วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 11:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๏ พรรษาที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๐๖

เมื่อออกจากภาวนาปฏิบัติในสถานที่ต่างๆ มาแล้ว ในช่วงฤดูกาลเข้าพรรษาก็เข้ามาอยู่วัดป่าหนองแซง กับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ ปีนั้น มีพระอาจารย์สิงห์ทองเป็นพระเถระผู้ใหญ่จำพรรษาอยู่ด้วย จะขอเล่าประวัติของหลวงปู่บัวให้ท่านรู้ไว้สักเล็กน้อย หลวงปู่บัวท่านเป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ เดิมท่านอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด ท่านไม่ได้รับการศึกษาเลย อ่านหนังสือไม่ได้ เขียนไม่เป็น ท่านมีนิสัยชอบภาวนาปฏิบัติธรรมมาแต่วัยหนุ่ม จากนั้น ก็ได้แต่งงานไปตามประเพณีนิยม แต่ท่านก็ภาวนาปฏิบัติธรรมมิได้ขาด ส่วนมากท่านหนักไปในวิธีทำสมาธิเป็นหลักแล้วใช้ปัญญาพิจารณาทีหลัง ดำรงชีพอยู่เป็นฆราวาสจนถึงอายุ ๕๐ ปี ท่านก็ได้ออกบวชเป็นตาปะขาว ติดตามครูอาจารย์ไปหลายที่หลายแห่ง ท่านมีนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตัว ปรนนิบัติครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ การขานนาคก็ว่าตามครูอาจารย์ด้วยปากเปล่า กว่าจะท่องคำขานนาคได้ก็ใช้เวลาถึง ๓ ปี จึงได้บวชเป็นพระ ท่านมีความตั้งใจในการภาวนาปฏิบัติอย่างจริงจัง ได้ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นเป็นประจำ

เมื่อฟังธรรมมาแล้ว ก็พิจารณาในธรรมนั้นด้วยเหตุด้วยผล ผู้ไม่มีความรู้ทางปริยัติมาก่อน ภารภาวนาปฏิบัติย่อมรู้เห็นในสัจธรรมได้ง่าย ต่างกันกับผู้เรียนหนังสือที่มีความรู้มากทีเดียว เพราะปัญญาที่ใช้กับการพิจารณานั้น เป็นปัญญาที่ฝึกฝนออกมาจากใจล้วนๆ ไม่มีคำว่าปริยัติเข้ามาเจือปนแต่อย่างใด ไม่เกิดความสงสัยลังเลในหมวดธรรมต่างๆ ว่าพิจารณาไปอย่างนี้ถูกกับธรรมหมวดใด ไม่ได้เกิดความกังวล ท่านได้เข้าใจในเรื่องของสัจธรรมดี มีปัญญาพิจารณาเรื่องของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีความคล่องตัวมาก จะพิจารณาเรื่องอสุภะ หรือพิจารณาเรื่องความตายและสัจธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัตตังเฉพาะตัวท่านเอง นี่เป็นประวัติย่อๆ ของหลวงปู่บัว

กลับมาดูประวัติส่วนตัวบ้าง นิสัยส่วนตัวแล้ว เป็นผู้ไม่ชอบฟังเทศน์มาก มีคติส่วนตัวว่าถ้าฟังเทศน์มากไป ความรู้ที่ได้จากการฟังเทศน์ก็จะจดจำมากเกินไป ตัวเองจะไม่ได้ใช้ปัญญาคิดหาเหตุผลด้วยตนเอง ถึงท่านจะอธิบายธรรมะไปอย่างยืดยาว เราก็ตั้งใจฟังด้วยความเคารพ แต่พยายามจดจำเอาธรรมะของท่านเป็นบางอุบายเท่านั้น ที่เห็นว่าอุบายธรรมนั้นเข้ากันได้กับนิสัยตัวเอง แล้วนำเอาอุบายธรรมะนั้นไปใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตนเอง ไม่จำเป็นจะไปเลียนแบบตามประโยคที่ท่านอธิบายไปทั้งหมด นั้นเป็นสำนวนโวหารปฏิภาณของท่าน ส่วนโวหารปฏิภาณของเรา เราต้องใช้สติปัญญาความสามารถจากตัวเราเอง ปัญญาเรามีความฉลาดเฉียบแหลมมากน้อยแค่ไหน ก็จะเป็นปัญญาความสามารถเราทั้งหมด จึงเป็นปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาโดยตรง

ถ้าไปเลียนแบบจากผู้อื่นมากเกินไป ก็จะเป็นปัญญาในสัญญาทางปริยัติไปเสียทั้งหมด ผลของการปฏิบัติก็จะออกมาไม่หนักแน่นพอ เหมือนกับสิ่งของที่เราสร้างขึ้นมาด้วยกำลังหยาดเหงื่อของเรา ในความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจแล้ว ย่อมเอาใจใส่รักษาเป็นพิเศษ ส่วนสิ่งของที่ขอจากคนอื่นมาได้ หรือยืมจากผู้อื่นมา การเก็บรักษา การดูแลใช้งาน ความเอาใจใส่นั้นน้อยมาก หรือเหมือนกันกับลูกที่เกิดจากก้อนเลือดของเราโดยตรง กับลูกที่ขอมาจากคนอื่น ความรัก ความสนิท ความเอาใจใส่ จะมีความต่างกันแน่นอน นี้ฉันใด ปัญญาที่เราฝึกฝนอบรมจากความโง่จนมีความรู้ฉลาดในเหตุในผล มีความฉลาดรอบรู้ที่เกิดจากความสามารถของเรา ความเชื่อมั่นในตัวเองจะมีความภูมิใจสูงมากทีเดียว เราสามารถแก้ปัญหาในส่วนตัวเราได้ จึงว่าตนแลเป็นที่พึ่งของตนได้อย่างมั่นคง ถ้าหากความรู้ความคิดที่ไปเลียนแบบจากผู้อื่นมากไป การใช้ปัญญาพิจารณาในหมวดธรรมต่างๆ ก็รู้เพียงเป็นหลักการเท่านั้น แต่บางปัญหา การศึกษาเรายังเรียนไม่ถึง เราก็จะงงเป็นไก่ตาแตกอยู่นั่นเอง

เหมือนกันกับพระโปฐิละ แบกตำราพระไตรปิฎกศึกษามาอย่างโชกโชน ธรรมหมวดไหนมีความหมายอย่างไรรู้ไปหมด การแสดงธรรมออกมาในหมวดไหน ก็ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ แต่ความรู้ของพระโปฐิละที่เลียนแบบจากผู้อื่นมานั้นแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้เลย เพราะพระโปฐิละไม่มีปัญญาความฉลาดเฉียบแหลมในตัวเอง ในคำว่าความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด ก็เป็นในลักษณะนี้ หรือเรียกว่าผู้แบกคัมภีร์เปล่า เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านประวัติของพระโปฐิละนี้แล้ว จึงเป็นคติเตือนตัวเองได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น การฟังเทศน์เพื่อหาเอาความรู้จากครูอาจารย์นั้น ถ้าหากปัญญาอยู่ในตัวมีความฉลาดอยู่บ้าง ก็พอจะเลือกเฟ้นเอาธรรมะมาปฏิบัติได้ ถ้ามีปัญญาทรามก็จะเป็นเหมือนกับพระโปฐิละนั่นเอง การพูดออกมาอย่างนี้มิได้เกิดความประมาทในปริยัติ มีความเคารพในปริยัติอย่างเหนือเกล้าจริงๆ

การศึกษาในธรรมะก็ศึกษาเป็นพิเศษ เมื่อศึกษามาแล้ว ก็ต้องมาเลือกอีกครั้งหนึ่ง ว่าธรรมหมวดไหนพอจะนำมาแก้ปัญหาของตัวเองได้ ก็เอาธรรมหมวดนั้นมาปฏิบัติให้มาก เหมือนผู้รู้จักในอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของตัวเอง ย่อมจะสังเกตในตัวเองได้ว่า ป่วยเป็นโรคอะไร ควรจะกินยาอะไร โรคจึงจะหาย ก็เลือกเอายาอย่างนั้นมากินโดยตรง เมื่อยาถูกกับโรค โรคก็จะบรรเทาและหายไปในที่สุด มิใช่ว่าตำรายาทุกอย่างรู้ไปทั้งหมด แต่เมื่อตัวเองมีการเจ็บป่วยขึ้นมา กลับไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ นี้ฉันใด ความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงหลักการที่กว้างขวางมาก แต่ยากที่จะเลือกเฟ้นเอาข้อธรรมหมวดนั้นๆ มาแก้กิเลสตัณหาของตัวเองได้ เพราะขาดความฉลาด ทางปัญญานั่นเอง จำเป็นก็ต้องลูบคลำในตำราตลอดไป ในคำโบราณพูดไว้ว่า บอดชอบอวดฉลาด นี้มีมูลความจริงอยู่มากทีเดียว ตัวท่านอาจจะได้สัมผัสมาแล้ว

ข้าพเจ้าเองชอบอุบายธรรมะของหลวงปู่บัวมากทีเดียว ท่านชอบให้อุบายแก่พระเณรสั้นๆ ต้องการให้พระเณรฝึกปัญญาด้วยตนเอง ท่านชอบให้เป็นผู้ช่างคิดในเหตุผล ฝึกตนให้เป็นนักสังเกต ฝึกการดำริพิจารณาด้วยปัญญาอยู่เสมอ ในวันหนึ่ง หลังจากที่สรงน้ำท่านเสร็จแล้ว ขึ้นไปกราบคอยรับฟังอุบายธรรมะจากหลวงปู่ หลวงปู่ให้ข้อธรรมะบทหนึ่งว่า หมามันมีอารมณ์ชอบเที่ยวตามกาลเวลาก็ไม่ถือว่าเลวมาก แต่ใจคนเรายิ่งเลวกว่าหมาเพราะไม่มีกาลเวลา แหม พอได้ฟังอุบายธรรมเพียงเท่านี้ จึงกระตุกถูกเส้นของพระกรรมฐานจริงๆ จากนั้นก็กราบลาลงกุฏิไป ทุกองค์มองหน้ากันแทบไม่ติด ไม่รู้ว่าธรรมะข้อนี้โดนหัวใจของใครบ้าง แต่ผู้เขียนนี้โดยเข้าอย่างจังเชียวแหละ ก็ให้เกิดความสำนึกในตัวเองมากขึ้น อย่าให้มันเลยเถิดเกินหมาไป ให้มีความละอายต่อหมาเอาไว้บ้าง ทุกครั้งเมื่อท่านพูดออกมา ไม่ว่าอยู่ในสถานที่ไหน จะเป็นอุบายธรรมออกมาให้ได้ใช้ปัญญาคิดพิจารณาอยู่เสมอ

อีกครั้งหนึ่ง พระสององค์มีทิฏฐิไม่ตรงกัน เกิดความขัดแย้งกันเรื่องอะไรไม่ทราบ เมื่อสรงน้ำท่านเสร็จแล้ว ก็พากันขึ้นไปกราบคอยฟังโอวาทจากหลวงปู่ วันนั้น หลวงปู่พูดว่า เอ...เมื่อคืนนี้ เห็นหมาสองตัวแยกเขี้ยวใส่กัน เท่านั้น ท่านก็หยุดไม่พูดอะไรอีก จากนั้น ก็พากันกราบหลวงปู่แล้วก็ลงจากกุฏิมา แล้วก็กระซิบกระซาบกันว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ เมื่อสอบถามกันไปมาก็รู้ว่ามีพระสององค์ขัดแย้งกันจริงๆ พระสององค์นั้นรู้สึกว่ามีความละอายต่อหมู่คณะอยู่มากทีเดียว องค์อื่นที่ยังไม่มีเรื่องอะไรต่อกัน ก็พยายามรักษาในคำพูดของตัวเองเป็นอย่างดี จะไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง

ในวันลงปาฏิโมกข์ต่อมา หลังจากสวดปาฏิโมกข์เสร็จแล้ว หลวงปู่บัวก็ได้พูดให้สติแก่พระเณรว่า ในวัดนี้ต้องการความสงบ ใครจะมาถกเถียงกันในวัดนี้ไม่ได้ ต่อไปถ้าใครมาขัดแย้งกันในเรื่องใดก็ตาม จะให้ออกจากวัดนี้ทันที ในช่วงนั้นอยู่ในระหว่างเข้าพรรษาด้วย แต่ก็โชคดีไม่มีพระองค์ใดฝืนคำเตือนของหลวงปู่ ทุกองค์มีความตั้งใจภาวนาปฏิบัติอย่างเต็มที่ ในคืนหนึ่ง ข้าพเจ้านิมิตเห็นหลวงปู่บัวเข้ามาหาแล้วพูดว่า ท่านทูล ลงมานี่ จะพาไปเที่ยว

เมื่อข้าพเจ้าลงมาแล้ว ก็เดินตามหลังหลวงปู่ไป ในขณะนั้น มีลำธารใหญ่ขวางหน้าอยู่ ลำธารนั้นกว้างประมาณ ๘ เมตร มีฝั่งที่สูงชันมาก ลึกก็ประมาณ ๘ เมตร มีน้ำไหลเชี่ยวมาก มองดูจนสุดสายตา เห็นคนล่องลอยมาตามกระแสน้ำนั้นเป็นจำนวนมาก มีทั้งคนเฒ่าคนแก่หญิงชาย ถูกกระแสน้ำพัดไหลมาเป็นแพ ดูแล้วทุกคนมีความกลัวตายเป็นอย่างมากทีเดียว ทุกคนหวังเอาตัวรอดในชีวิตเพื่อไม่ให้ตัวเองตาย ใครยังมีกำลังดีอยู่ก็กอดเอาผู้มีกำลังน้อยลอยเป็นเรือพาไป ผู้ที่มีกำลังเท่าเทียมกันก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปมา เพื่อตัวเองจะได้อยู่ข้างบน ไม่ว่าหญิงกอดชาย หรือว่าชายกอดหญิงมั่วกันไปหมด บางคนก็ร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น หลายๆ คนพากันปีนป่ายเข้าหาฝั่งเพื่อหาทางขึ้น แต่เกาะฝั่งไว้ไม่อยู่เลยหลุดลอยไป บางคนก็เป็นศพลอยมาน่าอนาถใจ มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กถูกกระแสน้ำพัดไป ไม่รู้ว่ากระแสน้ำจะสิ้นสุดกันที่ไหน ต้นทางของน้ำและคนที่ตกลงไปในน้ำนั้น ไม่รู้ว่ามาจากไหน มองไปจนสุดสายตาก็ไม่เห็นที่มาของน้ำและฝูงชนนี้เลย

ในลำธารนั้นมีไม้ไผ่ลำเดียว ใหญ่ขนาดแขนพาดเอาไว้ หลวงปู่บัวท่านก็เดินไปตามไม้ไผ่นั้นแล้วข้ามไปได้ จากนั้น หลวงปู่ก็หันหน้ากลับคืนมาแล้วกวักมือเรียกว่า ให้รีบข้ามตามผมมาเดี๋ยวนี้ ก็คิดในใจว่า เมื่อหลวงปู่ข้ามไปได้ ทำไมเราจะข้ามไปไม่ได้ จากนั้น ก็ตั้งใจเดินไปตามลำไผ่นั้น ลำไผ่นั้นวางเฉยๆ แทนที่จะกระดกไปมา ในขณะที่เดินตามลำไผ่นั้น ไม้ไผ่มีความแข็งแรงมาก ไม่มีความอ่อนแต่อย่างใด การเดินไปมีความทรงตัวดีมาก ไม่มีการเอนเอียงแต่อย่างใด ในที่สุด ก็ข้ามไปได้อย่างปลอดภัย เมื่อถึงฝั่งนั้นแล้ว หลวงปู่ถามว่าเห็นอะไรในลำธารนั้นไหม ก็ตอบหลวงปู่ไปว่า เห็นครับ หลวงปู่พูดต่อไปว่า โลกนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้ จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ เมื่อจิตได้ถอนออกจากสมาธิมาแล้ว ได้เรียบเรียงดูเหตุการณ์ของนิมิตที่เกิดขึ้น แล้วใช้ปัญญาพิจารณาดูในความหมายในภาพนิมิตนั้น ให้ชัดเจน ก็รู้เห็นความเป็นจริงในหมู่มนุษยโลกทั้งหลายว่า ความจริงนี้มีมาแล้วในอดีตกาลยาวนานไม่มีที่กำหนด เมื่อทุกคนเกิดขึ้นมาในโลกนี้แล้ว ผู้จะไม่ตกอยู่ในกระแสโลกอย่างนี้มีน้อยมาก จะมีเฉพาะพระอริยเจ้าเท่านั้น

นอกนั้น ถึงจะมีบุญกุศลอย่างไร ก็เพียงไปพักแรมอยู่ในเทวโลกหรือพรหมโลกชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดบุญกุศลแล้วก็ลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกตามเดิม ความหลงใหลในราคะตัณหาก็จะพาให้ตกต่ำทำกรรมชั่วได้ ใจที่มีราคะตัณหาครอบงำมากเท่าไร การตกไปในกระแสโลกก็ยิ่งลึกลงไปเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะโผล่หัวยกตัวขึ้นจากกระแสโลกเมื่อไร เมื่อตัวเองยังมีความพอใจยินดีว่าโลกนี้เป็นสถานที่น่าอยู่ ก็ให้รู้ตัวเองเสียว่า กำลังผูกมัดตัวเองให้ติดอยู่กับโลกนี้ต่อไป เราเองเคยลอยตามกระแสของโลกนี้มาแล้วยาวนาน ความสุขความทุกข์ที่มีอยู่ในโลกนี้ ตัวเองก็เคยได้สัมผัสมาแล้ว ตัวเองยังจะมีความยินดีผูกพันอยู่กับโลกนี้ต่อไปอีกหรือ

ดูซิ ที่มีฝูงชนลอยตามกระแสน้ำนี้ไปเป็นจำนวนมาก ไม่รู้ว่าจะมีที่สิ้นสุดกันตรงไหน ตราบใดที่ยังมีกระแสของกิเลสตัณหาฝังอยู่ในใจ การลอยไปตามกระแสโลกก็จะหาที่สิ้นสุดไม่ได้เลย โลกนี้มีดีอะไร ทำไมเราจึงมาหลงติดอยู่กับโลกนี้ ดูซิว่าความสุขของโลกที่แท้จริงมีอยู่ที่ไหน ความเข้าใจว่ากามคุณพาให้เกิดความสุขนั้น มันเป็นเพียงน้ำตาลอาบยาพิษเอาไว้เท่านั้น สักวันหนึ่ง เมื่อน้ำตาลละลายตัวไป ยาพิษก็จะแสดงฤทธิ์ขึ้นมาทันที ครั้งนี้แหละ น้ำตาจะได้เช็ดหัวเข่า ดังคำว่า ปิยโต ชายเต โสโก ความโศกเกิดขึ้นจากความรักมิใช่หรือ ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นจากความยินดี ความโศก ความทุกข์ เป็นผลเนื่องจากตัณหามิใช่หรือ ฉะนั้น ความอยากในตัณหาที่มีอยู่ในกามคุณมันจะสิ้นสุดลงไปได้เมื่อไร สิ้นสุดไม่ได้เพราะเป็นรากแก้วของวัฏสงสาร เมื่อตัณหากับกามคุณมีความสัมพันธ์กันอยู่ ตัวเองก็จะได้ลอยตามกระแสของโลกนี้ตลอดไป ดังคำว่า นตฺถิ ตณฺหา สมา นที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี ทำไมตัวเองจึงไม่เห็นทุกข์เห็นโทษเห็นภัยอันมีอยู่ในโลกนี้เล่า จะเอาอะไรในโลกนี้มาเป็นสมบัติส่วนตัวที่แน่นอนไม่ได้ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้เอง จะเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ จะหาความสุขที่แท้จริงไม่พบจนตลอดวันตาย

การเกิดนิมิตขึ้นในครั้งนี้ เป็นอุบายที่ดีในการใช้ปัญญาพิจารณาเป็นอย่างมาก เมื่อหากท่านได้พบนิมิตเป็นอย่างนี้ ไม่ทราบว่าท่านจะมีปัญญาพิจารณาได้หรือเปล่า ถ้าปัญญาไม่ถึงจะเกิดนิมิตขึ้นในลักษณะอย่างไร ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย จะนำมาเป็นอุบายในการปฏิบัติก็ไม่ได้ ฉะนั้น จงสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้ เพื่อจะได้เป็นอุบายสอนใจตัวเอง ใจเราถ้าขาดปัญญาอบรมสั่งสอนในทางที่ดีแล้ว เหมือนใจที่หมดคุณค่าไปเลย ขณะนี้ใจเราถูกกิเลสตัณหาชักจูงไปในทางที่ต่ำอยู่ตลอดเวลา ความคิดความเห็นของใจก็ได้เอนเอียงไปตามกิเลสตัณหาอยู่มาก จนเป็นนิสัยคุ้นเคยในสิ่งที่ต่ำทรามมาแล้วจนลืมตัว เราจะปล่อยให้ใจเป็นไปในความเห็นผิดอย่างนี้ตลอดไปหรือ ทำไมเราจึงไม่สร้างปัญญาขึ้นมาอบรมใจให้รู้ตัวเอาไว้บ้าง ถ้าปัญญาให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับใจอยู่บ่อยๆ ใจก็จะค่อยเกิดความฉลาดรอบรู้ตามความเป็นจริงได้ เพราะสรรพสังขารทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ ย่อมมีมูลความจริงอยู่ในตัวของมันเอง

ดังคำว่า สัพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สรรพสังขารทั้งหลายย่อมมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีสติปัญญาที่ฉลาดเฉียบแหลม ก็มีความสามารถรู้เห็นตามหลักความเป็นจริงได้ ถ้าไม่มีความฉลาดทางปัญญา ถึงครูอาจารย์จะอธิบายธรรมให้ฟัง ก็ยังเกิดความลังเลสงสัยภายในใจอยู่นั่นเอง ถึงตัวเราพิจารณาด้วยปัญญาอยู่บ้าง ก็เกิดความไม่แน่ใจในตัวเองว่าผิดหรือถูก ไม่สามารถตัดสินใจในความรู้เห็นเฉพาะตัวได้เลย หลวงปู่บัวท่านมีนิสัยไม่พูดมาก แต่ก็ให้อุบายธรรมในวิธีต่างๆ เพื่อให้พระเณรได้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตัวเอง ถ้าผู้มีปัญญาที่ฉลาดก็สามารถนำเอาอุบายธรรมของหลวงปู่มาเป็นอุบายสอนตัวเองได้เป็นอย่างดีทีเดียว

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


๏ หลวงปู่บอกว่าผ่านทุกข์ให้ได้

อยู่มาวันหนึ่ง หลวงปู่บัวพูดว่า ทูล เคยนั่งสมาธิ ผ่านทุกข์ หรือเปล่า ตอบท่านไปว่า ขอโอกาส กระผมไม่เคยผ่านเลย ท่านพูดว่า ในคืนนี้ผ่านทุกข์ให้ได้นะ อย่าให้แพ้ผู้หญิงเขา จึงถามหลวงปู่ต่อไปว่า ผู้หญิงที่เขาผ่านทุกข์ได้เป็นใครหลวงปู่ ท่านบอกว่า แม่สายบัวไงล่ะ เขามีความอดทนเป็นอย่างมากทีเดียว ในวันนั้น ข้าพเจ้าได้ไปถามแม่สายบัวดูว่าอุบายผ่านทุกข์ทำอย่างไร

แม่สายบัวอธิบายให้ฟังว่า นี่ครูบา การจะผ่านทุกข์ไปได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากมาก ต้องเป็นผู้มีขันติอดทนจริงๆ จึงจะผ่านได้ หลวงปู่บอกให้ดิฉันผ่านทุกข์ครั้งแรกเกือบจะเอาตัวไม่รอด แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยน้ำตา คิดว่าชีวิตคงจะสิ้นสุดกันเพียงเท่านี้ ฉันเองเคยคลอดลูกมาแล้ว ๖ คน ความทุกข์ทรมานในการเจ็บปวดนั้น ทุกข์มากทีเดียว ถึงขนาดนั้นน้ำตาก็ไม่เคยออก แต่เมื่อมานั่งภาวนาเพื่อผ่านทุกข์ในคืนแรก ความทุกข์นั้นร้ายแรงกว่าการคลอดลูกจนน้ำตาไหล แต่เมื่อผ่านได้ครั้งหนึ่งแล้ว เกิดมีกำลังใจเชื่อมั่นในตัวเอง ครั้งต่อไปก็ผ่านทุกข์ได้ง่ายขึ้น

เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็คิดขึ้นได้ว่า เขาเป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไมจึงมีความกล้าหาญถึงขนาดนั้น นี่เราเป็นผู้ชายเต็มตัว ทำไมถึงจะยอมแพ้ต่อผู้หญิงเขา เราเป็นพระกรรมฐานองค์หนึ่ง ทำไมจะผ่านทุกข์ไม่ได้ ในบ่ายวันนั้น ก็รีบเดินจงกรมแต่หัวค่ำ เมื่อได้เวลาแล้วก็ขึ้นมากุฏิ เตรียมสถานที่ภาวนาให้เรียบร้อย หลังจากไหว้พระเสร็จแล้วก็ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ในคืนนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิในอิริยาบถเดียว จนถึงสว่างของวันใหม่ จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ชีวิตจะสิ้นสุดในคืนนี้ ก็พร้อมที่จะเสียสละ จากนั้นก็เริ่มทำสมาธิต่อไป แต่ก็เข้าใจในตัวเองดีว่า คืนวันนี้ใจมีความสงบยากมาก เป็นในลักษณะที่แข็งกระด้างไม่ยอมสงบเลย จะเป็นเพราะมีความตั้งใจไว้สูงมาก หรือกิเลสมารเข้ามาต่อต้านในการทำสมาธิในครั้งนี้ก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จะนั่งสมาธิผ่านทุกข์ในคืนนี้ให้ได้ เมื่อทำสมาธิไปประมาณ ๓ ทุ่ม ความเจ็บปวดตามขาทั้งสองก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงชั่วโมงที่ ๔ ความเจ็บปวดก็รุนแรงขึ้นอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องกัดฟันอดทนต่อสู้กันต่อไป

ในช่วงที่เกิดความทุกข์อยู่นั้น มากำหนดรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้นโดยอาการเพ่งดู เมื่อเพ่งดูเท่าไร เหมือนกับว่าเพิ่มความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น แทบจะทนนั่งต่อไปไม่ได้เลย แต่ก็นึกถึงคำสั่งของหลวงปู่บัวขึ้นมาว่า นี่เราได้รับโอวาทจากหลวงปู่บัวมาแล้ว ท่านว่าให้เราผ่านทุกข์ให้ได้ ตัวเองก็รับคำท่านมาแล้วมิใช่หรือ ถ้าตัวเองยอมแพ้ในครั้งนี้แล้ว ครั้งต่อไปก็จะแพ้กันไปตลอด ความชนะจะมีมาจากที่ไหน เมื่อหลวงปู่ถามว่าผ่านทุกข์ได้ไหม ตัวเองจะเอาความพ่ายแพ้ไปตอบท่าน แล้วท่านจะคิดว่าอย่างไรกับเรา และเราจะเข้าหน้าท่านติดหรือไม่ ท่านคงจะคิดในใจว่า พระกรรมฐานขี้โง่ ไม่มีความอดทน ไม่มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เป็นพระกรรมฐานที่ไม่มีความจริงจังในตัวเอง จะขาดความเชื่อถือจากท่านเป็นอย่างมากทีเดียว

ขณะนี้ หลวงปู่ได้ตั้งความหวังไว้กับเราว่า ทูล รีบเร่งภาวนาปฏิบัติให้ผ่านทุกข์ไปให้ได้ เมื่อผ่านไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว ต่อไปก็จะผ่านทุกข์ได้อย่างง่ายทีเดียว และจะได้เป็นกำลังแก่พระพุทธศาสนา จะได้เป็นที่พึ่งให้แก่หมู่คณะต่อไป นี่ทูล หลวงปู่ตั้งความหวังไว้กับตัวเองอย่างนี้ ตัวเราจะทำให้หลวงปู่ผิดหวังได้หรือ ท่านคงมองการณ์ไกลไว้แล้วว่า เราจะเป็นผู้หนักแน่นในการปฏิบัติธรรม เราก็อย่าทำตัวเป็นผู้เหลวไหลไร้ความสามารถเลย หลวงปู่เอง ก่อนท่านจะได้มาเป็นผู้นำของหมู่คณะได้ ท่านก็ต้องได้ผ่านการปฏิบัติมาแล้วอย่างโชกโชน มีความอดทนหนักแน่นเข้มแข็งในการปฏิบัติมาแล้ว ผลที่ได้รับก็คือ เป็นผู้รู้จริงเห็นจริงในสัจธรรม ท่านจึงได้นำเอาอุบายการปฏิบัติของท่านมาสอนเรา เราเองต้องเอาตัวอย่างของท่านมาปฏิบัติ ให้มีความเข็มแข็งเหมือนท่านซิ ถ้าตัวเองยอมแพ้ในครั้งนี้ ถึงจะอยู่ที่ใด ก็จะรู้ตัวเองอยู่เสมอว่า นี่คือหน้าพระกรรมฐานขี้แพ้ จะไม่เกิดความละอายแต่กิเลสบ้างหรือไง

เมื่อตัวเองได้ตั้งสัจจะอธิษฐานอย่างนี้แล้วยอมแพ้ จะทำให้ตัวเองไม่เกิดความเชื่อถือในตัวเองเลย มีแต่จะกลายเป็นผู้ล้มเหลวเลวทราม ไม่มีความมั่นใจในตัวเองตลอดไป จะเป็นผู้มีนิสัยขี้ขลาด หลอกลวง พึ่งตัวเองไม่ได้จนตลอดวันตาย เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วจะถอนกลับไม่ได้แล้ว เป็นอย่างไรก็เป็นกัน ขาจะปวดก็ให้มันปวดไป จะขาดออกเป็นท่อนๆ ก็ให้มันขาดไป ใจเราก็จะเป็นเพียงรับรู้ให้เท่านั้น เมื่อใช้ปัญญาอบรมใจให้เกิดความเข้มแข็งกล้าหาญได้แล้ว ความปวดนั้น ก็ค่อยๆ ลดลงๆ ความเหน็บชาในขาก็ปรากฏขึ้นแทน แล้วนั่งอยู่ในความเหน็บชานี้ต่อไปนานประมาณ ๔ ทุ่ม จากนั้น อาการอย่างอื่นก็ปรากฏขึ้นมาแทน

นั่นคือ ปรากฏความร้อนขึ้นมาที่ขา ความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนั่งนานเท่าไร ความร้อนก็ยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ครั้งนี้ ได้เผชิญศึกหนักอีกรูปแบบหนึ่ง ถึงความปวดตามขาไม่มีก็ตาม แต่ความร้อนในขาทั้งสองเหมือนกับถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ขาทั้งสองข้างเหมือนอยู่ในกองไฟไหม้เกรียมไปหมด เมื่อความร้อนถึงที่สุดเต็มที่แล้ว เกิดความคิดขึ้นว่า ตัวเองจะอดทนนั่งต่อไปอีกได้ไหมหนอ แต่เมื่อคิดย้อนหลังไปถึงความปวดขาที่ผ่านมา ตัวเองก็ได้ผ่านมาแล้ว เมื่อมีความร้อนอย่างนี้เกิดขึ้นมาอีก เราก็ต้องอดทนต่อสู้ให้เต็มที่ สัจจะอธิษฐานที่เราตั้งไว้แล้วนั้น จะต้องเป็นสัจจะของลูกผู้ชาย เป็นสัจจะของพระกรรมฐานอย่างเต็มตัว ตั้งลงไปอย่างไรต้องหนักแน่นในที่นั้น จะไม่หลอกลวงตัวเองแต่อย่างใด ถึงจะมีความร้อนลุกเป็นไฟเผาร่างกายให้ย่อยยับไปก็ตาม เราก็จะไม่ลุกออกจากที่นี่เป็นเด็ดขาด ชีวิตจะหมดไปเพราะความร้อนนี้ก็ยอม

ในช่วงนี้ ต้องใช้อุบายปัญญาสอนใจอยู่เสมอว่า ความร้อนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นแผนการของกิเลสแน่นอน เพราะกิเลสใช้กลอุบายต่อต้านเราเต็มที่ เมื่อกี้นี้มันใช้ความทุกข์ ความเจ็บปวด มาเป็นอุบายขัดขวาง แต่ก็สู้สติปัญญาเราไม่ได้ บัดนี้ กลับมาใช้อุบายวิธีความร้อน เพื่อให้เราได้ถอนออกจากการปฏิบัติอีก นี่เรารู้กลอุบายของตัวกิเลสแล้วว่า เป็นตัวขัดขวางไม่ให้เราหลุดออกไปจากวัฏสงสาร มีแต่จะผลักดันให้เราลอยตามกระแสโลก ดังที่เคยเป็นมา กิเลสก็จะพาเราไปในทางที่ต่ำต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ก่อนมาใจขาดปัญญาความฉลาดรอบรู้ จึงได้ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาตลอดมา แต่บัดนี้ใจเรามีสติปัญญาเป็นที่อบรมสั่งสอน ใจจึงได้รู้เห็นตามความเป็นจริง ทุกสิ่งที่กิเลสตัณหาจะนำมาเป็นอุบายหลอกใจอีกไม่ได้แล้ว ถึงจะเอาความร้อนมาบังคับให้เราเสียสัจจะนี้ เราก็จะไม่หลงกลของกิเลสตัณหาอีกต่อไป เพราะใจได้ฝึกฝนอบรมจากสติปัญญามาแล้วเป็นอย่างดี มีความรอบรู้ในเหตุผลกลลวงของกิเลสตัณหาที่จะพาให้เราเกิดตายในวัฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุด พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่หลุดพ้นไปแล้วนั้น ล้วนแล้วแต่มีความกล้าหาญอดทน นี่เราผู้กำลังเดินตามรอยของท่านก็ต้องเป็นผู้กล้าหาญเช่นกัน ขณะนั้น เวลาประมาณ ๖ ทุ่ม ความร้อนที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงก็ค่อยๆ อ่อนลงๆ ในที่สุด ความร้อนทั้งหมดก็หายไป สภาพความรู้สึกก็กลับคืนสู่ปกติ คิดว่าจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก แต่ก็ไม่ประมาทในตัวเอง จึงใช้สติปัญญาอบรมใจไว้ตลอดเวลา

จากนั้น เหตุการณ์อีกรูปแบบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา นั่นคือ ความรู้สึกหนาวเย็น ความหนาวเย็นนี้ มีลักษณะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับร่างกายเป็นก้อนน้ำแข็งไปทั้งตัว ความทุกข์ทรมานในความหนาวเย็นนี้ แทบจะเอาตัวไปไม่รอดเช่นกัน แต่ก็อดทนต่อสู้ในความหนาวเย็นนั้นอย่างกล้าหาญ โดยใช้อุบายปัญญาปลอบใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า นี่ทูล ในช่วงที่ผ่านมาก็เกิดความเจ็บปวดตามขาจนแทบว่าขาจะหลุดออกไป แต่เราก็ใช้ความอดทนจนผ่านพ้นมาได้ เมื่อเกิดความร้อนขึ้นมาเหมือนกับนั่งอยู่ในกองไฟ เราก็ใช้สติปัญญาพิจารณาพร้อมทั้งความอดทน จนสามารถผ่านพ้นจากความร้อนอันนั้นมาได้อีก แต่ขณะนี้ เกิดความหนาวเย็นขึ้นมา ทำไมเราจะผ่านไม่ได้ ในขณะที่นั่งอยู่นั้น ความหนาวเย็นได้เกิดขึ้นเต็มที่ ถึงกับนั่งสั่นไปทั้งตัว จึงต้องใช้อุบายปัญญาปลอบใจตัวเองอีกว่า นี่ทูล ตัวเองได้ตกนรกมาแล้ว ความปวดก็เป็นนรกขุมหนึ่ง ความร้อนก็เป็นนรกขุมหนึ่ง ขณะนี้ กำลังตกอยู่ในนรกขุมหนาวเย็น ในขณะที่มีชีวิตอยู่ ยังได้เสวยทุกขเวทนาถึงเพียงนี้ หากตัวเองได้ไปตกขุมนรกจริง ก็จะต้องมีความทุกข์กว่านี้หลายร้อยเท่า จะไม่กลัวต่อความทุกข์ที่มีอยู่ข้างหน้าหรือ นรกที่จะมีอีกในข้างหน้านั้นเย็นมากกว่านี้นัก

เมื่อตัวเองยังมีความพอใจหลงใหลในกามคุณอยู่ ผลที่ได้รับคือ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ก็จะมีผลให้ตัวเองได้รับอยู่ตลอดไป ไฉนจึงไม่กลัวในความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นบ้าง เพราะความทุกข์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากกามคุณทั้งนั้น โดยหารู้ไม่ว่า กามคุณเปรียบเหมือนน้ำตาลเคลือบยาพิษ เมื่อน้ำตาลละลายไป ยาพิษก็ออกฤทธิ์ขึ้นมา ทำให้มีการเจ็บปวดร้อนหนาว ดังที่ได้รับในปัจจุบันนี้ นี่คือวิบากกรรมของชาติภพที่ตัวเองได้รับ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจาก อัตตา ที่ยึดถือว่าเป็นตัวตน เมื่อตนมีอยู่ที่ไหน ความทุกข์ก็ต้องมีอยู่ที่นั่น แต่ก็ต้องอดทนต่อไป ไหนๆ ก็เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ให้ตั้งใจไว้ว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากชาติภพนี้เป็นชาติสุดท้ายก็แล้วกัน ฉะนั้น ตัวเองต้องใช้อุบายปัญญาอบรมสั่งสอนใจตัวเองให้เกิดความกลัว ให้เกิดความเบื่อหน่ายในชาติภพและสรรพทุกข์ทั้งหลาย อย่าให้กิเลสตัณหาชักจูงให้เกิดความหลงใหลในกามคุณอีกต่อไป ในขณะที่เกิดความหนาวเย็นอยู่นั้น ต้องใช้อุบายปัญญาสอนใจอยู่ตลอด ประมาณตี ๓ ความหนาวเย็นก็อ่อนลงๆ และอ่อนลงไปเรื่อยๆ จนความหนาวเย็นนั้นหมดไปเป็นปกติ ในช่วงนี้ เราได้ผ่านชัยชนะมาแล้ว ๓ ขั้นตอน รู้สึกว่าใจมีกำลังกล้าหาญเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา เราก็พร้อมที่จะต่อสู้กันจนถึงที่สุด แม้กระทั่งชีวิตจะดับสูญไป ก็พร้อมที่จะเสียสละ นี่เป็นอุบายธรรมที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น

ในขณะนั้น จิตต้องการพักผ่อนในสมาธิ จึงใช้อุบายวิธีกำหนดจิตด้วยคำบริกรรมว่า พุทโธ ร่วมกันกับ อานาปานสติ คือ กำหนดลมหายใจเข้าออก จิตก็ค่อยๆ สงบลง แล้วก็พักคำบริกรรมพุทโธเอาไว้ กำหนดเอาเพียง ผู้รู้ เอาไว้อย่างเดียว เมื่อลมหายใจหมดไป ก็มีแต่ผู้รู้เพียงอย่างเดียว ไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์แต่อย่างใด เป็นเพียงความรู้อยู่ว่างๆ เป็นเอกเทศเฉพาะผู้รู้เท่านั้น จิตมีความทรงอยู่อย่างนี้ นานถึงรุ่งสว่างของวันใหม่ ขณะที่จิตกำลังจะถอนออกจากสมาธิมานั้น ปรากฏเห็นหลวงปู่ขาวมากั้นร่มขนาดใหญ่อยู่ด้านขวามือ หลวงปู่ขาวพูดว่า ลูกหล้า ตั้งใจให้เข้มแข็งนะ อย่าท้อถอย ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในความเพียรเต็มที่ ใช้สติปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่เสมอ ไม่มีใครช่วยเรานะ เราคนเดียวเท่านั้นจะช่วยตัวเองได้ ต่อไปก็จะเป็นที่พึ่งแก่ตัวเองอย่างมั่นคงถาวร จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ ซึ่งเป็นเวลาสว่างพอดี

เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ความเวิ้งว้างภายในใจ ความเอิบอิ่มภายในใจ ความสงบภายในใจ ยังมีความตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะออกบิณฑบาต ฉันอาหาร ตลอดจนทำกิจวัตรต่างๆ ช่วยกันกับหมู่คณะ ใจก็มีความตั้งมั่นอยู่เสมอ ตกเย็นในวันนั้น ไปสรงน้ำให้หลวงปู่ตามปกติ เสร็จแล้วก็ขึ้นไปรับฟังโอวาทจากท่าน ท่านก็เตือนสติสั้นๆ ว่า ทุกองค์ ตั้งใจภาวนานะ อย่าเห็นแก่หลับแก่นอน กินมาก นอนมาก พูดมาก เล่นมาก ไม่ดีทั้งนั้น จากนั้น ก็พากันกราบลาหลวงปู่ ข้าพเจ้ายังทำธุระอยู่ที่นั่น เมื่อพระเณรลงไปหมดแล้ว หลวงปู่บัวพูดว่า ทูล ผ่านทุกข์ได้หรือยัง ตอบท่านไปว่า ขอโอกาสผ่านเมื่อคืนที่แล้วครับ หลวงปู่ก็ได้สอบถามอาการที่ข้าพเจ้าประสบจากการภาวนาผ่านทุกข์ในครั้งนั้น ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เล่าถวายดังที่อธิบายผ่านมาแล้ว เมื่อหลวงปู่ได้รับฟังแล้วก็พูดขึ้นว่า จากนี้ไปให้ผ่านให้ตลอดนะ ผู้ที่ผ่านทุกข์ได้ต้องเป็นผู้มีความกล้าหาญ มีความเข้มแข็งไม่กลัวตาย ให้มีความขยันหมั่นเพียรให้มากขึ้น อย่าให้จิตเป็นหมันดื้อด้านเป็นเหล็กก้นเตา ให้ใช้อุบายปัญญาสอนใจอยู่บ่อยๆ ใจก็จะค่อยรู้เห็นตามความเป็นจริงได้

ในวันต่อมา ท่านอาจารย์สิงห์ทองได้พูดขึ้นว่า ใครจะไปฟังเทศน์หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล วันพรุ่งนี้ ฉันเสร็จแล้วออกเดินทางโดยไม่ต้องขึ้นรถ เมื่อได้ยินคำว่าจะไปฟังเทศน์ของหลวงปู่ขาวเท่านั้น รู้สึกว่า ใจมีความเบิกบานและเอิบอิ่มเป็นอย่างมาก เพราะคิดอยู่ในใจมาหลายวันว่า อยากไปฟังเทศน์หลวงปู่ขาวอยู่แล้ว ในวันต่อมา เมื่อฉันเสร็จแล้ว ก็พากันออกเดินทาง จากวัดป่าหนองแซง ถึงวัดถ้ำกองเพล ระยะทางประมาณ ๑๕ กิโลเมตร เมื่อไปถึงวัด ท่านอาจารย์สิงห์ทองก็พาหมู่คณะไปคารวะหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ขาวก็ให้ความเมตตาอธิบายธรรมให้ฟัง มีข้อสำคัญที่จำได้ดังนี้

นักปฏิบัติถ้าเอาความตายไว้หลัง การปฏิบัติจะไม่มีอุปสรรคแต่อย่างใด การภาวนามีแต่ความเจริญก้าวหน้าไปด้วยดี ถ้าเอาความตายไว้ข้างหน้า การภาวนาจะหดตัวอยู่ที่เดิม เพราะมีความกลัวตายเป็นเครื่องขัดขวาง จึงไม่กล้าทุ่มเทความพากเพียรลงไปอย่างเต็มที่ จะนั่งสมาธิมีการปวดแข้งปวดขานิดหน่อยก็กลัวตาย เดินจงกรมไม่กี่ชั่วโมงก็กลัวตาย อดนอนผ่อนอาหารมีอาการผ่อนเพลียนิดหน่อยก็กลัวตาย ถ้าเป็นอย่างนี้ จะเกิดความรู้จริงเห็นจริงในธรรมได้อย่างไร ฉะนั้น ทุกท่านอย่าพากันกลัวตายนะ ถ้าทำความเพียรแล้วตาย ก็ให้มันตายไปจะกลัวทำไม นักปฏิบัติถ้ายังมีความกลัวตายอยู่ ใช้ไม่ได้เลย มันต้องมีใจเข้มแข็ง กล้าหาญ ตั้งลงไปเลยว่า ถ้ากูไม่ตาย ให้กิเลสตาย ถ้ากิเลสไม่ตาย กูยอมตาย นั่นคือ นักปฏิบัติที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญจริงจัง ถ้าตั้งใจปฏิบัติอยู่อย่างนี้บ่อยๆ ก็จะรู้เห็นธรรมอย่างแน่นอน ฉะนั้น เราทั้งหลายอย่าเป็นผู้หลอกลวงตัวเอง ต้องทำตัวเป็นคนจริงเอาไว้ สักวันหนึ่ง ก็จะพบความจริงในสัจธรรมแน่นอน เมื่อหลวงปู่เทศน์จบแล้ว ก็พากันกราบหลวงปู่กลับวัดป่าหนองแซงตามเดิม ในพรรษานี้ พระอาจารย์สิงห์ทองพาหมู่คณะไปฟังเทศน์ของหลวงปู่ขาวสองครั้ง ไปแต่ละครั้ง ได้อุบายธรรมจากหลวงปู่ขาวมากทีเดียว เมื่อออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ก็ได้กราบหลวงปู่บัว ออกภาวนาปฏิบัติในที่ต่างๆ ต่อไป

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


๏ อิทธิบาท ๔ ฝังใจในครั้งนั้น

หลังจากนั้น ได้ไปพักภาวนาอยู่ที่ห้วยกอกยอดทอน อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ในวันหนึ่ง ลงจากศาลาจะไปกุฏิ ได้มองเห็นมดฝูงหนึ่งกำลังช่วยกันทำรูเป็นที่อยู่อาศัย พากันคาบดินขึ้นมาวางรอบปากรูเอาไว้ ข้าพเจ้าก็นั่งพิจารณาดูมดฝูงนั้นด้วยความตั้งใจ พิจารณาว่า มดตัวเล็กๆ มันยังรู้วิธีทำที่อยู่เองได้ ทุกตัวมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ต่างตัวก็ทำตามหน้าที่ ไม่มีตัวใดพักผ่อนแต่อย่างใด นี้ฉันใด ใจเราถ้ามีความขยันหมั่นเพียรพิจารณาธรรมอยู่บ่อยๆ ใจก็จะมีธรรมเป็นที่พึ่งอย่างมั่นคงได้ เป็นวิหารธรรม คือ ธรรมเป็นที่พักทางใจ ถ้าใจมีธรรมก็จะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างรวดเร็ว ฐานของใจก็จะมีความมั่นคง

ฉะนั้น ตัวเองก็ต้องมีความขยันหมั่นเพียรให้มากขึ้น ดูมดเป็นตัวอย่างเอาไว้บ้าง มดมีความขยันอย่างไร การภาวนาปฏิบัติของเราก็ต้องมีความขยันอย่างนั้น ในขณะที่เอามดมาเป็นอุบายในการภาวนาอยู่นั้น ได้เกิดความรู้ขึ้นที่ใจอย่างชัดเจนว่า ให้ตั้งมั่นอยู่ใน อิทธิบาท ๔ เมื่อรู้ขึ้นมาอย่างนี้แล้ว กลับนึกไม่ได้เลยว่า อิทธิบาท ๔ มีอะไรบ้าง และมีความหมายเป็นอย่างไร ใช้ความพยายามนึกหาความหมายอย่างเต็มที่ จะนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แต่ก็รู้ตัวอยู่ว่า แต่ก่อนเคยอธิบายเรื่องอิทธิบาท ๔ นี้ ไปสอนคนอื่นมาแล้ว เคยเรียนในตำรามาอย่างคล่องตัว

แต่บัดนี้ ทำไมจึงนึกไม่ออกเลยว่าอิทธิบาท ๔ คืออะไรบ้าง และมีความหมายอย่างไร นึกไม่ได้เลย ในศาลานั้น มีหนังสือนวโกวาทเต็มตู้ เมื่อขึ้นไปคิดว่าจะเปิดตำราดู ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า พระกรรมฐานอะไรตัดสินใจโดยถือเอาตามตำรา เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็เกิดความละอายใจตัวเองว่า ทำไมจึงจะรีบด่วนหาตำรามาอ่าน เพราะความรู้ที่เกิดขึ้นนี้ ได้จากการปฏิบัติ เมื่อยังนึกไม่ได้ก็ใช้ธรรมหมวดอื่นปฏิบัติต่อไปก่อน อย่างไรก็ตาม ก็ยังรู้สึกคับข้องใจอยู่นั่นเอง พยายามนึกคิดอยู่บ่อยๆ แต่ก็มืดแปดด้าน จะทำกิจวัตรอื่นๆ อีกทีการปัดกวาดลานวัด เป็นต้น ก็ยังคิดนึกหาคำตอบของอิทธิบาท ๔ นี้อยู่ตลอดเวลา แต่ก็นึกหาคำตอบไม่ได้เลย

พอตกค่ำมา ในวันนั้นก็เดินจงกรม นั่งสมาธิ คิดหาคำตอบของอิทธิบาท ๔ ตลอดทั้งคืน ก็นึกไม่ออกอยู่นั่นเอง จึงตัดสินใจเด็ดขาดไปว่า ถ้านึกไม่ออกก็อย่าไปนึกเลย จะไปดูตำรามาเป็นเครื่องตัดสินก็ไม่เอา สักวันหนึ่งข้างหน้าคงจะรู้ขึ้นมาเอง แล้วก็ไม่สนใจในคำว่า อิทธิบาท ๔ อีกต่อไป เมื่อภาวนาปฏิบัติไปได้ ๗ วัน ในช่วงนั้น ได้ลืมเรื่อง อิทธิบาท ๔ ไปหมดแล้ว ขณะกำลังเดินจงกรม ใช้อุบายปัญญาพิจารณาเรื่องของขันธ์ ๕ ลงสู่ไตรลักษณ์อยู่นั้น ก็ได้เกิดความรู้ขึ้นมาว่า อิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา พร้อมทั้งความหมายรู้ขึ้นมาพร้อมกันชั่วพริบตาเดียว สติปัญญาเกิดความรอบรู้ได้อย่างชัดเจน จึงเกิดความมั่นใจในตัวเองว่า จากนี้ไป เราจะใช้ธรรมหมวดนี้เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างจริงจัง เมื่อหากใครมีปัญหาลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นแล้วนึกไม่ได้ ก็คงจะวิ่งหาตำรามาอ่านเพื่อให้หายความสงสัยหรือหาถามครูอาจารย์ทันที ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็เท่ากับเอาปริยัติมาเป็นเครื่องตัดสินภาคปฏิบัติ คำว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ก็หมดความหมายไป

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


๏ พรรษาที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๐๗

ในพรรษาที่ ๔ นี้ ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดอรัญญบรรพตกับหลวงปู่เหรียญ ในพรรษานี้ การภาวนามีความก้าวหน้าเป็นอย่างดี เพราะมีอุบายธรรม คือ อิทธิบาท ๔ มาเป็นหลักในการปฏิบัติของตนเอง คำว่า ฉันทะ คือ ความพอใจ นี้ ก็เป็นข้อสังเกตดูใจได้เป็นอย่างดี เช่น เรามีการพิจารณาในสัจธรรมหมวดใด ก็ต้องดูใจตัวเองก่อนว่า ความพอใจมีในตัวเรามากน้อยเพียงใด ถ้าฉันทะความพอใจมีน้อย ก็ต้องใช้อุบายปลอบใจตัวเองให้เกิดขึ้น เพราะความพอใจนั้น จะเป็นฐานให้กับความขยันหมั่นเพียร และจะทำให้เกิดความจริงจังในการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี มีความฝักใฝ่ในความเพียรนั้นให้สม่ำเสมอ มีความตั้งใจ ใช้ความพยายามนั้นอย่างต่อเนื่อง วิมังสา ใช้สติปัญญาครุ่นคิดตรึกตรองในสัจธรรมนั้นอยู่บ่อยๆ แต่ละวันแต่ละชั่วโมงแต่ละนาที จะให้มีประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมแก่ตัวเองให้มากที่สุด

จึงได้นับว่าในพรรษานี้ ได้ใช้ปัญญาพิจารณาในอิทธิบาท ๔ ให้สอดคล้องกันเป็นอย่างดี เพราะธรรมทั้งสี่หมวดนี้ มีความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน จึงเป็นหลักสำคัญที่จะนำมาเป็นอุบายในการปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดี อิทธิบาท ๔ นี้ ก็อยู่ใน โพธิปักขิยธรรม ๓๗ นั่นเอง ส่วนภาคปฏิบัตินั้นจะเกี่ยวโยงถึงกันทั้งหมด เช่น สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ทุกข้อทุกหมวดมีความสำคัญด้วยกันทั้งนั้น เรียกว่า เป็นธรรมที่เกื้อกูลกันทั้งหมด

เมื่อตั้งอยู่ในธรรมหมวดใดหมวดหนึ่งได้แล้ว ก็จะมีความรอบรู้ในธรรมหมวดอื่นๆ ได้อย่างทั่วถึงกัน เหมือนกับห่วงสายโซ่อยู่ในเส้นเดียวกัน เมื่อจับห่วงโซ่อันเดียวดึงไป ห่วงโซ่อื่นๆ ก็จะไหลตามกันไปด้วย ธรรมะที่นำมาปฏิบัตินั้น เมื่อตั้งหลักความเห็นชอบไว้ตรง เป็นไปในสัจธรรมที่ถูกต้องแล้ว ธรรมะหมวดอื่นๆ ก็มารวมตัวอยู่กับปัญญาความเห็นชอบนี้ทั้งหมด การดำริพิจารณาในธรรมใด ก็จะดำริพิจารณาได้อย่างถูกต้องเป็นธรรมทั้งนั้น ตลอดการงานที่จะต้องทำเนื่องด้วยกาย การพูดออกไปทางวาจา การหาเลี้ยงชีพในทางสุจริต เพียรพยายามละจากความชั่วทางกาย วาจา ใจ เพียรพยายามสร้างความดีให้เกิดมีขึ้นจากตัวเอง และเพียรพยายามรักษาความดีนั้นไม่ให้เสื่อมคลาย ตั้งใจระลึกรู้ให้ทันต่อเหตุการณ์ ใจมีความตั้งมั่นอยู่กับความเป็นจริงอย่างแน่วแน่ ใจมีความมั่นคงอยู่กับเหตุและผล ใจยอมรับความจริงตามเหตุปัจจัยนั้นๆ ว่า เหตุดีย่อมเป็นปัจจัยส่งผลให้ดีด้วย เหตุชั่วย่อมเป็นปัจจัยในผลที่ชั่ว การมีความตั้งมั่นภายในใจได้อย่างนี้ จึงเรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิที่มีความมั่นคง เป็นความตั้งใจมั่นไม่มีเสื่อม เป็นความตั้งใจมั่นที่ชอบธรรม ฉะนั้น ในพรรษานี้ การภาวนาปฏิบัติจึงมีความก้าวหน้าเป็นอย่างดีทีเดียว

เมื่อออกพรรษารับกฐินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ลาหลวงปู่เหรียญออกไปภาวนาปฏิบัติในที่ต่างๆ ต่อไป โดยตั้งใจไว้ว่า จะไปภาวนาที่คำสะโนด บ้านวังทอง อำเภอบ้างดุง จึงได้เดินทางไปเรื่อยๆ ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น การเดินทางก็ใช้อุบายปัญญาพิจารณาในสัจธรรมไปด้วย หรือบางครั้งก็ใช้อุบายในวิธีทำสมถะนึกถึงคำบริกรรมภาวนาต่อไป ในครั้งนั้น การเดินทางใช้วิธีเดินเท้า เพราะไม่มีเงินค่ารถ เดินผ่านอำเภอศรีเชียงใหม่ อำเภอท่าบ่อ และเรื่อยมาจนถึงบ้านหนองสองห้อง เข้าเขตอำเภอเพ็ญ ได้ไปพักภาวนาในวัดร้างแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่าวัดป่าพระนาไฮ อำเภอเพ็ญ

ในคืนหนึ่ง เกิดนิมิตขึ้นอย่างชัดเจนมาก ในขณะที่ภาวนาทำสมาธิ จิตเข้าที่ได้แล้ว ปรากฏเห็นภาพนิมิตเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่มองสุดสายตา บนฝั่งที่ข้าพเจ้าอยู่นั้น เป็นคันคูขนาดใหญ่ยาวมากมองจนสุดสายตา บนคันคูดังกล่าวนั้น มีฝูงชนเป็นจำนวนมากหลายล้านคน ยืนแออัดกันอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรนั้นอย่างหนาแน่น พร้อมกับมีคลื่นมหาสมุทรขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา ในขณะนั้น ก็มีเสียงประกาศชักชวนให้คนทั้งหลายที่ยืนรออยู่นั้นให้ทราบว่า พวกท่านทั้งหลาย ใครมีความประสงค์จะข้ามน้ำมหาสมุทรไปฝั่งโน้นบ้าง เมื่อข้ามไปได้แล้วจะไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกนี้อีก

เมื่อทุกคนได้ฟังอย่างนั้น ดูมีความขะมักเขม้นกระโดดเต้นไปมา เตรียมตัวที่จะกระโดดลอยข้ามมหาสมุทรนั้นไป จากนั้น ก็พากันกระโดดลงไปด้วยความตั้งใจเป็นอย่างมากทีเดียว เมื่อพากันกระโดดลงไปครั้งใด ก็ถูกคลื่นน้ำมหาสมุทรขนาดใหญ่ซัดเข้ามาหาฝั่งตามเดิม ดูมีความพยายามไม่ลดละ ต่างคนต่างพากันกระโดดหวังจะข้ามน้ำมหาสมุทรไปให้ได้ เสียงที่ประกาศเชิญชวนฝูงชนทั้งหลายให้ข้ามน้ำมหาสมุทรนี้ไป ก็ประกาศกันเป็นระยะๆ ต่อเนื่องกันอยู่ตลอด ฝูงชนทั้งหลายก็พากันกระโดดลงเพื่อลอยไปฝั่งโน้นอย่างไม่ลดละ บางคนดูมีลักษณะเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะถูกคลื่นมหาสมุทรตีเข้าฝั่งอย่างแรง บางคนก็นอนแผ่หราด้วยความอ่อนเพลีย บางคนก็นั่งกอดเข่าดูน้ำมหาสมุทรแบบหมดอาลัย หลายๆ คนที่ถูกคลื่นน้ำมหาสมุทรตีซัดขึ้นมาสู่ฝั่งเดิม ดูแล้วเหมือนหมดกำลังใจที่จะลอยข้ามกระแสผ่านคลื่นมหาสมุทรนี้ไป มีแต่นั่งๆ นอนๆ เดินไปมา เหมือนกับนึกคิดในใจว่า

ชาตินี้เราคงข้ามน้ำมหาสมุทรนี้ไปไม่ได้แล้ว ถึงจะมีความอยากข้ามกระแสมหาสมุทรไปฝั่งโน้นก็ตาม เมื่อกำลังเรายังไม่พร้อมก็ยากที่จะข้ามกระแสไปได้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความตั้งใจพยายามจะข้ามมหาสมุทรนี้ไป แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากที่มายืนดูคลื่นน้ำมหาสมุทรอยู่เฉยๆ ไม่มีกำลังใจพอที่จะข้ามกระแสไปเหมือนคนอื่นเขา บางคนบางกลุ่มก็แต่งตัวหรูหราเพียงมาดูหมู่คนข้ามกระแสเท่านั้น คนทั้งหมดนี้มีทุกเพศทุกวัย มีทั้งห่มเหลือง ห่มขาว และห่มผ้าธรรมดา พากันมาแออัดตั้งใจจะข้ามน้ำมหาสมุทรนี้ไปให้ได้ ข้าพเจ้าพิจารณาดูแล้ว ก็ดำริในใจว่า เมื่อเขาเหล่านี้ยังมีความตั้งใจพยายามอยู่ อีกไม่นานนักก็จะพากันข้ามน้ำมหาสมุทรนี้ไปได้อย่างแน่นอน

เมื่อข้าพเจ้าได้นั่งมองดูฝูงชนเหล่านั้นอยู่ ก็เกิดกำลังใจขึ้นมาว่า คลื่นมหาสมุทรเท่านี้ เรามีกำลังว่ายตัดข้ามไปได้แน่นอน ทั้งได้ยินเสียงประกาศว่า ถ้าข้ามน้ำมหาสมุทรไปถึงฝั่งโน้นแล้วจะไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกนี้อีก เมื่อได้ยินคำประกาศดังนี้อยู่ ก็ยิ่งมีกำลังใจอยากจะข้ามไปให้ถึงฝั่งโน้นโดยเร็ว จากนั้น ก็ได้ลุกออกไป ทั้งมีความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มที่ จึงเดินผ่านฝูงชนไปยืนอยู่ริมฝั่ง แล้วยกมือขึ้นอธิษฐานว่า บัดนี้ ข้าพเจ้าจะว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรเพื่อไปให้ถึงฝั่งโน้น บารมีที่ข้าพเจ้าได้สร้างมาแล้วในอดีต และบารมีที่ได้สร้างอยู่ในชาติปัจจุบัน ขอจงเป็นพละกำลังให้ข้าพเจ้าได้ว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรนี้ไปให้ถึงฝั่งโน้นด้วยเถิด

เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วก็กระโดดออกไปเต็มแรง เหมือนตัวข้าพเจ้าได้เหาะลอยไปไกลประมาณ ๔๐ เมตร เมื่อหน้าอกจะแตะกับพื้นน้ำเท่านั้น ก็ปรากฏว่ามีสัตว์ชนิดหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นปลาหรือเป็นควายกันแน่ ได้เอาหลังเข้ามาหนุนหน้าอกของข้าพเจ้าเอาไว้ เมื่อหน้าอกลงติดกันกับหลังสัตว์เท่านั้น สัตว์ตัวนั้นก็พาข้าพเจ้าแหวกน้ำไปอย่างรวดเร็ว ตัวข้าพเจ้าก็ใช้มือว่ายน้ำไปด้วย และใช้ขาใช้เท้าถีบยันน้ำไปอย่างแรง ขณะนั้นมีคลื่นมหาสมุทรขนาดใหญ่ตีมาอย่างแรง ข้าพเจ้าก็ใช้กำลังที่มีอยู่ทั้งหมด พร้อมทั้งสัตว์ที่หนุนหน้าอกอยู่ ใช้กำลังแหวกฝ่าคลื่นมหาสมุทรนั้นไป คลื่นน้ำก็แตกกระจายออกไปคนละด้าน เหมือนกับเรือขนาดใหญ่ได้ลอยตัดกระแสคลื่นมหาสมุทรนั้นไป เมื่อผ่านคลื่นมหาสมุทรลูกที่หนึ่งไปแล้ว ก็มีคลื่นมหาสมุทรลูกที่สอง สาม สี่ ห้า และหก สาดซัดเข้ามาหาอย่างแรง แต่ข้าพเจ้าก็ได้ใช้กำลังทั้งหมดว่ายน้ำฝ่าคลื่นมหาสมุทรนั้นไปได้ทั้งหมด เมื่อผ่านกระแสคลื่นมหาสมุทรขนาดใหญ่นี้ไปได้แล้ว ก็มีคลื่นมหาสมุทรลูกเล็กๆ ผ่านมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ข้าพเจ้าเกิดความเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด

เมื่อว่ายน้ำมาถึงกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นั้นแล้ว จะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นฝั่งของมหาสมุทรนั้นเลย แต่ก็มุมานะว่ายน้ำไปเรื่อยๆ จากนั้น ก็มองเห็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรนั้น ห่างจากตัวข้าพเจ้าไปไกลประมาณ ๘ กิโลเมตร แล้วมีเสียงประกาศออกมาว่า อย่าเข้าไปใกล้เกาะนั้นนะ ถ้าเข้าไปใกล้จะถูกกระแสน้ำรอบเกาะดูดเข้าไป เมื่อเข้าไปในเกาะนั้นแล้วจะว่ายน้ำต่อไปอีกไม่ได้ มีแต่จะกลับคืนไปทางเดิมเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงประกาศนั้นแล้ว ก็มีความระวังตัวมากขึ้น เพื่อไม่ให้หลุดเข้าไปในกระแสน้ำของเกาะนั้น จากนั้น ก็ได้ว่ายน้ำหลบไปทางด้านซ้ายมือ แต่ก็ยังถูกกระแสน้ำดูดขาเข้าอย่างแรง ข้าพเจ้าได้ใช้กำลังดีดขาออกอย่างแรงจึงสามารถหลุดออกมาได้ กระแสน้ำดังกล่าวนี้จะไหลเวียนซ้ายวนไปรอบเกาะมีบริเวณกว้างมาก ในกระแสน้ำวนนี้ ดูเหมือนจะมีพลังดึงดูดเป็นเกลียว ถ้าใครหลงเข้าไปในกระแสน้ำนั้นแล้ว ก็จะถูกดึงดูดบิดหมุนเข้าไปสู่เกาะนั้นอย่างรวดเร็วและติดอยู่บนเกาะนั้นชั่วกาลนาน

เมื่อข้าพเจ้าว่ายน้ำหลบจากเกาะนั้นได้แล้ว มองหาฝั่งก็ยังไม่พบอีก ข้าพเจ้าก็ไม่ลดละความพยายาม ยังว่ายน้ำตัดกระแสน้ำมหาสมุทรนั้นต่อไป ตั้งใจไว้ว่า เมื่อเราว่ายน้ำไปอย่างนี้ไม่หยุด ก็จะถึงฝั่งทางด้านโน้นได้แน่นอน ในชั่วขณะนั้นเอง ข้าพเจ้ามองไปข้างหน้าก็สามารถมองเห็นฝั่งโน้นดูริบหรี่ไกลมาก จึงรีบว่ายน้ำเข้าไปหาฝั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าถึงฝั่งได้แล้ว สัตว์ที่พาข้าพเจ้าว่ายข้ามมหาสมุทรก็หายไป ข้าพเจ้าจึงเดินขึ้นฝั่งตามลำพัง ข้าพเจ้าเดินไปมองหาช่องทางที่จะขึ้นไปบนตลิ่งนั้น ก็พอดีพบกับช่องทางเล็กๆ เป็นร่องลึกขอบสูงประมาณเพียงศีรษะคน พอที่จะดินผ่านไปได้หลวมตัวพอดีๆ ในเส้นทางสายนั้น ปรากฏเห็นรอยเท้าคนทั้งรอยเก่าและใหม่เดินเข้าไปก่อนแล้ว ก็คิดขึ้นในใจว่า ใครกันหนอที่เดินไปก่อนเรา แต่ถึงอย่างไรก็ตามเถอะ คงต้องได้พบกันแน่นอน

ข้าพเจ้าจึงเดินขึ้นฝั่งซึ่งเป็นที่ลาดชันสูงขึ้นไป แล้วก็เดินไปตามช่องทางเล็กๆ รอยเท้าคนที่เดินไปก่อนแล้วปรากฏเห็นชัดเจนมาก เมื่อเดินไปไม่นานนักก็เป็นที่เวิ้งว้างมองสุดสายตา แล้วมองเห็นปราสาทขนาดใหญ่ชั้นเดียวตั้งอยู่ข้างหน้า ก็คิดว่าผู้ที่เดินไปก่อนเราแล้วนั้น ก็คงจะพบกันในปราสาทหลังนี้ จึงเดินตรงเข้าไปหาปราสาทหลังนั้น เมื่อมองไปอีกทีก็เหลือบเห็นผ้าเหลืองหลายผืนตากเอาไว้ ก็เข้าใจว่ารอยเท้าที่เดินมาก่อนหน้านี้นั้น ต้องเป็นรอยเท้าครูอาจารย์คณะนี้แน่นอน จึงเดินเข้าไปในระยะห่างประมาณ ๔๐ เมตร ก็เห็นพระแก่ๆ องค์หนึ่ง ยืนมองข้าพเจ้าอยู่ แล้วท่านก็เดินออกมา และข้าพเจ้าก็เดินตรงไปหาท่าน

เมื่อเข้าไปใกล้ตัวก็เห็นเป็นหลวงปู่ขาว ท่านรีบตรงเข้ามาจับแขนข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็จับแขนท่านตอบเช่นกัน ท่านพูดทักทายว่า เป็นอย่างไรว่ายน้ำข้ามกระแสมหาสมุทรยากลำบากไหม ข้าพเจ้าก็ตอบหลวงปู่ไปว่า ขอโอกาส ลอยข้ามมาไม่ยากครับ ท่านถามว่า มากันกี่องค์ ตอบท่านไปอีกว่า กระผมมาองค์เดียวครับผม หลวงปู่ถามต่อไปว่า เขาเหล่านั้นไม่อยากมาหรือ ตอบว่า ขอโอกาส เขาอยากมากทีเดียวแหละหลวงปู่ แต่กำลังของเขายังไม่พร้อม กระโดดลงมาทีไร ก็ถูกคลื่นมหาสมุทรพัดซัดทอดเข้าหาฝั่งอย่างหัวปักหัวปำทุกคน แต่พวกเขาก็พยายามอย่างเต็มที่ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะข้ามมาถึงฝั่งนี้ได้เมื่อไร หลวงปู่ก็บอกว่า เอาผ้าที่เปียกไปตากให้มันแห้งเสีย แล้วเข้าไปพักในปราสาทด้วยกัน เมื่อข้าพเจ้าตากผ้าแล้ว หลวงปู่ก็พาเข้าไปในปราสาท ซึ่งก็ได้พบกับหลวงปู่บัว วัดหนองแซง กำลังนั่งคอยถามข่าวคราวอยู่ในปราสาทหลังนั้น

ท่านได้ถามว่า เป็นอย่างไร คลื่นมหาสมุทรลูกใหญ่ไหม ว่ายน้ำมาอย่างไรจึงตัดคลื่นมหาสมุทรผ่านมากได้ ก็เล่าถวายให้หลวงปู่ฟังว่า ขอโอกาส กระผมมีความมั่นใจในตัวเองมาก ขณะที่กระผมกระโดดลงมา เมื่อหน้าอกจะถึงน้ำ ก็มีสัตว์ประเภทหนึ่งมารองรับแล้วพากระผมว่ายน้ำตัดคลื่นมหาสมุทรมาได้ ท่านถามว่าเห็นเกาะอยู่ในกลางมหาสมุทรไหม ก็ตอบท่านว่า เห็นครับผม ท่านพูดว่า ผู้จะข้ามมหาสมุทรมาได้นี้ ถือว่ามีความพร้อมทุกอย่าง ท่านถามว่ามีผู้ว่ายน้ำตามหลังมาบ้างไหม ตอบว่า ขอโอกาส กระผมไม่ได้มองคืนหลังเลย จึงไม่รู้ว่ามีใครตามหลังมาหรือไม่ ในต้นทางนั้น มีคนเป็นจำนวนมากกำลังเตรียมตัวมา แต่ไม่ทราบว่าจะมาได้หรือไม่ เพราะคลื่นกระแสมหาสมุทรมีความรุนแรงมาก ในขณะที่พูดคุยกันกับหลวงปู่ขาว หลวงปู่บัวอยู่นั้น ก็มีอาจารย์องค์อื่นๆ คอยฟังอยู่ด้วย จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ

เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ก็ใช้ปัญญาพิจารณาในนิมิตนั้นว่ามีความหมายเป็นอย่างไร คำว่า ฝูงชนเป็นจำนวนมากที่นับถือพระพุทธศาสนา มีการสร้างบารมีมาด้วยกันทั้งนั้น เจตนาของทุกคนก็เพื่อจะทำให้อาสวกิเลสหมดไปจากใจด้วยกัน แต่ใครจะทำให้อาสวกิเลสหมดไปจากใจช้าเร็วอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับผู้สร้างบารมีเอง ผู้ที่กระโดดลงไปแล้วถูกคลื่นมหาสมุทรซัดกลับขึ้นมาฝั่งนั้น หมายถึง ผู้ที่มีเจตนาความตั้งใจดี คืออยากพ้นไปให้สิ้นทุกข์จริงๆ แต่ก็มีกำลังในภาคปฏิบัติน้อยไป มีความอยากพ้นไปเพียงอย่างเดียวไม่สำเร็จได้เลย คลื่นมหาสมุทรขนาดใหญ่ที่ซัดทอดอยู่นั้น คืออารมณ์ที่สัมผัสในอายตนะ ทำให้เกิดความรัก ความใคร่ ความยินดี ความยินร้าย ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั่นเอง สัตว์ที่มาหนุนหน้าอกแล้วพาว่ายน้ำตัดคลื่นมหาสมุทรไปได้นั้น คือ สัจจะของผู้มีความตั้งใจจริงในการปฏิบัติของตัวเอง ความเวิ้งว้างในกลางมหาสมุทรนั่นคือ จิตอยู่ในความเป็นกลาง เกาะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรนั่นคือ พรหมโลกที่นักภาวนาหลงในการทำสมาธิ หลงในรูปฌาน หลงในอรูปฌาน กระแสน้ำที่ไหลเวียนอยู่รอบเกาะนั้น คือ ความสุข ความสบาย ไม่อยากออกจากความสงบในสมาธิ

คำว่าทะเลมหาสมุทรนั้น คือมหาสมุทรที่สัตว์โลกทั้งหลายข้ามพ้นไปได้ยาก หรืออีกความหมายหนึ่ง คือ ตัณหา ๓ อันได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา รวมแล้วเรียกว่า สมุทัย ตัณหา ๓ อย่างนี้ อยู่ในวัฏจักรของภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ รวมเรียกว่า วัฏสงสาร ที่สัตว์โลกทั้งหลายได้เวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่จบสิ้น ฉะนั้น ภพทั้ง ๓ จึงอยู่ท่ามกลางกิเลสตัณหาทั้งหมด จึงยากที่จะผ่านพ้นไปได้เพราะเหตุปัจจัยยังไม่สมดุลกัน เหมือนผู้มีกำลังกายแข็งแรงแต่ขาดกำลังใจ หรือมีกำลังใจแต่ขาดกำลังกาย งานที่จะพึงทำนั้นจึงสำเร็จได้ยาก หรือขาดทั้งกำลังกายและกำลังใจ งานนั้นยิ่งสำเร็จไม่ได้เลย เมื่อใดมีความพร้อมทั้งกำลังกายและกำลังใจ งานนั้นจะสำเร็จลุล่วงได้เป็นอย่างดี

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ




๏ พรรษาที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๐๘

ในพรรษาที่ ๕ ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านศรีวิชัย อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ในปีนี้ หลวงพ่อบุญมา ที่เป็นอาจารย์เก่า เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อบุญมาองค์นี้เอง เป็นผู้ให้ธรรมะเรื่องการเกิดดับเป็นครั้งแรก ก่อนจะเข้าพรรษา คณะศรัทธาทุกคน ตลอดทั้ง พระเณรภายในวัดทุกองค์ พากันตั้งความหวังไว้ว่า พรรษาปีนี้มีความโชคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีอาจารย์ทูลมาจำพรรษาอยู่ด้วย จะได้ฟังธรรมตลอดทั้งพรรษาทีเดียว เมื่อได้ยินคณะศรัทธาและพระเณรซุบซิบกันอย่างนี้ ตัวเองก็เริ่มวางแผนที่จะแก้ปัญหาว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องแสดงธรรม เนื่องจากอยากภาวนาปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันไปตลอด จึงคิดได้ในอุบายหนึ่งว่า มีทางเดียว คือเอา ธุดงค์มุขวัตร คือ ไม่พูดกับใครๆ ทั้งสิ้นในพรรษานี้ แต่ก็มีการยกเว้น ๔ ข้อเอาไว้ คือ ๑. เมื่อหลวงพ่อบุญมาท่านถาม ก็ต้องพูด แต่กับองค์อื่นไม่พูดด้วย ๒. เมื่อมีการเจ็บป่วย มีพระเณรหรือหมอถามอาการ ก็ต้องพูด ๓. แสดงอาบัติ ไหว้พระหรือสวดปาฏิโมกข์ออกเสียงได้ ๔. เมื่อมีอธิกรณ์เกิดขึ้น ในหมู่สงฆ์ พูดได้ นอกเหนือจาก ๔ ข้อนี้ไป จะไม่พูดกับใครๆ

ทั้งนั้น เมื่อได้อุบายแล้ว ก็เก็บเป็นความลับส่วนตัว ไม่ได้บอกให้ใครรู้ แต่อย่างใด เมื่อถึงวันเข้าพรรษา มีการไหว้พระสวดมนต์ และกล่าวคำเข้าพรรษาเสร็จแล้ว ก็ได้ประกาศต่อหน้าสงฆ์ออกไปว่า นับแต่บัดนี้ เป็นต้นไปตลอด ๓ เดือนในพรรษา ผมจะไม่พูดกับใครๆ ทั้งสิ้น ๑-๒-๓ ปิดคำพูดทันที ทำให้พระเณร ญาติโยมผิดหวังไปตามๆ กัน ต่างพากันบ่นว่าอาจารย์ทูลไม่ควรทำอย่างนี้เลย พากันมาขอร้องให้ถอนธุดงค์ข้อนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จแต่อย่างใด

ในพรรษานี้ภาวนาปฏิบัติได้ผลดีมากทีเดียว เพราะไม่มีอารมณ์อะไรจะไปพูดกับใคร เมื่อตัวเองไม่พูด ก็ไม่ได้นึกคิดหาคำที่จะมาพูด เมื่องดพูดผ่านไปได้ ๒ เดือน ผลของการงดพูดนั้นเห็นได้ชัดทีเดียว การทำสมาธิให้จิตมีความสงบนั้นเร็วมาก นึกคำบริกรรมไม่กี่นาที จิตก็มี ความสงบลงอย่างแน่วแน่ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว น้อมใจพิจารณาสัจธรรมในแง่ต่างๆ นั้น ก็มีความรู้เห็นชัดเจนมากทีเดียว เริ่มในวันเข้าพรรษามา การภาวนามีสติปัญญา เชื่อมต่อกันอยู่ตลอดเวลา แต่ละวันแต่ละชั่วโมง ถึงจะมีพระเณรหลายองค์ ก็เหมือนกับอยู่ องค์เดียว ไม่สนใจกับคำพูดของใคร ไม่ได้คิดหาคำพูดอะไรกับใคร ใจจึงมีความเป็นหนึ่งอยู่ตลอดเวลา

อยู่มาในคืนหนึ่ง เมื่อจิตมีความสงบแล้ว ปรากฏเห็นชายคนหนึ่ง แต่งตัวดี จูงม้าขาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามาหา พร้อมทั้งบอกว่า ม้าตัวนี้เป็นม้าของท่าน อีกไม่นานนักท่านก็จะได้ขี่ม้าตัวนี้ จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาดูแล้ว ม้าตัวนี้คงจะวิ่งดีเป็นพิเศษ และมีความแตกต่างจากม้าตัวที่เคยขี่มาแล้ว ตรงที่ขน เพราะขนของม้าตัวที่เคยขี่ แต่ก่อนขาวเหมือนสำลี แต่ม้าตัวนี้มีขนเป็นมันเลื่อม ระยิบระยับ เป็นประกายดุจขนเพชร จึงเกิดความมั่นใจในตัวเองว่า อีกสักวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้ขี่ม้าตัวนี้แน่นอน เมื่อออกพรรษา รับกฐินเสร็จเรียบร้อยแล้ว คิดว่าอยากไปธุดงค์ทางภาคใต้ ในที่สุดก็ได้ไปสมความตั้งใจ

การเดินทางไปทางภาคใต้ในครั้งนี้ก็สะดวกดีทุกประการ และขอสรรเสริญน้ำใจของคนภาคใต้เอาไว้โดยมิรู้ลืม นั่นคือ เมื่อรถได้วิ่งไปจอดที่ไหนตามสายทาง คนขับรถและผู้โดยสารหลายท่าน ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เมื่อรถจอดที่ไหน หลังจากที่ท่านเหล่านั้นลงไปเข้าห้องน้ำและหาอาหารว่างที่เขาชอบกันแล้ว ทุกครั้ง พวกเขาจะลงไปซื้อน้ำอัดลมหรือน้ำฉันอื่น ๆ มาถวาย พร้อมทั้งแสดงความเคารพนอบน้อมเป็นอย่างดี และเป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป และพวกเขายังถามอีกว่า ท่านต้องการอะไรคะ ต้องการอะไรครับ ข้าพเจ้าไม่เคยขออะไรจากเขา แต่เขาก็ซื้ออย่างนั้นอย่างนี้มาถวายหลายอย่างทีเดียว เมื่อได้เวลาฉันอาหาร ที่อำเภอตะกั่วป่า เขาก็เป็นธุระจัดการให้ เขาทำเหมือนกับข้าพเจ้าเคยเป็นพระในเครือญาติของเขา เหมือนกับเคยได้รู้จักกันมานาน การแสดงออกมาทางกายและวาจามีสัมมาคารวะอ่อนน้อมถ่อมตนดีมาก นี้พูดกันสมัยนั้น แต่สมัยนี้จะเหมือนเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่คิดว่าคงเหมือนเดิม เพราะคนภาคใต้เป็นคนที่มีน้ำใจดีมาก ความดีต่าง ๆ ทางภาคใต้นั้นมีมาก

เมื่อรถไปจอดที่ตำบลโคกกลอย ก็ได้ถามชายวัยกลางคนว่า วัดราษฎร์โยธีอยู่ที่ไหน เขาก็พูดภาษาภาคใต้เลยฟังกันไม่รู้เรื่อง ขอให้พูดภาษาภาคกลางเขาก็ไม่ยอมพูด บังเอิญมีชายคนหนึ่งเดินมาจึงได้ถามเขา เขาก็บอกทางให้ มิหนำซ้ำ ยังจัดรถไปส่งถึงวัดด้วย และก็จ่ายเงินค่ารถเองทั้งหมด ทำให้คิดในใจว่า คนภาคใต้จะมีน้ำใจเหมือนกันอย่างนี้ทั้งหมดหรือเปล่า ต่อมาท่าน หลวงพ่อคำพอง ติสฺโส ได้พาไปธุดงค์ในที่ต่างๆ หลายแห่ง แต่ไม่ขอเขียนไว้ในที่นี้


๏ พรรษาที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๐๙

ในปีนี้ ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดราษฎร์โยธี ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ในระหว่างเข้าพรรษา ได้ทราบข่าวว่าโยมพ่อได้เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้นิมนต์หลวงพ่อคำพองขึ้นมาทำบุญพร้อมพระเณรอีกหลายรูป การทำบุญในครั้งนี้จะไม่มีเครื่องมหรสพใดๆ ไม่มีการฆ่าสัตว์ทุกชนิด และไม่ให้มีเหล้ายาต่างๆ ภายในงาน ญาติทุกคนต้องให้รับศีล ๕ ทั้งหมด ให้ทุกคนมีความบริสุทธิ์ในการทำบุญอุทิศกุศลในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์ เมื่องานเสร็จสิ้นอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้คิดขึ้นมาว่า การทำบุญอุทิศกุศลให้โยมพ่อครั้งนี้ โยมพ่อจะได้รับผลบุญของลูกหลานและญาติๆ หรือไม่ เมื่ออธิษฐานจิตแล้วก็เร่งภาวนาปฏิบัติเต็มที่ เพื่ออยากรู้ว่าโยมพ่อได้รับส่วนบุญในครั้งนี้หรือไม่ เพื่อจะได้ประกาศให้คนอื่นรู้วิธีทำบุญแบบนี้ต่อไป


๏ ไปโปรดโยมพ่อ

เมื่อภาวนาไปได้ ๓ วัน ในคืนนั้น ได้เกิดนิมิตเห็นเส้นทางอันราบรื่นขึ้นต่อหน้า ข้าพเจ้าได้ออกเดินทางตามทางนั้นไป อีกพักหนึ่ง ได้เห็นประตูเหล็กขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า มีชายฉกรรจ์รักษาประตูอยู่ ๔ คน แต่ละคนถือหอกดาบครบมือ มีหน้าตาเคร่งขรึม ยืนนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปหาเพื่อจะถามว่านี้เป็นสถานที่อะไร ทางนี้จะไปที่ไหน ทั้ง ๔ คนนั้นได้ไหว้แสดงความเคารพนอบน้อมเป็นอย่างดี แล้วได้พูดขึ้นว่า ที่นี่เป็นประตูเข้าไปสู่ยมโลก ทุกคนที่ตายจากเมืองมนุษย์แล้วต้องเข้ามาให้สืบสวนสอบสวนในที่แห่งนี้ทุกคน

เขาถามข้าพเจ้าว่า พระคุณเจ้ามีความประสงค์สิ่งใดจึงได้มาในที่แห่งนี้ จึงตอบเขาไปว่า อาตมามีความประสงค์อยากทราบว่า โยมพ่อของอาตมาที่ตายไปแล้วได้เข้ามาในที่แห่งนี้หรือไม่ เขาถาม ขณะนี้พระคุณเจ้ากำลังติดตามหาโยมพ่อใช่ไหม ตอบเขาไปว่า ใช่แล้ว อาตมากำลังติดตามหาโยมพ่อ เขาพูดว่า ถ้าเช่นนั้น ขอนิมนต์พระคุณเจ้าเข้าไปสอบถามหัวหน้าที่อยู่ภายในเถิด จากนั้น ประตูเหล็กขนาดใหญ่ก็ได้เปิดออก ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไป พอดีไปพบกับหัวหน้าใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เป็นผู้ตรวจบัญชีของคนตายทั้งหมด ว่าคนที่ตายนั้นมีอายุเท่าไร อยู่ที่ไหน บ้านเลขที่เท่าไร ตำบล อำเภอ จังหวัดอะไร ชื่ออะไร นามสกุลอย่างไร เหมือนกันกับจดลงในใบสำมะโนครัวทั้งหมด

เมื่อเข้าไปถึง ดูเขาทำท่าตกตะลึงไปบ้าง แต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวดี เมื่อเขายกมือไหว้แล้ว ก็พูดว่า พระคุณเจ้ามีความประสงค์อะไรหรือครับ ก็ได้เล่าให้เขาฟังว่า อาตมากำลังติดตามหาโยมพ่อ เพราะโยมพ่อได้ตายมาแล้วหลายเดือน ไม่ทราบว่าโยมพ่ออาตมาได้เข้ามาอยู่ที่นี่หรือเปล่า เขาถามว่าพ่อของพระคุณเจ้าชื่ออะไร นามสกุลอะไร ก็บอกเขาไปว่า ชื่อนายอุทธา นนฤาชา จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบเอาหนังสือมาเปิดดู หนังสือนั้นมีความหนาประมาณ ๑ ศอก เขาใช้นิ้วมือกรีดเปิดพรืดเดียวแล้วอ่านดู และพูดขึ้นมาว่า นายอุทธา นนฤาชา อยู่บ้านหนองแวง (แก้มหอม) ตำบลไชยวาน อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ใช่ไหมครับ บอกเขาไปว่าใช่แล้ว เขาพูดว่า ยังอยู่ที่นี่ครับ

บอกเขาไปว่า อาตมาอยากขอพบโยมพ่อหน่อย เขาก็บอกคนใช้อีกคนหนึ่งว่า รีบไปตามนายอุทธา นนฤาชา ออกมาพบกับพระลูกชายด้วย เขาก็รีบวิ่งไป อีกสักพักหนึ่ง เขาก็ตามโยมพ่อเข้ามาหา เมื่อโยมพ่อเดินมา ลักษณะคล้ายจะมีความละอาย และอีกอย่างหนึ่ง คือ ที่แก้มด้านขวาคล้ำไปนิดหนึ่ง ส่วนแก้มด้านซ้ายเป็นปกติ เวลาเดินเข้ามาจะเอียงหน้าหันด้านซ้ายเข้ามา กางเกง เสื้อผ้าที่นุ่งขณะตายนั้น ใส่อย่างไร ตายไปก็จะนุ่งห่มอย่างนั้นไปก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญจากลูกหลานและญาติๆ แล้ว ผ้านุ่งห่มจึงจะเปลี่ยนไป เมื่อโยมพ่อเข้ามาแล้วก็กราบตามปกติ จึงถามโยมพ่อว่า จำอาตมาได้ไหม

โยมพ่อตอบ จำได้

ถาม โยมพ่ออยู่ที่นี่ถูกเขาตีไหม

ตอบ แต่ก่อนถูกตีอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ตีเลย

ถาม มาอยู่ที่นี่มีการไหว้พระภาวนาไหม

ตอบ ไหว้พระทุกคืนภาวนาทุกคืน

ถาม ลูกหลานทำบุญอุทิศมาให้ได้รับไหม

ตอบ ได้รับ ๓ ส่วน อีกส่วนหนึ่งไม่ได้รับ

ถาม ทำไมจึงไม่ได้รับ

ตอบ เพราะพระสงฆ์ที่รับเครื่องไทยทานศีลไม่บริสุทธิ์

ถาม กรรมที่จะต้องใช้อยู่ในขณะนี้มีมากไหม

ตอบ มีไม่มาก เพราะกรรมเล็กๆ น้อยๆ หมดไปแล้วเหลือแต่กรรมจากวัวตัวเดียว

จากนั้น ก็ได้มาปรึกษากับหัวหน้ายมบาลว่า กรรมของโยมพ่ออาตมาส่วนใหญ่หมดไปแล้ว เหลือกรรมเนื่องจากวัวตัวเดียวเท่านั้น เมื่อกรรมเหลือน้อยนิดเดียวนี้ อาตมาอยากขอบิณฑบาตโยมพ่อพ้นจากกรรมนี้ได้ไหม จากนั้น หัวหน้ายมบาลก็ไปหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่ง มาอ่านเพื่อดูกรรมของโยมพ่อที่ทำมา แล้วก็พูดว่า กรรมของโยมพ่อพระคุณเจ้าจะหมดในวันนี้ ผมขอแสดงความเคารพนับถือ ต่อพระคุณเจ้าเป็นอย่างมากที่ได้ติดตามมาโปรดโยมพ่อถึงที่ จึงได้ถามโยมพ่อว่าอยากบวชไหม โยมพ่อตอบว่า อยากบวช จากนั้น ข้าพเจ้าก็เอาผ้าขาวออกมาจากย่ามยื่นให้ โยมพ่อก็ได้นุ่งห่มผ้าอย่างเรียบร้อย พอนุ่งห่มผ้าขาวเสร็จเท่านั้น ผิวพรรณของโยมพ่อ ก็เปลี่ยนไปทั้งหมด หน้าตามีความอิ่มเอิบ ผิวพรรณผ่องใสเป็นอย่างมาก แล้วกราบอาตมา ๓ ครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า กรรมที่โยมพ่อได้ทำ หมดไปแล้วในวันนี้ ขอให้ลูกได้ไปประกาศ ให้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ พากันสร้างความดีไว้ให้มาก เมื่อตายไปจะได้ไม่เป็นทุกข์ โยมพ่อพูดว่า จากนี้ไป โยมพ่อจะได้ขึ้นไปอยู่ที่สูงแล้วนะ ว่าแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง เสร็จแล้วก็ลอยขึ้นไปสู่อากาศ มองดูโยมพ่อลอยขึ้นไปจนสุดสายตา

ขอกลับมาเล่าเรื่องคนตายต่อไป คิดว่าท่านผู้อ่านจะได้นำไปเป็นข้อคิดได้บ้างไม่มากก็น้อย ในช่วงขณะที่ข้าพเจ้าได้พูดคุย กันกับยมบาล และโยมพ่ออยู่นั้น มียมทูตได้นำผู้ที่ทำกรรมชั่ว ผ่านมาเป็นจำนวนมาก มีทั้งเชือกผูกคอลากเข้ามา มีทั้งโซ่ผูกแขนขา ดึงกันเข้ามา มีทั้งเอาไม้เรียวเฆี่ยนตีเลือดอาบตัว พากันร้องโหยหวนระงมไปทั้งหมด บางคนมีผ้านุ่งที่ฉีกขาด บางคนไม่มีผ้าติดตัวมาเลย ยมทูตได้บังคับขู่เข็ญด้วยวิธีต่างๆ พวกที่ทำกรรมชั่วมาแล้ว ได้รับความทุกข์ทรมานมากทีเดียว ผู้ที่ยมทูตนำไปนั้น มีจำนวนมากมาย ไม่อาจจะนับได้

เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่ง จะมองเห็นศาลาว่าการ ซึ่งใช้เป็นที่ตัดสินของผู้ทำกรรมชั่วทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ถามยมบาลว่า ศาลานั้นมีเพื่อทำอะไร ยมบาลพูดว่า ศาลานั้นใช้เพื่อเป็นศาลตัดสินโทษที่มนุษย์ได้ทำเอาไว้ ใครทุกคนที่ตายแล้ว เมื่อมีบาปติดตัวมา ต้องได้ขึ้นศาลตัดสินในที่นี้ทั้งหมด ใครทำกรรมชั่วน้อย ก็มีที่คุมขังไว้อีกส่วนหนึ่งต่างหาก ถ้าผู้ที่ได้ทำกรรมชั่วมาก ก็จะมีที่คุมขัง อย่างทรมาน แยกไว้อีกต่างหาก เมื่อถึงวันกำหนด ก็จะได้นำผู้ทำกรรมเหล่านี้ มาให้การตามหลักฐานที่มีอยู่แล้ว ขณะนี้ผู้ที่ทำกรรมชั่ว ทั้งหมดจะตกเป็นจำเลย ส่วนกรรมชั่วที่เขาทำมาแล้วนั้น จะเป็นโจทก์ฟ้องตามคดี ขณะนั้น หมู่โจทก์ทั้งหลายมีทั้งวัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ ตลอดสัตว์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก พากันเข้าเรียงแถว เป็นโจทก์ฟ้องผู้ที่ทำกรรมชั่วอยู่อย่างเนืองแน่น

การตัดสินในศาลของยมบาลนี้มีความเที่ยงธรรมมาก เรียกว่า ใช้กรรมชั่วดีเป็นที่ตัดสินอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการคอรัปชั่น ไม่มีการเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย ไม่มีคำว่าผู้มีเงินมากจะชนะผู้มีเงินน้อยเหมือนโลกมนุษย์เรา แล้วก็เกิดมีความสลดสังเวชใจอีกอย่างหนึ่ง คือ ผู้อ้างตัวว่าเป็นสมณะหัวโล้นห่มผ้าเหลือง ก็ยังเป็นจำเลยถูกฟ้องในศาลนี้ก็มีมากทีเดียว ถ้าหากผู้ที่ทำความดีไว้มาก ทำความชั่วน้อย ตายไปก็ต้องมาตัดสินในศาลนี้ก่อน เมื่อกรรมชั่วที่มีจำนวนน้อยหมดไป จึงจะได้ไปสู่สุคติตามกรรมที่ตัวเองได้สร้างไว้แล้ว แต่ถ้ากรรมดีมีน้อย กรรมชั่วมีกำลังมาก ก็จะแจกแจงออกไปตามกรรมต่างๆ บางกรรมก็ส่งลงไปอเวจีมหานรก บางกรรมก็ตกไปอยู่ในนรกขุมเล็กๆ ตามกรรมจำแนกไว้แล้ว บางกรรมก็จะส่งไปเป็นเปรต บางกรรมก็ส่งไปเป็นสัตว์ดิรัจฉาน บางกรรมก็จะส่งไปในหมู่อสุรกาย ถ้าผู้ทำในกรรมดีล้วนๆ จะไม่ได้เข้ามาในเขตของยมบาลนี้เลย เมื่อเขาหมดชีวิตไปก็จะไปสู่สุคติทันที ฉะนั้น จึงขอเตือนแก่พวกเราทั้งหลายเอาไว้ โดยมิได้บังคับ ถ้าท่านไม่เชื่อ จะทำกรรมชั่วอย่างไรก็ตามใจ แต่ท่านก็จะได้เป็นผู้รับผลในการกระทำของท่านเอง

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว



๏ พรรษาที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๑๐

ในพรรษาที่ ๗ นี้ จำพรรษาอยู่ที่วัดสันติกาวาส ตำบลไชยวาน อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี มี หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล เป็นเจ้าอาวาส ในพรรษานี้ การภาวนาปฏิบัติก็มีความราบรื่นไปด้วยดี นิสัยของหลวงปู่บุญจันทร์ ท่านมีนิสัยที่พูดน้อย การพูดในธรรมก็น้อย แต่ก็เต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ คำพูดที่ท่านพูดออกมา เมื่อนำไปพินิจพิจารณาดูแล้ว มีความหมายอย่างลุ่มลึก และเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ถ้ามีปัญญาตีพิจารณาให้รอบคอบแล้ว มีความหมายอย่างพิสดารมากทีเดียว เว้นเสียแต่ผู้มีหูหนา ปัญญาทึบเท่านั้น จึงจะฟังธรรมของท่านไม่รู้เรื่อง

ในพรรษานี้ เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของหลวงปู่มั่นมาเตือน เหตุเกิดในคืนวันหนึ่ง ขณะที่จิตมีความสงบอยู่นั้น ได้ยินเสียงของหลวงปู่มั่นว่า ทูล ออกจากที่นี่แล้วให้ไปอยู่กับอาจารย์ขาว วัดถ้ำกลองเพลนะ ความปรารถนาของท่านจะเป็นจริงในไม่ช้านี้เอง จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ ข้าพเจ้าจึงใช้ปัญญา พิจารณาในคำสั่งของหลวงปู่มั่น แล้วเกิดมีความอิ่มเอิบใจตลอดทั้งคืน เกิดความมั่นใจในตัวเองว่า ออกพรรษาแล้วจะเข้าไปอยู่กับหลวงปู่ขาวแน่นอน และมีความภาคภูมิใจในตัวเองว่า ชีวิตเราไม่เคยเห็นหลวงปู่มั่นเลย แต่ท่านก็ยังมีความเมตตามาเตือนสติให้ และมีความมั่นใจในตัวเองว่า ถ้าได้เข้าไปอยู่กับหลวงปู่ขาวแล้ว จะทำให้รู้เห็นในธรรมอย่างแน่นอน นี่เป็นเพียงตั้งความหวังเอาไว้เท่านั้น ผลจะออกมาเป็นอย่างไรนั้น จงติดตามอ่านกันต่อไป

ในพรรษานี้ การภาวนาปฏิบัติก็มีความก้าวหน้าไปด้วยดี ไม่มีอุปสรรคขัดขวางแต่อย่างใด เพราะโดยปกตินิสัยของข้าพเจ้านั้น พยายามที่จะตั้งอยู่ในความเพียรอยู่ตลอด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่ก็ตาม สติปัญญาจะคิดหาอุบายธรรม มาพิจารณา ให้ลงสู่ไตรลักษณ์อยู่เสมอ เช่น ปัดกวาดลานวัด หรือทำความสะอาดในศาลาและห้องน้ำ ก็จะเอาเรื่องที่กำลังทำนั่นแหละ เป็นอุบายในการพิจารณาในปัญญาต่อไป ไปเห็นต้นมะพร้าวต้นหนึ่งที่ปลูกไว้ในสมัยตั้งวัดครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ต้นใบของมะพร้าวนั้น มีความสดเขียวเป็นปกติ แต่ก็ไม่สูงและไม่ออกผลแต่อย่างใด ก็เอามะพร้าวต้นนี้แหละมาเป็นอุบายปัญญา โอปนยิโก น้อมเข้ามา สอนตัวเองว่า เราอย่าทำใจให้เหมือนต้นมะพร้าวนี้เลย เพราะมะพร้าวต้นนี้เกิดมานานหลายปี ไม่มีลูกติดต้นแม้แต่ลูกเดียว ถ้าเราบวชเพียงมีพรรษามาก แต่มรรคผลไม่เกิดขึ้นกับเรา เหมือนกับว่าขาดทุนทั้งชาติไปเลย ฉะนั้น เราอย่าทำตัวให้เป็นเหมือน ต้นมะพร้าวนี้เลย พอออกพรรษารับกฐินแล้ว ก็ไปอยู่วัดถ้ำกลองเพล


๏ พรรษาที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๑๑

เมื่อเข้ามาวัดถ้ำกลองเพลในครั้งแรก จะต้องวางตัวเองให้เป็นเต่าล้านปี ไม่ให้มีใครจับนิสัยตัวเองได้ ความโง่มีเท่าไร ก็จะแสดงออกมาทั้งหมด ปีนั้น มีพระอาจารย์จวนจำพรรษาอยู่ด้วย พอเข้าไปแล้ว ก็ได้มอบกายมอบตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ขาว หลวงปู่ก็มีความยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายไปมาว่า ท่านบวชอยู่ที่ไหน ก็ตอบท่านไปว่า บวชที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ท่านก็ถามต่อไปว่า ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ตอบท่านไปว่า หลวงพ่อเจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่ยิ้มๆ แล้วพูดว่า อื้อ บวชในอุปัชฌาย์เดียวกันกับเฮา แล้วหลวงปู่ก็ได้ถามอุบายการปฏิบัติในแง่ต่างๆ หลายข้อ

ข้าพเจ้าก็ได้เล่าถวายท่านไปในจุดสำคัญๆ เมื่อท่านได้รับฟังแล้วก็พูดต่อไปว่า ให้ใช้อุบายปัญญาพิจารณาให้มาก เห็นสิ่งใดให้นำมาพิจารณาลงสู่ไตรลักษณ์ทั้งหมด ปัญญาเท่านั้น ที่จะพาให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ในสัจธรรมได้ เพราะปัญญาเป็นแสงสว่างให้ใจ ขณะใจมันมืดบอด ไม่รู้เห็นในหลักความเป็นจริง เมื่อใช้ปัญญาสอนใจอยู่บ่อยๆ ใจก็จะค่อยเกิดความฉลาดรอบรู้ตามหลักความเป็นจริง ทุกสิ่งเพียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเท่านั้น ให้ใช้ปัญญาพิจารณาให้มากนะ วันหนึ่งคืนหนึ่งผ่านไป ชีวิตของเราก็ผ่านไปด้วย ผลที่จะได้รับจากชีวิตที่มีอยู่เรารู้เห็นหรือยัง อย่าประมาทในชีวิตของตัวเอง เราอาจตายไปในวันไหน เดือนไหนก็ได้

เมื่อรู้ตัวเองว่ามีชีวิตอยู่ในขณะนี้ ก็ให้ถือว่าเรามีโชคดี ถ้าโชคร้ายอาจจะตายไปนานแล้วก็เป็นได้ ขณะนี้ชีวิตเรามีอยู่แค่ลมหายใจเท่านั้น ถ้าลมเข้าไม่ออก ถ้าลมออกไม่เข้า เราก็หมดสิทธิ์ในชีวิตนี้ทันที และหมดสิทธิ์ที่สร้างความดี ต่อไปด้วย ฉะนั้น จงเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตนะ จากนั้น ก็กราบลาหลวงปู่มาที่กุฏิ แล้วเอาอุบายธรรมที่ท่านหลวงปู่สอนเอาไว้ มาภาวนา ปฏิบัติต่อไป ในปีนี้ มีพระเถระผู้ใหญ่จำพรรษาอยู่ด้วยหลายองค์ แต่ละองค์มีบทบาทสูงมากทีเดียว มีบริษัทบริวารไปมาหาสู่ เป็นจำนวนมาก เอกลาภมี น้ำอ้อย น้ำตาล นม เนย เป๊ปซี่ โคล่า เต็มกุฎิไปหมด ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้อาศัยขบฉันจากท่านไปด้วย ตลอดการอบรมธรรมสั่งสอนประชาชนในทางธรรมปฏิบัติ รู้สึกว่าแต่ละท่านแต่ละองค์มีความแพรวพราวเป็นสัญลักษณ์ของตัวเอง ตัวข้าพเจ้าก็พลอยมีความรู้จากครูอาจารย์นี้ไปด้วย มีอุบายธรรมบางหมวดหมู่ ฟังแล้ว ถ้าขาดเหตุผลเราก็ปล่อยทิ้งไป ธรรมใดมีเหตุผลดี พอเชื่อถือได้ก็นำมาปฏิบัติแก่ตัวเอง ไม่ต่อต้านใคร ไม่ถกเถียงใครในทางธรรมะ หน้าที่เราคือ มีการฟังอย่างเดียว ใครจะว่าพระทูลโง่ อย่างไร ไม่สนใจ ขออย่าให้เราเกิดมีปัญหากับใครๆ ก็เป็นพอ

อยู่มาในคืนหนึ่ง ในขณะจิตมีความสงบแล้ว มีนิมิตเกิดขึ้นว่า ขณะนั่งอยู่ในกุฏิ ได้ยินเสียงคนพูดกัน ๒-๓ คน ได้ยินเสียงว่า พระทูลมาอยู่กุฏิแถวนี้นะ หรือว่าอยู่กุฏินี้หรือเปล่านะ ข้าพเจ้าจึงมองออกจากกุฏิ เห็นชายร่างกายกำยำล่ำสัน ๓ คน ถือปืน หอก และดาบ ครบมือ หวังจะตามฆ่าพระทูลให้ตายไป ได้ยินเขาบอกกันว่า ให้คนหนึ่งขึ้นไปดูในกุฏิบ้างซิ ส่วนอีกสองคนจะคอยอยู่ข้างล่าง เมื่อมันกระโดดลงมาจะฟันให้ขาดเป็นท่อนๆ ครั้นแล้ว เมื่อคนที่ขึ้นมาบนกุฏิพบข้าพเจ้าอยู่ในกุฏิ ก็ร้องตะโกนบอกกันว่า มันอยู่ที่นี่ รักษาข้างล่างไว้ให้ดีนะ จะเข้าไปจับเอาตัวมันมาฆ่าเอง ข้าพเจ้าคิดขึ้นมาว่า นี่มันเรื่องอะไรกันถึงจะมาฆ่าเรา ตัวเราก็ยังไม่ถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ เดี๋ยวเราจะหลบตัวไปก่อนไม่ให้มันจับเราฆ่าได้เลย

คิดได้ดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็กระโดดออกทางหน้าต่าง เหาะหนีไป เขาทั้ง ๓ คนก็บอกกันว่า มันเหาะหนีไปแล้ว ติดตามมันให้ทัน อย่าให้มันหนีพวกเราไปได้ ในขณะที่ข้าพเจ้าเหาะหนีไป ทั้งสามคนก็วิ่งติดตาม อยู่เบื้องล่าง แล้วบอกกันว่า อย่าให้เผลอนะ ถ้ามันหลบไปได้ จะติดตามฆ่ามันยากมาก ข้าพเจ้าก็เหาะหนีไปเรื่อยๆ เมื่อเหาะหนีไปถึง ทุ่งเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวพอให้ได้อาศัยเลย กำลังที่ใช้เหาะหนีไปก็ค่อยๆ ลดลงๆ เมื่อพยายามบังคับตัวเอง ให้เหาะต่อไปอีกไม่ได้ ก็เหาะต่ำลงๆ ชายทั้ง ๓ คนก็คอยรับอยู่ข้างล่าง แล้วบอกกันว่า อย่าให้มันตกดินนะ ครั้นแล้วคนหนึ่ง ก็กอดรัดข้าพเจ้าที่คอ คนหนึ่งเข้าหามกลางตัว อีกคนหนึ่งเข้ากอดที่ขา แล้วปรึกษากันว่า จะนำข้าพเจ้าไปฆ่า ที่กลางทุ่งใหญ่

ในช่วงที่หามข้าพเจ้าไปนั้น ก็พากันพูดเยาะเย้ยไปว่า ไอ้ตัวดี คิดอยากจะหนีจากพวกเรา แต่บัดนี้หนีไม่ได้แล้ว มึงจะต้องตาย ด้วยน้ำมือของกูในครั้งนี้เอง ข้าพเจ้าก็คิดว่า ถ้าเขาจะฆ่าเราจริงๆ ก็จะฆ่าได้เพียงร่างกายเท่านั้น ส่วนใจเรา หาฆ่าให้ตายได้ไม่ จากนั้น เขาก็หามข้าพเจ้าไปบริเวณที่จะฆ่า และวางตัวข้าพเจ้า ลงนอนคว่ำหน้าลงดิน คนหนึ่งใช้ปืนยิงลงที่กลางหลัง ฟังเสียงลูกปืน ทะลุลงพื้นดินดัง ปุๆ ไม่รู้ว่าถูกยิงกี่นัด อีกคนหนึ่งเอาหอกแทงเข้าที่ต้นขาทะลุเสียบปักใส่ดิน อีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า กลัวมันไม่ตายสนิท จึงถอดดาบยาวขนาดแขน ออกจากฝัก มือหนึ่งจับคางข้าพเจ้ายกขึ้น อีกมือหนึ่งจับดาบแทงเข้าไปในซอกคอ จนปลายดาบทะลุถึงก้น แล้วจับดาบโยกไปโยกมา มีเลือดไหลนองตามพื้นดินเต็มไปหมด ข้าพเจ้าก็ทำท่าตายไป พวกเขาก็บอกกันว่า ขนาดนี้มันก็ตายแล้ว ทิ้งศพมันไว้ที่นี่แหละ จากนั้น เขาก็ถอดเอาดาบและหอกออก แล้วพากันหนีไป

เมื่อเขาเข้าป่าไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้อธิษฐานว่า หากข้าพเจ้าภาวนาปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ในชาตินี้แล้ว ขอให้บาดแผลในร่างกายทั้งหมด ได้หายเป็นปกติด้วยเถิด ทันใดนั้น แผลทั้งหมดก็หายไปอย่างฉับไว ร่างกายก็มีความแข็งแรงตามเดิม จากนั้น ก็วิ่งหนีเข้าป่าไปอีกทางหนึ่ง พอดีไปพบกับโยมแม่ ที่นั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว โยมแม่พูดว่า รักษาตัวให้ดีนะ อย่าหลงกลเขาอีก ในขณะนั้น ชาย ๓ คน ก็ได้วิ่งตามมาอีก ข้าพเจ้าจึงกระโดด เหาะขึ้นไป อยู่บนต้นไม้สูงอีกต้นหนึ่ง เขาก็บอกให้ลงมา ข้าพเจ้าก็ไม่ลง อีกคนหนึ่งได้ปีนต้นไม้ตามขึ้นไป ข้าพเจ้าก็เหาะหนีไปอีก แล้วหลบตัวอยู่ที่ปลายยอดของต้นยางกลางดงขนาดสูงใหญ่ แต่เขาทั้ง ๓ คนก็วิ่งตามมาทัน คนหนึ่งก็ปีนต้นไม้ตามขึ้นมา ข้าพเจ้าก็เหาะหนีไปอีก เหาะหนีครั้งนี้ ได้ไปเหาะวนเวียนอยู่เหนือก้อนเมฆหลายรอบ เพื่อให้ ๓ คนนั้นหลงทางตามไม่ทัน แล้วเหาะลงมาหลบอยู่ปลายยอดต้นพะยุงขนาดสูงใหญ่อีกต้นหนึ่ง แต่ชาย ๓ คนนั้นก็ตามมาทันอีก คนหนึ่งในนั้นก็ปีนต้นไม้ตามขึ้นมาอีก ข้าพเจ้าก็ได้เหาะหนีไปอีก เหาะหนีไปครั้งนี้ไปตกทุ่งใหญ่ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย แต่มีต้นมะเกลือต้นหนึ่งสูงประมาณ ๕ เมตร

ในตอนนั้น เกิดความเหน็ดเหนื่อยจนไม่สามารถจะเหาะหนีต่อไปอีกได้ จึงเหาะลงมาอาศัยอยู่ที่ต้นมะเกลือต้นนั้น พวกเขาก็วิ่ง ตามมาอีก แต่ในคราวนี้เหลืออยู่เพียง ๒ คน อีกคนหนึ่งไม่รู้ว่าหายไปไหน เขาขู่ว่าถ้าไม่ลงมาจากต้นมะเกลือ จะพากันขึ้นไป เอาดาบฟันให้ตายเดี๋ยวนี้ ดูท่าทางเขาจะเอาจริงเสียด้วย ข้าพเจ้าจึงคิดวางแผนเอาไว้ว่า เราต้องแกล้งทำความอ่อนน้อมถ่อมตัวต่อเขา และให้เขาสัญญาว่าจะเป็นมิตรกับเราเพื่อเขาจะได้ไม่ฆ่าเรา จึงพูดกับเขาว่า ถ้าจะให้เราลงไป ท่านทั้ง ๒ คนจะยอมเป็นเพื่อนเราไหม เมื่อเขาตอบตกลง และรับปากสัญญาว่าจะไม่ฆ่าฟันกันอีก ข้าพเจ้าจึงลงจากต้นมะเกลือมา หลังจากนั้น เราก็ทำท่าเข้ากอด แสดงความเป็นมิตรต่อกัน แล้วก็พากันเดินไปด้วยความไว้วางใจกัน

ข้าพเจ้าจึงเริ่มวางแผนใหม่ว่า ขณะนี้ ปืนกับหอกไม่มีแล้ว ทั้ง ๒ คนมีดาบเพียงเล่มเดียว เราจะต้องหากลอุบายเพื่อจะถือดาบเล่มนี้ให้ได้ เมื่อเราได้ดาบเล่มนี้แล้ว เราจะเอาดาบเล่มนี้ฟันคอทั้ง ๒ คนให้ตายด้วยน้ำมือเราทันที เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วจึงพูดกับเขาไปว่า นี่เพื่อน ไหน ๆ เราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว แต่เพื่อนมี ๒ คน แต่เรามีคนเดียว หากเพื่อนให้เราถือดาบเอาไว้ เราก็จะวางใจต่อเพื่อนอย่างสนิทใจ หนึ่งในสองคนนั้นจึงพูดขึ้นว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันถือดาบเอาไว้เสีย จากนั้น เขาก็ยื่นดาบมาให้ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ากำด้ามดาบให้แน่นแล้วก็เงื้อดาบขึ้นเต็มแรง ในขณะที่เงื้อดาบจะฟันลงไปนั้น จิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิ รู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ในเหตุการณ์จริง

จากนั้น ก็ใช้ปัญญาพิจารณาคิดเรียบเรียงในนิมิตที่เกิดขึ้นว่าเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไร ซึ่งพิจารณาได้ความว่า กุฏินั้น หมายถึงร่างกายที่อาศัย เราที่อยู่ในกุฏิ หมายถึงใจที่อาศัยกายนี้อยู่ ชาย ๓ คน หมายถึง กิเลส ตัณหา อวิชชา ที่เป็นเพื่อนรักของใจ มาตลอด หอก ดาบ ปืน หมายถึง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ตามฆ่านั้น หมายถึง ใจจะตีตัวออกห่าง จากเพื่อนเก่า หนีไป เพื่อนไม่ยอมจึงติดตามฆ่าเพื่อให้กลัว ทีหลังจะได้ไม่คิดแยกทาง ทิ้งเพื่อนหนีไป โยมแม่ หมายถึง ธรรมที่ปกป้องตัวเรา ไม่ให้ตกไปในทางที่ชั่ว เหาะหนีไป หมายถึง อุบายธรรมที่ปฏิบัติให้ออกจากกิเลส ตัณหา อวิชชา อาศัยอยู่ที่ต้นไม้สูง หมายถึง ไปพักผ่อนในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง เหาะลอยอยู่บนอากาศหลายรอบ หมายถึง พรหมโลก คือ รูปฌาน อรูปฌาน เหาะลอยลงมา หมายถึง เมื่อหมดฤทธิ์ของฌาน ก็ลงมาเกิดในโลกมนุษย์อีก จึงเรียกว่ากำลังของฌานสมาบัติเสื่อม หรือกำลังบุญกุศลหมดแล้ว ที่มาพักอยู่ต้นมะเกลือกลางทุ่งนา หมายถึง ต้องลงมาเกิดอาศัย ร่างกายในภพชาติของมนุษย์นี้อีก ต้นมะเกลือสูง ๕ เมตร หมายถึง มาหลงติดว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตนของเรา

อุบายที่มีสัญญาเป็นเพื่อนกันนั้น หมายถึง อุบายปัญญาหลอกกิเลส ตัณหา อวิชชา ให้หลงกล อุบายขอดาบจากเพื่อนมาถือ หมายถึง สังขารสมมุติที่เป็นเครื่องมือสำคัญของกิเลส ตัณหา อวิชชา ให้หลงกล หลอกเอาดาบจากเพื่อนมาได้ หมายถึง ความฉลาดเฉียบแหลม ของสติปัญญา เหนือกว่าสมมุติและสังขาร โดยเอาสังขารสมมุติมาเป็นเครื่องมือ ชาย ๒ คนที่ตามมา หมายถึง โมหะ อวิชชา กำลังเงื้อดาบฟันเพื่อน หมายถึง สมมุติสังขารที่กิเลส ตัณหา อวิชชา ได้ครอบครองมาก่อน เมื่อสติปัญญา มีอุบายเอาสมมุติสังขาร มาเป็นเครื่องมือได้แล้ว ก็จะตัดสิทธิ์จากกิเลส ตัณหา อวิชชา ทันที การตีความหมายในนิมิตนี้ ไม่ควรจะอธิบายไว้เลย เพราะเป็นเรื่อง ส่วนตัว ที่จริงนิมิตทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น สุบินนิมิต หรือ อุคคหนิมิต ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว ถ้าผู้นั้นไม่มีปัญญาที่ดี ที่ฉลาด นิมิตนั้น ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด แต่ถ้าผู้ใดมีสติปัญญาที่ฉลาด ก็สามารถนำเอานิมิตนั้นๆ มาเป็นอุบายในการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี และมีประโยชน์ที่จะทำให้เกิดความเห็นชอบตามหลักความเป็นจริงได้ และเป็นอุบาย ที่จะทำให้เกิดความแยบคายในเหตุผลได้เป็นอย่างดี

ในปีนี้จำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพล จึงมีกำไรในการภาวนาปฏิบัติมากทีเดียว ในวันหนึ่ง ได้ไปขอคำปรึกษาจากหลวงปู่ขาว เรื่องสถานที่ที่จะไปภาวนา ว่าที่ไหนมีความสะดวกในการภาวนา หลวงปู่ก็ได้เล่าถึงสถานที่ที่ไปภาวนามาหลายที่หลายแห่งมากมาย ทุกแห่งก็ภาวนาดีทั้งนั้น แต่จะให้ภาวนาดีที่สุดคือ ไปภาวนาทางภาคเหนือ เพราะภาคเหนือไม่มีคนไปมาหาสู่ จุ้นจ้านเหมือนภาคอีสาน บ้านเรา เขาเอาข้าวกับอาหารใส่บาตรแล้วก็แล้วกันไป เขาไม่ตามไปขอเลข ขอหวยเหมือนทางบ้านเรา แต่ละวัน แต่ละคืน การภาวนา มีความต่อเนื่องกันไปตลอด ไม่ขาดวรรคขาดตอน จะยืน เดิน นั่ง นอน ในที่ไหน ไม่คิดว่าจะมีคนไปมาหาสู่ ส่วนภาคเรามีคนเล่นเลข เล่นหวยมาก ไปพักภาวนาปฏิบัติที่ไหน มีแต่คนไปขอหวยขอเบอร์วุ่นวายไปหมด ขอเลขตรงๆ แม่นๆ สองตัวสามตัวบ้าง หรือขอฟังนิมิตความฝันบ้าง บอกว่าไม่ฝันก็ยังบังคับให้ฝันอยู่นั่นแหละ แต่บางองค์ก็อาจจะมีอยู่บ้าง บางองค์ไม่มีเจตนาอย่างนี้เลย

บางทีเขาไปจับเอาธรรมที่แสดงไป เช่น พูดเรื่องศีล ๕ ศีล ๘ ก็ไปตีเป็นเลขเป็นเบอร์ไปหรือพูดเรื่องธรรมะอะไรออกมาก็ตาม ก็จะคอยฟัง แล้วจะตีเป็นเลข ไปทั้งหมด เกาหัวก็ตีเป็นเลข เกามือกำมือก็ตีเป็นเลข ชี้มือแบมือก็ตีเป็นเลขทั้งหมด บางทีมันตรงกับเลขตัวที่มันออก ก็เล่าลือกันไปใหญ่ ว่าองค์นั้นใบ้หวยแม่น แล้วก็พากันรุมล้อมเข้ามาอีก ดูซิ อาจารย์ไหนที่เขาเคยได้เงินด้วย ถึงวันกลางเดือนและปลายเดือน ไปเต็มอยู่ที่วัด นั่นแหละ ไปคอยสังเกตจับเอาความเคลื่อนไหวจากท่าน ไปฟังคำพูดจากท่าน โดยที่ที่ท่านไม่มีเจตนาเกี่ยวกับหวยกับเบอร์เลย ถึงขนาด บางคน ไปนับเอาก้าวขาจากท่าน ว่าท่านก้าวขาไปจากที่นี่กี่ก้าว ก็นับเอาไปซื้อเลข บางคนไปนั่งนับดูคำข้าวของท่าน ว่าท่านฉันกี่คำ ก็นำไปซื้อเลขอีก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร วุ่นวายกันไปหมด ทางที่ดีให้ไปภาวนาอยู่ทางภาคเหนือนะ จะได้เร่งภาวนาได้อย่างเต็มที่ ให้ไปภาวนาในเขตจังหวัดเชียงรายนะ ไปหาอยู่ตามบ้านนอก ให้ห่างจากเสียงรถไปมา การภาวนาเมื่อไม่มีเสียงรบกวน จิตก็จะตั้งมั่นได้เร็ว การใช้ปัญญาพิจารณา ก็จะต่อเนื่องกันดี จะเป็นที่กายวิเวก จิตวิเวก เป็นเสนาสนะสัปปายะอย่างดีที่สุด เพราะ สถานที่มีส่วนสำคัญ ในการภาวนาเป็นอย่างดี

เมื่อได้ฟังหลวงปู่เล่าให้ฟังดังนั้น ใจมันอยากจะไปภายในวันสองวันนี้เอง เหมือนกับว่า เมื่อไปภาวนาอยู่ทางภาคเหนือ จะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมได้อย่างเร็ววัน นี้ก็เป็นตัณหาอีกอย่างหนึ่ง แต่เป็นตัณหาคิดอยากไปในทางที่ดี มีความอยาก ไปในทางที่จะหลุดพ้น ตัณหาประเภทนี้ เมื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ จะเป็นกำลังใจในการปฏิบัติเป็นอย่างดี ดังคำบาลีว่า ตณฺหาย ตรติ โอฆํ ผู้จะข้ามมหรรณพได้เพราะตัณหา ตัณหานั้นมี ๒ อย่าง คือ ความอยากในฝ่ายต่ำ ในกามคุณ หรือความอยาก ที่จะก่อตัวไปในทางทุจริต เป็นความอยากที่นำไปสู่ ความหายนะแก่ตัวเอง และเพื่อนฝูง หรือความอยากใด ที่ก่อให้เกิดความชั่วทางกาย วาจา และความชั่ว ที่เกิดขึ้นทางใจ เช่น ความเห็นชั่ว ความดำริคิดไปในทางที่ชั่ว ความอยากประเภทนี้ เป็นความอยาก ของคนพาลสันดานชั่วนั่นเอง ส่วนความอยากอีกอย่างหนึ่ง เป็นความอยากที่จะทำดี มีความสุจริต เช่น อยากทำบุญวิธีต่างๆ อยากทำประโยชน์ในสาธารณกุศลทั่วไป อยากรักษาศีล อยากภาวนาปฏิบัติ หรืออยากรู้แจ้งเห็นจริงในมรรคผลนิพพาน หรืออยากทำความดีใดๆ ที่สังคมมีความต้องการ คิดอยากทำอะไรสิ่งนั้นล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคมทั่วไป ความอยากประเภทนี้เป็นความอยากของนักปราชญ์บัณฑิต ควรส่งเสริมให้ความอยากอย่างนี้เกิดขึ้นให้มาก เพราะเป็นความอยากที่สังคมโลกต้องการ แม้สังคมในทางธรรมก็มีความต้องการเช่นกัน เช่น อยากภาวนาปฏิบัติ อยากพ้นไปจากวัฏสงสาร ความอยากอย่างนี้พระกรรมฐานมีความต้องการมากทีเดียว ดังคำว่า ผู้จะข้ามมหรรณพไปได้ก็เพราะตัณหา คือความอยากประเภทนี้ ฉะนั้น

นักปฏิบัติต้องรู้จักแยกในคำว่าตัณหาคือความอยากให้เป็น ไม่เช่นนั้น จะเกิดความเข้าใจผิดตลอด เพราะได้ยินจากนักสอนภาวนามาหลายท่านว่า ให้ละตัณหาคือความอยากไปทั้งหมด ไม่ให้มีความอยากอะไรอยู่ภายในใจ ไม่ให้ทำอะไรเนื่องด้วยความอยากทั้งหมด ถ้าเช่นนั้นจะทำความดีก็ทำไม่ได้เลย เพราะความอยากไม่มี จะทำความดีได้อย่างไร เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้กำลังแสวงหา นั่นคือ มีความอยากอยู่ภายในใจ เช่น แสวงหาครูอาจารย์เพื่อจะได้รับฟังธรรมจากท่าน และอยากให้ตัวเองภาวนาปฏิบัติจนได้รับผลในธรรมนั้นๆ ฉะนั้น ความอยากจึงเป็นฐานเป็นกำลังใจให้แก่ตัวเอง เพื่อจะได้สร้างในคุณงามความดีต่อไป มิใช่ว่าจะละความอยากทั้งหมดตามที่เข้าใจกัน แต่เป็นผู้รู้จักวิธีป้องกันความอยากในทางที่ต่ำช้าเลวทราม และรู้วิธีส่งเสริมความอยากในทางที่ดีให้เกิดขึ้นภายในใจ เพื่อจะได้เป็นกำลังในการภาวนาปฏิบัติต่อไป

เหมือนกันกับศรัทธาความเชื่อ มีหลายๆ คนยังไม่เข้าใจในคำว่าศรัทธาคือความเชื่อ เพราะตามปกติแล้ว คนเรามีศรัทธา คือ ความเชื่ออยู่ในตัวทั้งนั้น แต่จะใช้ความเชื่อไปในทางไหนนั้น ต้องเป็นผู้มีปัญญาประกอบด้วยเหตุผล เช่น ได้ยินจากคนอื่นเล่าให้ฟังว่า สิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ สิ่งนี้เป็นอย่างนั้น เขาก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาในเหตุผลดูก่อนว่า สิ่งที่คนอื่นพูดมาว่าอย่างนี้ มีเหตุผลพอเชื่อถือได้ไหม ถ้าเหตุผลเชื่อถือไม่ได้ ก็อย่าตัดสินใจเชื่อในคำที่เขาพูดมานั้นเลย นี้เรียกว่า ศรัทธาญาณสัมปยุต คือ พิจารณาด้วยปัญญาให้แยบคาย ในเหตุผลก่อนจึงเชื่อ นี่จึงเรียกว่าศรัทธาความเชื่อถือของนักปราชญ์บัณฑิต ส่วนศรัทธาคือความเชื่อของบางคนไม่มีเหตุผลอะไรเลย ได้ยินจากใครพูดมาอย่างไรก็เชื่อตาม หรือได้อ่านหนังสือมาอย่างไรก็เชื่อตาม ไม่มีปัญญาพิจารณาในเหตุผลนั้นเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ คำว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ก็หมดความหมายไป จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องตัดสินในตัวเองไม่ได้เลย

พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า จงเป็นผู้มี ความเชื่อมั่นในเหตุผลของตัวเองเป็นหลักสำคัญ มิใช่หรือ นี่กระไรเหมือนกันกับเอาไม้ปักทราย หรือเหมือนกันกับเอาไม้ปักขี้โคลน ขี้เลน ถูกลมพัดไปทางไหน ก็เอนเอียงไปทางนั้น นี้ฉันใด ความเชื่อที่ขาดปัญญา พิจารณาในเหตุผลนั้น ก็จะกลายเป็นคนหูเบา และเชื่อใน มงคลตื่นข่าวอย่างงมงายโดยไม่รู้ตัว หรือตกอยู่ในหมู่กาลามชน เชื่อที่ขาดจากเหตุผลที่ถูกต้อง เช่น การภาวนาปฏิบัติ ก็เชื่อว่าจะได้มรรค ได้ผล แต่อุบายในการภานาปฏิบัตินั้น เราจะเชื่อถือในอุบายการปฏิบัติในสำนักไหน อุบายใดที่ตรงต่อมรรคผลนิพพาน เราก็ต้องศึกษา ประวัติของพระอริยเจ้าเอาไว้บ้าง เมื่อท่านเหล่านั้นยังเป็นปุถุชนธรรมดา ท่านเหล่านั้นใช้หลักอุบายภาวนาปฏิบัติกันมาอย่างไร เราต้องศึกษาให้เข้าใจในอุบายนั้นๆ ด้วยเหตุผลของตนเองให้มาก ไม่เช่นนั้น จะเป็นความเชื่อที่เลื่อนลอย ไม่มีความมั่นคงแต่อย่างใด ท่านเรียกว่า ศรัทธาวิปยุต จะเป็นผู้เชื่ออะไรก็ขาดเหตุผลที่เป็นมูลความจริงไปได้ง่าย ไม่มีความรับผิดชอบในความเชื่อของตัวเองที่มั่นคง เรียกว่า ฝึกตัวเองให้เป็นผู้หูเบา วอกแวก งมงาย ไร้เหตุผล จะพึ่งตนไม่ได้จนตลอดวันตาย ฉะนั้น ศรัทธาคือความเชื่อถือ ต้องเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ นั่นคือ ใช้ปัญญาพิจารณาให้แยบคายก่อนนั่นเอง

ต่อไปจะขอเล่าถึงนิสัยของหลวงปู่ขาว คิดว่าหลายๆ คนคงได้เคยไปกราบคารวะฟังธรรมจากท่านมาแล้ว แต่อีกหลายๆ คน ยังไม่ได้พบเห็นองค์จริงของท่านเลย เป็นแต่เพียงเห็นรูปถ่ายของท่านเท่านั้น หลวงปู่ขาวเป็นผู้มีนิสัยในความเมตตาสูงมากทีเดียว ใครได้ไปพบเห็นกราบไหว้ท่านแล้ว ไม่อยากลุกหนีจากท่านไป เขาว่ามีความเย็นใจเป็นอย่างมาก ใครมีปัญหาอะไรในครอบครัวมาก็จะขอความเมตตาจากหลวงปู่ให้ช่วยเหลืออยู่เสมอ แต่จะสำเร็จหรือไม่อย่างไรข้าพเจ้าไม่ได้ติดตาม หลวงปู่ขาวท่านมีความเมตตาอย่างสมบูรณ์ เรียกว่า เมตตาพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ ที่จริงความเมตตามีอยู่ที่ใจโดยตรง ส่วนกาย วาจา นั้น เป็นเพียงรัศมีการแสดงออกมาทางภายนอกเท่านั้น

หลวงปู่ขาวท่านมีความเมตตาเต็มเปี่ยมอยู่ภายในแล้วยังแสดงออกมาทางกาย วาจาด้วย การเคลื่อนไหวไปมาในอิริยาบถต่างๆ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน การใช้สายตาจะมีความเมตตาแฝงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนทีเดียว ตลอดทั้งใบหน้าจะมีความยิ้มแย้มแจ่มใส รับแขกอยู่ตลอดเวลา ไม่มีกิริยาที่เป็นไฟแฝงออกมาในทางกายนี้เลย วาจาการพูดออกมา ก็มีเมตตาแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นอย่างลึกซึ้ง และเยือกเย็นเข้าไปถึงขั้วหัวใจในส่วนลึกทีเดียว จะเป็นพระหรือฆราวาสผู้ที่ได้สัมผัสกับน้ำเสียงของหลวงปู่มาแล้ว จะมีความเข้าใจดีว่ามีรสชาติในความเมตตาอย่างไร ถึงหลวงปู่จะมีน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่ก็อยากฟังน้ำเสียงของท่านไม่มีวันเบื่อหน่าย ในขณะที่ท่านอธิบายธรรมโปรดพระเณรหรือญาติโยม ทุกคนจะตั้งใจฟังอย่างเงียบสนิทและจดจ้องดูแทบไม่กะพริบตา คนที่มีนิสัยอ้าปาก ก็จะอ้าปากค้างอยู่นั่นแหละ จนกว่าหลวงปู่จะเทศน์จบ

บางคนก็จับเอาอุบายธรรมมาได้คนละข้อสองข้อ แต่อุบายธรรมนั้นมันฝังลึกอยู่ในหัวใจ เป็นธรรมที่มีคุณค่ามากสำหรับท่านผู้นั้น เพราะธรรมนั้นได้มาจากผู้ที่เรามีความเคารพเชื่อถือ ถึงจะเป็นธรรมขั้นพื้นฐานที่ฟังมาจากที่อื่นแล้วก็ตาม แต่มาฟังหลวงปู่ขาวเทศน์แล้วมีความซาบซึ้งถึงใจ และพร้อมที่จะนำธรรมนั้นๆ ไปภาวนาปฏิบัติอย่างเต็มที่ เหมือนกันกับเราได้รับสิ่งของจากผู้ที่เรามีความเคารพเชื่อถือ ถึงของนั้นจะไม่มีราคาค่างวดก็ตาม แต่ก็ถือว่าของนั้นเป็นมงคลกับเรา เพราะผู้ที่ให้ของแก่เรานั้นเป็นมงคลแก่ตัวเอา นี้ฉันใด หลวงปู่ขาวเราถือว่าท่านเป็นมงคลกับเรา สิ่งที่ท่านยื่นอะไรให้แก่เราถือว่าสิ่งนั้นเป็นมงคลทั้งนั้น ฉะนั้น การอธิบายพรรณนาพระคุณของหลวงปู่ขาวแล้วจะหาที่จบสิ้นได้ยาก จึงขออธิบายเพียงเท่านี้ก่อน

เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ได้เข้าไปกราบเล่าถวายในความตั้งใจ เรื่องจะไปภาวนาปฏิบัติทางภาคเหนือให้ท่านฟัง ท่านก็ได้ให้โอวาทในอุบายการภาวนาปฏิบัติอย่างซาบซึ้งทีเดียว จากนั้น ก็ได้ไปรวมกันที่วัดป่าบ้านกุดเต่ากับพระอาจารย์ขาน เพื่อเตรียมบริขารในการออกเดินทางไปจังหวัดเชียงรายต่อไป พระเณรที่ไปด้วยกันทั้งหมดมี ๑๐ รูป เรียงลำดับพระผู้ใหญ่ได้ดังนี้

๑. พระอาจารย์ขาน ฐานวโร ๒. พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ ๓. พระอาจารย์หวัน ปณฺฑิโต (พระครูบัณฑิตธรรมภาณ) ๔. พระอาจารย์จรัส สุธมฺโม ๕. พระอาจารย์กองเหรียญ กับสามเณรอีก ๕ รูป เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางไปด้วยกัน เมื่อไปถึงจังหวัดเชียงรายแล้ว ได้ไปพักอยู่ที่บ้านเหล่า ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย พระอาจารย์ขานท่านอยู่ที่เดิม นอกนั้นก็แยกย้ายกันไปพักภาวนาปฏิบัติในที่ต่างๆ ในหมู่บ้านแถบนั้น ข้าพเจ้าเองได้ไปพักภาวนาอยู่ที่ป่าช้าบ้านดงหวาย มีชาวบ้านออกมาทำแคร่ให้อยู่ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒

ในคืนหนึ่ง มีฝนลมกรรโชกแรงมาก ทำให้กลดที่กางนอนปลิวอยู่ตลอดคืน ทั้งฝนก็ได้กระหน่ำตกลงมาอย่างแรง ลมก็พัดเอาต้นไม้กิ่งไม้หักกระเด็นระเนระนาด จำเป็นต้องเก็บบริขารอื่นๆ ลงในบาตร แล้วเอากลดมากั้นพอหุ้มตัวและบริขารเอาไว้ แต่ก็ถูกฝนสาดเปียกปอนไปหมด จำเป็นต้องนั่งอยู่ด้วยความหนาวเย็นตลอดคืน ที่พักนั้น อยู่ใต้ต้นมะม่วงป่าขนาดใหญ่ มีลมพัดกิ่งไม้เอนเอียงไปมาอยู่ตลอดเวลา ในทันใดนั้น กิ่งไม้ขนาดใหญ่ก็หักตกลงมา ห่างจากตัวข้าพเจ้าเพียง ๑ เมตรเท่านั้น ส่วนตัวเองก็ได้แต่เพียงอธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าจะได้ทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนานี้ต่อไป ขออย่าให้ชีวิตของข้าพเจ้าได้ตายไปในช่วงนี้เลย แล้วก็ภาวนาปฏิบัติอยู่ในความหนาวเย็นของคืนนั้นตลอดทั้งคืน ในที่นั้น มีหมู่ตะขาบเป็นจำนวนมากยั้วเยี้ยเต็มไปหมด หลายตัวที่วิ่งขึ้นมา บางตัวก็วิ่งขึ้นมาเกาะอยู่ตามหลัง แต่ก็ไม่ทำอันตรายแต่อย่างใด เมื่อฝนและลมได้สงบไปแล้วก็สว่างพอดี ชีวิตนี้เมื่อยังไม่ถึงที่ตายก็อย่าประมาท หากว่าชีวิตถึงฆาตในคืนนั้นแล้ว ข้าพเจ้าคงไม่ได้มาเขียนประวัติให้พวกท่านได้รับรู้เลย จากนั้น ก็เร่งภาวนาปฏิบัติอย่างเต็มที่

ในคืนหนึ่ง ขณะที่จิตมีความสงบได้เกิดนิมิตขึ้น ปรากฏเห็นต้นมะพร้าวหลายแถว แต่ละแถวมีมะพร้าวอยู่ ๔ ต้น ในแถวที่ ๑ มะพร้าวต้นแรกสูง ๑ ศอก มีลูกขนาดใหญ่ดกหนาแน่นเต็มต้นกองอยู่กับพื้นดิน ต้นที่ ๒ มีความสูง ๑ ศอกเท่ากัน มีลูกดกประมาณ ๑๐ ลูก ต้นที่ ๓ สูงเท่ากัน มีลูก ๓ ลูกเท่านั้นเอง ส่วนต้นที่ ๔ ไม่มีลูกเลย มีแต่ใบคลุมลำต้นอยู่เท่านั้น ส่วนมะพร้าวแถวที่ ๒ ถัดมา มีลำต้นสูง ๒ ศอกเท่ากันหมด ในแถวนี้ก็มีมะพร้าวในแถวอยู่ ๔ ต้นเช่นกันกับแถวแรก ต้นที่ ๑ มีลูกดกหนาเต็มต้น ต้นที่ ๒ มีลูกประมาณ ๑๐ ลูก ต้นที่ ๒ มีลูกเพียง ๓ ลูก ต้นที่ ๔ ไม่มีลูกเลย มีแต่ใบคลุมอยู่เท่านั้น และสำหรับมะพร้าวแถวถัดไปนั้น ก็มีต้นมะพร้าวสูงขึ้นไปเป็นลำดับ จนถึงแถวสุดท้ายสูงสุดประมาณ ๘๐ ศอก มีลักษณะแตกต่างจากต้นอื่นๆ นั่นคือ ก้านมะพร้าวไม่มี มีเพียงยอดชี้ฟ้าโด่เด่อยู่ยอดเดียวเท่านั้น ส่วนลูกมะพร้าวก็มีจำนวนมากน้อยตามลำดับเช่นเดียวกันกับแถวอื่นๆ

เมื่อนิมิตเห็นต้นมะพร้าวกลุ่มนี้แล้ว จากนั้น ก็ปรากฏเห็นต้นมะพร้าวอีกต้นหนึ่งสูง ๘ ศอก มีลูกดกหนาแน่นเต็มไปหมด ลำต้นก้านใบก็มีความสมบูรณ์ดี มีความรับรู้ขึ้นว่า นี่คือต้นมะพร้าวของเรา จากนั้น เหมือนตัวเองกระโดดขึ้นไปกอดอยู่ในลูกมะพร้าวทั้งหมดเอาไว้ จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ ข้าพเจ้าได้ใช้ปัญญาพิจารณาในนิมิตนั้นๆ จึงได้ความว่า ต้นมะพร้าวมีหลายแถว แต่ละแถวมีความสูงเท่ากันทั้ง ๔ ต้น และมีลูกมะพร้าว ๓ ต้นแรก ดกไม่เท่ากัน ส่วนต้นที่ ๔ ของแต่ละแถวไม่มีลูกเลย นิมิตอย่างนี้เป็นเพียงสรุปผลของนักปฏิบัติทั้งหลายว่าไม่เท่าเทียมกันนั่นเอง นิมิตอย่างนี้ จึงขอฝากให้เป็นการบ้านสำหรับนักปฏิบัติทั้งหลายก็แล้วกัน

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


๏ ณ บ้านป่าลัน

ก่อนเข้าพรรษาได้เดินทางไปบ้านป่าลัน ตำบลปงน้อย อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย สถานที่แห่งนี้ เป็นป่าดงดิบ มีต้นไม่ใหญ่ นานาชนิดอย่างหนาแน่น ชาวบ้านก็ได้พากันออกมาทำที่อยู่อาศัยให้ โดยทำเป็นกระต๊อบเล็กๆ มุงด้วยหญ้าคา เสาไม้ไผ่ ปูพื้น และกั้นฝาด้วยฟากไม้ไผ่ ห้องเดียวพอแขวนกลดได้ มีระเบียงด้านหน้า พอได้อาศัยนั่งพักผ่อนตามสมควร เมื่อจวนจะเข้าพรรษา เหลืออีกไม่กี่วัน ในคืนหนึ่ง นิมิตเห็นหลวงปู่ขาวเข้ามาหา ใช้มือจับไหล่ข้าพเจ้าแล้วพูดว่า จากนี้ไปไม่นานหรอกนะ ความตั้งใจ ที่ท่านได้ตั้งเอาไว้ จะสำเร็จอยู่ในที่แห่งนี้ ในขณะนั้น ปรากฏมีเส้นทางขนาดใหญ่เรียบราบดี มีแนวทางที่ตรงมาจรดในที่ข้าพเจ้านั่งอยู่

หลวงปู่ขาวพูดว่า ท่านต้องเดินตามเส้นทางนี้ไป ก็จะได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ในไม่ช้า จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ จึงได้พิจารณาในคำพูด ของหลวงปู่ขาวไปว่า จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะขณะนี้เรายังไม่มีอุบายใด ที่จะทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเอง ว่าจะสำเร็จได้ แต่ละวันที่ผ่านมา การภาวนาก็เป็นปกติ ยังไม่มีช่องทางที่จะพ้นจากทุกข์ไปได้เลย เส้นทางที่เห็นในนิมิตนั้นก็เพียงเป็นนิมิตเท่านั้น จะเอามาเป็นหลักอุบายในการภาวนานั้นไม่ได้ มีนิมิตเห็นเส้นทางนี้มาก็หลายครั้ง แต่ก็ยังพ้นจากทุกข์ไม่ได้ ความตั้งใจเอาไว้ว่า ในชาตินี้เราจะภาวนาปฏิบัติให้เต็มที่ จะสำเร็จได้หรือไม่นั้น ก็ให้ลมหายใจเป็นเครื่องตัดสินในวาระสุดท้าย ลมหายใจเข้าออก จะหมดไปภายใน ๑ นาที จะได้หรือไม่ได้ ก็มีโอกาสเพียงเท่านั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิต มีร่างกายแข็งแรง มีสติปัญญาที่ดี มีความสามารถภาวนาปฏิบัติได้เต็มที่ เราก็อย่าเป็นผู้ประมาทในชีวิตของตน วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตเราก็ล่วงไปเช่นเดียวกัน ขณะนี้เรายังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เราก็ต้องรีบเร่งภาวนาปฏิบัติให้เต็มที่ แล้วก็ไม่ให้ความสนใจในนิมิตนั้นเลย

ในพรรษานี้ มีพระร่วมจำพรรษาด้วยกัน ๒ รูป สามเณร ๑ รูป มี พระอาจารย์หวัน (พระครูบัณฑิตธรรมภาณ) และสามเณรไสว ในที่แห่งนี้ชาวบ้านถือกันว่ามีผีดุมาก คนพื้นเมืองเดิมเขาจะไม่เข้ามาในที่แห่งนี้เลย เพราะผีได้ทำให้คนตายไปแล้วหลายคน เมื่อได้มาภาวนาอยู่ที่นี้ได้ ๗ คืน ในคืนนั้น ขณะที่จิตมีความสงบอยู่ในสมาธิ ได้ยินเสียงดัง เหมือนกับภูเขาพังทลายลงมา จากทางน้ำตก ห่างจากที่อยู่ไปประมาณ ๑๐๐ เมตร จึงได้กำหนดจิตไปดู เห็นหมูป่าขนาดใหญ่ ๒ ตัว มีกิริยาอาการที่โกรธจัดมากทีเดียว ดูนัยน์ตา เป็นสีแดง เหมือนกับแสงไฟที่กำลังลุกโชน แสดงความไม่พอใจในตัวข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง จากนั้น หมูทั้ง ๒ ตัว ก็ได้แสดงฤทธิ์ด้วยวิธีต่างๆ ทำท่าทาง เพื่อให้ข้าพเจ้าได้เกิดความกลัว แล้ววิ่งเข้ามาหาข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว ในลักษณะที่จะมาทำร้ายให้ตายไป ทั้งสายตา ก็ลุกเป็นไฟ เสียงก็แสดงการข่มขู่คำราม เมื่อเข้ามาใกล้ห่างจากตัวข้าพเจ้าไปเพียง ๓ ศอกเท่านั้น หมูทั้ง ๒ ตัว ก็ทำท่า โคลงตัวไปมา พร้อมกัน จากนั้น ก็พากันกระโดดเข้ามาหา หวังจะกัดให้ข้าพเจ้าตายไป

ขณะนั้น ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตตั้งรับไว้แล้ว เมื่อหมูทั้ง ๒ ตัวกระโดดมา ข้าพเจ้าก็ใช้กำลังจิตเพ่งปะทะทันที หมูทั้ง ๒ ตัวก็ล้มกองกันอยู่ในที่แห่งนั้น หมอบไปชั่วครู่ แล้วก็ฟื้นตัวกลับกลายเป็นคน คลานเข้ามาหาข้าพเจ้า ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตัว พากันยกมือไหว้ แล้วพูดขึ้นว่า กระผมทั้งสอง เป็นใหญ่ในที่แห่งนี้มานาน ได้ทำให้ คนตายไปแล้วเป็นจำนวนมาก ในครั้งนี้ กระผมทั้งสองก็จะทำให้ท่านอาจารย์ได้ตายไปอีกเช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถทำให้ท่านตายไปได้ กระผมทั้งสอง จึงขอยอมแพ้ท่านอาจารย์ในครั้งนี้ ขอให้ท่านอาจารย์จงได้ยกโทษ ให้แก่กระผมทั้งสองในครั้งนี้ด้วย กระผมทั้งสอง ขอปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เมื่อท่านอาจารย์มีความประสงค์สิ่งใด ที่จะให้กระผมทั้งสองช่วยเหลือ ขอจงเรียกกระผมทั้งสองได้ทุกเมื่อ พวกกระผมมีความยินดี พร้อมที่จะรับใช้ท่านด้วยความเต็มใจ และจะให้ความปลอดภัยกับพระเณร ที่อยู่กับท่านอาจารย์ด้วย จึงขอให้ท่านได้โปรดเมตตาแก่กระผมทั้งสองนี้ด้วยเถิด

จากนั้น จิตก็ได้ถอนออกมาจากสมาธิ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาดูจึงได้รู้ว่า หมูทั้งสองเป็นพญานาคอยู่ในที่นี้เอง แต่ละคืนที่ไหว้พระ สวดมนต์ ปฏิบัติภาวนา ก็ได้แผ่เมตตาให้แก่เขาอยู่เสมอ และเขาเหล่านั้น ก็มีความเคารพในตัวข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก ให้ความช่วยเหลือ ปกป้องในตัวข้าพเจ้าเป็นอย่างดี ต่อมาอีกไม่กี่วัน ในขณะนั้น เกิดความรำคาญ กับเสียงอีเห็นร้องเป็นอย่างมาก แต่ละคืน อีเห็นได้มาร้อง อยู่ใกล้กุฏิทุกคืน และร้องเป็นเวลาหลายชั่วโมงก็ไม่หยุด ไม่สะดวกในการภาวนาปฏิบัติเลย จึงนึกขึ้นได้ว่า เราจะบอกพญานาค ช่วยไล่อีเห็นตัวนี้ให้หนีไป

เมื่อนึกบอกแล้วเขาก็มาทันที โดยในขณะที่นั่งสมาธิอยู่ที่กุฏิเวลาประมาณ ๔ ทุ่ม ได้ยินเสียงคนพูดกันขึ้นมาว่า ท่านอาจารย์ มีความรำคาญในเสียงร้อง ของอีเห็นตัวนี้ พวกเราจงพากันไปไล่ ให้มันหนีจากที่นี้ ไล่หนีไปให้ไกล อย่าให้มันมาร้อง อยู่ในที่นี้อีก จากนั้น เขาพากันเดินเข้ามาใกล้กุฏิ ทุกคนถือไม้ค้อนกระบองครบมือ แล้วก็ตรงเข้าไปหาอีเห็นตัวนั้นทันที อีเห็นก็ได้วิ่งหนี จนสุดกำลัง แล้วพวกเขาก็กล่าวสำทับไปว่า จากนี้ไปอย่าได้มาร้องในที่แห่งนี้อีกเด็ดขาด ถ้ามาร้องอีกเมื่อไรกูจะฆ่าให้ตายทันที ข้าพเจ้านั่งดูเขาไล่อีเห็นนั้นไปประมาณ ๒ กิโลเมตร จึงปล่อยให้อีเห็นหนีไป จากนั้นมา ไม่เคยมีอีเห็นหรือสัตว์ตัวใด มาร้องอยู่ในที่ใกล้กุฏินี้เลย การภาวนาปฏิบัติก็มีความต่อเนื่องกันเป็นอย่างดี

ขออธิบายเรื่องผีกับเทวดาให้ท่านฟังสักเล็กน้อย เพื่อจะได้เป็นข้อคิดว่าเป็นมาอย่างไร เพราะใครๆ ก็เคยพูดกันในเรื่องนี้มานาน จนทำให้นักปฏิบัติขี้ขลาดตาขาว เกิดความกลัวอยู่เสมอ จะไปภาวนาปฏิบัติในที่ไหน มีแต่กลัวผีกันทั้งนั้น เหมือนกับว่าผีจะมีความดุร้าย หลอกเราไปเสียทั้งหมด ที่จริงแล้ว ทางศาสนาพุทธเราไม่นิยมในคำเรียกว่า ผี มีแต่คำยกยอสรรเสริญว่าเป็น เทวดา กันทั้งนั้น คำว่าผีนั้น เป็นภาษาของชาวบ้านเรียกกันเอง เป็นคำเรียกที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของคนเรามานาน พอเริ่มรู้ภาษา พ่อแม่และญาติๆ ก็ยกคำว่าผีนี้ เข้าไปฝังไว้กับใจเด็กตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าผีนั้นเป็นลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ มีร่างกายอย่างนั้น มีตาอย่างนี้ สุดแล้วแต่จะพรรณนาไป เพื่อให้เด็กเกิดความกลัว ไม่กล้าไปที่ไหนในเวลาค่ำคืน ถึงจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้ว ความกลัวผีก็ยังติดตัวติดใจมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับคนที่ขี้ขลาดก็จะนึกถึงผีขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง คิดว่าผีจะมาหลอกเราอย่างนั้น หลอกเราอย่างนี้ จึงได้เกิดความกลัวขึ้นมา ที่แท้จริงตัวเองนั่นแหละ เป็นผีหลอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ฉะนั้น การกลัวผีหลอกจึงเป็นเพียงความคิดหลอกตัวเองเท่านั้น ตัวสำคัญก็คือนักภาวนาปฏิบัติ เมื่อพูดกันในเรื่องธรรมในหมวดต่างๆ ก็พูดได้จนน้ำไหลไฟดับ จนน้ำลายฟูมท่วมปาก ก็ยังหาที่จบลงไม่ได้ ธรรมหมวดไหนเป็นระดับใดรู้ไปหมด แต่ถ้าพูดเรื่องของผีขึ้นมาแล้ว จะตาตั้งหูผึ่งขึ้นมาทันที นี้หรือผู้จะรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ผู้จะนำตัวเอง เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพาน ในด่านแรกของผีก็ยังผ่านไปไม่ได้ ไฉนคนขี้ขลาดตาขาวจะผ่านพ้นไปจากโลกนี้ได้เล่า คำว่าผีกับเทวดา ก็อยู่ในตัวคนเดียวกัน แต่ละวันๆ เราคนเดียวจะเป็นได้ทั้งเทวดาและผี เช่น มีอารมณ์ที่ไม่ชอบใจในหมู่คณะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะเกิดหน้าแดง ตาเขียวขึ้นมาทันที นี่คือผีตัวจริง ทำไมจึงไม่กลัวผีตัวนี้เล่า หรือเมื่อใดใจมีความผ่องใสร่าเริง คิดอยากจะทำบุญกุศล ใจมีความเมตตาต่อมวลสัตว์ทั้งหลาย ใจมีความละอายในการทำความชั่วทั้งปวง ใจมีความกลัวต่อผลของบาปกรรม ใจมีความอยากรักษาศีลภาวนา ในเวลานั้น ก็จะกลายเป็นเทวดาขึ้นมาในตัวเอง ฉะนั้น ถ้าอยากดูผีดูเทวดาตัวจริง ขอให้มาดูตัวเองก็แล้วกัน นี้เรียกว่า ผีภายใน และเทวดาภายใน

ส่วนผีและเทวดาภายนอก ก็เป็นลักษณะอย่างนี้เหมือนกัน เช่น วิญญาณอันเดียวนั้นย่อมเปลี่ยนไปได้ทั้งสองอย่าง เพราะมี ความโลภ มีความโกรธ มีความหลง เต็มอยู่ในวิญญาณนั้นทั้งหมด จึงหลอกให้คนกลัวได้ด้วยวิธีการต่างๆ หรืออาจทำให้คนตาย ไปได้ เช่นกัน ถ้าอย่างนี้จึงเรียกกันว่าเขาเป็นผี แต่ถ้าเขาชอบใจในวิธีการทำของหมู่มนุษย์อย่างเช่น ทำบุญอุทิศให้เขา หรือภาวนาปฏิบัติ แผ่เมตตาให้เขา เขาก็จะมีความรักต่อเรา และช่วยเหลือเราให้มีความสุขความเจริญ ถ้าเขาทำให้เราในลักษณะอย่างนี้ ก็เรียกเขาว่า เป็นเทวดา

ฉะนั้น ผีกับเทวดาและมนุษย์จึงมีอยู่ในวิญญาณอันเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันเพียงว่า ผีกับเทวดา มีวิญญาณอย่างเดียว เท่านั้น แต่ไม่มีกายหยาบ ส่วนมนุษย์มีทั้งวิญญาณและกายหยาบ แต่นิสัยความประพฤติ ความต้องการ จะมีลักษณะเหมือนกัน หรือมนุษย์เราอาจหลอกมนุษย์กันเองยิ่งกว่าผีหลอกคนไปเสียอีก

ส่วนวิญญาณที่มีคุณธรรมแฝงอยู่ก็เรียกว่า เทวดาชั้นสูง เขาจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับหมู่มนุษย์เราเลย เพราะเขามีบุญเป็นที่พึ่งอาศัย มีหิริโอตตัปปธรรมภายในวิญญาณนั้นๆ ส่วนวิญญาณที่ต่ำด้วยคุณธรรม จะมีความสัมพันธ์อยู่กับหมู่มนุษย์อยู่ตลอดเวลา เช่น ทำบุญในพิธีต่างๆ จะอัญเชิญให้เขาได้มาร่วมอนุโมทนากับหมู่มนุษย์นี้ด้วย มิหนำซ้ำ ยังมาหลอกกินเครื่องสังเวยในหมู่มนุษย์นี้อีกด้วย แต่การหลอกอย่างนี้ก็ยังไม่เท่า มนุสสเปโต ที่อ้างตัวว่าเป็นมนุษย์แต่ใจนั้นเป็นเปรต ได้หลอกลวงต้มตุ๋นในหมู่มนุษย์ด้วยกันเองดังเห็นกันในที่ทั่วไป มนุษย์เปรต มนุษย์ผีกลุ่มนี้ จึงมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยิ่งกว่าผีไปเสียอีก จึงได้จัดกลุ่มมนุษย์นี้ออกไปหลายหมวดหมู่ เช่น มนุสสเทโว ถึงร่างกายจะเป็นมนุษย์ แต่จิตใจเป็นเทวดา มนุสสมนุสโส ร่างกายเป็นมนุษย์ จิตใจก็ยังเป็นมนุษย์ที่ใฝ่ใจในทางคุณธรรม มนุสสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ใจนั้นกลายเป็นเปรตไปเสียแล้ว มนุสสดิรัจฉาโน ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจได้กลายเป็นสัตว์ดิรัจฉาน

อีกพวกหนึ่ง ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจเป็นอสุรกาย มนุษย์อสุรกายกลุ่มนี้จะมีวิชาเก่งในทางต้มตุ๋นหลอกลวงเป็นพิเศษ อะไรที่พอจะเอาได้เป็นประโยชน์ส่วนตัวจะคว้าเอาทั้งนั้น หรือสิ่งใดพอจะได้มาเป็นประโยชน์ในกลุ่มของตัวเอง ก็หาวิธีแยกแยะด้วยเล่ห์กลที่หลอกลวงเอาในสิ่งนั้นให้ได้ ใจไม่มีคุณธรรมแม้แต่นิดเดียว แต่การพูดการแสดงมีความตลบตะแลงแพรวพราวไปทั้งหมด นี่เรียกว่าปีศาจครองร่างมนุษย์ ส่วนปีศาจที่ไม่มีร่างกายครอง ก็จะหลอกลวงกินเครื่องสังเวยของมนุษย์นี้ได้เป็นอย่างดี ที่ไหนมีคนโง่ตั้งศาลพระภูมิขึ้น มีหัวหมู เป็ด ไก่ คาวหวานนานาชนิด พวกปีศาจเหล่านี้ชอบไปแสดงตัวในที่เช่นนั้น จะทำตัวเป็นเทพารักษ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์เข้าอยู่อาศัยในศาลพระภูมินั้นทันที มนุษย์โง่ก็จะนำเครื่องสังเวยดีๆ ไปให้กินเป็นประจำ มิหนำซ้ำ ยังกราบไหว้ขอความช่วยเหลือจากปีศาจเหล่านี้อีกด้วย ดูแล้วน่าสังเวชใจ

ในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ ในความรู้สึกส่วนตัวแล้วจะรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา การภาวนาปฏิบัติมีความเข้มแข็ง ใจมีความมั่นคง ผิดปกติ ใจมีความหนักแน่นมั่นคง กำลังของสติ กำลังของปัญญา กำลังความสามารถเฉพาะตัวนั้นมีสูงมาก ลักษณะมีความเฉียบขาด กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวเต็มที่ ลักษณะอย่างนี้เริ่มจาก การปฏิบัติภาวนาในช่วงที่ผ่านมา เพิ่งได้รู้เห็นความสามารถส่วนตัว ก็ในครั้งนี้นี่เอง เป็นลักษณะปัจจัตตัง รู้เฉพาะตัว จะเป็นในลักษณะใด จึงไม่ควรอธิบายออกมา ให้คนอื่นรู้เห็นได้ เหมือนกันกับผู้กินอาหารอิ่มแล้ว จะเขียนลักษณะอาการ ความอิ่มในอาหารนั้น ออกมาให้คนที่กำลังหิวอาหารอยู่ รู้ในความอิ่มนั้นไม่ได้ นี้ฉันใด สิ่งที่เป็นปัจจัตตัง เฉพาะตัวแล้ว จะเล่ารสชาติให้คนอื่นได้สัมผัสในรสชาตินั้น ไม่ได้เลย ถึงจะเล่าไป ผู้ที่ยังไม่เคยสัมผัสก็ยังไม่หายข้องใจอยู่นั่นเอง เหมือนความหวานของรสน้ำตาล คนหนึ่งกำลังอมน้ำตาล และกำลังกินน้ำตาลนั้นอยู่ แล้วอธิบายในรสชาติความหวานของน้ำตาล ให้อีกคนหนึ่งฟัง ความหวานของน้ำตาลนั้น จะเข้าไปสัมผัสในปากในลิ้นของอีกคนหนึ่งไม่ได้เลย

ดังนั้น ธรรมที่เป็นผลเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของท่านผู้ใดแล้ว ผลของการปฏิบัตินั้น ก็เป็นของส่วนตัวไป นักวิเคราะห์วิจัยในปริยัติทั้งหลาย ไม่สามารถจะสุ่มเดาถูกได้ ฉะนั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ถึงจะเป็นเส้นทางอันเดียวกันก็ตาม ปริยัติก็ยังเป็นสูตรของปริยัติอยู่นั่นเอง จะกลายเป็นผลให้เหมือนกันกับผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติไม่ได้ แม้ตัวข้าพเจ้าเองได้เคยศึกษาในทางปริยัติมาพอสมควร จึงได้นำปริยัตินั้นไปปฏิบัติจนได้รับผลจากการปฏิบัติอย่างแท้จริง จึงรู้ได้ว่าผลของการปฏิบัตินั้นมีความแตกต่างกันกับทางภาคปริยัติอยู่มากทีเดียว

ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้กล้าพูดให้สาธารณชนได้รับรู้เอาไว้ สักวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าหากท่านมีความสนใจในการปฏิบัติธรรมอยู่ ท่านก็จะรู้ด้วยตัวท่านเองอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้น ท่านจะกล้าพูดให้คนอื่นฟังได้อย่างกล้าหาญ ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับท่านถือผลไม้อยู่ในมือโดยยังไม่ได้กิน รสชาติของผลไม้นั้นตัวเองก็ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน จะให้รสชาติผลไม้นั้นเกิดขึ้นที่ปากที่ลิ้นนั้น เป็นไปไม่ได้เลย นี้ฉันใด ท่านที่เพียงศึกษาในภาคปริยัติ แต่ไปวิพากษ์วิจารณ์ผลของการปฏิบัติของคนอื่นว่าผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนี้ หรือถูกอย่างนั้น ถูกอย่างนี้ นั่นเป็นเพียงการสุ่มเดาของท่านเท่านั้น แต่ผลของการปฏิบัติที่จริงเป็นอย่างไร ท่านหารู้ไม่

ถ้าท่านยังไม่รู้จริงเห็นจริงในผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติเฉพาะตัวเอง อย่าอวดฉลาดไปทำนายคนนั้นคนนี้ว่าปฏิบัติผิดหรือปฏิบัติถูกอะไรเลย นี่เป็นเพียงให้ข้อคิดไว้แก่ท่านเท่านั้น ถึงตัวข้าพเจ้าเองจะได้อธิบายผลของการปฏิบัติให้ท่านได้อ่านอยู่ในขณะนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปยืมผลของการปฏิบัติของใครมาเขียน และไม่มีเจตนาที่จะอวดตัวว่าภาวนาดีหรือไม่ดีให้คนอื่นมีความเคารพเชื่อถือ แต่เขียนตามความเป็นจริงที่ข้าพเจ้าได้รับผลจากการปฏิบัติมาเท่านั้น คนอื่นจะมีความคิดความเห็นเป็นอย่างไรนั้น ก็ให้เป็นเรื่องของคนๆ นั้นไป แต่ขออธิบายความจริงที่เป็นผลจากการปฏิบัติในส่วนของข้าพเจ้า เพื่อให้ลูกหลานที่เกิดมาสุดท้ายภายหลังได้รับรู้เอาไว้เท่านี้ก็พอ

แรกเริ่มที่ได้เข้าไปภาวนาปฏิบัติในที่แห่งนี้ มีความผิดสังเกตในตัวเองมาก การพิจารณาอุบายธรรมในแง่ต่างๆ ด้วยปัญญา จะเกิดความกระจ่างชัดเจนมากทีเดียว พิจารณาในสัจธรรมใดจะเกิดความแยบคายได้ง่าย และหายสงสัยภายในใจทันที การพิจารณาด้วยปัญญาให้เกิดความแยบคายนั้น เป็นศูนย์รวมการพิจารณาในสัจธรรมทั้งหลาย เพราะความแยบคายนั้นเป็นเครื่องทำลายความยึดมั่นถือมั่นของใจโดยตรง เมื่อพิจารณาในปัญหานั้นเกิดความแยบคายเมื่อไร ความยึดมั่นภายในใจก็จะหลุดออกไปจากใจทันที แต่ก่อนมาใจเคยลุ่มหลงในภพทั้งสามนี้มาตลอด ก็เพราะใจถูกอวิชชา คือความไม่รู้จริงเห็นจริงปิดบังเอาไว้มาช้านาน ไม่เคยมีปัญญาอมรมสั่งสอนเปิดเผยความจริงให้ใจได้รู้เห็น แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละชาติ กิเลสได้ประกาศความเท็จ ให้ใจได้เกิดความหลงอยู่ตลอดเวลา ใจจึงได้เกิดความเคยชิน หลงใหลในโลกนี้มาโดยตลอด

บัดนี้ใจมีปัญญาเป็นพี่เลี้ยงคอยอบรมสั่งสอนข้อเท็จจริงให้ใจได้รับรู้อยู่เสมอ ใจก็เริ่มมีความรู้ความฉลาดสามารถรู้เห็นได้ว่าอะไรจริงอะไรปลอม เมื่อใจมีเหตุผลอยู่ในตัวอย่างนี้ ใจก็เริ่มมีความฉลาดขึ้นมาในขั้นหนึ่ง เมื่อใจใช้ปัญญาอบรมอยู่บ่อยๆ ใจก็จะค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นมา นั่นคือ ปัญญาอบรมใจให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ทุกสิ่ง ใจก็จะมีปัญญารอบรู้อย่างอาจหาญชัดเจนขึ้นมาทันที ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเคยพิจารณาในสัจธรรมให้มีความแยบคายไปแล้ว ความยึดมั่นความสงสัยจะถูกตัดขาดทันที ไม่มีการพิจารณาเป็นรอบที่สองแต่อย่างใด นี่คือใจได้รับความรู้จริงเห็นจริงด้วยปัญญาอย่างชัดเจน ความลังเลสงสัยก็ถูกทำลายไปเป็นอัตโนมัติในตัว ความละถอนปล่อยวางในสิ่งที่รักที่ชัง ความพอใจหรือไม่พอใจในสิ่งใด ก็จะดับสูญออกจากใจในขณะนั้นทันที

ในช่วงนั้น เหมือนได้รวบรวมเอาสามภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มารวมไว้ในที่แห่งเดียวกัน วัฏฏะความหมุนเวียนไปในภพทั้งสามนั้นเป็นอย่างไร อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความลุ่มหลง ทำให้เกิดตายในภพทั้งสามนี้ ก็มีความรู้เห็นเป็นแนวทางทั้งหมด และรู้เห็นวิธีที่จะยับยั้งใจตัวเองไม่ให้หมุนตามวัฏสงสารนี้ด้วยว่า การหมุนเวียนในวัฏสงสารนี้มีความทุกข์อย่างไร และมีโทษมีภัยอย่างไร จึงได้ใช้ปัญญาพิจารณาอย่างละเอียดรอบรู้ไปเสียทั้งหมด เรื่องอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันและอนาคตที่จะไปเกิดเอาภพชาติต่างๆ เป็นอย่างไร ความเข้าใจด้วยปัญญาที่เฉียบแหลมก็รู้เห็นได้ชัดเจน ไม่มีสิ่งใดในสามภพมาปิดบังปัญญาไว้ได้เลย ทุกอย่างจะรู้เห็น แทงทะลุปรุโปร่งไปตามหลักความจริงเสียทั้งหมด

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


๏ วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น

ในวันหนึ่ง หลังจากเสร็จจากการภาวนาและพักผ่อนแล้ว เวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเย็น เป็นเวลาที่จะออกเดินจงกรม ในขณะนั้น ได้ออกมานั่งพักผ่อนอยู่ที่ระเบียงกุฏิ มองไปเห็นเครือตูดหมูตูดหมา (เครือกระพังโหม) พุ่มหนึ่งเกิดขึ้นข้างทางเดินจงกรม แต่ก่อนเคยให้เณรเอาออกมาแล้วสองครั้ง แต่ก็ได้เกิดขึ้นมาในที่เดิมอีก ในช่วงนั้น ใจมีปัญญารู้เห็นในสัจธรรมต่างๆ อยู่แล้ว และรู้เห็นเหตุปัจจัยที่จะพาให้เป็นไปในภพทั้งสามอย่างชัดเจน

เมื่อมาเห็นเครือตูดหมูตูดหมาเท่านั้น ก็เอามาเป็นอุบายของปัญญาทันทีว่า เครือตูดหมูตูดหมานั้นก็เหมือนกันกับตัวเรา มันเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยในตัวมันเอง เมื่อใดหัวเครือตูดหมูตูดหมานั้นยังฝังอยู่ในดิน ปัจจัยที่จะเกิดขึ้นมาอีกนั้นย่อมเป็นผลต่อเนื่องกัน เมื่อใดได้ขุดเอาหัวเครือตูดหมูตูดหมาขึ้นมาจากพื้นดินได้แล้ว ตากแดดให้แห้ง หรือเอาไฟเผาให้ไหม้เสีย เหตุปัจจัยที่จะทำให้เครือตูดหมูตูดหมานั้นเกิดขึ้นอีกเป็นอันไม่มี นี้ฉันใด ใจที่ไปก่อเอาภพชาตินั้น ก็เพราะใจยังมีกิเลส ตัณหา อวิชชา พาให้เป็นไป เมื่อใดที่ได้ทำลายกิเลส ตัณหา อวิชชา ให้หมดไปจากใจได้แล้ว ชาติภพที่เกิดขึ้นมาอีกจะมีมาจากที่ไหน

ในขณะนั้น ลักษณะของใจมีความว่างไปเสียทั้งหมด ไม่มีสถานที่ใดในภพทั้งสามมีความยึดถือผูกพัน ในช่วงนั้น สติปัญญามีความกล้าหาญมาก จากนั้น ก็ลงสู่ทางเดินจงกรม ใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่อง อัตตาตัวตน ที่มีอยู่ พิจารณาลงไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างเฉียบขาดทีเดียว หลักที่ใช้ปัญญาพิจารณาทั้งหมดนั้น ก็เหมือนกันกับหลักที่เคยใช้ปัญญาพิจารณามาก่อนแล้ว ความแตกต่างกัน คือ ใจยอมรับความจริงจากปัญญานี้ทั้งหมด พิจารณาสิ่งใด ใจมีความรู้เห็นเป็นไปในหลักความจริงทั้งสิ้น ทั้งเกิดความแยบคาย ทั้งหายสงสัยไปพร้อมๆ กัน

ฉะนั้น ใจจึงไม่มีที่พึ่งในโลกนี้อีกแล้ว เพราะที่ไหนๆ ใจก็รู้เห็นในทุกข์ภัยไปเสียทั้งหมด ใจจึงได้เกิดความกลัวที่จะมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป กำหนดใจพิจารณาดูในของสิ่งใด ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์โทษภัยด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดมีความจีรังยั่งยืนอยู่ตลอดไปได้ ไปยึดถืออะไรล้วนแล้วแต่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ หาความสุขที่แท้จริงในโลกนี้ไม่ได้เลย ทุกอย่างที่โลกนิยมกันอยู่ในขณะนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความสุขที่แฝงด้วยความทุกข์ทั้งหมด หรือเป็นก้อนยาพิษที่เคลือบด้วยน้ำตาลทั้งนั้น สักวันหนึ่ง ความเศร้าโศกก็จะตามมาให้รับผล ความดิ้นรนในกามคุณ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มากขึ้นเท่าไร ความทุกข์ก็ย่อมเป็นไฟเผาใจให้เดือดร้อนทั้งวันทั้งคืนมากขึ้นเท่านั้น จะยืน เดิน นั่ง นอน ในที่ไหน ความทุกข์ใจให้ผลอยู่ตลอดเวลา

ฉะนั้น การใช้ปัญญาพิจารณาในสิ่งที่ไม่เที่ยง และพิจารณาในความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ จึงเป็นอุบายสอนใจได้ดีที่สุด เพราะใจมีความลุ่มหลงในกามคุณนี้มากอยู่แล้ว จึงเกิดความเห็นผิดและเข้าใจผิด ยึดติดอยู่ในกามคุณอย่างแนบแน่นทีเดียว เมื่อใจได้เห็นทุกข์โทษภัยในกามคุณเมื่อไร ใจก็จะเกิดความกลัวขึ้นมาเมื่อนั้น ไม่กล้าที่จะเข้าไปผูกพันยึดมั่นในสิ่งนั้นอีก ถึงใจจะมีความห่วงอาลัยในภาพเก่าๆ ที่เคยยึดติดมาแล้ว แต่บัดนี้ ต้องอดทนทวนกระแสของกิเลสตัณหานี้ไปให้ได้ ใจเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดเพียงอย่างเดียว

ส่วนอุบายปัญญาที่นำมาเป็นข้อมูลนั้นเป็นเพียงพยานหลักฐาน ที่มาของความเป็นจริง เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพราะเป็นข้อมูลที่มีเหตุผล มีผลที่เป็นจริงทั้งหมด เมื่อใจได้รับข้อมูลที่มีเหตุผลและเป็นจริงอย่างนี้ ใจก็พร้อมที่จะรับความจริงตัดสินชี้ขาดได้ทันที ไม่มีความลังเลสงสัยแฝงอยู่ในใจนี้เลย ใจเริ่มเกิดความรู้ตัวว่าได้ถูกกิเลสตัณหาหลอกลวงให้หลงใหล ให้ใจได้ลอยตามกระแสแห่งวัฏฏะมานาน มีความทุกข์ทรมานในการเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในภพทั้งสาม ถ้าปล่อยใจไปตามกิเลสตัณหานี้ต่อไป จะไม่มีช่องทางหลีกเลี่ยงจากความทุกข์นี้ไปได้เลย มีแต่จะจมอยู่กับความรักความใคร่ในกามคุณอย่างถอนตัวไม่ขึ้น นับวันแต่ใจจะเป็นทาสของกิเลสตัณหานี้ตลอดไป

นั่นคือ ใจได้ถูกลอยแพไปตามกิเลสตัณหา ไม่มีกาลเวลาที่จะเป็นอิสระเสรีเฉพาะตัวเลย มีแต่ความทนทุกข์ทรมานไปตามคำสั่งของกิเลสตัณหาทั้งหมด อดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นมาอย่างไร ขณะนี้เป็นอย่างไร ความเป็นไปในอนาคตก็ไม่รู้ เคยอยู่ด้วยความทุกข์อย่างไรก็อยู่กันไปอย่างนั้น นี้คือถูกกิเลสตัณหาล้างสมองได้แล้ว จึงเรียกว่า ตโมตะมะปรายะโน มีทั้งมืดมาแล้วและมืดต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด หลงใหลในสมมุติของโลกนี้ต่อไปไม่มีที่กำหนด จะมีโทษทุกข์ภัยอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องของธรรมดาไปเสีย จะเกิดแก่เจ็บตายในชาติภพใดๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องของธรรมดาไป

ในที่สุดก็เอาธรรมดามาเป็นเครื่องตัดสิน คือ ยอมรับสภาพว่าจะอยู่อย่างนี้ต่อไป ไม่ยอมคิดแก้ไขในความเห็นที่เป็นธรรมดานี้บ้างเลย ในที่สุดก็จะลอยไปตามกระแสโลกอันเป็นธรรมดาต่อไป เมื่อใจได้ตัดสินเอาเรื่องของธรรมดาเป็นใหญ่แล้ว ก็ยากที่จะรู้ตัวและฟื้นตัวขึ้นมาได้ เช่น ใจมีความรักใคร่ในกามคุณ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา จึงปล่อยให้เป็นไปตามใจตัวเอง ใจมีความโลภ ก็ถือว่าเป็นธรรมดา ปล่อยให้โลภไป ใจมีราคะก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใจมีโมหะความลุ่มหลงก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไป มีความหลงอย่างไรก็ปล่อยให้ใจได้หลงอยู่อย่างนั้น อวิชชาคือความไม่รู้เห็นจริงในสิ่งใด ก็จะปล่อยให้เป็นเรื่องของธรรมดา ไม่ยอมศึกษาหาความจริงในเหตุผลนั้นเลย ลักษณะอย่างนี้ จึงอยู่ในขั้น ปทะปรมะ หรือ ตโมตะมะ มืดมามืดไป ไม่ยอมแก้ไขในปัญหาตัวเอง ถ้าเป็นดอกบัว ก็ยังไม่มีตุ่มอยู่ในเหง้าบัวเลย ถ้าเป็นม้า ถึงจะเอาปฏักแทงลงไปให้ถึงกระดูกก็จะไม่ยอมวิ่ง ฉะนั้น เรื่องของธรรมดาจึงเป็นเส้นทางที่ผู้ไร้ปัญญานำมาเป็นข้ออ้างอยู่ตลอดเวลา และจะเอาเป็นข้ออ้างต่อไป

ในช่วงนั้น สติปัญญา ศรัทธา ความเพียร ตลอดจนความรู้เห็นทางใจมีความพร้อมมากที่สุด เมื่อนึกคิดในสัจธรรมใดขึ้นมา สติปัญญาจะมีความรอบรู้ไปทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดตกค้างอยู่ภายในใจอันจะทำให้เกิดความสงสัยลังเลแม้แต่น้อย ทุกอย่างจะรู้เห็นอย่างแจ่มแจ้งไม่มีอะไรมาปิดบัง นี้เพราะมีสติปัญญาที่มีความฉลาดเฉียบแหลมนั้นเอง สายทางของสังสารวัฏนั้นมีความสลับซับซ้อนอยู่มากทีเดียว จึงทำให้สัตว์โลกทั้งหลายได้หลงวนเวียนกันมาไม่มีที่สิ้นสุด ถึงตัวเองเคยเกิด เคยตาย วนเวียนไปมาอยู่ในวัฏฏะนี้ ก็ยังไม่รู้วิถีแห่งชีวิตของตัวเอง ว่าเป็นมาอย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยพาให้เป็นไปก็หารู้ตัวเองไม่

ในโลกมนุษย์นี้เราเคยได้มาเกิดตายอยู่หลายชาติ แต่ละชาติมีความเป็นอยู่อย่างไรก็ลืมไปเสียทั้งหมด อนาคตที่จะไปเกิดอีกในชาติต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะเป็นชาติภพอะไร จะเป็นชาติภพของเทวดา จะเป็นชาติภพของเปรต จะเป็นชาติภพของสัตว์ดิรัจฉาน หรือเป็นชาติภพของมนุษย์ก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเอง ตลอดจนรูปภพ อรูปภพ ที่เป็นขั้นละเอียด อันเป็นที่อยู่ของพรหมทั้งหลายก็ยังไม่แน่นอนว่าจะได้ไปเกิดที่นั้นหรือไม่ ฉะนั้น ภพทั้งสามจึงเป็นที่ท่องเที่ยวและเป็นที่อาศัยของคนบาปและคนมีบุญ ถ้าคนมีบาป สถานที่ที่รองรับก็มีอยู่แล้ว ถ้าคนมีบุญ สถานที่ที่มีความสะดวกสบายก็มีไว้รองรับเช่นกัน ฉะนั้น ภพทั้งสามจึงเป็นที่รองรับของสัตว์โลกโดยทั่วไป ใครจะไปอยู่ในภพอะไรก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง ถ้าทำกรรมไว้ดีก็ได้รับผลดี ถ้าทำกรรมไว้ชั่วก็ได้รับผลชั่ว

ฉะนั้น กรรมดีกรรมชั่วจึงมีอยู่ในภพทั้งสามนี้ ยากที่จะออกจากภพทั้งสามนี้ไปได้ เพราะกรรมทั้งสองนี้มีความผูกพันอยู่กับมนุษยโลกทั้งหลาย มนุษยโลกทั้งหลายมีความผูกพันกับโลกนี้มานาน ความรัก ความหวงแหน ความยึดติดกับโลกนี้จึงมีอยู่อย่างแนบแน่นสนิทใจ อย่างมาก็เพียงทำกรรมดีเพื่อไปเกิดในสุคติสวรรค์ เมื่อหมดกรรมดีก็กลับลงมาเกิดในโลกมนุษย์อีก ถ้าหากเผลอตัวไปทำความชั่ว กรรมชั่วก็ส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิตามภพต่างๆ ที่ทำความชั่วเอาไว้ วนไปเวียนมาอยู่ในภพทั้งสามนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด คำว่า โลกวิทู ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ว่าเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในโลกนั้น ก็คือโลกทั้งสาม คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก ดังได้อธิบายมานี้เอง

ฉะนั้น โลกทั้งสามนี้มีความเกี่ยวโยงกัน เรียกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของสัตว์โลกทั้งหลายก็ว่าได้ จึงเรียกอีกคำหนึ่งว่า วัฏจักร คือ เป็นสถานที่วนเวียนขึ้นลงไปมาของสัตว์โลกทั้งหลาย ถึงบางภพจะมีความสุขอยู่บ้าง แต่ความสุขนั้นก็ยังเป็นโลกียสุข คือ ความสุขที่เจือด้วยกิเลสตัณหาอยู่นั่นเอง หรือไปอยู่ใน รูปภพ อรูปภพ ที่มีอำนาจฌานยังไม่เสื่อม สามารถบังคับควบคุมกิเลสตัณหาได้ก็มีความสุขกันอยู่บ้าง แต่เมื่ออำนาจฌานเสื่อมไป ก็ต้องมาเกิดในกามโลกอีกเช่นเคย กิเลสตัณหาก็แสดงตัวขึ้นมาที่ใจอีก มีความรักความใคร่ในกามคุณเหมือนกันกับมนุษยโลกทั่วไป มีผัว มีเมีย เกิดลูก เกิดหลานเหมือนกันกับชาวโลกที่มีกันอยู่ในปัจจุบัน ฉะนั้น ผู้ไปเกิดในรูปโลก อรูปโลก ก็ไม่พ้นไปจากความทุกข์อยู่นั่นเอง ถ้าเช่นนั้นจะไปหลงอยู่ในภพทั้ง ๓ นี้ทำไม ใช้สติปัญญาพิจารณาในความเป็นอยู่ของภพทั้งสามนี้ให้รอบรู้ทั่วถึง ดังภาษิตว่า นตฺถิ โลเก รโหนาม ความลี้ลับไม่มีในโลก ก็คือ มีความรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงในโลกทั้งสามนั่นเอง

ดังนั้น ผู้จะหนีจากโลกทั้งสามนี้ไปได้ต้องเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญา สามารถรู้เห็นความเป็นจริงของโลกทั้งสามนี้ทั้งหมด เพราะโลกทั้งสามก็ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังผู้ไปเกิดอยู่ในพรหมโลก ก็ยังต้องลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อีก เรื่องของความไม่เที่ยงนั้นคงจะนำมาเขียนให้ท่านอ่านทั้งหมดไม่ได้ เพราะจะทำให้หนังสือเล่มใหญ่เกินไป แต่อยากให้เข้าใจอย่างรวบรัดไว้ว่า สพฺเพ สงฺขาราอนิจฺจา สรรพสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง คำนี้ก็บอกชัดอยู่แล้วว่า สรรพสังขารทั้งหลายไม่มีสิ่งใดแน่นอน มีความเกิดขึ้น แล้วก็เปลี่ยนไปสลายไปไม่คงที่ ไม่ว่าสังขารนั้นเกิดขึ้นจากธรรมชาติหรือสังขารที่มนุษย์ก่อสร้างขึ้นมา จะเป็นสังขารที่มีวิญญาณครอง หรือสังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง สังขารทั้งหลายย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้น จะเปลี่ยนไปเร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยในตัวสังขารเอง แม้แต่สามภพก็ยังตกอยู่ในอำนาจของสังขารทั้งหมด

ฉะนั้น จะไปยึดถือเอารูปสังขาร จิตสังขาร เป็นเราหรือเป็นตัวตนของเราได้อย่างไร ไม่ว่าสังขารภายใน สังขารภายนอก สังขารอยู่ใกล้อยู่ไกล สังขารหยาบละเอียด ล้วนแล้วแต่เป็นของไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่บาปบุญคุณโทษก็ยังตกอยู่ใต้อำนาจของสังขารทั้งสิ้น ไฉนจึงไปหลงใหลในสังขารนี้เล่า จะเอาสังขารใดเป็นที่พึ่งอย่างแน่นอนไม่ได้เลย สัตว์โลกทั้งหลายที่มีความทุกข์ ร้องไห้น้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด ก็เพราะมาหลงใหลในสังขารโลกและไม่รู้เห็นจริงตามสังขารโลกนี้เอง ถึงสังขารนั้นจะสมมติว่าเป็นเราหรือเป็นของของเราอยู่ก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงสมมุติเท่านั้น แต่เราก็ยังตามไปหลงในสมมุตินั้นอีก เมื่อสมมุตินั้นมีการเปลี่ยนแปลงไป ก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมามิใช่หรือ ดังนั้น ความทุกข์จึงเกิดขึ้นที่ใจได้หลายทางและเหตุให้เกิดทุกข์นั้นมีมากทีเดียว จะเขียนเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งหมดคงไม่ได้ แต่จะเขียนไว้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น

คำว่า ทุกข์นั้นมีศูนย์รวมแห่งเดียวคือใจ หรือสุขก็มารวมที่ใจแห่งเดียวเช่นกัน ฉะนั้น ความทุกข์จึงไม่มีใครๆ ต้องการ ตลอดจนสัตว์ดิรัจฉานก็แสดงความไม่ต้องการเช่นกัน ถึงจะไม่ต้องการในความทุกข์ แต่เมื่อสร้างเหตุแห่งทุกข์ไว้แล้ว ก็จะต้องได้รับทุกข์อยู่นั่นเอง เหตุแห่งทุกข์นั้นเราจะสร้างขึ้นด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม สร้างขึ้นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือสร้างขึ้นด้วยความหลงความเข้าใจผิดก็ตาม ผลที่เกิดต้องกระทบถึงใจแน่นอน จะกระทบมากน้อยอย่างไรขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย

เหตุปัจจัยภายนอกที่จะทำให้ใจเป็นทุกข์นั้นมีมาก แม้แต่ฤดูกาลที่เป็นธรรมชาติของโลกก็ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้ เช่น ร้อนเกินไป หนาวเกินไป ฝนตกหนักเกินไปทำให้น้ำท่วมไร่นาหรือไปมาไม่สะดวก ก็ทำให้เกิดความทุกข์ได้เช่นกัน หรือร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคนานาชนิด ร่างกายได้รับความกระทบกระทั่งจากของแข็งหรือของมีคมเป็นบาดแผล หรือสิ่งใดทำให้ร่างกายผิดปกติไป ก็จะเกิดความทุกข์ใจทันทีแม้กระทั่งอิริยาบถต่างๆ ทางร่างกายที่ใช้กันอยู่ประจำวัน ยืนนาน นั่งนาน เดินนาน นอนนานก็ยังเกิดความทุกข์ใจได้ ได้รับเสียงที่ไม่ชอบใจ เช่น คำกล่าวนินทาว่าร้าย ก็เกิดความทุกข์ใจแม้ปรารถนาในสิ่งใดแล้วไม่สมความตั้งใจก็เป็นทุกข์ขึ้นที่ใจ อุปาทานขันธ์ ความยึดมั่นในขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นอัตตาตัวตน นี้ก็จะเป็นที่รวมเหตุแห่งทุกข์ทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะเช่นไร

ฉะนั้น ความทุกข์ไม่ว่าจะเกิดขึ้นด้วยเหตุอันใดก็ล้วนแต่ไม่มีใครในโลกนี้ต้องการหรือปรารถนา แต่ก็หนีไปไม่พ้นเพราะเป็นผลที่ต่อเนื่องกันกับความเกิด จึงเรียกว่าความเกิดเป็นเหตุ ความทุกข์เป็นผล ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้แล้วย่อมได้รับผล คือ ความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ใครจะเกิดมาจากที่ไหน ฐานะเป็นอย่างไร ไม่สำคัญ ย่อมได้รับผลคือ ความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนจะได้รับทุกข์มากหรือทุกข์น้อยนั้นขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ดังที่พบเห็นกันในสถานที่ต่างๆ ทั่วไป ถึงจะไม่ชอบความทุกข์ แต่ตัวเองได้สร้างเหตุแห่งทุกข์เอาไว้ ถึงจะไม่พอใจในทุกข์แต่ก็ต้องได้รับผลคือความทุกข์อยู่นั่นเอง ถ้าหากยอมรับความจริงที่ตัวเองได้กระทำไว้แล้ว ความทุกข์ใจก็อาจจะทุเลาลงไปได้บ้าง ให้ถือว่าเป็นบทเรียนที่ดี ถึงจะมีความทุกข์อย่างไร เราก็ต้องทำใจให้อดทนและรู้เท่าทันเอาไว้ ให้ถือว่าเป็นฝันร้ายในชีวิตของเราก็แล้วกัน

ฉะนั้น เราต้องรู้จักวิธีที่จะปกป้องตัวเองไม่ให้ได้ไปเกิดในชาติหน้าอีก เพราะการเกิดในชาติหน้านั้น มีความเกี่ยวพันกันอยู่กับ อัตตา คือตัวตน เมื่อมีอัตตาตัวตน สิ่งที่เป็นของของตนก็เกี่ยวโยงถึงกันทั้งหมด ฉะนั้น ความยึดติดความผูกพันก็เกิดเนื่องจากตนและของของตนทั้งนั้น การทำลายอัตตาก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ให้มีพยานหลักฐานยืนยันว่า อัตตาตัวจริงที่แน่นอนไม่มี ถึงจะมีธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมธาตุไฟ อาศัยกันอยู่ ก็เป็นเพียงก้อนธาตุที่ใจอาศัยอยู่ชั่วขณะเท่านั้น ไม่กี่วัน เดือน ปี ก้อนธาตุนี้ก็ต้องแตกสลายไปตามอายุขัยของมันเอง ดังเราเห็นกันตามป่าช้าหรือที่เมรุต่างๆ คิดว่าทุกคนคงเคยไปงานศพมาแล้ว ให้เราใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ผู้ที่ตายไปแล้วนั้น แต่ก่อนเขาก็มีความเข้าใจเหมือนกันกับเราว่า ร่างกายนี้เป็นตัวตนของเขา แต่เมื่อจิตได้ออกจากร่างกายไปแล้ว อัตตาตัวตนมันอยู่ที่ไหน เมื่อถูกไฟเผาไปแล้วก็เหลือเพียงกระดูก จะเอากระดูกนั้นมาปั้นเป็นอัตตาตัวตนอีกก็ไม่ได้ นั่นคือ อนัตตา ไม่มีอะไรเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่เป็นตัว ไม่เป็นตนแต่อย่างใด

ที่เข้าใจว่าเป็นอัตตาตัวตนก็เป็นเพียงสมมติเท่านั้น ถึงสิ่งอื่นภายนอกที่เข้าใจกันว่าเป็นของของตน เช่น สามีภรรยา ลูกหลาน หรือสมบัติที่มีอยู่ทุกชนิด ก็เป็นเพียงสมมุติโลกพูดกันเท่านั้น เพราะสมบัติทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเป็นของของเราที่แน่นอน ทุกอย่างเป็นเพียงปัจจัยสำหรับคนอาศัยในชั่วขณะที่เรามีชีวิตอยู่เท่านั้น หรือเรียกว่าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของชีวิต เพราะสิ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสมบัติของโลก ทุกคนที่เกิดมาต้องแสวงหาเพื่อเอามาบำรุงร่างกายให้อยู่ได้ในชั่วชีวิตที่มีอยู่เท่านั้น จะไปยึดติดว่าอันนี้เป็นเรา และเป็นของของเรานั้น จึงไม่สมควรแก่ผู้จะหนีจากโลกนี้ไป

ผู้จะหนีจากโลกนี้ไปต้องทำใจให้ปฏิเสธในอัตตาทั้งหมด เพราะการยึดติดนั้นเป็นสะพานเชื่อมโยงต่อกันกับภพชาติ ยึดติดในสิ่งใดใจก็จะไปเกาะในสิ่งนั้นเพื่อเกิดเป็นภพชาติต่อไป แต่ก็ให้เป็นสิทธิแก่ผู้อยากจะอยู่ในโลกนี้ เพื่อเป็นสายพันธุ์ให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อเขามีความพอใจอยากอยู่กับโลกนี้ ก็ให้เขายึดติดกอดคอกันตาย และลอยไปตามกระแสของโลกนี้ไป ตราบใดที่เขายังไม่รู้เห็น ทุกข์ โทษ ภัย ในโลกนี้ ก็จะมีความคิดว่า อยากจะอยู่เป็นคู่กับโลกนี้ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อท่านผู้ใดได้รู้เห็นทุกข์ โทษ ภัย ในโลกนี้แล้ว ก็จะเกิดความกลัวในภพชาตินั้นๆ ขึ้นมาที่ใจ ไม่ยึดติดผูกพันในสมมุติโลกทั้งหลาย ไม่ยอมต่อชาติของตัวเองให้ยืดยาวอีกต่อไป

นั้นคือ นิสัยของผู้จะหนีไปจากภพทั้งสาม จึงไม่มีการต่อรองกับกิเลสตัณหาอีกต่อไป เพราะชาติภพที่ผ่านมายาวนานนั้น เราเสียเปรียบกิเลสตัณหามาตลอด ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายของเรา กิเลสตัณหาจะเอาอะไรมาต่อรองอีก เราจะไม่รับทั้งสิ้น กิเลสตัณหาได้พาให้เรายึดติดในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน ใจก็หลงกลลวงของกิเลสตัณหามาตลอด บัดนี้ใจเรามีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในขันธ์ ๕ อย่างชัดเจน เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นรูปธรรม นามธรรม ประจำตัว เราจะไม่หลงยึดติดอยู่ในขันธ์ ๕ นี้อีกต่อไป เพราะเคยอาศัยอยู่กับรูปธรรม นามธรรม นี้มาแล้ว แต่ละชาติที่เกิดมาก็เหมือนกันกับชาติปัจจุบันนี้ จะมีชาติอนาคตต่อไปก็เป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ คือรูปธรรม นามธรรม เหมือนชาติปัจจุบันนี้เอง

ถ้าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ยังมีการเกิดดับไปตามเหตุปัจจัยของโลกนี้อยู่ เราจะตามเอาสิ่งที่เกิดดับมาเป็นตัวตนได้อย่างไร เราเองเคยตามภพชาตินี้มาแล้วและเคยได้ครองร่างของธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้มาจนนับชาติไม่ถ้วนประมวลไม่ได้ ก็ไม่มีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ในภพชาติใดๆ เป็นตัวตนได้เลย ชาติก่อนเป็นมาอย่างไร ในชาตินี้ก็จะเป็นไปอย่างนั้น ในอนาคตชาติหน้าก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน ฉะนั้น จะไปยึดติดกับธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อันเกิดดับนี้ไปทำไม เกิดมาชาติไหน ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ก็ดับไปในชาตินั้น เกิดมาในชาตินี้ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ก็ดับไปในชาตินี้ จะเกิดมาอีกในชาติหน้า ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ก็ดับไปในชาติหน้า ถ้าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เกิดดับซ้ำซากอยู่อย่างนี้ ทำไมจึงไม่มีความเบื่อหน่อยในภพชาตินั้นเล่า จะมัวเมายึดติดในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้ไปทำไม นี่ก็เพราะใจมีเชื้อแห่งความเกิด คือตัวสมุทัย นั่นเอง

เมื่อตัวสมุทัยยังฝังแน่นอยูในใจ ก็จะพาให้ใจไปก่อภพชาติในวัฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าทำลายตัวสมุทัย คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ให้หมดไปจากใจได้แล้ว ความเกิดเป็นภพชาติอีกจะมีมาจากที่ไหน ถ้าภพชาติไม่มี ความทุกข์ก็หมดสภาพไป เมื่อใจไม่มีกิเลสตัณหาเป็นเชื้ออยู่ เมื่อนั้นกระแสแห่งพระนิพพานก็จะเปิดรับทันที คำว่ากระแสแห่งพระนิพพานนั้น จะมีเฉพาะพระอริยเจ้าเท่านั้นจะเข้าถึงได้ อย่างน้อยเป็นผู้บรรลุอริยธรรมขั้นพระโสดาบัน เส้นทางที่ตรงสู่กระแสแห่งพระนิพพานนั้น มีเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น ชาวพุทธหลายๆ ท่านมีความต้องการอยากจะเข้ากระแสแห่งพระนิพพานกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่ท่านที่เข้ากระแสแห่งพระนิพพานได้แล้วอย่างสนิทใจ ส่วนเราผู้กำลังเดินตามรอยของพระอริยเจ้า ก็ต้องใช้อุบายการปฏิบัติที่เป็นแนวทางอันเดียวกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเข้าใจผิดโดยไม่รู้ตัว

พระพุทธเจ้าได้ทรงวางแนวทางในการปฏิบัติไว้แล้วอย่างชัดเจน ดังเราเห็นกันอยู่ในมรรคมีองค์ ๘ ที่พระองค์ทรงเรียบเรียงเอาไว้แล้ว และทรงแนะแนวทางที่ตรงต่อมรรคผลนิพพานเป็นที่สุด จึงไม่ควรที่จะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้แหวกแนวไปจากหลักเดิม นั่นคือ ปัญญา ศีล สมาธิ ให้ไปเปิดดูในมรรค ๘ เสียบ้างว่า พระองค์ทรงวางแนวทางไว้อย่างไร นั่นเป็นหลักปฏิบัติเดิมที่มีมาในครั้งพุทธกาล เราไม่ควรที่จะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้คนอื่นมีความเห็นผิด ความเข้าใจผิด โดยไม่รู้ตัว

ขอย้อนกลับมากล่าวถึงการยกเอาต้นเครือกระพังโหมมาเป็นอุบายในการใช้ปัญญาพิจารณา ในครั้งนั้น การใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นในสัจธรรมที่เกิดขึ้นดับไปทั้งภายนอก ภายใน ใกล้ไกล หยาบละเอียด จะเกิดความแยบคายหายสงสัยไปทั้งหมด เป็นปัญญาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย เพิ่งได้รู้จักว่า เป็นปัญญาที่กล้าหาญเกิดขึ้นในครั้งนี้ เมื่อปัญญามีความกล้าหาญแล้ว ศรัทธา สติ ความเพียร และความตั้งมั่นภายในใจก็มีความกล้าหาญกันทั้งหมด ความรู้เห็นในสรรพสังขารทั้งหลายก็เป็นไปตามไตรลักษณ์ทั้งหมด จึงเป็นภาวนามยปัญญา หรือ วิปัสสนาญาณ อันเป็นมรรคญาณที่จะประหารกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจโดยตรง เป็นปัญญาที่ถอนรากถอนโคนวัฏจักรให้หยุดหมุนเวียนอยู่ในภพทั้งสาม เป็นปัญญาที่หักกงกำของตัณหา สังขาร และสมมุติให้สูญสิ้นไป เป็นปัญญาที่รู้เห็นเหตุปัจจัยของบุญและบาปว่ามีความเกี่ยวโยงให้ผลต่อกันอย่างไรได้ชัดเจน เป็นปัญญาที่เปิดเผยความลับของโลกโดยไม่มีสิ่งใดมาปิดบัง เป็นปัญญาที่ทวนกระแสโลก และทวนกระแสของกิเลสตัณหาทั้งหลาย เป็นปัญญาที่ตัดกระแสแห่งราคะ โทสะ โมหะ ให้หมดไป เป็นปัญญาที่ข้ามกระแสแห่งความรัก ความยินดี ในกามคุณ เป็นปัญญาที่พาให้พ้นกระแสโลก คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก และเป็นปัญญาที่จะทำให้พบกระแสธรรมอย่างสมบูรณ์ เป็นปัญญาที่กำจัดอวิชชาพร้อมด้วยเหตุปัจจัย เป็นปัญญาที่ชำระสังขารการปรุงแต่งในสมมุติทั้งหลาย เพื่อให้ใจได้เกิดความรู้จริงเห็นจริงทั้งหมด เป็นปัญญาที่ทำลายเหตุปัจจัยในวิญญาณ เหตุปัจจัยในนามรูป เหตุปัจจัยในสฬายตนะ เหตุปัจจัยในผัสสะ เหตุปัจจัยในเวทนา เหตุปัจจัยของตัณหา เหตุปัจจัยของอุปาทาน เหตุปัจจัยของภพ เหตุปัจจัยของชาติ ที่จะทำให้ได้ไปเกิดอีกในภพทั้งสาม เป็นปัญญาที่ทำลายตัวสมุทัย คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ให้หมดไปจากใจอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นนิโรธที่ทำให้แจ้งแล้วในสรรพสังขารทั้งหลาย ใจไม่มีความเห็นผิดลุ่มหลงในภพทั้งสามอีกต่อไป

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๏ นิโรธคือความดับทุกข์

ในคืนนั้น กำหนดจิตอยู่ในความสงบตลอดคืนจนถึงสว่างของวันใหม่ จากนั้น จิตก็ลงสู่ความดับ ให้เข้าใจเอาไว้ว่า ความสงบของสมาธิ ความสงบในฌาน ไม่เหมือนกันกับความดับ เพราะความสงบในสมาธินั้นยังมีวิญญาณความรู้แฝงอยู่ที่ใจ ถึงจะมีความสงบเป็นสมาธิในระดับไหน ก็ยังมีวิญญาณรับรู้อยู่นั่นเอง ส่วนความดับนั้น ไม่มีวิญญาณรับรู้อะไรทั้งสิ้น นั่นคือ วิญญาณที่รับรู้ได้ดับไป เมื่อวิญญาณรับรู้ได้ดับไปอย่างเดียวเท่านั้น ความสัมผัสในอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ไม่มีวิญญาณรับรู้อะไรเลย ตาก็สักว่าตา หูก็สักว่าหู ลิ้นก็สักว่าลิ้น กายก็สักว่ากาย ใจก็สักว่าใจ ไม่มีความรู้ในการสัมผัสอะไรเลย ถึงสิ่งภายนอกจะมาสัมผัส เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น นี่คือส่วนของรูป

ในส่วนที่เป็นนาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นนามล้วนๆ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไร อารมณ์ภายในใจที่เป็นความสุข ความทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ก็ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น สัญญาความจำในเรื่องอดีตที่ผ่านมา และความจำในปัจจุบันก็ไม่มีวิญญาณรับรู้ สังขารการปรุงแต่งภายในใจก็คิดปรุงแต่งอะไรไม่ได้ เพราะวิญญาณดับไปอย่างเดียวเท่านั้น ทุกอย่างของรูปธรรมและทุกอย่างของนามธรรมก็ดับไปพร้อมกันทั้งหมด จึงเป็นนิโรธ คือ ความดับและดับไม่มีเหลือ กิเลสน้อยใหญ่ที่เป็นอาสวะหมักดองใจมายาวนาน จะมาสิ้นสุดอยู่กับนิโรธ คือความดับในขณะนี้ทั้งหมด ชาติภพที่เคยเกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายอยู่ในภพทั้งสามก็หมดสภาพไปในขณะนี้ จึงสมกับคำว่า อวิชชาดับ สังขารก็ดับ วิญญาณก็ดับ นามรูปก็ดับ นามรูปดับ สฬายตนะก็ดับ สฬายตนะดับ ผัสสะก็ดับ ผัสสะดับ เวทนาก็ดับ เวทนาดับ ตัณหาก็ดับ ตัณหาดับ อุปาทานก็ดับ อุปาทานดับ ภพก็ดับ เมื่อภพดับ ชาติแห่งความเกิดก็ดับ เมื่อชาติแห่งความเกิดอีกไม่มี ชราความแก่ มรณะความตาย จะมีมาจากที่ไหน ความโศกเศร้าโศกา ความทุกข์ใจนานาประการก็ดับสนิททั้งหมด ไม่มีเชื้อกิเลสตัณหาอะไรที่ตกค้างภายในใจนี้อีกต่อไป จึงให้นามว่า นิโรโธโหติ คือความดับทุกข์ให้หมดไปจากใจอย่างสิ้นเชิง

ในขณะที่มีความดับอยู่นั้น เกิดความรู้อีกอย่างหนึ่งซึ่งมีความละเอียดอ่อนมากอยู่ในส่วนลึกของใจ คำว่ารู้นี้มิใช่ความรู้ที่เกิดจากวิญญาณ มิใช่ความรู้ที่เกิดจากรูปนามแต่อย่างใด เป็นรู้ที่ไม่มีจุดหมายที่นอกเหนือไปจากรูปนาม เป็นรู้ที่ไม่มีอะไรแอบแฝง เป็นรู้ที่เหนือจากความรู้โดยไม่มีสมมุติอะไรมาเทียบได้ เพราะเป็นลักษณะรู้ที่ไม่มีนิมิตหมายในสมมุติใดๆ ไม่สามารถอธิบายหรือบอกให้ใครๆ ฟังได้ เป็นรู้ที่ไม่มีขอบเขต เป็นรู้ที่ไม่มีสมมุติให้รู้ เป็นรู้ที่โดดเด่นเฉพาะรู้เท่านั้น เมื่อความดับนี้อยู่ได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง เกิดลักษณะอาการวูบขึ้นมา แล้วเกิดความกล้าหาญขึ้นมาที่ใจ เมื่อใจมีความกล้า สติปัญญาก็กล้าไปตาม ๆ กัน เหมือนกับว่าจะสามารถเหยียบกระทืบภูเขาให้พังพินาศไปในชั่วพริบตา หรือราวกับว่าจะทำลายอะไรในโลกนี้ให้เป็นจุลไปในชั่วขณะเดียว นี่เป็นเพียงความกล้าหาญที่เกิดขึ้นมาเท่านั้น

เมื่อผู้ภาวนาปฏิบัติมาถึงจุดนี้แล้ว จึงนับได้ว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตนได้อย่างแท้จริง ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะทำให้เกิดความเห็นผิดอีกต่อไป ในอีกนาทีข้างหน้านี้ ก็จะเกิดความอัศจรรย์ขึ้นที่ใจอย่างสมบูรณ์เต็มที่ โดยไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตนี้เลย นับแต่ได้เทียวเกิดตายในวัฏสงสารมาเป็นเวลาอันยาวนาน จนนับภพชาติไม่ถ้วนประมวลไม่ได้ก็ตาม ความอัศจรรย์ในธรรมที่เป็นผลเกิดขึ้นจากการภาวนาปฏิบัติก็จะเกิดขึ้นในขณะนี้เอง จะอยู่ที่ไหนอิริยาบถใดไม่สำคัญ ความอัศจรรย์ในธรรมก็จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันทันที จึงเป็น ปัจจัตตัง รู้เฉพาะตัวเอง ความอัศจรรย์ในธรรมที่เกิดขึ้นนี้เป็นประการใดนั้น ผู้ปฏิบัติภาวนาจะรู้เองเห็นเองอย่างชัดเจน โดยไม่มีสิ่งอื่นใดมาปิดบัง และจะหายความสงสัยในตัวเองทันที รู้เห็นในขณะใดก็หายความสงสัยในตัวเองในขณะนั้น ไม่ว่าเชื้อชาติใดภาษาใด ชนชั้นวรรณะฐานะอย่างไรไม่สำคัญ จะเป็นพระ เป็นเณร ฆราวาสหญิงชายในวัยไหนก็ตาม เมื่อภาวนามาถึงจุดนี้แล้ว ความอัศจรรย์ในธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

เมื่อธรรมอัศจรรย์นี้เกิดขึ้นกับท่านผู้ใดแล้ว ท่านผู้นั้นจะไม่ต้องไปถามใครๆ อีกต่อไป เพราะความวิตก ความสงสัย ความไม่แน่ใจในตัวเอง จะไม่มีกับผู้ที่รู้เห็นในธรรมอัศจรรย์นี้เลย นี่คือผู้ที่หายความสงสัยในตัวเองอย่างสมบูรณ์ ในยุคสมัยนี้ หากมีผู้ได้รับผลธรรมอัศจรรย์นี้แล้ว ความรู้เห็น ความหายสงสัยในตัวเอง จะเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าคุณธรรมจะอยู่ในระดับไหน ก็จะรู้เห็นคุณธรรมนั้นด้วยตัวเองทันที ไม่ต้องไปหาคำพยากรณ์จากใครๆ ทั้งสิ้น นี่คือผู้ตัดกระแสของโลกธรรมออกจากใจได้แล้ว จึงไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้ายในภพทั้งสามอีกต่อไป จึงเป็น กตํ กรณียํ กิจอื่นที่จะพึงทำให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้อีกไม่มี นี่คือผลของการภาวนาปฏิบัติที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง

ฉะนั้น การปฏิบัติ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย คำว่ายากนั้น คือ นักปฏิบัติใช้อุบายในแนวทางไม่ตรงกับจริตนิสัยของตัวเอง ตัวเองเคยมีนิสัยการสร้างบารมีมาอย่างหนึ่ง แต่เลือกใช้อุบายในแนวทางปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ตรงกันกับนิสัยเดิมที่เคยสร้างบารมีมาแล้วในอดีต จึงเหมือนกันกับเอาสว่านเจาะไม้ให้เป็นรูไว้แล้วแต่ยังไม่ทะลุ แต่ก็มีอันเป็นไป ไม่ได้เจาะให้ติดต่อกัน เมื่อจะมาเจาะต่อก็จำที่เจาะรูเก่าไม่ได้ เพราะเปลือกไม้ได้เกิดหุ้มเอาไว้แล้ว เมื่อมาเจาะใหม่ก็เจาะไม่ถูกรูเก่า จึงกลายเป็นเจาะที่ใหม่ไปเสีย ถ้าอย่างนี้ก็ทะลุไปไม่ได้เลย นี้ฉันใด การปฏิบัติไม่ได้ผลไม่ก้าวหน้า เพราะอุบายการปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ไม่ตรงกับอุบายเก่าที่ได้ปฏิบัติเป็นนิสัยมาแล้ว เรียกว่า บารมีใหม่ที่กำลังปฏิบัติอยู่เชื่อมกันกับบารมีเก่าไม่ต่อเนื่องกันนั่นเอง ถ้ามีคำถามว่า จะทำอย่างไรจะเชื่อมกันกับบารมีเก่าได้ ก็ตอบว่ายากมาก เพราะไม่มีใครรู้จักว่าเราสร้างบารมีมาแล้วอย่างไรและสร้างด้วยอุบายวิธีไหน

ไม่เหมือนในครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนมชีพอยู่ พระองค์รู้จักบารมีของพระสาวกและบารมีของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย พระองค์ได้ทรงชี้แนะให้อุบายธรรมให้ถูกกับจริตนิสัยเดิมของท่านเหล่านั้น เมื่อนำไปปฏิบัติก็ได้รับผลทันที เช่น พระองค์ให้ผ้าขาวแก่พระจุลบัณฑก ให้อุบายแก่ลูกศิษย์ของพระสารีบุตร เป็นต้น หรือให้อุบายธรรมแก่พระสาวกองค์อื่นๆ เป็นจำนวนมาก ฉะนั้น ในครั้งพุทธกาลจึงมีผู้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้ง่าย ทั้งพระภิกษุและฆราวาสมีจำนวนนับหลายหมื่นท่าน เมื่อถึงยุคปัจจุบันนี้ นักปฏิบัติต้องพึ่งตัวเองในการปฏิบัติธรรมให้มาก อุบายธรรมต่างๆ ก็ฟังได้จากครูอาจารย์บ้าง และคิดหาอุบายส่วนตัวบ้าง พิจารณาดูแล้วก็เหมือนกับว่าสุ่มเดาเอาเอง เมื่อสุ่มเดาถูกนิสัยตัวเองได้ การภาวนาก็จะได้ผลทันที เมื่อสุ่มเดาไม่ถูก ถึงการภาวนาปฏิบัติจะมีการทุ่มเทความพากเพียรอย่างเต็มที่เท่าไร การปฏิบัติก็ยังไม่ได้รับผลอยู่นั่นเอง ถึงจะปฏิบัติมานานหลายสิบปีหรือปฏิบัติไปจนถึงที่สุดของชีวิต ก็จะไม่ได้บรรลุธรรมแต่อย่างใด ถึงจะมีนิสัยวาสนาบารมีพอจะบรรลุธรรมในชาตินี้ได้อยู่ก็ตาม ถ้าปฏิบัติไม่ถูกกับนิสัยเดิมของตัวเองแล้วก็ยากที่จะบรรลุธรรมได้

ถึงเราจะไปหาครูอาจารย์เพื่อฟังธรรมจากท่านอยู่บ่อยๆ หรือจะไปคอยเอาอุบายธรรมจากท่านมาปฏิบัติ ถ้าได้อุบายธรรมนั้นมาไม่ตรงกับนิสัยบารมีของตัวเอง ถึงจะเป็นอุบายธรรมที่ดีเข้มข้นในเหตุผลและสาระ หรือเป็นอุบายธรรมของผู้ที่ท่านได้บรรลุธรรมนั้นมาแล้วก็ตาม ถ้าอุบายธรรมนั้นไม่ตรงกับนิสัยเรา ก็ไม่ได้ผล เหมือนกับยาขนานนี้ ยาชุดนี้ เคยได้ใช้รักษาคนป่วยให้หายมาแล้ว เมื่อเราเอายานี้มากิน ถ้าเราเป็นโรคประเภทเดียวกันกับคนป่วยรายนั้น เราก็มีสิทธิ์จะหายได้ แต่ถ้าโรคเราไม่เหมือนกันกับท่านผู้นั้น ถึงจะกินยานี้ไปจนถึงวันตาย โรคก็ยังไม่หายอยู่นั่นเอง นี้ฉันใด นักปฏิบัติต้องพิจารณาในอุบายธรรมให้ดี เตรียมหาอุบายธรรมเอาไว้ให้มาก เพื่อจะได้เลือกเอาอุบายธรรมนั้นมาประกอบในนิสัยตัวเอง เรียกว่า ธัมมวิจยะ คือเลือกเฟ้นหาอุบายธรรมนั้นมาปฏิบัติให้ถูกกับจริตนิสัยของตัวเอง ให้เป็นไปในความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม เช่น ผู้มีนิสัยเคยทำสมาธิมามากในอดีต ในชาตินี้ก็มีนิสัยชอบทำสมาธิมากกว่าปัญญา ถ้าผู้ที่เคยใช้ปัญญามาแล้วในอดีตจนเป็นนิสัย เมื่อมาในชาตินี้ ก็ต้องใช้ปัญญามากกว่าการทำสมาธิ ทั้งสองอุบายนี้จะให้ผลออกมาเหมือนกัน ผู้ที่ทำสมาธิมากกว่าปัญญา ผลที่ออกมาเรียกว่า เจโตวิมุติ ผู้ที่ใช้ปัญญามากกว่าการทำสมาธิ ผลออกมาเรียกว่า ปัญญาวิมุติ ฉะนั้น ต้องรู้จักตัวเองว่ามีนิสัยอย่างไร ควรใช้อุบายใดเป็นหลักในการปฏิบัติธรรม เพื่อไม่ให้ฝืนนิสัยเดิมที่เคยสร้างบารมีมาแล้วอย่างนี้ในอดีต จึงเรียกว่ามีปัญญาความรอบรู้ในนิสัยของตัวเอง ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ ผลของการปฏิบัติจะเกิดขึ้นได้ยากมาก จึงเป็น ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา กว่าจะรู้เห็น กว่าจะได้รับผลจากการปฏิบัติอย่างแท้จริงได้ ต้องผ่านความทุกข์ภายทุกข์ใจมากทีเดียว

คำว่าง่าย ก็เหมือนกันกับเราเอาสว่านไปเจาะรูไม้ที่เจาะไว้แล้ว ถึงแม้จะทิ้งไว้นานจนเปลือกไม้เกิดหุ้มปิดรูเอาไว้ เมื่อบังเอิญได้โอกาสมาเจาะอีกในคราวหลังให้ถูกรูเดิม ก็เจาะทะลุได้อย่างง่ายดาย นี้ฉันใด ผู้ที่ท่านภาวนาง่ายได้รับผลจากการปฏิบัติเร็ว จึงมีเหตุผลใหญ่ๆ อยู่ ๓ ประการ คือ ๑. วาสนาบารมีเก่าเคยทำมาแล้วในอดีต ที่เรียกว่า ปุพเพกตะปุญญตา คือ ผู้ที่ได้บำเพ็ญบุญกุศลมาแล้วในปางก่อน ๒. ได้อุบายธรรมในการปฏิบัติตรงกับนิสัยวาสนาบารมีของตัวเอง ๓. มีความตั้งใจที่แน่วแน่จริงจังในการปฏิบัติธรรม ทั้ง ๓ อุบายนี้ เมื่อมารวมตัวกันเมื่อไร การภาวนาปฏิบัติก็ง่ายไม่มีอุปสรรคในการปฏิบัติแต่อย่างใด จะเรียกได้ว่า สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือ ปฏิบัติง่ายและรู้เห็นในสัจธรรมได้เร็ว ไม่มีอุปสรรคแต่อย่างใด

ฉะนั้น นักปฏิบัติต้องฝึกใจให้มีความฉลาดรอบรู้ในการปฏิบัติธรรม พยายามหาอุบายต่าง ๆ มาสอนใจตัวเองอยู่เสมอ เมื่อใจเรามีความฉลาดรอบรู้ตามความเป็นจริง การภาวนาปฏิบัติก็จะก้าวหน้าไปด้วยดี เพราะมีความตั้งใจในการปฏิบัติ ให้มุ่งหมายที่ใจเป็นจุดสำคัญ จะรักษาศีลก็รักษาเพื่อใจ จะทำสมาธิก็มุ่งหมายเพื่อให้ใจมีความสงบ การใช้ปัญญาก็เป็นอุบายสอนใจให้มีความฉลาดในเหตุผล เพราะใจเรามันยังโง่ ใจเรามันยังหลง ไม่มีความรอบรู้ ไม่มีความฉลาด ไม่สามารถจะแก้ปัญหาที่ใจได้ ฉะนั้น จึงให้ใช้ปัญญาอบรมสั่งสอนใจอยู่เสมอ เพื่อให้ใจได้มีความรอบรู้ตามหลักความเป็นจริง ดังคำบาลีที่กล่าวไว้ว่า จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ เมื่อใช้ปัญญาอบรมจิตได้แล้วย่อมนำความสุขความฉลาดมาให้จิตเอง เรื่องของใจจึงเป็นเรื่องใหญ่ในการปฏิบัติธรรม

ส่วนอุบายในการปฏิบัติที่เนื่องด้วยกาย เนื่องด้วยวาจา ในหลักธรรมในแง่ต่างๆ นั้น ก็เพื่อเป็นผลสะท้อนถึงใจทั้งหมด ดังคำว่า ปุพฺพงฺคมาธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ นี้เป็นอุบายที่ชัดเจนมาก แต่ผู้ปฏิบัติเองจะตีความให้ถูกกับความหมายหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของบุคคล แต่ก็มีหลายท่านที่ตีความไปในความเห็นของตัวเอง ดังคำว่า สำเร็จแล้วด้วยใจ ก็เอาใจอย่างเดียวนั้นแหละ จะภาวนาแต่ละครั้งก็มุ่งหวังเอาแต่ใจอย่างเดียว เช่น ให้มีสติอยู่ที่ใจ ให้ใจมีความสงบ ให้ใจอยู่ในความว่างเปล่า ให้ใจอยู่ในความเป็นกลาง จะภาวนาแต่ละครั้งก็มุ่งหวังให้ใจมีความสงบแต่อย่างเดียว เพราะมีความเข้าใจว่า เมื่อใจมีความสงบเป็นสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาขึ้นนั่นเอง หรือบางท่านเข้าใจว่า เมื่อใจมีความสงบเป็นสมาธิแล้ว กิเลส ตัณหา อวิชชา อาสวะน้อยใหญ่จะหมดไปจากใจ เมื่อมีความเห็นแตกต่างกันไปอย่างนี้ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามยุคสมัยก็แล้วกัน

การภาวนาปฏิบัติ กว่าจะเข้าถึงวิปัสสนาญาณได้นั้น ไม่ใช่เป็นของง่ายเลย เพราะวิปัสสนาญาณนั้นเป็นต้นทางของอริยมรรค เมื่อท่านผู้ใดทำให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นได้แล้ว เรียกว่า นิตยมรรค คือ เส้นทางที่ตรงและเป็นเส้นทางที่แน่นอน ไม่มีทางแยกอื่นใด ที่จะทำให้เกิดความลังเลสงสัย และไม่มีทางอื่นอันจะทำให้เกิดความหลง เพราะเส้นทางนี้จะตรงเข้าสู่พระนิพพานโดยตรง เมื่อวิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้นกับท่านผู้ใดแล้ว ท่านผู้นั้นจะรู้ตัวทันทีว่า ปัญญาญาณของเราได้เกิดขึ้นแล้ว การภาวนาปฏิบัติก็ไม่ต้องไปหาถามใครอีกต่อไปว่าผิดหรือถูก เพราะตัวเองจะรู้ทั้งหมดแล้ว โอกาสที่จะไปถามผู้อื่นนั้นไม่มี เหมือนกับบัณฑิตสามเณรผู้เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร เมื่อเข้าไปบิณฑบาตกับอาจารย์ ไปเห็นชาวนาเอาน้ำเข้านา ก็ถามอาจารย์ว่าเขาทำอะไร อาจารย์บอกว่าเขากั้นดินเอาน้ำเข้านา เขาต้องการจะให้น้ำไหลไปทางไหน เขาก็กั้นดินเอาไว้ น้ำก็จะไหลไปในทางที่ต้องการ เมื่อสามเณรได้ฟังดังนั้น ก็ดำริพิจารณาว่า น้ำไม่มีหัวใจไหลไปตามธรรมชาติ และไหลไปในทางที่ต่ำอยู่ตลอดเวลา คนผู้มีปัญญาที่ฉลาดก็สามารถกั้นเอาน้ำไปใช้ประโยชน์ในการทำนาในพื้นที่สูงได้ โอปนยิโก สามเณรก็น้อมเอาชาวนากับน้ำที่ไหลไปนั้นเข้ามาหาตัวเองว่า ใจเราก็ชอบคิดไปในทางที่ต่ำอยู่เสมอ ถ้าปล่อยให้คิดไปอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์กับตัวเราเลย มิหนำซ้ำ ยังจะเป็นโทษให้แก่เราผู้ปล่อยใจไปตามอารมณ์อย่างแน่นอน

สามเณรเดินตามหลังอาจารย์ไปด้วย คิดพิจารณาไปด้วย ไปถึงอีกแห่งหนึ่งก็เห็นนายพรานเขากำลังดัดลูกศร ก็ได้ถามอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์ครับ คนเหล่านั้นเขาทำอะไร อาจารย์ก็บอกว่า คนเหล่านั้นเป็นนายพราน เขากำลังดัดลูกศรให้ตรง สามเณรถามต่อไปว่า เขาดัดลูกศรให้มันตรงเพื่ออะไร อาจารย์ตอบว่า ถ้าลูกศรดัดให้ตรงแล้ว เขาก็จะเอาไปยิงสัตว์ และยิงถูกเป้าหมายตามที่เขาต้องการ ถ้าลูกศรไม่ตรง ถึงจะยิงสัตว์หรือยิงอะไรก็ตาม ก็จะไม่ถูกตามเป้าหมายนั้นเลย เมื่อสามเณรได้ฟังดังนั้น ก็ โอปนยิโก น้อมเข้ามาหาตัวเอง พิจารณาด้วยปัญญาทันที เกิดความฉลาดรอบรู้ขึ้นที่ใจ จึงได้พูดกับอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์ครับ นิมนต์ท่านอาจารย์ไปบิณฑบาตองค์เดียวเถิด กระผมจะกลับวัด ถ้าท่านอาจารย์ได้อาหารขอได้เอามาฝากกระผมด้วย จากนั้น สามเณรก็กลับวัด แล้วขึ้นสู่บนกุฏิเข้าที่นั่งภาวนาอย่างกล้าหาญทีเดียว

เมื่อท่านได้ฟังได้อ่านมาถึงจุดนี้แล้ว ท่านคิดว่าสามเณรจะนั่งภาวนาอย่างไร ต้องตอบว่า สามเณรคงรีบไปนั่งสมาธิภาวนาทำใจให้มีความสงบใช่ไหม รับรองว่าท่านต้องตอบอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะ ขณะนี้ นักภาวนามักจะเข้าใจและทำกันจนเป็นนิสัย เพราะเข้าใจว่าการนั่งภาวนาก็คือ การนั่งทำความสงบในสมาธินั่นเอง ที่จริงแล้วสามเณรนั่งภาวนานั้น มิใช่นั่งสมาธิภาวนาตามความเข้าใจของเรา แต่นั่งเจริญวิปัสสนาภาวนาต่างหากเล่า นั่นคือ สามเณรได้ข้อมูลจากชาวนาที่กำลังเอาน้ำเข้านา และไปเห็นนายพรานกำลังดัดลูกศรที่จะไปยิงสัตว์ เมื่อนั่งได้ที่แล้วก็ โอปนยิโก น้อมเอาเรื่องของชาวนาเอาน้ำเข้านามาเป็นอุบาย และน้อมเอาเรื่องของนายพรานดัดลูกศรมาเป็นข้อมูลในการใช้ปัญญาพิจารณา เอาอุบายเหตุภายนอกเข้ามาประกอบเปรียบเทียบเหตุภายใน คือ กายและใจ ให้เป็นไปตามหลักความเป็นจริงที่เพียบพร้อมด้วยเหตุผล สามเณรพิจารณาในเรื่องนี้อย่างไร จะไม่เขียนไว้ให้อ่านหรอกนะ ขอให้เราได้ใช้ปัญญาของตัวเอง ถ้าเราพบเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น เราจะใช้ปัญญาพิจารณาเปรียบเทียบได้อย่างไร ให้ทดสอบดูปัญญาเราก็แล้วกัน

ในช่วงนั้น สามเณรภาวนาอย่างหนักทีเดียว แต่ก็ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ฝ่ายพระสารีบุตรได้หางปลาตะเพียนและอาหารอย่างอื่นๆ แล้ว ก็นึกถึงสามเณรว่า ขณะนี้สามเณรคงจะหิวอาหาร และนั่งรอเราอยู่ที่กุฏิแล้ว จึงรีบนำเอาอาหารไปให้สามเณร ขณะนั้น พระพุทธเจ้ามีพระญาณอันรอบรู้ในเรื่องของสามเณรนี้อยู่แล้ว พระองค์ทรงดำริว่า ถ้าเราไม่ไปกันพระสารีบุตรเอาไว้ก่อน พระสารีบุตรก็จะไปเรียกสามเณรมาฉันอาหารซึ่งจะไปทำลายวิถีจิตของสามเณรผู้กำลังจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นี้อย่างแน่นอน จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้มาปรากฏพระองค์อยู่ในเส้นทางของพระสารีบุตรที่กำลังเดินมา จากนั้น พระพุทธเจ้าก็มีอุบายธรรมต่างๆ สนทนากับพระสารีบุตรเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ เพราะขณะนี้สามเณรยังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่อสามเณรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าก็ปล่อยให้พระสารีบุตรนำอาหารมาให้สามเณรทันที นี้เพียงอธิบายให้ลักษณะผู้จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ให้ท่านได้รู้เอาไว้

ฉะนั้น อุบายของผู้จะบรรลุธรรมนั้นไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่เมื่อได้บรรลุธรรมแล้ว ความบริสุทธิ์จะเหมือนกันทั้งนั้น ถ้าท่านผู้ที่เคยอ่านตำราเกี่ยวกับปฏิปทา ๔ จะเข้าใจทันที นั่นคือ สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทั้งสี่อย่างนี้มีอุบายธรรมแตกต่างกัน แต่ก็เป็นไปตามวาสนาบารมีของแต่ละท่านที่สร้างมาแล้วในอดีตชาตินั้นเอง ผู้จะบรรลุธรรมได้เร็วหรือผู้จะบรรลุธรรมได้ช้า อย่าไปถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพระอรหันต์ท่านไม่มีนิสัยอย่างนี้ ไม่มีการโอ้อวดกันว่า ผู้บรรลุธรรมก่อนจะดีกว่าผู้ที่ได้บรรลุธรรมทีหลัง อย่างไรก็ขอให้ภาวนาให้ถึงที่สุดในชาตินี้ก็แล้วกัน เพราะความบริสุทธิ์ของพระอรหันต์นั้นเหมือนกันทั้งหมด ไม่ได้แบ่งแยกกันเป็นหมวดเป็นหมู่ในความบริสุทธิ์นี้เลย นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ผู้ถึงพร้อมด้วยจตุปฏิสัมภิทา พระอรหันต์ผู้มีฉฬภิญโญ พระอรหันต์ผู้มีเตวิชโช พระอรหันต์ผู้เป็นสุกขวิปัสสโก ทั้งหมดนี้มีความบริสุทธิ์เสมอภาคกัน ถึงพระนิพพานคือความดับทุกข์อย่างสนิทเหมือนกัน ฉะนั้น พระอรหันต์ที่อยู่รวมกันตั้งแต่สององค์ขึ้นไป ท่านไม่ได้ถามถึงจิตที่มีความบริสุทธิ์ต่อกันแต่อย่างใด อย่างมากก็ถามเพียงว่าได้อุบายใดเป็นหลักของวิปัสสนาญาณ หรือได้กำลังใจอย่างเต็มที่อยู่ที่ไหนไปทำนองนั้น ไม่ได้ถามซักไซ้กันถึงเรื่องความบริสุทธิ์แต่อย่างใด ที่ถามกัน ซักไซ้กันนั้น เป็นเรื่องของคนตาบอดคลำช้างนั่นเอง

ดังนักปราชญ์กล่าวไว้ว่า คนตาบอดกลุ่มหนึ่งอวดตัวว่ารู้จักช้างดี เมื่อพบช้างต่างคนก็เข้าไปลูบคลำตัวช้าง แล้วพากันอ้างว่าตัวรู้จักช้างดีกว่าใครๆ คนไหนคลำถูกหางก็ว่าช้างเหมือนไม้กวาด คนไหนคลำถูกลำตัวช้างก็ว่าช้างเหมือนฝาเรือนไป คนไหนคลำถูกใบหูช้างก็ว่าช้างเหมือนกระจาดไป คนไหนคลำถูกขาก็ว่าเหมือนท่อไป ต่างคนก็ต่างคลำถูกคนละที่กัน ต่างคนต่างมีความมั่นใจในตัวเองว่าช้างต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน ในที่สุดก็ไปนั่งถกเถียงกันใต้ต้นมะกอก เถียงกันไปเถียงกันมา ต่างคนก็ว่าตัวเองเป็นผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง และบังคับให้คนอื่นเชื่อตามตัวเองทั้งหมด ต่างฝ่ายต่างไม่ลงรอยกัน ต่างก็ว่าข้อมูลเหตุผลของตัวเองถูกต้องกันทั้งนั้นในขณะนั้น มีลมพัดมา ลูกมะกอกซึ่งกำลังสุกอยู่พอดี เมื่อถูกลมพัดเพียงเบาๆ ลูกมะกอกทั้งหลาย ก็หล่นลงมาถูกหัวกลุ่มคนตาบอดที่กำลังถกเถียงกันอยู่อย่างจัง เหล่าคนตาบอดต่างก็เข้าใจผิด คิดว่าเพื่อนตีหัวตัวเอง ต่างก็ลุกขึ้นพากันขว้างหมัดออกไป และร้องว่าใครตีหัวกูๆ ในที่สุดหมู่คนตาบอดก็ทะเลาะตบตีกันเอง นี้ฉันใด นักปฏิบัติที่ไม่ค่อยลงรอยกัน เนื่องจากทิฏฐิของตนเป็นเหตุ ใครศึกษามาอย่างไร ก็ชอบเชื่อกันอย่างนั้นว่าถูกต้องแล้ว หรือได้ฟังจากครูอาจารย์ที่สอนมาอย่างไรก็เชื่อกันไปอย่างนั้น ถ้าศึกษาจากหนังสือคนละเล่ม ความเห็นก็จะไปคนละอย่าง หรือได้ฟังจากครูอาจารย์ที่ท่านสอนแนวทางปฏิบัติที่ต่างกันไป ความเข้าใจความคิดเห็นก็ย่อมจะไม่ตรงกันเป็นธรรมดา หลักอุบายภาวนาปฏิบัติก็มีอุบายต่างกัน ใคร ๆ ก็ว่าหนังสือเรามีข้อมูลที่ถูกต้องด้วยกันทั้งนั้น หรืออาจารย์เราสอนแนวทางปฏิบัติที่ตรงต่อมรรคผลนิพพานที่สุด ถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้ก็ไม่แตกต่างกันกับหมู่คนตาบอดที่ลูบคลำช้างนั่นเอง แต่ถ้าเป็นผู้ตาดีมีความรอบรู้ในเหตุผลทั้งหมดแล้ว เขาจะไม่เข้าร่วมวงถกเถียงกับคนกลุ่มตาบอดนี้เลย

ที่จริงประวัติของพระอริยเจ้าทั้งหลายในครั้งพุทธกาล ในพระสูตรต่างๆ ได้อธิบายไว้แล้วอย่างชัดเจนว่า ท่านองค์นั้นๆ แต่ก่อนท่านก็เป็นปุถุชนธรรมดาเหมือนคนทั่วไป ก่อนที่ท่านเหล่านั้นจะกลายเป็นพระอริยเจ้าได้นั้น จุดเริ่มต้นท่านปฏิบัติกันมาอย่างไร ถ้าเราได้ศึกษาด้วยเหตุผลที่ถูกต้องตามแนวทางของพระอริยเจ้าแล้ว เราก็จะเข้าใจในแนวทางเริ่มต้นในหลักภาวนาปฏิบัติได้เป็นอย่างดี จะไม่มีปัญหาในการภาวนาปฏิบัติแต่อย่างใด ในชาตินี้อาจจะพบกระแสธรรมได้อย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยเมื่อเรายังไม่พร้อมในชาตินี้ แต่เรามีแนวทางที่ปฏิบัติตรงอยู่แล้ว ก็จะเป็นนิสัยเป็นปัจจัยในตัวเรา ไม่มีการสูญหายไปไหน เมื่อได้เวลาที่พระพุทธเจ้าองค์ใดบังเกิดขึ้นในโลกนี้แล้ว เราอาจจะได้มาเกิดในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น และเราก็จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าอย่างแน่นอน คำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะเหมือนกันทั้งหมด นั่นคือ อริยสัจ ๔ มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เหมือนกัน เมื่อฐานของการปฏิบัติที่เราเคยอบรมมาแล้วจนเป็นนิสัยติดตัวมา พอได้ยินในคำว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เท่านั้น ก็จะเป็นพุทโธ มีความรู้เห็นเป็นไปในหลักสัจธรรมทันที

ไม่ว่าเราจะได้ไปเกิดในที่แห่งใดในสมัยนั้น พระพุทธเจ้าก็จะทรงรู้ได้ด้วยพระญาณของพระองค์เองว่า เรามีวาสนาบารมี มีอินทรีย์แก่กล้าพอจะได้พบกระแสธรรมแล้ว พระองค์ก็จะเสด็จไปโปรดเราทันที และเราก็จะได้สิ้นสุดของภพชาติที่จะเกิดตายเวียนว่ายในวัฏจักร แทนที่จะต้องเทียวเกิดตายในวัฏสงสารไปอีกนานไม่มีที่กำหนด ฉะนั้น ขอให้พวกเราได้วางแนวทางการภาวนาปฏิบัติให้ถูกต้องเอาไว้ ไม่เช่นนั้น จะเป็นผู้เล็ดลอดจากพระญาณของพระพุทธเจ้าไปอย่างน่าเสียดาย ดังที่เราได้เล็ดลอดจากพระญาณของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาแล้ว เราจึงได้ตกค้างมาเกิดตายอยู่ในวัฏสงสารนี้มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อมาถึงยุคที่มีพระพุทธศาสนานี้อยู่ หากเราทำตัวเป็นผู้ประมาทในชีวิต ไม่ได้สนใจการบำเพ็ญกุศลให้แก่ตน ในชาติหน้าก็จะเป็นผู้ห่างจากพระพุทธศาสนาไปไกลมากทีเดียว จะกลายเป็น ตโมตะมะปรายะโน มืดมาแล้วก็มืดไป ไม่ได้พบแสงสว่างในทางธรรมแต่อย่างใด และจะกลายเป็น ปทะปรมะ อยู่นอกข่ายพระญาณของพระพุทธเจ้าจะโปรดเราได้ เพราะไม่มีนิสัยปัจจัยในการสร้างคุณงามความดีเอาไว้เลย

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


๏ ณ วัดถ้ำกลองเพล

เมื่อออกพรรษาแล้วก็กลับวัดถ้ำกองเพล ได้คิดไว้แล้วว่า ถ้าหลวงปู่ขาวท่านถามเรื่องผลของการภาวนาก็จะเล่าถวายท่านไป แต่ถ้าท่านไม่ถาม ก็จะไม่ขอโอกาสเล่าถวายให้ท่านฟังเลย เมื่อไปถึงวัด เป็นเวลามืดค่ำราวๆ ประมาณ ๒ ทุ่ม จึงไม่ได้ขึ้นไปกราบท่าน เช้าวันต่อมาก่อนออกบิณฑบาต ท่านหลวงปู่ก็ลงมาที่ศาลา จึงได้เข้าไปกราบท่าน กราบยังไม่ทันเสร็จ ท่านก็รีบถามขึ้นมาว่า เป็นอย่างไร ทูล การภาวนา เล่าให้ฟังหน่อยซิ จึงเรียนท่านไปว่า ขอโอกาสหลวงปู่ ตอนเย็นวันนี้ กระผมจะไปเล่าถวายให้หลวงปู่ฟังที่กุฏิครับ หลวงปู่ก็พยักหน้า แล้วก็ออกบิณฑบาตตามปกติ

เมื่อถึงตอนเย็นหลังจากที่พระเณรลงจากกุฏิหลวงปู่ไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้โอกาสอยู่กับหลวงปู่เพียงลำพัง จากนั้น ก็ขอโอกาสเล่าถวายเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติให้ท่านฟัง เมื่อเล่าถวายเสร็จแล้ว หลวงปู่ท่านก็พูดว่า ผลของการปฏิบัติอย่างนี้ น้อยองค์นักที่จะเป็นไปได้ ผมก็เป็นมาอย่างนี้เหมือนกัน ผลของการปฏิบัติที่เป็นของจริง ไม่ต้องพูดกันมาก เมื่อพูดกันเพียงประโยคแรกก็รู้ความหมายทันที ทุกวันนี้มีผู้รู้ผลของการปฏิบัติน้อยมาก

หลวงปู่ถามว่า บวชมาได้กี่ปีแล้วจึงรู้ผลอย่างนี้ ตอบว่า ขอโอกาส กระผมบวชมาได้ ๘ ปี หลวงปู่ก็ยิ้มๆ แล้วพูดว่า คงเป็นเพราะบารมีเก่าได้สร้างมาแล้วในชาติก่อนเป็นเหตุปัจจัย ไม่เช่นนั้น จะไม่รู้ผลของการปฏิบัติเร็วถึงขนาดนี้หรอก หลวงปู่ถามว่า ก่อนที่จะมีปัญญาเกิดขึ้น ได้มีอะไรเป็นอุบายในการพิจารณา ก็ขอโอกาสต่อหลวงปู่ แล้วก็เล่าถวายในเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญญา ได้เล่าเรื่องเครือกระพังโหม ให้หลวงปู่ฟัง การเล่าเรื่องทั้งหมดนั้น ก็เหมือนกับที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งหมด

เมื่อเล่าถวายจบ หลวงปู่ก็ยิ้มๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า เหตุและอุบายที่ทำให้เกิดปัญญา ดังที่ท่านได้เล่ามานี้ เหมือนกันกับเฮา แต่ต่างกันเพียงเป็นวัตถุคนละอย่างกัน จึงขอโอกาสถามหลวงปู่ว่า เหตุที่ทำให้เกิดอุบายปัญญาของหลวงปู่นั้น หลวงปู่มีอะไรเป็นเหตุเป็นอุบายครับผม จากนั้น หลวงปู่ก็ได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายสิบปี หลวงปู่เล่าให้ฟังอย่างละเอียดติดต่อกัน เหมือนกับว่าประสบการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นเพียง ๒-๓ วันนี้เอง กิริยาท่าทางการแสดงออก หลวงปู่จำได้อย่างแม่นยำทีเดียว หลวงปู่เล่าถึงเหตุที่ทำให้เกิดปัญญาในครั้งนั้นว่า

ในบ่ายวันหนึ่ง ได้ลงไปสรงน้ำที่เชิงดอย เป็นเวลาที่ชาวนากำลังเก็บเกี่ยวข้าว เมื่อมองดูทุ่งนา ก็ล้วนแต่มีข้าวแก่เหลืองเต็มไปหมด ในตอนนั้นน้ำก็ยังไม่ได้สรง ในขณะที่ดูข้าวในนาเขาอยู่นั้น มีความคิดเกิดขึ้นที่ใจว่า เมล็ดข้าวนี้เกิดมาจากอะไร มีอะไรเป็นเหตุให้เมล็ดข้าวเกิดขึ้น ก็คิดตอบทันทีว่า เมล็ดข้าวเกิดขึ้นจากเมล็ดข้าวเอง เพราะเมล็ดข้าวนั้นมีเชื้อพาให้เกิด เมื่อคนเอาเมล็ดข้าวที่มีเชื้อนั้นไปหว่านลงบนพื้นดิน เชื้อของเมล็ดข้าวนั้นก็เริ่มแตกตุ่มออกมาจากเมล็ดข้าวนั้น ทีแรกก็เป็นตุ่มขาวๆ เล็กๆ มีรากหยั่งลงไปในพื้นดิน แล้วดูดเอาปุ๋ยต่างๆ จากพื้นดินมาเป็นอาหาร ต่อมาก็มีต้นข้าวเล็กๆ งอกออกมาจากเมล็ดข้าวนั้น หลายวันต่อมาก็งอกงามเหมือนกับต้นหญ้า เมื่อได้ประมาณ ๑ เดือน เขาก็ถอนขึ้นมา แยกออกไปปลูกในพื้นดินอีก ต้นข้าวก็ใหญ่ขึ้นแก่ขึ้น เมื่อโตเต็มที่แล้วก็ออกรวงเป็นเมล็ดข้าวเปลือกอ่อนๆ จากนั้นเมล็ดข้าวเปลือกอ่อนๆ ก็แก่ขึ้น มีเมล็ดข้าวสารเกิดขึ้นในเมล็ดข้าวเปลือกนั้น และมีเชื้อติดอยู่กับหัวเมล็ดข้าว เมื่อแก่แล้ว ชาวนาก็จะเก็บเอาเมล็ดข้าวที่มีเชื้อนั้นไว้ เพื่อจะไว้ใช้ทำพันธุ์ต่อไป เมล็ดข้าวที่จะได้เกิดขึ้นมาใหม่ ก็เหมือนกันกับเมล็ดข้าวเก่านี่เอง

หลวงปู่อธิบายต่อไปว่า เมล็ดข้าวที่มีเชื้ออยู่นี้ เมื่อไปตกอยู่กับพื้นดินที่ชุ่มเมื่อไรก็จะเกิดเป็นต้นขึ้นมาอีก แต่ถ้าแกะเอาเปลือกนอกมันออกทิ้งไป แล้วใช้เล็บมือแกะเอาหัวเชื้อที่เมล็ดข้าวออกทิ้งไปเสีย เมล็ดข้าวที่เหลือถึงจะเอาไปหว่านลงในพื้นดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำและปุ๋ย เมล็ดข้าวนั้นก็จะไม่เกิดเป็นต้นขึ้นมาอีกเลย หรือเอาเมล็ดข้าวเปลือกนั้นไปคั่วด้วยไปให้ร้อนไหม้ เมื่อนำมาหว่านบนพื้นดินก็จะไม่เกิดอีกเช่นกัน เพราะเชื้อในเมล็ดข้าวนั้นได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว จึงหมดเหตุหมดปัจจัยที่จะทำให้เมล็ดข้าวเกิดขึ้นมาได้อีก เมื่อพิจารณาเมล็ดข้าวเสร็จแล้วก็ โอปนยิโก น้อมเอาเมล็ดข้าวนั้นเข้ามาหากาย และน้อมเข้ามาหาใจ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า ต้นข้าวทั้งหมดเหมือนกันกับร่างกายเรา เมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับใจเรา เชื้ออยู่ในหัวเมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับกิเลส ตัณหา อวิชชา การใช้เล็บมือแกะหัวเชื้อที่อยู่ในเมล็ดข้าวทิ้งไป ก็เหมือนกันกับได้ใช้สติปัญญากำจัดกิเลส ตัณหา อวิชชา ออกจากใจได้แล้ว ถ้าใจไม่มีเชื้อที่จะพาให้เกิดเป็นภพเป็นชาติอีก ร่างกายนี้จะมีมาจากที่ไหน

ฉะนั้น เรื่องของใจและเรื่องกิเลส ตัณหา อวิชชา ที่มีอยู่ในใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องกำจัดให้หมดไปในชาตินี้ให้ได้ เพื่อจะไม่ให้ภพชาติของเรายืดเยื้อในการไปเกิดใหม่อีกต่อไป ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ในช่วงที่หลวงปู่เอาเมล็ดข้าวมาพิจารณาด้วยปัญญานี้เอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวิปัสสนาญาณที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าดูเพียงผิวเผินก็เหมือนกับใช้ความคิดพิจารณาธรรมดา ไม่แตกต่างกันกับความคิดพิจารณาของนักปฏิบัติทั่วๆ ไป แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน นั่นคือ กำลังของใจ กำลังของสติ กำลังของปัญญา และกำลังบารมี ที่มาบรรจบกันพอดี เรียกว่า บารมีที่อบรมสะสมมาแล้วในอดีตชาติทั้งหมด และบารมีที่หลวงปู่ได้ภาวนาปฏิบัติ สะสมอินทรีย์ที่แก่กล้ามาในชาตินี้ ตลอดทั้งกำลังความเพียรอื่นใดที่หลวงปู่ได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งอดีตและปัจจุบัน เมื่อรวมตัวกันได้แล้วจึงได้เกิดกำลังขึ้น เรียกว่า กำลังของวิปัสสนาญาณ นั่นเอง กำลังของวิปัสสนาญาณนี้จะประหารกิเลส ตัณหา อวิชชา ให้หมดไปจากใจทันที เพราะกำลังของวิปัสสนาญาณนี้ เหนือกว่ากำลังของกิเลสตัณหาทั้งปวง กำลังของวิปัสสนาญาณนี้เอง จึงเป็นจุดเด่นเฉพาะตัวของผู้ที่จะได้บรรลุธรรม

หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ได้สรงน้ำ และใช้กระบอกไม้ไผ่ตักเอาน้ำสะพายกลับมากุฏิทันที ในระหว่างที่เดินกลับนี้ หลวงปู่ก็ใช้อิริยาบถเดินจงกรม โดยใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมอยู่ตลอด ปัญญานี้จะมีความต่อเนื่องกันจากเมล็ดข้าวดังที่ได้อธิบายมาแล้ว เพื่อเป็นอุบายสอนใจอยู่ตลอดเวลา พิจารณาด้วยปัญญาประกอบเหตุผลให้เป็นไปตามความเป็นจริง ให้ใจได้เห็นทุกข์ โทษ ภัย ในชาติ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าไม่มีอะไรเป็นของของเราอยู่ตลอดเวลา ปัญญาที่นำอุบายธรรมมาสอนใจนั้นห้าวหาญเด็ดเดี่ยวมาก จะพิจารณาเรื่องใดก็รู้เห็นชัดเจนไปทั้งหมด อุบายปัญญาที่นำมาพิจารณานั้นก็เป็นอุบายเก่าๆ ที่เคยใช้มาแล้วทั้งหมด แต่ก่อนพิจารณาไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะใจยังไม่ยอมรับความจริงในสิ่งนั้นๆ แต่เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นที่ใจได้แล้ว ก็จะประหารกิเลสตัณหาอวิชชาที่มีอยู่ในใจให้หมดไป นั่นคือ ใจยอมรับตามความเป็นจริงทั้งหมด จะรู้เห็นในความเกิด แก่ เจ็บ และตาย ว่าเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย ที่น่ากลัวไปเสียทั้งหมด ชาติคือ ความเกิดในอดีตที่ผ่านมา ก็มีแต่ทุกข์ โทษ ภัย ในชาติปัจจุบันนี้ก็มีแต่ทุกข์ โทษ ภัย เต็มอยู่ในกายในใจทั้งหมด อนาคตที่จะไปเกิดในภพชาติต่อไป ก็จะมีแต่ทุกข์ โทษ ภัย เหมือนในชาติปัจจุบันนี้เอง ใจจึงมีความกลัวในการเกิดเป็นอย่างยิ่ง และเบื่อหน่ายในธาตุขันธ์ที่จะไปเกิดเอาภพชาติอีกต่อไป ในตอนเย็นวันนั้น หลวงปู่เดินจงกรมใช้ปัญญาพิจารณาอยู่ตลอด เมื่อค่ำมืดหลวงปู่ก็ขึ้นไปภาวนาที่กุฏิต่อไป หลวงปู่เล่าว่า การขึ้นไปภาวนาที่กุฏินั้นใช้อุบายในการทำสมาธิ เมื่อใช้สติกำหนดจิตนิดเดียวเท่านั้น ก็ลงสู่ความสงบเต็มที่

หลวงปู่ว่า นับแต่ปฏิบัติภาวนามาหลายปี เพิ่งรู้จักจิตสงบเป็นสมาธิในครั้งนี้เอง แต่ก่อนจิตมีความสงบเหมือนกับสายฟ้าแลบแวบเดียวก็ถอนออกมา แล้วจึงใช้ปัญญาพิจารณาด้วยอุบายธรรมต่างๆ ตลอด แต่บัดนี้ จิตมีความสงบหนักแน่นแน่วแน่มาก หลวงปู่จำคำสอนของหลวงปู่มั่นที่สอนไว้ว่า ขาว ถ้าจิตมีความสงบถึงฐานของสมาธิแล้ว อย่าไปบังคับให้ถอนนะ ปล่อยให้อยู่ในความสงบนั้นไปจนจิตได้มีความอิ่มตัวในสมาธินั้นๆ ได้เวลาแล้วจิตก็จะถอนออกมาเอง เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไป ในคืนนั้น หลวงปู่ข่าวได้ปฏิบัติตามโอวาทของหลวงปู่มั่นได้เป็นอย่างดี ในที่สุด หลวงปู่ขาวก็ได้ตัดกระแสวัฏจักรให้ขาดไปจากใจในคืนนั้นเอง

ฉะนั้น วิปัสสนาญาณจึงเป็นญาณที่คมกล้า เป็นญาณที่มีกำลัง เป็นญาณที่เกิดขึ้นเพื่อตัดกระแสของกิเลส ตัณหา อวิชชา โดยตรง เมื่อตัดกระแสของอาสวะกิเลสทั้งปวงหมดไปจากใจแล้ว วิปัสสนาญาณก็สลายไป ไม่ได้ตั้งอยู่นาน และไม่มีวิปัสสนาญาณใดเกิดขึ้นมาอีกเป็นรอบสอง เพราะไม่มีกิเลส ตัณหา อวิชชา เหลืออยู่ภายในใจอีกแล้ว

หลวงปู่ขาวพูดว่า ในเวลาจวนจะสว่างของคืนนั้น กิเลส ตัณหา อวิชชา ที่เป็นเจ้าครองหัวใจมานาน กับวิปัสสนาญาณที่เกิดมาต่อสู้กันนั้น ถือว่าเป็นมหาสงครามเลยทีเดียว กิเลส ตัณหา อวิชชา ก็มีความเหนียวแน่นไม่ยอมหลุดออกไปจากใจ และเกาะยึดติดที่ใจเอาไว้ไม่ยอมปล่อยวาง แต่ก็ทนต่อกำลังของวิปัสสนาญาณไม่ไหว วิปัสสนาญาณจึงได้ฆ่ากิเลสให้ตายคายกิเลสออก สำรอกให้กิเลสหลุด จิตก็เข้าถึงวิมุตินิพพานในคืนนั้นแล เป็นอันว่าสงครามระหว่างกิเลสตัณหากับสติปัญญาที่ห้ำหั่นกันมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ก็ได้สิ้นสุดลงในเวลาจวนสว่างของคืนนั้นเอง หลังจากที่สนทนากับหลวงปู่จนได้เวลาอันสมควร ก็ต้องลาหลวงปู่กลับไปกุฏิ หลวงปู่ได้สั่งว่า คืนต่อไปมาคุยธรรมะกันอีกนะ คุยกันยังไม่จบ นับแต่เฮารู้ธรรมมานี่ก็หลายปี ยังไม่เคยสนทนาธรรมกับใครยาวถึงขนาดนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดให้ใครฟัง เพราะไม่รู้ภาษากัน หลวงปู่พูดว่า ในครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เคยได้พูดเรื่องธรรมกับอาจารย์มหาบัว แต่ก็ไม่ได้พูดกันนานเพราะไปในงานกิจนิมนต์ด้วยกัน จากนั้นมาก็เพิ่งมีท่านนี่แหละ พาให้ผมได้พูดธรรมะอีก

ในคืนต่อมา เมื่อได้เวลาปลอดพระเณรแล้ว ก็ขึ้นไปที่กุฏิหาหลวงปู่เพื่อสนทนาธรรมกันต่อไป ในคืนนี้ หลวงปู่ได้ปรารภเรื่อง อัตตาและอนัตตา หลวงปู่พูดว่า เรื่องอนัตตา ที่จะรู้เห็นได้ชัดนั้น ก็เมื่อจิตได้ลงสู่มัคคสมังคีได้เต็มที่แล้ว เพราะมีความดับในตัวอัตตาทั้งหมด จึงไม่มีอะไรที่จะไปยึดติดต่อกันและกัน รูปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่รูป รูปไม่มีในเรา เราไม่มีในรูป เวทนาไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่เวทนา เวทนาไม่มีในเรา เราก็ไม่มีในเวทนา สัญญาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สัญญา สัญญาไม่มีในเรา เราก็ไม่มีในสัญญา สังขารไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สังขาร สังขารไม่มีในเรา เราไม่มีในสังขาร วิญญาณไม่ใช่เรา เราไม่ใช่วิญญาณ วิญญาณไม่มีในเรา เราไม่มีในวิญญาณ กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกอย่างก็ไม่เป็นสัตว์เป็นบุคคลตัวตนเราเขา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีอัตตา คือ กิเลสตัณหาแฝงอยู่ในขันธ์ ๕ นี้เลย จึงเป็นความว่างจากอัตตาไปทั้งหมด ไม่มีความหมายและไม่มีสาระอะไรเลย เหมือนกับเลขศูนย์ ถึงจะมาเรียงกันอยู่เป็นจำนวนมากก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าหากมีเลข ๑ - ๒ - ๓.....นำหน้าเอาไว้ ศูนย์ทั้งหมดนั้นก็จะมีความหมายขึ้นมาทันที

หลวงปู่ได้เปรียบเทียบว่า มีเก้งตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในป่าละเมาะแห่งหนึ่ง มีคนหลายพันคน ต่างก็เห็นเก้งตัวนั้นเข้าไปในป่าด้วยตาตัวเองทั้งหมด จากนั้น คนหลายพันคนนั้น ก็โอบล้อมป่าละเมาะนั้นไว้ แล้วเข้าแถวเรียงหน้ากระดานเข้าไปเพื่อจะจับเอาเก้งตัวนั้นให้ได้ ต่างพากันค้นหาแทบจะเปิดดูใบไม้ใบหญ้าทั้งหมด แต่ก็ไม่พบเห็นเก้งตัวนั้น จึงพากันถากถางเอาต้นไม่ใบหญ้าออกหมด ให้พื้นดินเป็นที่เตียนโล่ง และคนหลายพันคนเข้าไปยืนเต็มอยู่ในที่นั้นทั้งหมด ไม่มีที่ว่างแม้แต่กระเบียดมือเดียว แต่ก็ยังไม่เห็นเก้งตัวนั้นเลย นี้ฉันใด ที่เข้าใจว่า ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนมาแล้วก็ตาม เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นและได้ทำลายตัวความเห็นที่เป็นอัตตาสิ้นไปแล้ว จึงเป็นอนัตตา คือ ความสูญเปล่าจากสัตว์และบุคคลไปทันที ไม่มีสมมุติในอัตตาใดที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อไป

ข้าพเจ้าได้ถามหลวงปู่ว่า ขอโอกาสหลวงปู่ หลวงปู่ค้นหาอีเก้งอยู่ที่ไหน เดือนอะไร หลวงปู่บอกว่า อยู่ที่โหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. นั้น สัญญาอนิจจาเอาไปกินหมด ส่วนเวลาก็จวนจะสว่าง รู้กันในอิริยาบถนั่งนั่นเอง หลังจากที่รู้แล้วเกิดความคิดถึงพระพุทธเจ้า ความคิดถึงท่านครูบาอาจารย์มั่นอย่างมากทีเดียว ทั้งนี้เพราะท่านมีบุญคุณต่อสานุศิษย์ทุกองค์ ให้อุบายธรรมปฏิบัติอย่างทั่วถึงกันหมด เมื่อท่านเหล่านั้นภาวนาปฏิบัติได้ผลเป็นที่สุดแล้ว ก็นึกถึงบุญคุณของท่านที่ให้ธรรมะไว้แก่พวกเราทั้งหลาย เฉพาะความคิดถึงพระพุทธเจ้านั้น ถึงพระองค์ได้ปรินิพพานไปแล้ว แต่แนวทางปฏิบัติที่พระองค์ได้ทรงวางไว้ให้พวกเราทั้งหลาย ได้ปฏิบัติตามจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ในชาตินี้ได้ ก็เพราะพระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้านั่นเอง

หลวงปู่ได้ย้อนถามข้าพเจ้าบ้างว่า เมื่อรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว มีการเปรียบเทียบกับอะไร ตอบว่า ขอโอกาสหลวงปู่ เมื่อรู้ธรรมแล้ว ในขณะนั้น เหมือนกันกับเอาถ่านไฟที่ลุกแดงก้อนใหญ่ จุ่มลงในน้ำให้ท่วม แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้นานแล้วเอาขึ้นมา ไฟนั้นก็จะดับสนิทไปทั้งหมดครับผม หลวงปู่ยิ้ม ๆ แล้วพูดว่า มีการเปรียบเทียบเหมือนกันกับเฮานี้ ถามหลวงปู่ต่อว่า ในเมื่อหลวงปู่รู้ธรรมแล้ว คิดอยากจะสอนธรรมะให้ใครบ้างไหม หลวงปู่พูดว่า ไม่คิดอยากสอนธรรมะให้ใครๆ เลย แต่เป็นในลักษณะนี้อยู่ประมาณ ๕ นาทีเท่านั้น เรื่องที่ไม่อยากสอนใครๆ นั้น มันเป็นเองโดยไม่ได้ตั้งใจไว้ ส่วนกำลังใจในวันต่อมารู้สึกว่ามีกำลังมาก ถ้ามีกำลังกายประกอบกันได้ก็จะทำอะไรได้ทุกอย่าง

หลวงปู่ถามว่า ท่านมีกำลังใจไหม ตอบว่า ขอโอกาส มีมากจริงๆ เหมือนกับว่าจะแบกหามต้นไม่ใหญ่ได้ทั้งต้นทีเดียว เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นี้มีความละเอียดลึกซึ้งมาก ส่วนธรรมะที่อยู่ในตำรานั้นเหมือนกับว่าหยาบไป เพราะปริยัติทั้งหมดนั้นเป็นสมมุติบัญญัติ ปริยัติเหมือนกันกับน้ำกะทิมะพร้าวที่ยังไม่ได้ต้มเคี่ยว ส่วนความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกันกับน้ำมันมะพร้าวที่ต้มเคี่ยวออกมาแล้ว ความรู้ในปริยัติยังอยู่ในสมมุติ เป็นตำราที่ศึกษาแนวทางหรือกำลังเดินทาง ส่วนความรู้ที่บริสุทธิ์นั้น เหมือนกันกับไปถึงที่สุดของจุดหมายปลายทางได้แล้ว การสนทนาธรรมกับหลวงปู่นั้น หลังจากที่เล่าผลของการปฏิบัติถวายหลวงปู่แล้ว

หลวงปู่ก็พูดว่า เมื่อจิตมีความบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือไม่อยากสอนธรรมะให้กับใครๆ ความคิดถึงพระพุทธเจ้า และมีกำลังใจเกิดขึ้นนั้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไม่นาน ประมาณ ๗ วัน ต่อจากนั้นก็ค่อยๆ เลือนๆ ไปวันละนิดๆ อีกประมาณ ๗ วันก็กลับเป็นปกติ ส่วนความรู้อันบริสุทธิ์นั้นไม่ได้เสื่อมไปด้วย ความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นแล้วในวันนั้น ก็ยังมีความบริสุทธิ์อยู่เหมือนเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด จึงเป็น ญาณทัสสนวิสุทธิ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร และอยู่ในอิริยาบถใด ความบริสุทธิ์ก็เป็นความบริสุทธิ์ ไม่ติดอยู่กับสมมุติใดๆ ในโลก ทุกองค์เมื่อทำกิจภายในส่วนตัวเสร็จสิ้นไปแล้ว จึงเป็น กตํ กรณียํ ไม่มีความคิดหาอุบายธรรมใดๆ มาปฏิบัติให้หลุดพ้นไปอีกเลย ทุกองค์ต้องเป็นอย่างนี้ เว้นไว้แต่จะไม่พูดให้ใครฟังเท่านั้น ถึงจะพูดให้ใครฟัง ความบริสุทธิ์นั้นก็ไม่มีความเสื่อมไปแต่อย่างใด ข้อสำคัญคืออย่าพูดให้ผู้ที่ไม่รู้ภาษาฟังก็แล้วกัน

เมื่อเล่าผลของการปฏิบัติถวายให้หลวงปู่ฟังแล้ว จากนั้น ก็สนทนากันแบบย้อนหลังกันเล่น ๆ เท่านั้น หลวงปู่ถามว่า ในสถานที่ที่ได้รู้ธรรมนั้น ได้พิจารณาดูไหมว่าในที่นั้นเราเคยเกี่ยวข้องอะไรบ้าง จึงขอโอกาสหลวงปู่ว่า ในที่นั้น กระผมเคยได้เป็นหมามาตายอยู่ที่นั้นมาแล้ว หลวงปู่ก็หัวเราะ ข้าพเจ้าก็ได้ถามหลวงปู่คืนไปว่า ขอโอกาส ที่หลวงปู่ได้รู้ธรรมที่โหล่งขอดนั้น มีความเกี่ยวข้องในที่แห่งนั้นอย่างไรบ้าง หลวงปู่บอกว่า แต่ก่อนเฮาเคยเป็นอีเก้งอาศัยอยู่ในที่นั้นมาแล้ว และได้แก่เฒ่าตายอยู่ในที่แห่งนั้น หลวงปู่ถามอย่างนี้เพื่อหยั่งเชิงดูว่า จะรู้เรื่องความเป็นมาของตัวเองหรือไม่ เมื่อตอบหลวงปู่ไปได้ หลวงปู่ก็เข้าใจ

แต่หลวงปู่ก็ได้ถามในเรื่องใหม่อีก ถามว่า ท่านสร้างบารมีอะไรเป็นหลักสำคัญ และสร้างมาตั้งแต่เมื่อไร ในยุคไหน เมื่อหลวงปู่ได้ถามเรื่องต่างๆ มาอย่างลึกๆ เช่นนี้ ข้าพเจ้าก็เล่าถวายให้หลวงปู่ฟังตามที่รู้ว่า ขอโอกาสหลวงปู่ ในสมัยก่อนที่ล่วงเลยมานาน คือในสมัยนั้น กระผมได้สร้างนิสัยส่วนตัวในเรื่องสัจจะ จะทำอะไรต้องทำจริง จะพูดอะไรก็ฝึกตัวให้เป็นคนที่พูดจริง มีสัจจะในตัวเองและมีสัจจะกับคนอื่นๆ แม้การงานที่ทำก็มีสัจจะในการทำงาน และมีความซื่อสัตย์ต่อคนทั่วไป จึงเป็นสัจบารมีเป็นอันดับหนึ่ง ต่อมาก็มีปัญญาบารมี เมตตาบารมี ศีลบารมี ตามมาเป็นลำดับ เรื่องที่ว่าได้สร้างบารมีมาตั้งแต่เมื่อไรนั้น ต้องได้พูดกันยาว กระผมขอลำดับเรื่องเท่าที่รู้มาให้หลวงปู่ฟังว่า

ในยุคหนึ่ง กระผมได้เกิดร่วมในปลายพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพุทธสิขี ในสมัยนั้น กระผมเป็น อารามิกวัตร (ผู้อุปฐากพระเณรและดูแลเสนาสนะภายในวัด) ได้ปรนนิบัติพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก ปรนนิบัติด้วยความเคารพเชื่อถือในทุกๆ รูป ตลอดทั้งสามเณรทุกรูปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ในวัดนั้นมีพระเณรรวมกันไม่ต่ำกว่าห้าร้อยรูป กิจวัตรประจำคือต้มน้ำร้อนให้พระเณรฉันและต้มน้ำร้อนให้พระมหาเถระสรง นำเอาน้ำร้อนเครื่องฉันต่างๆ ไปถวายพระมหาเถระตามกุฏิ อุปฐากพระเณรที่เจ็บป่วยภายในวัดด้วยความเต็มใจ ดูแลความสะอาดที่กุฏิพระเถระ ทำความสะอาดศาลาและภายในวัดด้วยความตั้งใจ ฝึกตัวเองให้ตรงต่อเวลาอยู่ตลอดเวลา เวลาไหนควรทำอะไร ความตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำอะไรต้องตั้งใจทำให้สำเร็จ และตั้งใจไว้ว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของพระเณรทุกองค์ ทำตัวเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ไม่ให้พระเณรภายในวัดมีความหนักใจ แสดงความเคารพเชื่อฟังต่อพระเณรทุกรูป ฝึกตนให้เป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวต่อพระเณรทั้งหมด

ในครั้งนั้นรู้สึกว่ามีความเหนื่อยมากแต่ก็อดทน ตั้งสัจจะต่อตัวเองว่า จะปรนนิบัติพระเณรอย่างนี้ไปตลอด ถึงชีวิตจะสิ้นไปเพราะความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็ขอบูชาพระพุทธเจ้าพุทธสิขี พร้อมด้วยพระธรรม และพระอริยสงฆ์ ด้วยสัจวาจาที่ได้อธิษฐานนี้ ขอจงเป็นนิสัย เป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมของพระพุทธเจ้าองค์ข้างหน้าโน้นเทอญ ส่วนปัญญาบารมีนั้น ก็ฝึกตัวให้เป็นผู้มีความรู้รอบในเหตุผลอยู่เสมอ ในสมัยนั้นก็มีความอยากหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน เป็นอันว่าได้สร้างบารมีเพื่อมรรคผลนิพพานนับแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมา หลวงปู่พูดขึ้นมาว่า เรื่องการสร้างบารมีเพื่อมรรคผลนิพพานนั้น ต้องมีสัจจะอธิษฐานภายในใจด้วยว่า จะสร้างบารมีเพื่อมรรคผลนิพพานเป็นจุดสำคัญ ไม่ใช่ทำบุญกุศลแล้วปรารถนาหวังเอาลาภยศสรรเสริญ และหาความสุขในกามคุณ

เมื่อเล่าเรื่องในการสร้างบารมีถวายหลวงปู่ฟังแล้ว ก็ขอโอกาสถามหลวงปู่ดูบ้างว่า เคยสร้างบารมีมาอย่างไร มีบารมีข้อไหนที่หลวงปู่มีความหนักแน่นเป็นพิเศษ หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ในสมัยนั้น เฮาก็ได้เกิดร่วมในศาสนาของพระพุทธเจ้าพุทธสิขีเหมือนกัน เฮาเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน มีลูกน้องเป็นจำนวนมาก การค้าขายในครั้งนั้น จะมีสินค้าหลักคือข้าวสาลี และมีสินค้าอย่างอื่นเสริมไปบ้าง ต่อมาได้พาลูกน้องเตรียมสิ่งของใส่เกวียนไปขายต่างเมือง และซื้อของต่างเมืองกลับมาขายในเมืองตัวเอง ในช่วงนั้นเป็นปลายฤดูฝน ทางเดินจึงไม่แห้งทั้งหมด พอดีเกวียนเฮาติดหล่ม วัวก็ลากเกวียนขึ้นจากหล่มไม่ได้ จึงใช้ไม้เรียวตีวัวอย่างแรง เพื่อบังคับให้วัวลากเกวียนขึ้นจากหล่มให้ได้ วัวก็ดันอย่างเต็มแรง แต่ก็ไม่สามารถฉุดเกวียนขึ้นจากหล่มได้

ในช่วงนั้น ใช้ไม้เรียวตีวัวอย่างรุนแรง และตีอย่างใช้โทสะมาก วัวก็ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ฟังเสียง มีแต่เอาไม้เรียวตีวัวอย่างเดียว และเรียกลูกน้องมาช่วยผลักดันเกวียน จนในที่สุดก็สามารถลากเกวียนขึ้นจากหล่มได้ หลังจากนั้น จึงพาลูกน้องจอดเกวียนพักในที่แห่งหนึ่ง เมื่อลงมาปลดวัวออกจากเกวียน ได้มองเห็นน้ำตาวัวทั้งสองตัวไหลลงอาบแก้ม จึงเกิดความคิดเมตตาสงสารวัวขึ้นมาทันที จึงจูงวัวไปกินน้ำกินหญ้าและได้มองดูน้ำตาวัวอยู่ตลอดเวลา เกิดความคิดในใจว่า วัวมันก็ลากเกวียนหนัก ทั้งเกวียนก็ติดหล่ม กำลังจึงไม่พอที่จะลากเกวียนขึ้นจากหล่มได้ ถึงจะบังคับจะตีก็จะตายอยู่กับหล่มนั้นเอง จึงคิดน้อมเข้ามาหาตัวเองว่า ถ้าเราเป็นวัวลากเกวียนหนักอย่างนี้และเกวียนยังติดหล่ม ทั้งเจ้าของเกวียนก็ตีอย่างรุนแรง เราจะมีความทุกข์มากขนาดไหนหนอ

จากนั้นมา ก็คิดเมตตาสงสารวัวเป็นอย่างมากทีเดียว เมื่อทำการค้าขายเสร็จแล้ว ก็พากันกลับเมืองตัวเอง ตลอดทางก็คิดอยู่ในใจเสมอว่า เรานี้เอาเปรียบวัวเกินไป ทั้งลากเกวียนให้แล้ว เรายังมานั่งทับเกวียนให้หนักคอวัวอีก เมื่อกลับถึงบ้านเมืองของตัวเองแล้วก็นึกพิจารณาว่า ไปค้าขายแต่ละครั้งก็จำเป็นต้องอาศัยกำลังวัวทั้งหมด เมื่อเราคิดเมตตาสงสารต่อวัว เราก็ต้องเลิกจากการค้าขาย จากนั้น ก็หยุดในการค้าขายทั้งหมด และได้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศล หลังจากเข้าวัดและได้ฟังธรรมจากพระอรหันต์ ท่านก็พรรณนาเรื่องความเมตตา ความสงสารต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานให้ฟังว่า มนุษย์เราต้องมีธรรมประจำใจคือ ความเมตตาสงสารต่อกัน ทุกคนทุกตัวสัตว์ต้องการความเมตตาสงสารด้วยกันทั้งนั้น เราเป็นมนุษย์ที่รู้จักผิดถูกชั่วดีกว่าสัตว์ดิรัจฉาน ดังนั้น เราต้องให้อภัยแก่สัตว์ดิรัจฉานทุกตัวไป ไม่ว่าสัตว์ประเภทไหนในโลกนี้ ในครั้งนั้น หลวงปู่ได้เจริญเมตตาให้เกิดขึ้นที่ใจ และฝึกใจให้มีความเมตตาอยู่เป็นนิจจนตลอดวันตาย เฮาจึงได้สร้างเมตตาบารมีมาตั้งแต่ครั้งสมัยพระพุทธเจ้าชื่อว่าพุทธสิขีในครั้งนั้นเหมือนกันนั้นแล

หลวงปู่ถามข้าพเจ้าอีกว่า ในครั้งพระพุทธเจ้าของเรายังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ร่วมศาสนาของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ตอบว่า ขอโอกาสหลวงปู่ ถ้าจะให้กระผมเล่าในเรื่องนี้ก็คงยาวพอสมควร หลวงปู่ว่า ยาวก็ไม่เป็นไร เล่าไปเถอะ จากนั้น ก็ปรารภเรื่องหลวงปู่มั่นว่า กระผมภาวนาปฏิบัติมาในชาติปัจจุบันนี้ กระผมไม่เคยเห็นหลวงปู่มั่นมาก่อนเลย เพียงรู้ชื่อตามครูอาจารย์และหนังสือที่ครูอาจารย์ได้เขียนไว้เท่านั้น ต่อมาวันหนึ่ง กระผมพิจารณาปัญหาธรรมไม่แยบคาย พิจารณาเท่าไรก็เหมือนเดิม มีความลังเลสงสัยอยู่ในใจ จน ๒ วันผ่านไป ก็ยังตีความหมายในปัญหาธรรมข้อนั้นๆ ไม่แยบคาย ก็เลยปล่อยปัญหานั้นไว้ก่อนแล้วหันมาทำสมาธิ นึกคำบริกรรม เมื่อจิตมีความสงบแล้ว หลวงปู่มั่นก็ปรากฏให้เห็น พร้อมทั้งชี้แนะการแก้ปัญหาให้ฟัง แล้วก็หายไป จิตก็ถอนออกจากสมาธิพอดี

จากนั้น ก็ใช้ปัญญาพิจารณาตามอุบายของหลวงปู่มั่นที่ชี้แนะเอาไว้ ความเข้าใจในปัญหานั้น เกิดความแยบคายหายสงสัยทันที การที่หลวงปู่มั่นได้มาปรากฏในนิมิตนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก อย่างน้อยเดือนละ ๑ ครั้งขึ้นไป ถ้ามีปัญหาอะไรพิจารณาไม่แยบคาย หลวงปู่มั่นจะมาปรากฏแนะอุบายในนิมิตนั้นทันที ในบางครั้ง หลวงปู่มั่นได้มาปรากฏในนิมิตติดต่อกันถึง ๔ คืนซ้อนก็มี แต่ละครั้งก็มีอุบายธรรมมาให้กำลังใจและได้ครุ่นคิดอยู่เสมอ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ก็ใช้ปัญญาพิจารณาในปัญหานั้นๆ จนเกิดความแยบคายหายสงสัยปัญหาธรรมนั้นๆ อย่างชัดเจน จึงคิดภายในใจว่า ในชาตินี้เราไม่เคยเห็นหลวงปู่มั่นเลย ทำไมจึงมีนิมิตเห็นหลวงปู่มั่นเป็นประจำ หรือจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันกับท่านในอดีตชาติที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง

ในคืนหนึ่ง เกิดนิมิตเห็นหลวงปู่มั่นอีก นิมิตในคืนนี้ยาวพอสมควร เพราะเกี่ยวกันกับสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนมชีพอยู่ มีนิมิตปรากฏว่า มีสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง มีหลวงปู่มั่นเป็นประธานสงฆ์ กระผมเองเป็นศิษย์ผู้ใหญ่รองจากหลวงปู่มั่นลงมา ในสำนักสงฆ์แห่งนี้มีพระอยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐๐ องค์ การปกครองของหลวงปู่มั่นนั้นเด็ดขาดมาก พระองค์ไหนทำผิดพระธรรมวินัยแล้ว ท่านจะดุด่าว่ากล่าวตักเตือนอย่างเผ็ดร้อนขึ้นมาทันที จึงทำให้พระภายในวัดทุกองค์มีความกลัวต่อท่านเป็นอย่างมาก ทั้งความเคารพก็มีความเคารพอย่างฝังใจ กิจวัตรน้อยใหญ่ไม่มีความย่อหย่อนหละหลวม ทั้งเดินจงกรม นั่งสมาธิ ท่านก็ทำเป็นตัวอย่างให้ดูทุกรูปแบบ ธรรมที่อบรมพระทั้งหมดก็เฉียบขาดเข้มข้นจริงจัง

ในครั้งนั้น หลวงปู่มั่นเกิดเป็นสัญญาวิปลาสโดยไม่มีพระองค์ใดกล้าเตือนท่านได้ จะเกิดขึ้นเนื่องจากอุบายภาวนาปฏิบัติอย่างไรก็ไม่ทราบ ในเช้าวันหนึ่ง หลังจากฉันอาหารเสร็จแล้ว ท่านก็นั่งซึมอยู่องค์เดียวโดยไม่พูดกับพระองค์ใดเลย จึงผิดปกติกว่าทุกวันที่ผ่านมา จากนั้น ก็หันหน้ามาหาคณะสงฆ์แล้วพูดขึ้นว่า ผมจะลาสิกขาจากหมู่ท่านไปแล้วนะ กระผมก็ขอร้องด้วยวิธีต่างๆ ท่านก็ไม่ยอมฟัง ว่าแล้วก็หันหน้าไป กราบลงที่นั่ง ๓ ครั้ง แล้วลุกไปหยิบเอาผ้าขาวมานุ่งแก้ผ้าเหลืองทิ้งออกไป กระผมเข้าไปขอร้อง ท่านก็ดุด่า พอนุ่งผ้าขาวเสร็จแล้ว ท่านก็ลงศาลาไป กระผมก็ได้มาปรึกษาคณะสงฆ์ว่าพวกเราจะทำกันอย่างไร คณะสงฆ์ก็มอบให้กระผมเป็นผู้ออกความคิดและตัดสินใจ กระผมก็ได้ประกาศแก่คณะสงฆ์ว่า ทุกองค์อย่าลงหนีจากศาลานี้ ให้ทุกองค์นั่งภาวนาส่งกระแสจิตเมตตาไปหาท่านอาจารย์ของเรา จากนั้น พระสงฆ์ก็เข้าที่ภาวนา กระผมได้จัดพระ ๓ องค์ และโยมอีก ๓ คน ให้คอยติดตามท่านไปห่าง ๆ ท่านไปที่ไหนก็ไปด้วย แต่อย่าให้ท่านรู้ตัวว่า เราติดตามท่านไป และอย่าปล่อยทิ้งท่านเป็นอันขาด จากนั้น พระที่ถูกแต่งตั้งกับโยมทั้ง ๓ คนก็ออกติดตามท่านทันที

กระผมได้ไหว้พระตั้งสัจจะอธิษฐาน ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระอริยสงฆ์ และอธิษฐานนึกถึงบารมีที่ได้เคยบำเพ็ญมาแล้ว ขอจงช่วยดลบันดาลให้ท่านอาจารย์ได้กลับคืนมาในที่นี้ด้วยเทอญ จากนั้น ก็กำหนดจิตภาวนา ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ถ้าหากท่านอาจารย์ไม่กลับคืนมาในที่นี้ กระผมก็จะไม่ลุกออกจากที่นี่เป็นเด็ดขาด ถึงชีวิตจะหมดไปก็ยอม เมื่อเวลาประมาณ ๔ โมงเย็น หลวงปู่มั่นก็ได้เดินเข้ามาในวัดเอง เมื่อท่านเดินเข้ามาในวัด กระผมก็พาคณะสงฆ์ทั้งหมดออกไปต้อนรับ พากันห้อมล้อมท่านขึ้นบนศาลา นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะที่จัดไว้แล้ว แต่ท่านก็ไม่ยอมนั่งบนอาสนะนั้นเลย กระผมพร้อมด้วยคณะสงฆ์จะพากันกราบท่าน ท่านก็ห้ามเอาไว้ไม่ให้กราบท่าน ท่านพูดขึ้นมาว่า นี่ผมเป็นอะไร ผมนุ่งขาวอย่างนี้ ไม่เป็นพระใช่ไหม กระผมได้กราบเรียนท่านไปว่า ขอโอกาสท่านพ่อแม่ครูอาจารย์ การทำอย่างนี้ไม่ได้ขาดจากความเป็นพระเลย เพียงลืมตัวไปชั่วขณะเดียวเท่านั้น จากนั้น กระผมจึงได้เผดียงต่อคณะสงฆ์ทั้งหมดว่า ขอคณะสงฆ์ทั้งหลายจงรับทราบ ในขณะนี้ พ่อแม่ครูอาจารย์ของพวกเราทั้งหลายได้กลับคืนมาหาหมู่คณะสงฆ์แล้ว ความสมบูรณ์ในเพศที่เป็นพระยังไม่ขาดหายไป ถ้าคณะสงฆ์มีความเห็นว่าครูอาจารย์ยังเป็นพระที่สมบูรณ์อยู่ ขอทุกท่านได้อนุโมทนาพร้อมกันด้วยเทอญ

จากนั้น พระสงฆ์ทั้งหมดก็อนุโมทนาสาธุพร้อมกัน แล้วก็ยกเครื่องบริขารอันมี สบง จีวร สังฆาฏิ ถวายท่าน เมื่อท่านรับไปนุ่งห่มเรียบร้อยแล้ว ก็นิมนต์ท่านขึ้นนั่งบนอาสนะ กระผมและหมู่คณะสงฆ์ก็พากันกราบท่าน เสร็จแล้วก็พากันนั่งอยู่ด้วยความสงบ หลวงปู่มั่นได้พูดขึ้นว่า คณะสงฆ์ทั้งหลาย นับจากนี้ไป ผมขอยกการปกครองของผมทั้งหมดนี้ ให้ท่านทูลเป็นตัวแทนผม ทุกองค์ต้องพากันอยู่ในโอวาทของท่านทูลทั้งหมด ผมเองถ้าไม่ได้ท่านทูลเป็นลูกศิษย์แล้ว ก็ไม่ทราบว่าผมจะเป็นไปในรูปแบบใด บัดนี้ ให้ผมได้อยู่เป็นปกติส่วนตัวเถิด ขอทุกองค์จงอยู่ในโอวาทของท่านทูลต่อไป ผมเองจะอยู่ในฐานะเป็นประธานสงฆ์ให้เท่านั้น

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


๏ บทส่งท้าย

หลังจากได้รับผลของการปฏิบัติที่บ้านป่าลันในเวลาประมาณ ๓ โมงเช้าแล้ว ในคืนนั้น มีนิมิตเห็นหลวงปู่มหาบัว วัดป่าบ้านตาด เข้ามาหาเป็นองค์แรก ท่านได้เข้ามาในกุฏิด้วยความเป็นกันเอง ข้าพเจ้าคิดว่าจะปูอาสนะให้ท่านนั่ง แต่ท่านก็ได้รีบนอนลงไปเสีย แล้วท่านก็พูดขึ้นมาว่า ท่านทูล นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตัวใครตัวมันนะ จากนั้น จิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิ แล้วจึงได้พิจารณาในคำพูดของท่าน ตัวใครตัวมันนั้น มีความหมายว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ต่างก็พึ่งตัวเองได้แล้ว จึงเรียกว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตนได้แล้วอย่างสมบูรณ์ จึงหมดภาระในตัวเอง ไม่มีอุบายธรรมะใดที่จะให้เป็นไปได้อีกแล้ว จึงเป็นตัวใครตัวมันอย่างเต็มตัว

ในคืนที่ ๒-๕ สี่คืนนี้ มีนิมิตเห็นหลวงปู่มั่นเข้ามาหา เพื่ออนุโมทนาในผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม และสนทนาธรรมในแง่ต่างๆ อย่างร่าเริง ท่านแสดงความยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา สนทนาแบบกันเอง ท่านไม่ถือตัวในการบวชก่อนหรือบวชทีหลัง เพราะ ธรรมย่อมอยู่ด้วยกันกับธรรม ไม่มีต่ำไม่มีสูง มีแต่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะความบริสุทธิ์นั้นไม่ขึ้นอยู่กับอายุและไม่ขึ้นอยู่กับพรรษา จึงไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่มี่ขึ้นไม่มีลงไปตามสมมุติใดๆ นี่พูดเฉพาะธรรมกับธรรมเท่านั้น ถ้าพูดเรื่องบุคคลผู้ครองธรรมนี้อยู่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การทำการพูดต่อกันก็ให้เป็นไปตามสมมุติบัญญัติที่มีต่อกัน การแสดงออกมาทางกายและวาจาต่อกันก็ให้เป็นธรรมอีกระดับหนึ่ง เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคมที่มีต่อกัน เช่น สังคมของพระก็ต้องเอาพรรษาเป็นหลัก ถึงจะมีอายุมากแต่พรรษาในการบวชมีน้อย ก็ต้องกราบไหว้ผู้มีอายุพรรษามากกว่า แม้แต่พระที่บวชพร้อมกัน ๒-๓ องค์ ถึงจะสวดญัตติอุปสมบทจบลงพร้อมกันก็ตาม ผู้เป็นพระด้านซ้ายก็ต้องกราบไหว้พระที่อยู่ด้านขวาของอุปัชฌาย์อยู่นั่นเอง นี่คือระเบียบสมมุติที่มีต่อกัน และถือตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้น จะเป็นอาบัติตลอดไป ดังได้พูดกันอยู่เสมอว่า พระทุศีล นั่นเอง

ในคืนที่ ๖ ข้าพเจ้าได้ดำริว่า ความสูงสุดของสมาธิอยู่ที่ตรงไหน มีอะไรเป็นเครื่องหมายในสมาธิขั้นนั้นๆ ในคืนนี้จะทำสมาธิให้ถึงที่สุดให้เต็มที่ จากนั้น ก็เริ่มทำสมาธิขั้นหยาบๆ เป็นพื้นฐานเอาไว้ แล้วเข้าสู่สมาธิขั้นกลาง และลำดับต่อไปจนถึงสมาธิขั้นละเอียด คือ รูปฌาน และขึ้นสู่อรูปฌานขึ้นไปตามลำดับ นั่นคือ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ และเลยขึ้นไปถึง เวทยิตนิโรธ เมื่อถึงจุดนี้แล้ว จะตั้งอยู่ได้ไม่นาน จะถอยออกมาเองโดยอัตโนมัติ ถอยลงมาเนวสัญญานาสัญญายตนะ ถอยลงมาอากิญจัญญายตนะ ถอยลงมาวิญญานัญจายตนะ ถอยลงมาอากาสานัญจายตนะ และถอยออกมาจนถึงรูปฌาน แล้วก็พักอยู่ในรูปฌานนานพอสมควร จากนั้น ก็กำหนดจิตขึ้นสู่อรูปฌานอีก จนถึงเวทยิตนิโรธ จนเป็นวสี คือความชำนาญ เข้าออกอยู่อย่างนี้จนเวลาใกล้สว่าง

ในขณะนั้น พระพุทธเจ้าทรงมาปรากฏให้เห็น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาในกุฏิแล้ว ก็ประทับนั่งอยู่ชิดตัวข้าพเจ้า ในขณะนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน จากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ลงกราบบนพระเพลาของพระพุทธเจ้าทันที และมีความดำริว่า ถ้าพระพุทธเจ้าทรงตรัสถามถึงผลของการปฏิบัติ ข้าพเจ้าก็จะเล่าถวายให้พระองค์ฟังทั้งหมด และคิดอีกในแง่หนึ่งว่า พระพุทธเจ้าคงไม่ตรัสถาม เพราะพระองค์คงทรงทราบผลของการปฏิบัติของข้าพเจ้าอยู่แล้ว จากนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงให้พระโอวาทว่า ทูล การทำสมาธินั้นมันมากไป ให้ถอยออกมาบ้าง ข้าพเจ้าขอโอกาสว่า จะให้ข้าพระองค์ถอยออกจากสมาธิมามากน้อยเท่าไรพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ถอยออกมาขีดหนึ่ง เพียงเท่านี้ จิตก็เริ่มถอนออกจากสมาธิ ก็สว่างเป็นวันใหม่พอดี จึงได้มาดำริพิจารณาว่า พระพุทธเจ้าให้ถอยออกจากสมาธิมาขีดหนึ่งนั้นถอยอย่างไร ก็รู้ว่า ให้ถอยออกจาก เวทยิตนิโรธ นั่นเอง จากนั้นมา ก็ทำสมาธิเข้าออกเพียง รูปฌาน อรูปฌาน เท่านั้น จึงเป็นวิหารธรรมส่วนตัว

ในคืนที่ ๗ ในขณะอยู่ในสมาธิ ปรากฏมีปืนสั้นกระบอกหนึ่งในมือข้างขวา โดยกำปืนเอาไว้อย่างมั่นคง จากนั้น ข้าพเจ้าก็เหนี่ยวไกปืนทันที เสียงปืนดังอยู่ไกลมาก และดังสนั่นสะเทือนไปทั้ง ๘ ทิศ จากนั้น เสียงปืนก็สะท้อนกลับมา ทั้งเสียงใกล้เสียงไกลได้ยินอย่างสม่ำเสมอกัน ข้างบนก็เหมือนกับเสียงฟ้าคำรามดังสม่ำเสมอกันกับข้างล่าง และเสียงนั้นดังอยู่นานมากทีเดียว จากนั้น จิตก็เริ่มถอนออกจากสมาธิ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว เสียงปืนนั้นก็ยังดังสั่นสะเทือนได้ยินชัดทีเดียว พิจารณาดูก็รู้ในเหตุการณ์ข้างหน้าของตัวเองทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่ต้องเขียนไว้ในที่นี้ เพราะความจริงจะปรากฏเอง ถึงอย่างไร ก็ให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาด้วยเหตุผลก็แล้วกัน

ในคืนที่ ๘ ข้าพเจ้าได้ดำริภายในใจว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะทำประโยชน์ท่านให้เต็มที่ นั่นคือ เผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าสู่ประชาชน ให้เขาได้รับข้อมูลและเหตุผลที่เป็นจริง เพื่อให้เกิดความเห็นชอบในศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เพื่อทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคงต่อไป การเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในยุคสมัยนี้ จะมีอุปสรรคขัดข้องอะไรบ้าง หรือจะมีความสะดวกราบรื่นเป็นอย่างไร ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เห็นด้วยเทอญ จากนั้น ก็ทำความวางเฉย จิตก็รวมสงบในสมาธิอย่างแน่วแน่ ในขณะนั้น เกิดนิมิตเห็นสุนัข ๒ ตัวไล่กระต่ายมาติดๆ เมื่อสุนัขตัวหนึ่งกำลังจะกัดกระต่ายได้ สุนัขอีกตัวหนึ่งก็กระโดดกัดสุนัขที่กำลังจะกัดกระต่ายตัวนั้นเสีย เมื่อสุนัขสองตัวมัวแต่กัดกันอยู่ กระต่ายก็ได้วิ่งหนีห่างไปเสีย เมื่อสุนัขสองตัวกัดกันเหนื่อยแล้วก็พากันวิ่งตามกระต่ายต่อไป เมื่อสุนัขตัวแรกกำลังจะกัดกระต่ายอีก สุนัขตัวหลังก็กระโดดกัดสุนัขตัวแรกอีก กระต่ายก็วิ่งหนีห่างไปอีก ในที่สุด สุนัขก็ตามกัดกระต่ายไม่ทัน เพราะมัวแต่แยกเขี้ยวกัดกันเอง

จากนั้น จิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิ จึงได้พิจารณาดูและได้รู้ว่า เหตุการณ์ข้างหน้าที่ข้าพเจ้าจะเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น คงจะไม่เป็นผลสำเร็จเท่าที่ควร ก็คงจะเป็นในลักษณะสุนัขไล่กัดกระต่ายนั่นเอง แต่ก็รู้อยู่เต็มใจว่าอะไรเป็นอะไร เพราะเฝ้าดูอยู่ในเรื่องนี้มานาน ในยุคนี้ก็มีความเป็นอยู่อย่างนี้ อนาคตต่อไปก็ยิ่งจะเลวร้ายลงไปกว่านี้อีก เพราะไม่ยอมรับความจริงในเหตุผล และไม่ยอมรับความจริงต่อกันและกัน จึงเกิดความคิดเห็นขัดแย้งกันไป ต่างฝ่ายก็ต้องปกป้องกลุ่มของตัวเองเอาไว้ด้วยวิธีการต่างๆ วิธีไหนพอจะหักล้างฝ่ายหนึ่งลงไปได้ก็ต้องทำ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง และปกป้องบริวารของตัวเองเอาไว้ เมื่อมีใครโดดเด่นขึ้นมาจะแซงหน้าตัวเองไป กลัวบริวารของตัวเองจะหันเหไปหาอีกฝ่ายหนึ่ง จำเป็นต้องหาวิธีปกป้องเพื่อสกัดกั้นเอาบริวารตัวเองเอาไว้ มีอะไรพอจะเอามาเป็นเหตุโจมตีได้ก็ต้องทำ เรื่องความผิดถูกตามพระธรรมวินัยนั้นไม่สนใจ หรือหากท่านผู้นั้นมีอายุพรรษามาก ก็จะเอาอายุพรรษานั่นแหละมาเป็นอำนาจเครื่องมือเพื่อข่มขู่ผู้มีพรรษาน้อยอยู่เสมอ ที่จริงแล้วเรื่องอายุมากพรรษามากก็รู้ๆ กันอยู่ว่าใครเกิดก่อนก็อายุมาก ใครบวชก่อนก็มีพรรษามากเป็นธรรมดา แต่จะเอามาเป็นเครื่องวัดในคุณธรรมว่าถูกต้องไปเสียทีเดียวนั้นยังไม่ได้ เพราะคุณธรรมนั้นมันขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีที่ได้สร้างมาแล้วในอดีตชาติ เช่น

ในครั้งพุทธกาล สามเณรองค์เล็กๆ ที่เกิดมาไม่กี่ปีและบวชมาไม่กี่วัน ก็สามารถบำเพ็ญให้คุณธรรมเกิดขึ้นได้ ฉะนั้น เรื่องอายุและพรรษาให้ถือว่าเป็นชาติที่เกิดในทางโลก และชาติเกิดในทางธรรมไปเสีย ควรจะสำนึกถึงความจริงในบารมีแต่ละท่านเป็นหลัก ว่าใครได้สร้างบารมีมาแล้วนานเท่าไร และบารมีนั้นพอจะบรรลุในคุณธรรมในชาตินี้ได้หรือไม่ ถ้าใจมีเหตุผลในทางธรรมแล้ว เรื่องอย่างนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นกับนักปฏิบัติธรรมนี้เลย ทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ ก็จะมีแต่ความสามัคคีต่อกัน ปรึกษากันในเหตุผล การที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเพื่อประกาศพระพุทธศาสนานั้น ก็จะเป็นผลสำเร็จอย่างแน่นอน และทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาตลอดไปชั่วกาลนาน ฉะนั้น ขอนักปฏิบัติทั้งหลาย จงมุ่งทำลายอาสวกิเลสของตัวเองให้หมดไปจากใจ ดีกว่าจะมุ่งทำลายผู้อื่นด้วยวิธีต่างๆ ดังที่รู้กันในยุคปัจจุบัน จงฝึกตัวให้เป็นมิตรต่อกันเอาไว้ และมองใครๆ ไปในทางที่ดี นี่คือนิสัยของผู้เป็นปราชญ์ที่ฉลาดในธรรม จึงนับได้ว่า เป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


๏ การดูพระอริยเจ้านั้นดูได้ยาก

การดูพระอริยเจ้านั้น ส่วนมากจะสุ่มเดาตามกิริยาที่แสดงออกมาทางกายและวาจา การดูในลักษณะอย่างนี้ก็ยากที่จะถูกต้องได้ เพราะพระอริยเจ้ากับผู้ยังเป็นปุถุชนมีกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาเหมือนๆ กัน ถึงท่านผู้นั้นจะได้บรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม จะตัดนิสัยเดิมของท่านเองไม่ได้ นิสัยเป็นมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น เช่น พระสารีบุตรในชาติก่อนมา เคยเป็นลิง นิสัยลิงก็ยังติดตัวมา ฉะนั้น พระสารีบุตรจึงชอบกระโดดโลดเต้นอยู่เป็นนิสัย เห็นกิ่งไม้ใดพอจะกระโดดจับโหนตัวเล่นก็ต้องทำ หรือเห็นน้ำบ่อพอจะกระโดดข้ามได้ก็ต้องกระโดดไปมา จนพระองค์อื่นเห็นก็เกิดความแปลกใจ ทำไมพระสารีบุตรจึงแสดงในกิริยามรรยาทที่ไม่เหมาะสมอย่างนี้ ไม่สมศักดิ์ศรีที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า เป็นพระอรหันตสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้าเลย จึงมีพระองค์อื่นโจษขานกันขึ้น และเล่าเรื่องของพระสารีบุตรถวายแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสัยเดิมของพระสาวกนั้นละไม่ได้ นิสัยเคยเป็นมาในอดีตมีอย่างไร การแสดงออกมาทางกายและวาจา ก็ชอบแสดงออกมาอย่างนั้น ฉะนั้น จึงได้เปรียบนิสัยของพระอริยเจ้าและปุถุชนไว้ดังนี้

๑. น้ำลึกเงาลึก ๒. น้ำลึกเงาตื้น ๓. น้ำตื้นเงาลึก ๔. น้ำตื้นเงาตื้น ทั้ง ๔ ข้อนี้ เป็นวิธีตัดสินได้ยากมาก เพราะไม่มีญาณหยั่งรู้พิเศษเฉพาะตัว นอกจากจะสุ่มเดาไปเท่านั้น

ข้อ ๑ คำว่า น้ำลึกเงาลึก นั้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ในใจแล้ว และก็ยังมีนิสัยกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจามีความสุขุมลุ่มลึก เป็นนิสัยเดิมของท่านเป็นมาอย่างนั้น ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็พอจะเดาถูกบ้าง

ข้อ ๒ คำว่า น้ำลึกเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ภายในใจแล้ว แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาไม่มีความสำรวมเลย อยากแสดงตัวอย่างไร อยากพูดอย่างไร ก็เป็นในความไม่สำรวมทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ผิดในพระธรรมวินัย ไม่มีอกิริยาภายในใจ แต่เป็นเพียงกิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น ถ้าหากไปพบเห็นผู้ที่ท่านเป็นนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาภายในใจไปเลยว่า ท่านผู้นี้ยังเป็นปุถุชนทันที เพราะมีนิสัยไม่น่าเคารพเชื่อถือได้เลย

ข้อ ๓ น้ำตื้นเงาลึก หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจ แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจานั้นมีความสุขุมลุ่มลึกมาก การสำรวมทางกาย การสำรวมทางวาจาน่าเลื่อมใส ใครได้พบเห็นแล้วจะเกิดความเชื่อถือเป็นอย่างมาก เพราะความบกพร่องในความชั่วร้ายในตัวท่านไม่มี ถ้าได้พบเห็นผู้ที่ท่านมีนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาไปว่าเป็นพระอริยเจ้าทันที

ข้อ ๔ น้ำตื้นเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจเลย กิริยามรรยาทการแสดงออกทางกายทางวาจาไม่มีความสำรวมแต่อย่างใด ทำไปพูดไปตามใจชอบ ถ้าหากพบเห็นท่านผู้ใดมีกิริยาการแสดงออกมาอย่างนี้ ก็จะพอเดาถูกอยู่บ้าง

ถ้าจะดูนิสัยน้ำลึกเงาตื้น หรือดูนิสัยน้ำตื้นเงาลึก คิดว่าท่านจะต้องเดาผิดอย่างแน่นอน ฉะนั้น การสุ่มเดาว่าใครเป็นพระอริยเจ้า และใครเป็นปุถุชนนั้น จึงยากที่จะสุ่มเดาให้ถูกทั้งหมดได้ ถึงพระอริยเจ้าด้วยกันก็ยังไม่รู้กันทั้งหมดได้ เช่น พระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันก็ยังไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามี พระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีได้ พระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอรหันต์ได้ แม้พระอรหันต์องค์ที่ท่านไม่มีญาณพิเศษส่วนตัว ก็ไม่สามารถรู้ภูมิธรรมขององค์อื่นได้ แต่เมื่อได้สนทนาธรรมกันแล้ว ท่านจะรู้ทันทีว่า ท่านผู้นั้นมีภูมิธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ทันที ในบางกรณีพระอรหันต์ก็ย่อมรู้กันได้ หรือรู้ภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นอื่นได้ด้วย นั่นคือ เป็นผู้มีนิสัยเกี่ยวข้องกันมาในอดีต เคยสร้างบารมีร่วมกันมา และเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาหลายภพหลายชาติ ถ้าในกรณีอย่างนี้ก็พอรู้กันบ้าง ถึงจะรู้ท่านก็ไม่โฆษณา นอกจากว่าจะพูดเป็นนัย ๆ ให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดฟังบางโอกาสเท่านั้น เช่นว่า เพชรน้ำหนึ่งอยู่ที่โน้นที่นี้ หรือพูดว่า ท่านองค์นั้นมีสติดีแล้วนะ อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อศาสนาล่วงเลยมาจนบัดนี้แล้ว ความคิดเห็นของแต่ละท่านก็ย่อมมีความแตกต่างกันไป ดังได้ยินอยู่เสมอว่า ในยุคนี้สมัยนี้ ไม่มีพระอรหันต์เกิดขึ้นได้เลย เพราะหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว ส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจกันอย่างนี้ แต่ก็ยังมีผู้เชื่อว่าในยุคนี้สมัยนี้ยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่ก็มีน้อยองค์ จะนับเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมาไม่ได้ ดังคำว่า เมื่อใดยังมีผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่ เมื่อนั้นจะไม่ขาดจากพระอรหันต์ ถึงจะมีพระอรหันต์ หรือพระอริยเจ้าขั้นอื่นๆ น้อยก็ตาม ก็ยังนับว่ายังมีอยู่นั้นเอง ถ้าหากมีคำถามว่า ในยุคนี้สมัยนี้ถ้าหากยังมีพระอรหันต์อยู่จริง ว่าใครเป็นพระอรหันต์ ก็บอกแล้วว่าดูยากมาก ถ้าหากจะดูจริงๆ ก็ดูอัฐิของหลวงพ่อต่างๆ ที่ถูกเผาไปก็แล้วกัน ถ้าอัฐินั้นได้แปรสภาพเป็นเม็ดใสเหมือนกับเมล็ดงา หรือมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หลักจากเผาไปแล้วไม่นานนัก นั้นแหละคือพระอรหันต์โดยแท้ ส่วนพระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน อัฐิยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพราะมีกิเลสภายในใจละยังไม่หมด บางท่านยังเข้าใจว่า อัฐิได้แปรสภาพเป็นพระธาตุตั้งแต่ภูมิธรรมพระโสดาบันขึ้นไป

ความเข้าใจอย่างนี้ไม่มีประวัติในครั้งพุทธกาลเลย ถ้าเช่นนั้น พระโสดาบันผู้ที่จะไปเกิดอีก ๗ ชาติข้างหน้าโน้น แต่ละชาติภูมิธรรมก็ไม่ได้เสื่อมไปจากใจ เมื่อตายไปแต่ละชาติ อัฐิก็จะกลายเป็นพระธาตุทุกชาติไปอย่างนั้นหรือ บางท่านก็เข้าใจว่า การอธิษฐานให้อัฐิกลายเป็นพระธาตุก็เป็นได้ นี้ความเข้าใจของคนเรา จึงมีความแตกต่างกันไป ดังได้ยินว่า อัฐิของหลวงปู่องค์นั้นได้แปรสภาพเป็นพระธาตุขึ้นมาแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็สวนขึ้นมาทันทีว่า เรื่องไร้สาระหาวิธีหลอกประชาชนให้งมงาย คนประเภทนี้ก็มีอยู่ในโลก ไม่ยอมรับความจริงจากใครๆ ไม่ว่าในยุคนี้หรือครั้งพุทธกาล แม้พระพุทธเจ้าของเรา ก็ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง ฉะนั้น ในโลกนี้จึงเกิดลัทธิขึ้นมาเป็นกลุ่มเป็นคณะ แต่ละกลุ่มแต่ละหมู่ก็พยายามปกป้องในกลุ่มตัวเองและปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง โจมตีกันไปว่าฝ่ายโน้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ไป ในที่สุดก็เกิดสงครามน้ำลายกัน หรือมากกว่านี้ก็ใช้เครื่องทุ่นแรง มีปืน มีระเบิดเข้าถล่มกัน ล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย ลักษณะอย่างนี้นับวันจะเกิดความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่คือความแปรปรวนที่เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อถึงกาลเวลาแล้วจะต้องเป็นไปในตัวของมนุษย์เอง อาวุธทุกประเภทที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ก็เพื่อสังหารในหมู่มนุษย์กันเองมิใช่หรือ

ฉะนั้น นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้ปัญญาชนผู้มีเหตุผลเป็นส่วนตัว ก็พอจะเข้าใจแล้วว่า การเปลี่ยนไปในสังคมโลก จะเบี่ยงเบนไปในทางทิศใด ถ้าหากเราจะพิจารณาย้อนหลังลงไปสัก ๕๐-๑๐๐ ปีที่ผ่านมาแล้ว มาเปรียบเทียบดูในสังคมยุคปัจจุบันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วให้คาดการณ์ล่วงหน้าไปอีกสัก ๑๐๐-๒๐๐ ปีข้างหน้า ก็จะรู้ว่าสังคมในหมู่มนุษย์ทั่วโลกย่อมมีการเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

ฉะนั้น ขอนักปฏิบัติทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต บุญกุศลใดที่เราจะพึงทำในขณะนี้ก็รีบทำเอาเสีย เพราะไม่รู้ว่าชีวิตเราจะหมดไปเมื่อไร เมื่อถึงวันนั้นแล้วจะปรับตัวไม่ทัน ดังเราเห็นกันอยู่ในขณะนี้เอง และบุญกุศลที่ได้พิมพ์หนังสือประวัติหลวงพ่อทูลในครั้งนี้ ขอจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: คัดลอกมาจาก...
หนังสือ อัตโนประวัติพระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ
วัดป่าบ้านค้อ ต. เขือน้ำ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี
โทรศัพท์ (๐๘๒) ๒๔๕-๔๘๘

http://www.watpabankoh.com/bookandsound.html

:b44: กระทู้จากบอร์ดเก่า โพสต์โดย คุณสาวิกาน้อย
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7796

:b44: รวมคำสอน “หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42885

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร