเข้าพักกุฏิ
ที่องค์ท่านบอกให้พ่อเชียงหมุนจัดเตรียมไว้ให้


หลวงพ่อสมศรีสงสัยในเรื่องต้นไม้ใบหญ้าล้มราบที่ท่านเดินผ่าน
ท่านพูดเรื่องนี้ให้ท่านหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ศิษย์ผู้พี่ฟัง
หลวงปู่จันทร์เรียนบอก...


“ท่านบ่ฮู้ตี้ ทางที่ท่านเทียวมานั้นเป็นทางพญานาคสร้างขึ้นมา
ต้นไม้ใบหญ้าที่ราบลงเกิดจากฤทธิ์พญานาคเขาสำแดง
พ่อแม่ครูจารย์ (ชอบ) เพิ่นสั่งพระเณรไว้
วันนี้เบิ่งแน่เด้อเพื่อท่านศรีทะเล่อทะล่ามาบ้านม่วงไข่
พ่อแม่ครูจารย์เพิ่นฮู้แล้วว่าท่านจะมา
เพิ่นถึงบอกพระเณรไว้เป็นพยานความฮู้ของเพิ่น
ไปถามพ่อแม่ครูจารย์เพิ่นเบิ่งตี้ ถ้าท่านอยากฮู้เรื่องนี่”


ผู้เขียน (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) ถามหลวงพ่อสมศรี
ท่านอาจารย์ได้นำเรื่องนี้ไปกราบเรียนถามพ่อแม่ครูจารย์ชอบหรือไม่


หลวงพ่อสมศรีท่านบอก...บ่กล้าไปถามเพิ่น
กลัวพ่อแม่ครูจารย์ (ชอบ) ท่านว่าให้ ตาหมากขามขี้

(ความหมายเดียวกับคำว่า ตาถั่ว
สำนวนคำที่องค์ท่านหลวงปู่มักพูดให้ลูกศิษย์)


ท่านบอก ระหว่างท่านพักภาวนาอยู่วัดป่าม่วงไข่
กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ และครูบาอาจารย์รุ่นพี่ท่านอื่นๆ

วันนั้นเป็นวันแรม สิบห้าค่ำ เป็นวันอุโบสถ
หลวงพ่อสมศรีท่านเดินจงกรมอยู่จนถึงเที่ยง จึงเลิกจากทางจงกรม
ท่านหิ้วถังน้ำลงไปสรงน้ำที่บ่อซับน้ำผุด ทางลงศาลาหลังเก่าวัดป่าม่วงไข่

(ทางลงไปบ่อซับน้ำผุด กะจากศาลาหลังเก่าวัดป่าม่วงไข่
ลงไปประมาณแปดสิบก้าวเดิน
ทางเส้นนี้เป็นทางเดียวกันกับที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ขอให้พญานาคภูผาหมานแสดงให้ลูกศิษย์ลูกหาเห็นเป็นหลักฐาน
เมื่อเดือนหก ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ตอนพญานาคภูผาหมาน
ยกทัพไปนาคายุทธกับพญานาคแม่น้ำโขง เมืองเชียงคาน - ผู้เขียน)


ขณะหลวงพ่อสมศรีท่านนั่งสรงน้ำอยู่ที่ริมบ่อซับน้ำผุด
ปรากฏน้ำในบ่อเป็นลำขนาดเท่ากับด้ามพร้าหรือลำอ้อย
เลื้อยหมุนวนกวนน้ำอยู่ในบ่อ จนทำให้น้ำในบ่อขุ่นขึ้นมาทันที
ท่านนึกว่าเป็นปลากั้ง
(ปลาช่อนหินลักษณะเดียวกับปลาช่อนทั่วไป
ปลากั้งจะมีแผงสันหลัง และปลายหางจะเป็นสีแดงอมแสด
ปลากั้งตัวจะเล็กกว่าปลาช่อนทั่วไปมาก ตัวโตที่สุดจะมีขนาดเท่ากับลำอ้อย)


หลวงพ่อสมศรีท่านนั่งดูลำน้ำหมุนวนอยู่พักหนึ่ง
ท่านถึงรู้ว่า นี่ไม่ใช่ปลากั้งมากวนน้ำให้ขุ่น
ที่น้ำหมุนวนนี้เป็นพญานาคสำแดงเดชกวนน้ำให้ขุ่น
ท่านเกรงในอำนาจของพญานาค
จึงรีบสรงน้ำและรีบออกจากบ่อน้ำทันที


หลวงพ่อสมศรีท่านเล่าแบบตลกว่า...
“ย่าน (กลัว) พญานาคหลาย ฟ้าว (รีบ) ยกถังน้ำส่าวเดียว (ทีเดียว)
ถึงศาลาวัดป่าม่วงไข่เลย ทุกครั้งตักน้ำขึ้นมาต้องหยุดพักระหว่างทาง
แต่ครั้งนี้หิ้วถังน้ำทีเดียวถึงหน้าศาลาวัดป่าม่วงไข่เลย
กลัวพญานาคแกล้งด้วยอำนาจของเขา
เราไม่มีฤทธิ์มีเดชเหมือนหลวงปู่ชอบจึงกลัวเขาแกล้งในตอนนั้น”


หลังลงอุโบสถแล้ว องค์ท่านหลวงปู่ชอบให้โอวาทลูกศิษย์ลูกหา
ท้ายคำให้โอวาทขององค์ท่าน หลวงปู่ชอบท่านพูดขึ้นมาว่า...


“พระเณรเราบางองค์มันภาวนาไม่ลึกซึ้ง
อย่างของภายนอก บางครั้งเทวดาพญานาค
เขาแสดงความเป็นมิตร หยอกล้อ
พระเณรบางองค์ก็กลัวจนหอบผ้าเหลือง หอบถังน้ำ หนีตาย
มันบ่ภาวนาลงไปให้ลึกจนเห็นเจตนาของเขา นี่อีหยังกะบ่ฮู้
เอาแต่ความกลัวในใจของตนเองมาเป็นที่ตั้ง กลัวตายจนเกินเหตุ”


หลวงพ่อสมศรีท่านรู้แก่ใจว่า เทศน์กัณฑ์นี้องค์ท่านหลวงปู่ชอบ
พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ท่าน ภายหลังท่านมาพิจารณาดู
เราก็กลัวจนเกินเหตุอย่างที่พ่อแม่ครูจารย์ชอบท่านว่า

หลวงพ่อสมศรีท่านว่า...
ผมไม่มีวาสนารู้รอบ “เตวิชโช”
เหมือนกับพ่อแม่ครูจารย์ (ชอบ)
วาสนาผมเป็นผู้สงบเรียบง่าย


หลวงพ่อสมศรีท่านเปิดวาสนาธรรมของท่านให้ฟัง
ตนเองถึงได้รู้ว่า หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ พี่ชายของเรา
เป็น “สุกขวิปัสสโก” สมบูรณ์ธรรม
เมื่อต้นปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ ที่วัดป่าสวนกล้วย
บ้านสวนกล้วย ตำบลกกทอง อำเภอเมือง จังหวัดเลย


บันทึกโดย ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท พ.ศ.๒๕๔๓

:b50: :b50:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2019, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


(๕) เรื่อง “มหาบุรุษธรรมผู้งดงาม”

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ บอก หลวงพ่อ...(ขอสงวนนาม)
หลังมรณภาพได้มาหาท่านสองครั้ง
มาแต่ละครั้งก็มาในรูปจีวรขาด กายมัวหมอง
ท่านบอก หลวงพ่อ...ร้องไห้มาขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ธรรม
เพราะก่อนตายตนเองติดคาในอาบัติสะสม...


ท่านบอก องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม สอนลูกศิษย์ลูกหาว่า
ความประพฤติต่อเนื่องใน “อาบัติปาจิตตีย์”
หรือล่วงละเมิดอาบัติเล็กน้อยโดยไม่มีความละอาย ประพฤติเลวทรามต่อเนื่อง
แม้กล่าวปลงอาบัติ หรือขอสิกขามานาท่ามกลางหมู่สงฆ์ผู้ทรงศีล
ก็ไม่พ้นในอาบัติและศีลนั้นได้ถ้าไม่ละประพฤติ
อาบัติปาจิตตีย์กับสิกขามานาสามเณรนี้
หลวงปู่ชอบท่านบอกเป็นโทษ “หญ้าปากคอก”
ที่ทำให้พระเณรเราเป็นเปรตตกนรกมากกว่าทุกอาบัติศีลสิกขามานา
สัตว์นรกเปรตสงฆ์องค์เณรที่ขอส่วนบุญจากองค์ท่าน
ล้วนมาจากการผิดศีลธรรม วินัยหญ้าปากคอก
จนเป็น “อธิบาป” อันบุญบันดาลไม่ขึ้น...


หลวงพ่อสมศรีบอก “เราพิจารณาวาสนาตนเองที่จะสงเคราะห์
หลวงพ่อ...ได้ไหม ? วาสนาเราสงเคราะห์ท่านไม่ได้
เราพิจารณาทุกอย่างแล้ว วาสนาเรากับหลวงพ่อ...มืดไปหมด
เราบอกหลวงพ่อ...ผมสงเคราะห์ท่านไม่ได้
ผมจะไปสงเคราะห์ญาติท่านในงาน หลวงพ่อ...เดินร้องไห้
ออกจากวัด (เวฬุวนาราม) ไปทางบ้านโคกแฝก”


หลวงพ่อสมศรี...“ตอนเป็นพระด้วยกันเราเตือนแล้วท่านไม่ฟัง
พอตายไปก็สายที่จะสงเคราะห์ธรรมกันได้
บุคคลถ้าถือมานะทิฐิแล้วยากที่จะโปรด”


เราถามหลวงพ่อสมศรี
ภูมิ “สุกขวิปัสสโก” สงเคราะห์หลวงพ่อ...ไม่ได้หรือ...?

ท่านบอก...“พระเณรผู้ล่วงละเมิดอาบัติศีลเป็นอาจิณ
เป็น “อธิบาป” (บาปหนัก หรือบาปอันยิ่ง)
พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ พระอรหันต์ผู้ทรงศีลองค์ใดๆ ก็โปรดไม่ได้
ต้องใช้กรรมของตนเองให้หมดถึงจะพ้นได้”


ถามหลวงพ่อสมศรีผู้เป็นพี่ชายธรรม เรื่องกรรมนี้มีวิธีแก้ หรือหลีกเลี่ยงได้ไหม

หลวงพ่อสมศรีบอก “เรื่องกรรมเมื่อกระทำแล้วจะหลีกเลี่ยงแก้ไม่ได้
พระในปัจจุบันอย่างพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบท่านเหาะเหินเดินอากาศหายตัวได้
ท่านยังเลี่ยงกรรมของตนเองไม่พ้น ท่านยังเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
เพราะกรรมหักขากบเขียดดึงขาปูให้ขาดออกจากกัน


เราถามพ่อแม่ครูอาจารย์ใช้ฤทธิ์รักษาตนเองได้ไหมข้าน้อย
พ่อแม่ครูอาจารย์ชอบบอก ฤทธิ์เดชใดๆ กะสู้ฤทธิ์กรรมบ่ได้
เฮาขอใช้กรรมเป็นชาติสุดท้ายให้จบเบิ่ดทุกอย่าง”


“เรื่องกรรมนี่พระพุทธเจ้าก็หนีกรรมของตนเองไม่พ้น
ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะมาสะเดาะเคราะห์กรรมให้กันได้
เมื่อทำกรรมอันใดไว้ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้นๆ
คนให้ทานรักษาศีลยังมีจิตปรุงแต่งกับอดีตอนาคต
คนภาวนา ถ้าถาวนามั่นคงแล้วจะอยู่กับปัจจุบัน

อดีตอนาคตมันก็ออกมาจากปัจจุบันทั้งหมด

หลวงปู่ชอบสอนเรา ศรี...ภาวนาเท่านั้นที่จะทำให้ท่านเห็นบุญบาป
อดีตอนาคตของตนเองผู้อื่น ภาวนาเท่านั้นที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้
นอกจากนี้แล้วเราหรือพระพุทธเจ้าองค์ใดๆ กะช่วยท่านบ่ได้
พระพุทธเจ้าหรือเราก็บอกทางให้ท่านได้เท่านั้น
ทุกอย่างถ้าท่านอยากจะพ้นทุกข์ ท่านต้องทำด้วยตนเองเท่านั้น”


“ตั้งแต่มาอยู่ปฏิบัติกับพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบ
เราก็ทำทุกอย่างตามคำสอนของท่าน
จนเราไม่สงสัยในธรรมพระพุทธเจ้า
เราบ่มีอีหยังให้สงสัยในธรรมอีกแล้ว”


บันทึกโดย ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท พ.ศ.๒๕๔๖

:b50: :b50:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2019, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


(๖) เรื่อง “ผีปู่ตาผาสิงห์​ หนองวัวซอ”

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านเล่าให้ตนเอง
(ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท ผู้บันทึก) ฟัง
ตอนจำพรรษาด้วยกันปีพุทธศักราช ๒๕๔๓
ที่วัดป่าเวฬุวนาราม (วัดป่าผาน้อย) อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

หลวงพ่อสมศรีว่า​ สมัยก่อนตอนท่านจำพรรษา
อยู่ที่วัดถ้ำสหายฯ กับหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร​
ท่านว่าแต่ก่อนทางเข้ามาบ้านผาสิงห์
ก่อนที่จะเข้าไปยังวัดถ้ำสหายฯ นั้นมันจะลำบากมาก
ในพรรษาหน้าฝนพระเณรญาติโยมเขาจะเข้าไปคารวะ
ท่านครูอาจารย์จันทร์เรียนกันมาก
ตอนนั้นทางเข้าก่อนจะถึงบ้านผาสิงห์ประมาณหนึ่งกิโลเมตร
มันจะเป็นเนินชันโค้งหักศอก พอหน้าฝนรถยนต์​ที่ใช้เส้นทางนี้เข้ามา
มักจะพากันมาติดหล่มกันที่เนินแห่ง​นี้ทุกคัน

ที่หัวโค้งเนินแห่ง​นี้จะมีศาลผีปู่ตาผาสิงห์อยู่หลังหนึ่ง
หลวงพ่อสมศรีว่า เวลารถใครมาติดหล่มที่เนินหัวโค้งตรงนี้
เขาจะพากันเอ่ยปากบ่นบนบานขอศาลผีปู่ตาผาสิงห์เจ้าที่ว่า​
“พ่อปู่ตาผาสิงห์เอ้ย...! ซ่อยเมดตา (ช่วยเมตตา)​
ลูกหลานซุกยู้เข็นรถขึ้นเนินแน่เด้อข้าน้อย”


หลวงพ่อสมศรีว่าพอเจ้าของ​รถทุกคันเขาบ่นบนบานกันแบบนี้แล้ว​
จากที่แรงคนพากันเข็นรถไม่ขึ้น​ พอหลังจากว่ากรานศาลกล่าวกันแล้ว
รถแต่ละคันนั้นก็จะพากันเข็นขึ้นไปบนยอดเนินโค้งได้ทุกคัน


เรื่องภูมิผีปู่ตาผาสิงห์​ช่วยคนเข็นรถขึ้นเนินภูหัวโค้ง
ทางเข้าบ้านผาสิงห์ที่หลวงพ่อสมศรีท่านเล่าให้ฟังนี้
เราผู้บันทึกก็มาขำเอาตอนที่หลวงพ่อสมศรีท่านว่า
พอใกล้จะออกพรรษาในราวปีพุทธศักราช ๒๕๓๐-๒๕๓๑
ผีปู่ตาผาสิงห์ตนนี้มันได้ไปเข้าจารย์​จ้ำ (คนทรงผี)
ผีปู่ตาผาสิงห์ตนนี้มันไปจ่มบ่น
ออกปากผ่านร่างจ้ำทรงให้คนอื่นเขาฟังว่า

“โอ้ยสู...! กูบ่อยู่ดอกผาสิงห์นี่มันเมื่อยหลาย
ตั้งแต่อาจารย์จันทร์เรียนเพิ่นมาอยู่นี่
(ที่วัดถ้ำสหายฯ)
พอเข้าพรรษาปีใด๋กะมีแต่คนมาไซ่กูนี่ซ่อยยู้รถไห่มันอยู่สู่ปี​
(พอเข้าพรรษา​ปีไหนก็มีแต่คนมาใช้กูนี่ช่วยเข็นรถให้มันทุกปี)
กูบ่อยู่แล้วดอกม่องผาสิงห์นี่ (กูไม่อยู่แล้วล่ะผาสิงห์นี้)
กูสิไปอยู่ทางฝั่งผาแดงกับอาจารย์ลี
(หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดภูผาแดง)”


หลวงพ่อสมศรีพอเล่าเรื่องถึงตอนนี้ให้ฟัง
ท่านก็ขำหัวเราะออกมาอย่างใหญ่
จนเราผู้บันทึกว่าหยอกท่าน ครูจารย์...!
ผีปู่ตาห่าอีหยังมันคือมามักย้องปึกกะหลึนมึนคักแท้​
ถ้าผมเป็นผีปู่ตาอยู่นั่น ผมกะบ่เป็นบ้ามักย้อง (ชอบยอ)
ไปเข็นรถช่วยคนมันทุกคันปานนั่นดอก
หลวงพ่อสมศรีท่านก็หัวเราะขำกับคำที่เราว่า
ในเรื่องตลกธรรมครูบาอาจารย์

หลวงพ่อสมศรีท่านว่า พอออกพรรษาแล้ว
ผีป่าที่อยู่หอปู่ตาผาสิงห์มันก็หนีไปอยู่ที่อื่นจริงๆ

พอเจ้าหัวหน้าผีป่าปู่ตาผาสิงห์ตนนี้มันหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว
ครูอาจารย์จันทร์เรียนท่าน
ก็ให้เขาเอาพระพุทธรูปมาตั้งไว้ในหอศาลา
ใกล้กันกับบริเวณหอผีปู่ตาผาสิงห์แห่งนี้
เพื่อที่จะให้คนผ่านสัญจรไปมาในเส้นทางนี้ได้เห็น
เป็นสัญลักษณ์ของพระศาสนา
เพื่อไม่ให้ผีป่าสัมภเวสีพวกนี้มันได้กลับมาอยู่ที่นี่อีก


ถ้าไปวัดถ้ำสหายฯ โดยใช้เส้นทางจาก
อำเภอหนองวัวซอเข้าไปที่บ้านผาสิงห์
ให้สังเกตข้างทางฝั่งซ้ายมือ
ก่อนที่จะถึงบ้านผาสิงห์ประมาณหนึ่งกิโลเมตร
จะมีเนินโค้งหักศอกขวาอยู่เนินหนึ่ง
ทางด้านซ้ายมือของเนินโค้งนี้จะมีหอพระพุทธรูปอยู่หนึ่งหอ
ซึ่งแต่เดิมนั้นที่นี่ก็คือหอผีปู่ตานายท่าเข็นรถอยู่ที่นี่

เรื่องนี้เคยถามหลวงปู่จันทร์เรียนว่า
ผีมันเข็นรถได้อยู่บ้อครูจารย์ หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่า​
บางอย่างนั้นพวกผีมันก็สามารถทำได้เหมือนกันกับคนเรา

แล้วผีปู่ตาผาสิงห์ทำไมมันไปบ่นผ่านร่างคนทรง
ว่ามันเหนื่อยเข็นรถทุกคันที่คนมาขอให้มันช่วย

หลวงปู่จันทร์เรียนว่า “กะย้อนว่า (ก็เพราะว่า) มันปึกในธรรมนั่นเด้
มันจั่งเป็นผี บ่ได่ไปเกิดเป็นคนนำเขาง่ายๆ
ผู้ใด๋ย้องว่า​ ปู่ๆ ซ่อยข้าน้อยแน่กะว่าแต่เจ้าของนั่นศักดิ์สิทธิ์หลาย
กะไปเข็นรถซ่อยเขา เบิ่งเอาดู้คนกับผีผู้ใด๋มันสิมีปัญญาฉลาดกั่วกัน
คนเฮานี่มันฉลาดแท้ๆ เด้ขี่ตั่วใช้ผีกะเป็น”

ครูอาจารย์จันทร์เรียนก็หัวเราะขำของท่านอย่างใหญ

แต่ก่อนตอนอยู่บ้านโคกมนกับครูบาอาจารย์​หลวงปู่ชอบ
ช่วงพรรษาเวลาพระเณรวัดป่าโคกมน-สัมมานุสรณ์
จะไปทำวัตรคารวะหลวงปู่จันทร์เรียน
ในแต่ละปีทางอาจารย์เหลียว (พระอาจารย์เฉลียว วรกิจฺโจ)
เจ้าอาวาสวัดป่าโคกมน
ก็จะบอกให้เฮียตี๋ ร้านรุ่งธรรมวัสดุก่อสร้าง ที่วังสะพุง
ให้โทรไปถามลูกศิษย์ของหลวงปู่จันทร์เรียน ที่หนองวัวซอ
ให้เขาเอารถวิ่งเข้าไปสำรวจเส้นทางเข้าไปวัดถ้ำสหายฯ ให้ก่อน
ถ้าตอนไหนฝนเว้นช่วงไม่ตก ถนนทางเข้าไม่เละเป็นร่องลึกมากเกินไป
พวกเราพระเณรวัดป่าโคกมน-สัมมานุสรณ์ กับคณะญาติโยมโคกมน
ก็จะพากันไปทำวัตรคารวะหลวงปู่จันทร์เรียนกันที่วัดถ้ำสหายฯ
แต่ส่วนมากเวลาพากันไปคารวะหลวงปู่จันทร์เรียน ที่วัดถ้ำสหายฯ
ช่วงหน้าฝนในพรรษา​แล้วก็มักจะพากันเจอฝนตกลัดทางก่อนแทบจะทุกปี
ถ้าฝนไม่ตกเอาตอนเวลาเข้าไป ก็มักจะพากันมาเจอฝนเอา
ตอนเวลาที่กำลังพากันกลับออกมาจากวัดถ้ำสหายฯ​
และมักจะเป็นกันอยู่แบบนี้เกือบทุกปี


เวลาไปคารวะหลวงปู่จันทร์เรียนในพรรษากันทีไร
ถ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านบอกพระเณร
“ไห่พากันกินเข่าหลายๆ (ให้พากันกินข้าวเยอะๆ)
มันจั่งสิได่มีแฮงพากันยู้ลด (มันจะได้มีแรงพากันเข็นรถ)”


เวลาไปวัดถ้ำสหายฯ ครั้งไหนถ้าครู​บา​อาจารย์​หลวงปู่ชอบ
ท่านบอกอนาคตมาก่อนแบบนี้แล้ว
ครั้งนั้นพระเณรวัดป่าโคกมน-สัมมานุสรณ์เรา
ก็จะได้พากันเป็นพระเณรกรรมฐานแสนย่านลำเค็ญ
พากันเข็นรถยนต์​ติดหล่มขี้ตมตั้งแต่ปากทางถนนใหญ่
ไปจนถึงหน้าศาลาวัดถ้ำสหายฯ กัน
บางปีนั้นพระเณรญาติโยมโคกมนเราต้องพากันเสียเวลาไปครึ่งวันก็มี
กับการเข็นรถเข้าไปที่วัดถ้ำสหายฯ ในระยะทาง ๑๒ กิโลเมตร
กว่าจะพากันเข็นรถแต่ละคันไปถึงหน้าศาลาวัดถ้ำสหายฯ ได้
ดูหน้าดูตาพระเณรญาติโยมแต่ละคนนั้นล้วนมอมแมมไปด้วยดินโคลนขี้ตม
จนหลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่าหยอกหมู่คณะน้องนุ่งญาติโยมกันว่า
ฮ่วย...! ก่อนสิพากันมาคารวะเฮานี่ ซุม (พวก) หมู่เจ้าพากันไปแวะ
รับจ้างดำนาเขาระหว่างทางกันมาบ้อ

สมัยก่อนตอนที่ยังไม่ได้เอาพระพุทธรูปไปปลูกหอตั้งไว้
ที่เนินภูหักศอกทางเข้าบ้านผาสิงห์แห่งนี้นั้น
ไม่ว่าคณะใดใครไปกราบคารวะท่านหลวงปู่จันทร์เรียน
ที่วัดถ้ำสหายฯ ในช่วงหน้าฝน ก่อนจะพากันกลับ
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็มักจะพูดหยอกว่า
“เวลารถติดหล่มขึ่นมอบ่ได้
กะไห่บอกผีอยู่หอปู่ตานั่นเด้อ ไห่มันมาซ่อยเข็นรถ”


แล้วพวกรู้เรื่องที่หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอก
พอมาถึงเนินหอผีปู่ตาผาสิงห์แห่งนี้ พวกเขาก็จะพากันว่า
“ปู่ๆ มาซ่อยกันยู้ลดแน่เด้อ (ปู่ๆ มาช่วยกันเข็นรถด้วยน่ะ)”
คนเขาก็ว่าบ่นพอให้ได้หายเหนื่อยจากการเข็นรถขึ้นเนินมอกันไป
ส่วนผีที่มันอยู่ในหอเฮือนน้อยแห่งนี้นั้น
มันจะสามัคคีเอาดีในการเข็นรถด้วยช่วยกันกับคนเขาในเรื่องนี้
ก็ไม่มีใครที่จะไปรู้ได้ เพราะเรื่องแบบนี้มันเป็นวิธีลึกใจในอะไรบางอย่าง
ของท่านหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ที่น้อยคนนั้นที่จะมาเข้าใจ


อันว่าเรื่องผีมีในประวัติครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัตินี้
มีหลายครูบาอาจารย์ แต่ที่ได้พูดคุยสนทนากันมาแต่ละท่าน
ก็มีทั้งเรื่องราวที่คล้ายกันบ้าง​ และแตกต่างกันบ้างในบางละเอียด
ซึ่ง​อันนี้ก็เป็นเรื่องวาสนาของครูบาอาจารย์แต่องค์ท่านไป
อย่างหลวงปู่ชอบนี้ท่านจะเป็นผู้ที่มีเรื่องราวลึกลับเกี่ยวกับพวกกายทิพย์​ภูมิต่างๆ
นี้มากมายหลายอย่างจนเรา (ครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
นั้นขี้เกียจที่จะจำนำเอามาจดบันทึก​
เรื่องไหนถ้าตนสนใจยามใดว่างก็จะจดบันทึก​เอาไว้ เพื่อเตือนความจำตน
ถ้าเรื่องไหนฟังแล้วไม่สนใจก็จะปล่อยมันไป จำได้บ้างจำไม่ได้บ้าง
ขึ้นอยู่กับการได้ไปเจอกับอะไรในเหตุการณ์ที่คล้ายกัน
กับเรื่องที่องค์ท่านเล่าให้ฟังมาในเรื่องนี้
ซึ่ง​อันนี้ความทรงจำมันก็จะผุดดอกออกมาเอง

อย่างหลวงปู่ชอบนี้เวลาที่เขาเอาคนที่มีอาการทางจิต
ในลักษณะผีเจ้าเข้าทรงมาหาเพื่อจะให้ท่านไล่
หลวงปู่ชอบท่านก็จะมองหน้าพิจารณาไปที่คนๆ นั้น
ถ้าใครมีอาการเป็นประสาททางจิตท่านก็จะรู้จากภายในของท่าน
ท่านจะบอกญาติหรือคนที่พาผู้มีอาการทางจิตที่เขาพาผู้นั้นมาว่า
“พามันไปเอายากับหมอจิตเวช”
ท่านก็จะบอกให้ไปกินยาปฏิบัติตามที่หมอบอก อาการต่างๆ ก็จะดีขึ้นมาเอง
“กินยาตามหมอเขาบอก เบิ่ดกรรมเจ้าของมื่อใด๋ มันกะเซากันมื่อนั่นล่ะ”


:b39:

เกี่ยวกับเรื่องผีปู่ตานี้เราก็นึกขำอีกเรื่องหนึ่ง
คือเรื่อง “รถพระ​ บ่แม่นรถผี (รถพระ​ ไม่ใช่รถผี)”
เรื่องนี้เป็นเรื่องของครูบา​อาจารย์​หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
วัดป่านิโครธาราม ต.หนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
เป็นเหตุการณ์ที่หลวงปู่อ่อน​ ญาณสิริ​ ท่านนั่งรถยนต์​
จากวัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน
เพื่อมางานกิจนิมนต์ที่ในตัวอำเภอหนองบัวลำภู
ซึ่งสมัยนั้นหนองบัวลำภูยังเป็นอำเภอหนึ่งที่ขึ้นกับจังหวัดอุดรธานี

ระหว่างที่หลวงปู่อ่อนท่านนั่งรถยนต์​จากวัดป่านิโครธารามมาที่หนองบัวลำภู​
ช่วงระหว่างขึ้นเขาภูพานน้อยจะมาที่หนองบัวลำภู
จะมีหอศาลผีอยู่ที่หนึ่งตรงทางลงไปยัง “น้ำตกเฒ่าโต้​”
คนท้องถิ่นที่นี่เขาจะเรียกหอศาลแห่งนี้ว่า “ศาลเจ้าพ่อปู่หลุบ”

แทรกเล่าเรื่อง​​ “ศาลปู่หลุบ” แต่ก่อนเราเคยสงสัยเหมือนกัน​ว่า
ระหว่าง​​ “ศาลปู่หลุบ​ ดงลาน” ที่รอยต่อ​เขตอำเภอ​ชุมแพ​ จังหวัด​ขอนแก่น
​กับผานกเค้า​ของเขตอำเภอ​ภูกระดึง​ จังหวัด​เลย​
กับ​ “ศาลปู่หลุบ ภูพานน้อย” ทางลงไปน้ำตก​เฒ่าโต้ หนองบัวลำภู​
ศาลปู่หลุบ ภูพานน้อย หนองบัวลำภู​ กับ ศาลปู่หลุบ ดงลาน ผานกเค้า
อันไหนเป็นศาลผีที่ตั้งก่อนตั้งหลังกัน​
เราก็เอาความสงสัยในเรื่องนี้​ ถามครู​บา​อาจารย์​หลวง​ปู่​ชอบ​
ตอนท่าน​มาแวะพักฉันข้าว ที่ร้านเจ้กิม ผานกเค้า​

หลวงปู่ชอบท่านบอกเป็นคนละปู่หลุบกัน​
ปู่หลุบผีที่หนองบัวลำภูนั้น อดีตเคยเป็นนายพราน
มาตายที่ภูพานน้อย หนองบัวลำภู​
ปู่หลุบผีที่ดงลาน ผานกเค้านี้ แต่ก่อนเคยเป็นนายฮ้อย (พ่อค้าคาราวาน)​
“ศาลปู่หลุบ ภูพานน้อย” ที่หนองบัวลำภู​นั้นตั้งก่อน
ตอนสมัยท่านเป็นเด็ก ย้ายตามพ่อแม่จากบ้านโคกมน มาที่บ้านหนองบัวบาน
ท่านก็เห็น​บนภูพานน้อยที่นี่มันก็มีการตั้งศาลปู่หลุบกันแล้ว​
ตอนสมัยท่านเป็นเด็กนั้น “ศาลปู่หลุบ ภูพานน้อย” ที่หนองบัวลำภู​นี้
เป็นเพียงศาลหอไม้เล็กๆ ที่พวกนายพรานแถวนี้สมัยก่อน
เขาสร้างเอาไว้บนบานเวลาที่พากันออกล่าสัตว์​ในบริเวณ​ป่าภูแถวนี้

ส่วน “ศาลปู่หลุบ​ ดงลาน” ผานกเค้า
ตอนที่ครูบาอาจารย์​หลวงปู่เสาร์​ กันตสีโล​ ท่านพาหลวงปู่มั่น​ ภูริทัตโต
กับลูกศิษย์​มาเที่ยววิเวกทางแถบป่าผานกเค้า ​ดงลาน​
ตอนสมัยหลวงปู่เสาร์​ หลวงปู่มั่น​ ท่านพากันมาแวะพักระหว่างทางที่นี่​
“ศาลปู่หลุบ​ ดงลาน” ผานกเค้า ที่นี่ยังเป็นหอกระตูบติดดินหลังเล็กๆ
พอให้หลวงปู่เสาร์​ท่านเข้าไปกลางกลดนอนพักได้องค์​เดียวเท่านั้น​
เรื่องสงสัยใน “ศาลปู่หลุบ ภูพานน้อย” หนองบัวลำภู​​
กับ “ศาลปู่หลุบ​ ดงลาน” ผานกเค้า
เราก็เลยมาจบหายสงสัยเอาไปพร้อมๆ กันกับ
เรื่องครูบาชอปเปอร์​ พระจี้กง​ ดงลาน


รูปภาพ
:b47: จากซ้าย : (๑) ไม่ทราบนามฉายา (๒) หลวงปู่มหาเข้ม จิตฺตธัมโม วัดป่าคลองกุ้ง
(๓) หลวงปู่บุญกู้ อนุวัฑฒโน วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
ท่านเคยมาจำพรรษาที่วัดป่าชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
(๔) หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล
(๕) หลวงปู่คำพอง (หลวงตาน้อย) ปัญญาวุโธ วัดป่านานาชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา
(๖) หลวงปู่ดาด สิริปุญโญ วัดป่าสัมมานุสรณ์ (วัดเหนือ)

(๗) พระอาจารย์เฉลียว วรกิจฺโจ วัดป่าโคกมน (องค์ที่เข็นรถให้หลวงปู่ชอบ)
(๘) พระอาจารย์มหาเชาวรา วัดพุทธรัตนาราม ประเทศสหรัฐอเมริกา
ได้ร่วมเดินทางมาที่วัดป่าชิคาโกแห่งนี้
พร้อมกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓


:b50: :b50:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron