วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2015, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระครูณาณวราจาร (หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย)
วัดถ้ำพญาช้างเผือก
บ้านปากช่อง ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ


หลวงปู่มีนามเดิมว่า วิไลย์ นามสกุล เตชะบุรมณ์ ถือกำเนิดเมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑ ปีระกา ตรงกับ วันศุกร์ที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ณ บ้านดงบัง ต.ด่านช้าง อ.บัวใหญ่ (ปัจจุบันเป็น อ.ประทาย จ.นครราชสีมา)

โยมบิดาคือ คุณพ่อสงค์ เตชะบุรมณ์ โยมมารดาคือ คุณแม่ทา เตชะบุรมณ์ มีพี่น้องร่วมบิดาและมารดาเดียวกันรวม ๙ คน เป็นผู้ชาย ๘ คน และผู้หญิง ๑ คน โดยหลวงปู่เป็นบุตรคนที่ ๕ และมีน้องต่างบิดา ๓ คน เป็นผู้หญิง ๑ คน (ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเล็ก) และผู้ชาย ๒ คน รวมจำนวนพี่น้องทั้งสิ้น ๑๒ คน

หลวงปู่เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลบ้านดงบัง จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ แล้วออกมาช่วยเหลืองานของครอบครัว จนอายุได้ ๑๖ ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ภายหลังท่านได้ลาสิกขากลับไปช่วยงานของครอบครัวอีก เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหาร หลวงปู่ไปเป็นทหารเกณฑ์ ๒ ปี เมื่อปลดประจำการแล้วก็กลับมาประกอบอาชีพทำไร่ไถนาดังเดิม

พ.ศ. ๒๕๐๑ ขณะอายุได้ ๒๕ ปี หลวงปู่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนเข้าพรรษาของปีเดียวกันนั้น ท่านได้แปรญัตติมาเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย โดยประกอบพิธีอุปสมบทใหม่ เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ เวลา ๑๙.๑๐ น. ณ วัดศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีพระวินัยสุนทรเมธี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาศรี ขันตยาคโม เป็นพระกรรมวาจารย์ พระมหาเขียน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า เขมิโย

พรรษาที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๑)

ในพรรษาแรกนี้หลวงปู่จำพรรากับหลวงปู่บึ้ง ที่เสนาสนะป่าในละแวกบ้านที่อ.บัวใหญ่ เนื่องจากอยู่ใกล้กับโยมบิดา มารดา หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ออกเดินทางเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ มาจนถึงจ.อุดรธานี และได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ขาว อนาลโย ณ วัดถ้ำกลองเพล ซึ่งหลวงปู่ขาวเพิ่งมาตั้งวัดถ้ำกลองเพล เป็นปีแรก

รูปภาพ
หลวงปู่ขาว อนาลโย


พรรษาที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๐๒)

จำพรรษาที่วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร กับหลวงปู่จันทา ถาวโร หลวงปู่ขาน ฐานวโร รวมพระเณรทั้งสิ้น ๗ รูป ตามความประสงค์ของหลวงปู่ขาว อนาลโย เนื่องจากหลวงปู่ขาวจำพรรษาที่นั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ และได้ย้ายมาตั้งวัดถ้ำกลองเพล เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ ทำให้วัดร้างไป ไม่มีพระอยู่จำพรรษา ชาวบ้านชุมพล จึงเดินทางมากราบเรียนขอพระจากหลวงปู่ขาวไปจำพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วพระเณรทั้งหมด ก็เดินทางกลับมาวัดถ้ำกลองเพล

พรรษาที่ ๓-๑๑ (พ.ศ. ๒๕๐๓-๒๕๑๑)

จำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ปัจจุบันเป็น อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู) เพื่ออุปัฏฐากรับใช้ ศึกษาธรรม และปฏิบัติจิตภาวนากับหลวงปู่ขาว อนาลโย อย่างใกล้ชิดเป็นเวลา ๑๑ ปี ในระหว่างนั้น หลวงปู่มีโอกาสได้พบและฟังธรรมะจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายองค์ ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนหลวงปู่ขาว อาทิ หลวงปู่หลุย จันทสาโร และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นต้น นอกจากนี้ หลวงปู่มีโอกาสเดินทางไปตามสถานที่ตางๆ ด้วย อาทิเช่น พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปู่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยพักที่วัดพระศรีมหาธาตุ และได้พบกับพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่เมตตาหลวง) ซึงเคยอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพลเช่นกัน จากนั้นได้ไปวัดอโศการาม โดยขนะนั้นท่านพ่อลี ธัมมธโร ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเดินทางต่อไปจังหวัดจันทบุรี และพักอยู่ที่วัดเนินเขาแก้วกับหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ในระหว่างนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จมาบำเพ็ญพระกุศลที่วัดแห่งนี้ด้วย เนื่องจากอยู่ใกล้กับวังสวนบ้านแก้วของพระองค์

พ.ศ. ๒๕๐๘ หลวงปู่เที่ยววิเวกไปทางจังหวัดอุดรธานีและสกลนครโดยได้กราบนมัสการหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าอุดมสมพร และพักอยู่ที่นั้นประมาณ ๑๕ วัน จากนั้นได้ไปที่วัดป่าบ้านหนองผือ ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จำพรรษาเป็นเวลา ๕ ปี ก่อนท่านจะมรณภาพอีกด้วย

ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ. ๒๕๑๒ หลวงปู่กราบลาหลวงปู่ขาว เดินทางออกจากวัดถ้ำกลองเพล โดยตั้งใจจะไปออกหาประสบกาณ์ที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็ตาม แม้หลวงปู่จะไม่ได้จำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพลอีกเลย แต่ก็ได้มากราบนมัสการและศึกษาธรรมะจากหลวงปู่ขาวอย่างสม่ำเสมอ

พรรษาที่ ๑๒-๑๗ (พ.ศ. ๒๕๑๒-๒๕๑๗)

จำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองพวง ภูเวียง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น

พรรษาที่ ๑๘-๒๒ (พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๒๒)

จำพรรษาที่วัดจันทร์ประสิทธิ์ บ้านสร้างเสี่ยน ต.หนองบัวใต้ อ.ศรีบุญเรือง จ.อุดรธานี (ปัจจุบันเป็นจ.หนองบัวลำภู)

พรรษาที่ ๒๓-๒๕ (พ.ศ. ๒๕๒๓-๒๕๒๕)

จำพรรษาที่วัดพระบาทภูพานคำ (วัดพระใหญ่ เขื่อนอุบลรัตน์) อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น

พรรษาที่ ๒๖-๒๗ (พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๒๗)

จำพรรษาที่เสนาสนะป่า ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ หลวงปู่ได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพลด้วย

พรรษาที่ ๒๘-ปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๒๘-ปัจจุบัน)

นับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘ จนถึงปัจจุบัน หลวงปู่จำพรรษาที่วัดถ้ำพญาช้างเผือก บ้านปากช่อง ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ มาโดยตลอด

รูปภาพ

ประวัติที่บันทึกด้วยลายมือของหลวงปู่

ขอกราบนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ (เกล้า) ขอโอกาสกล่าวประวัติความเป็นมาของชีวิตพอคร่าวๆ จำได้และจำไม่ได้บ้างเป็นของธรรมดา ไม่ใช่ผู้วิเศษพอที่จะจำได้ทุกสิ่งทุึกอย่างทั้งหมด ถ้ามีคนจำได้ไปให้อาตมากราบแทบเท้าด้วย

ประวัติของพ่อแม่นั้น ท่านเป็นคนมีถิ่นฐานอยู่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันแยกออกเป็นอำเภอประทาย พ่ออยู่บ้านหนองค่าย แม่อยู่บ้านทุ่งมน ตำบลดูเหมือนจะเป็นตลาดไซอะไรจำไม่ได้ ตะวันออกอำเภอประทายใกล้ๆบ้านตลาดไซแถวนั้นแหละ อาตมาเกิดอยู่บ้านแม่นั้นแหละ ครอบครัวได้ถูกย้ายไปย้ายมาเหมือนพระกรรมฐานนี้แหละ พ่อตายจากไปตั้งแต่อาตมาอายุประมาณ ๓-๔ ขวบ สมัยก่อนนุ่งผ้าบ้างไม่นุ่งผ้าบ้าง จำได้ว่าพ่อตายด้วยโรคเพชร หมอแผนปัจจุบันเขาก็จะว่าโรคบาดทะยักอะไรทำนองนั้นแหละ พี่ชายไม่มีใครจำได้ ส่วนอาตมาหัวดีหน่อยก็เลยจำได้ เดี๋ยวนี้หัวดีก็เลยล้านไปเลย

พอพ่อตายแล้ว ญาติพี่น้องก็รับมาอยู่บ้านหนองขามเตี้ย ซึ่งใกล้ๆ หมู่บ้านดงบัง บ้านห้วยคร้อ บ้านหญ้าคา บ้านห้วยยาง บ้านสาครก บ้านเก่างิ้ว บ้านหญ้าปล้อง เข้าสี่แยกโคกสี (เกล็ดลิ้น) แต่ก่อนขึ้นตำบลด่านช้าง ปัจจุบันแยกเป็นตำบลห้วยาง ได้มาเติบใหญ่อยู่ที่้บ้านขามเตี้ย

ต่อมาแม่ก็แต่งงานใหม่กับพ่อใหม่ที่อยู่บ้านดงบัง ตะวันตกหมู่บ้านหนองขามเตี้ยประมาณ ๒-๓ กิโล ก็เลยได้ย้ายไปอยู่กับพ่อใหม่ที่บ้านดงบัง หมู่ที่ ๑๑ หรือเท่าไหร่จำไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่บ้าน อยู่วัด ตำบลห้วยยาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบัน

พ่อกับแม่อาตมามีผลผลิตถึง ๑๒ คนเลยทีเดียว พี่ชาย ๔ คน อาตมาเป็นคนที่ ๕ คนที่หกน้องสาวมีชีวิตอยู่บ้านดงบัง คนที่เจ็ดแปดเก้า เป็นผู้ชาย คนที่สิบเป็นผู้หญิงตายตั้งแต่ยังเด็ก คนที่สิบเอ็ดชาย สิบสองชาย รวมเป็นชาย ๑๐ หญง ๒ คน หญิงเหลือ ๑ คน คนที่ ๒ ตายแต่เด็กๆ พ่อเก่ากับแม่ได้ผลผลิตเก้าคน แม่กับพ่อใหม่ได้หญิง ๑ คน ชาย ๒ คน

ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ต้องพูดถึง (ต้องพูดถึง) มาไม่พูดก็ไม่รู้ เพราะไม่ใช่พระอรหันต์เขาว่า แต่บางหันก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ ทั้งเป็นกำพร้าทั้งเป็นกัมพลอย มันไม่ใช่ "เป็นกำพร้าพ่อแม่ยังเบิด เป็นกำพลอยลูกเมียมีพร้อม"

บรรดาลูก ๑๒ คน อาตมารู้สึกว่า อาตมามีความทุกข์มากกว่าทุกคน ลำบากกว่าทุกคน จนเป็นเยื่อใยมาถึงทุกวันนี้แหละอาตมาไม่เคยลืมมันเลย คิดถึงความทุกข์ที่พ่อแม่พากินพายากพาลำบากลำบน อาตมาเหมือนเอามากินกับข้าวทุกคำเลยทีเดียว สมน้ำหน้าตัวเอง อยากเกิดมาทำไม ขอให้ทุกข์ยิ่งๆ กว่านี้ด้วยเถอะ

รูปภาพ
จากซ้าย : หลวงปู่อุทัย สิริธโร, หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย, หลวงพ่ออุทัย ธัมมวโร


อาตมาออกบวชเป็นพระได้อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ เอาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้บนเกศเกศามาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๐๑ ซึ่งพ้นจากการเป็นทหารเกณฑ์มาแล้ว ๒ ปี เมื่ออายุ ๒๕ ปีเต็ม เขาว่าอะไรนะ อายุย่างเข้าเบญจเพส ว่าตามเขา พอบวชมาปีที่ ๑ ก็พรรษาอยู่ที่บ้าน

พอออกพรรษาคิดอยากจะออกแสวงหาครูบาอาจารย์ ก็คิดดำริในใจว่าครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกว่าครูบาอาจารย์ที่ อยู่ปัจจุบัน จะมีไหมหนอ ในคืนคืนหนึ่งก็เลยฝัน ฝันว่าเราเป็นพระได้ไปเที่ยวๆ ไปๆ เดินทางไปทางทิศเหนือ เขาเรียกทิศอุดรเดินไปๆ ไปเจอวัดๆ หนึ่ง ในบริเวณวัดมองเข้าไปเห็นเป็นธาตุที่เขาใส่กระดูกอยู่ตามกำแพงวัด เราเดินเข้าประตูทางทิศเหนือ ไปเจอกุฏิหลังหนึ่งดูเป็นเชิงกุฏิคอนกรีตไม่ยกพื้น พอเข้าไปในกุฏิ มองเห็นตาผ้าขาวนั่งอยู่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นข้างบนเหมือนเราส่องไฟฉายขึ้นข้างบนสว่างเป็นช่อขึ้น ตาผ้าขาวเราเรียกว่าพ่อขาว พ่อขาวก็บอกว่าเสี่ยงทายดูวาสนา แต่เราไม่รู้ว่าวาสนาของใคร ที่เรามองเห็นนั้นสว่างไสวดี พอเสร็จแล้วพ่อขาวก็บอกว่าจะเสี่ยงดูวาสนาให้เรา แต่ปรากฏว่าแสงสว่างเหมือนกันแต่ไม่มากเหมือนอันก่อน แล้วก็รู้สึกตัวตื่นนอนขึ้น

พออยู่ต่อมาก็เดินทางขึ้นไปทางจังหวัด อุดรธานีนั้นแหละ เดินทางไปเรื่อยๆ ออกจากบ้านบัวใหญ่ไปพักเมืองพล บ้านแฮด บ้านไผ่ ถึงอุดรธานีประมาณเดือนอ้าย เดือนธันวา ปี ๒๕๐๑ ไปถึงวัดถ้ำกลองเพล แต่ก่อนขึ้นกับจังหวัดอุดรธานี เดี๋ยวนี้แยกเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งหลวงปู่ขาว อนาลโยอยู่ที่นั้น ซึ่งท่านก็เพิ่งมาอยู่ใหม่ในปีนั้นเอง พุทธศักราช ๒๕๐๑ อาตมาก็บวชในปีนั้นเอง ตอนนั้นอายุหลวงปู่ขาวประมาณ ๖๐ กว่าๆ ไปถึงวัดถ้ำกลองเพลในหน้าหนาว ชาวนาเก็บข้าวเสร็จใหม่ๆ ให้ท่านผู้อ่านคิดถึงคำฝันกับตอนมาถึงวัดถ้ำกลองเพลดูจะเป็นยังไง

พออาตมามาถึงวัดถ้ำกลองเพลแล้วก็เข้ามอบตัวกราบไหว้หลวงปู่ขาว ด้วยความเคารพได้มอบกายถวายชีวิตในหลวงปู่ เป็นลูกศิษย์ลูกหาเป็นลูกเป็นเต้าของหลวงปู่ ฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติอุปัฏฐากด้วยหมู่ ด้วยคณะเป็นเวลาหลายปี วิสัยหลวงปู่ชอบสงบมาก ตอนเราเข้าไปอยู่ใหม่ๆ เวลานั่งฉันเป็นแถว ท่านนั่งอยู่ เวลาเราจะถามหรือพูดกัน ต้องกระซิบเบาๆ ไม่ให้มีเสียง ต้องมีสติระวังตัวอยู่ทุกเมื่อ เวลาเราทำผิดท่านจะ "ฮื้อ" คำเดียวเท่านั้นแหละเหมือนเตือนเราให้มีสติ

รูปภาพ
ในหลวงเข้านมัสการหลวงปู่ขาว อนาลโย


เราเคารพท่านมาก เรารักท่านมาก เราถือเหมือนพ่อของเราจริงๆ ท่านให้ความเมตตาให้ความสงสาร ให้ทุกสิ่งทุกอย่างในความรู้ในธรรมคำสั่งสอน จนท่านพูดว่า "ถ้ามรรคผลที่เราทำมาเอาให้ได้ เราก็จะเอาให้เจ้าทุกคนแหละ" เรา ถือท่านเสมือนพ่อ เราสงสัยดูอะไรในธรรม ข้อไหนลึกตื้นอย่างไร ท่านยินดีตอบยินดีแนะนำตลอด ให้ความรู้ให้ความเห็น ให้อุบาย ให้การแก้ไข จิตใจของเราคิดอย่างไรปรุงแต่งอย่างไร เรานำไปเล่าให้ท่านฟัง เราไม่ต้องอายขายหน้ามันเลย มันคิดเข้าบ้านเรื่องของกิเลส ตัณหา ท่านก็ช่วยแก้ไข ต้องทำแบบนั้น ต้องคิดแบบนั้น ต้องปฏิบัติแบบนั้น เราไม่ต้องอาย บางทีเรายกปัญหาขึ้นมาพูดแต่พูดไม่ให้มันถูก เรียกว่าพูดเป็นอุบาย เหมือนเราต้องการไข่มดแดง เราเอาไม้ไปแหย่ๆ เท่านั้นแหละ ไข่มดแดงก็จะร่วงหล่นลงมาให้เราได้กินเลย ฉันนั้นก็เหมือนกัน บางทีเราหวังจะแกล้งถามท่านให้ติด ท่านก็ไม่ติด ถามท่านหมดมรรคผลสวรรค์นิพพาน หลวงปู่ขาวเป็นคนโบราณหนังสือไม่ได้เรียน ท่านเขียนหนังสือไม่ได้ แต่อ่านออกท่องอ่านสวดได้หมด เราสู้ท่านไม่ได้ทุกอย่างเลย เรายอมท่านอย่างราบคาบเลย

อาตมาอยู่กับหลวงปู่ตั้งแต่ปี ๒๕๐๑ ถึงปี ๒๕๑๒ อาตมาจึงออกจากท่านไป เป็นเวลาที่อยู่กับท่าน ๑๑ ปี คำพูดที่ท่านพูดเป็นคำดุ (ด่า) (อีตาอันนี้) มีคำเท่านี้ที่ว่าเรา คำอื่นไม่มี ท่านมีธรรมคือเมตตามาก จึงรู้สึกเย็นอยู่ตลอดเวลา บางครั้งไปวิเวกจิตใจเดือดร้อน พอกลับมาหันหน้าเข้าหาวัดถ้ำกลองเพลเท่านั้น รู้สึกจิตใจเย็นวาบเลย ที่อยู่กับท่าน ได้ยินได้ฟัง ได้รู้จักครูบาอาจารย์หมู่พวกคณะมากมาย ทั้งท่านมรภาพไปแล้วก็มาก ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มาก ก็เป็นอานิสงส์อยู่อย่างหนึ่ง ดีกว่าที่เราไม่ได้อยู่กับครูบาอาจารย์เลย

วัน หนึ่งเราเดินเล่นเพลินๆ ก็คิดขึ้นมาว่าครูบาอาจารย์และพระเพื่อนฝูงองค์นั้นไปอยู่วัดป่า บ้านนั้นรูปนี้ไปอยู่ภูนั้น รูปนั้นไปอยู่ถ้ำนั้น ที่อยู่ภูหรือถ้ำนั้นมีศักดิ์ศรีกว่าสมฐานะกว่า มันบอกว่าฐานะศักดิ์ศรีของลูกศิษย์พระกรรมฐานจะต้องอยู่ภูหรืออยู่ถ้ำ อาตมาก็เลยอยู่ภูมาหลายภู อยู่ถ้ำมาหลายถ้ำ ปัจจุบันก็เลยมาตกค้าง อยู่วัดถ้ำพญาช้างเผือก บ้านปากช่อง ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ จนถึงขณะนี้ หัวคิดอันนี้มันคิดขึ้นมาเองไม่มีใครแนะนำพร่ำสอน

อาตมาได้ออกจากวัดถ้ำกลองเพลตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ พรรษา ๑๒ ก็ได้เที่ยววิเวกไปในที่ต่างๆ หลายแห่งหลายหนหายภูหลายเขา ไม่อาจจะนำมาเขียนลงในที่นี้ได้ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ มาจำพรรษาอยู่เขตอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ๕-๖ ปี ไปอยู่ภูเก้า วัดพระใหญ่ เขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ๓ ปี ไปอยู่จังหวัดเพชรบูรณ์ สองครั้งๆ ละ ๑ พรรษา พรรษาสุดท้ายก็เลยมาอยู่ถ้ำพญาช้างเผือกนี้แหละในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๘

ประวัติวัดถ้ำพญาช้างเผือก

รูปภาพ

อาตมามาองค์เดียว ถ้าจะพูดเล่นๆ ก็ว่าพระเอก พระเอโก พระรูปเดียว อาตมามาอยู่เป็นพระเอกอยู่ในถ้ำนี้ถึง ๓ ปี ตอนมาอยู่ใหม่ๆ นอนอยู่ในถ้ำ มีร้านอยู่ข้างในพอนอนได้สูงแค่เอว ปูด้วยไม้ไผ่ ฟากที่สับเป็นแผ่นปูพื้นเก่าๆ ขึ้นราดำตึ๊ดตื๋อ ทั้งฝุ่นทั้งขี้เหยี่ยวค้างคาว กลางวันจะไปที่พัก ต้องส่องไฟ พักอยู่ ๒-๓ นาทีก็ค่อยๆ สว่างออกๆ ดีไหม อยู่ ๑๔ วัน ๑๔ คืน เสื่อจะปูนอนก็ไม่มี หมอนจะหนุนก็ไม่มี เอาผ้าอาบน้ำและผ้าอื่นปูนอน เอาห่อผ้าครองห่อผ้าไตรเป็นหมอน ของใช้อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง

๑๔ วัน ๑๔ คืน หาคนๆ หนึ่งมาเยี่ยมมาหามาถามว่าหลวงพ่อมาจากไหนอยู่ที่ไหนไปยังไงมายังไงไม่มีเลย ช่างดีจริงๆๆ เวลา ออกบิณฑบาต ข้าวพอแต่กับไม่ค่อยมี จึงค่อยอดๆ อยากๆ วันไหนบังเอิญได้ปลาร้าบอง เท่าหัวแม่มือ ให้โยมปิ้งไฟ เอามาฉันกับข้าวรู้สึกเอร็ดอร่อยมีรสชาติมีชีวิตมีชีวาเสียเหลือเกิน ในชีวิตนี้ในชาตินี้จัดว่าเป็นอาหารทิพย์ได้เลย เพราะว่าความหิวของธาตุขันธ์ ข้างถ้ำเป็นหน้าผามีต้นมะละกอขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง สูงประมาณยื่นมือถึง มีลูกๆ หนึ่งสุกเหลืองกลมๆ เท่าสองกำปั้น ไปยืนมอง ใจก็คิดว่าน่าจะหวานน่าจะอร่อย เหมือนเสือหิว จะเอามากิน เองไม่ได้ ผิดอาบัติของพระ ได้แต่มองอยู่เฉยๆ สมน้ำหน้าตัวเอง ตามปกติมะละกอลูกกลมๆ ก้านไม่มีใบไม่มี ถึงเราจะเอามากินมันก็ไม่หวานดอก เราคิดว่ามันจะหวาน เพราะความหิวของเรา

พออยู่มาได้ ๑๔ วัน ๑๔ คืน ก็ตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไปดี ใจหนึ่งก็ว่าอยู่อย่างนี้แหละ สบายดีเยือกเย็นใจสบายใจ อีกใจหนึ่งก็บอกว่าจะอยู่อย่างไร อาหารการฉันก็เป็นอย่างนี้ ชาวบ้านญาติโยมก็เป็นอย่างนี้ ใจมันก็เกิดเถียงกัน ใจเย็นใจสบายก็บอกว่า อาหารญาติโยมช่างเขาเถอะ ใจหนึ่งก็ถามว่าเราจะทำอย่างไร ใจหนึ่งก็บอกว่าเราต้องพึ่งตัวเอง ใจหนึ่งมันซักไซ้ว่าพึ่งตัวเองอย่างไร ใจหนึ่งมันก็มองไปถึงญาติโยมบ้านอื่นบ้านไกล บ้านที่เราเคยอยู่เคยอาศัยที่ผ่านมาทุกที่ทุกแ่ห่ง

อาตมาเคยสร้างวัดมาหลายแห่ง ปฏิสังขรณ์ก่อสร้างตามวัดที่เคยอยู่มาเป็นอันมาก ด้วยเดชะผลการกระทำนั้นให้ผลตลอดมา อาทิ หมู่บ้านต่างๆ เช่น บ้านหนองพลวง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น บ้านสร้างเสี่ยน อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู บ้านกุดกู่ อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู ชาวตลาดเขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ตลอดชาวอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และอื่นๆ ทั่วไปที่มีความเคารพนับถือ พอได้ข่าวว่าอาตมาไปอยู่ที่ใด เขาจะตามไปดูไปสืบไปหาว่าอยู่อย่างไร กินอย่างไร สุขทุกข์อย่างไร เขาจะห่วงใยอยู่ตลอด อาตมาก็ชื่นใจปลื้มใจ มีกำลังใจ และขอบคุณในน้ำใจอันดีอันประเสริฐไว้ ณ ที่นี้ด้วย

อาตมามองเห็นผลดังที่กล่าวมานี้แหละ จึงได้บอกใจตัวเองตกลงใจตัวเองว่าพึ่งตัวเอง ก็หมายความว่าเราจะต้องบอกแก่ญาติโยมของเรา เขาจะได้มาช่วย ก็เป็นไปตามความคาดหมายทุกประการตลอดถึงทุกวันนี้ ส่วนความคิดที่มันบอกว่าอยู่ที่นี้สบายดี หมายถึงใจมีความสุขสงบ ทุกข์กายแต่สุขใจมีกำไรในชีวิต สุขกายทุกข์ใจขาดทุนชีวิต เข้าทำนองคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก อาตมาอยู่ในลักษณะพึ่งตัวเอง เราสร้างอะไร เราจะทำอะไรขึ้นก็คิดว่าเราจะสร้างได้ไหมหนอ เราพร้อมหรือยัง เราจะเดือดร้อนไหม ไม่ิคิดอาศัยคนอื่น โดยไม่คิดว่าญาติโยมเขาจะมาช่วยเท่าไรแค่ไหนอย่างไร อย่างดีก็บอกพอเขาได้รู้ เขาจะช่วยมากน้อยแล้วแต่กำลัง ช่วยก็ช่วยไม่ช่วยก็แล้วไป ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเดือดร้อนทั้งสองฝ่าย นี่คืออานิสงส์พึ่งตัวเอง

อาตมาเลยเป็นคนขี้เกรงใจ ไม่ถามก็จะไม่บอก ไม่ขออะไรแล้วแต่จะได้แล้วแต่จะให้ ให้ก็เอาไม่ให้ก็ไม่เอา มีก็กินไม่มีก็ไม่กิน มันคิดสมุติว่าเรายื่นซองผ้าป่ากฐินให้เขาคนหนึ่งต่อหน้าเรา ถ้าเขาไม่รับก็ไม่งาม รับไปแล้วเขาไม่มีเงินใส่เขาก็ทุกข์ใจ บางทีมีเงินที่จะใช้เฉพาะกิจ จะใส่ซองมันก็ขาด อย่างนี้ก็ทุกข์ใจ เวลาไม่มีจริงๆ มันก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ไปอีก อาตมาเกรงใจตรงนี้

สมัยหนึ่งอาตมาไปอยู่บนภูเก้า ปัจจัยบาทเดียวก็ไม่มี คิดว่าถ้าเราเป็นไข้ ปวดหัวจะเอาอะไรไปซื้อยาทันใจมากินเวลามันไม่มี ถึงจะจับขาขึ้นเขย่า มันไม่มีอะไรจะตกออกเลย ก็เลยปลงเอาแต่บุญแต่กรรม ใครทำก็ทำ ใครไม่ทำก็แล้วแต่ เราก็ไม่เดือดร้อนเขาไม่เดือดร้อน

อาตมาเกิดมาเป็นคนอาภัพวาสนา เกิดวันจันทร์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ ปีระกา เดือนอ้าย อาตมาดูตัวเองเหมือนไก่เถื่อน ไก่เถื่อนก็คือไก่ป่า ไก่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีคนเลี้ยงดูอุปถัมภ์ค้ำชู เหมือนๆ ไก่ตื่นเช้ากระโดดลงจากที่นอนก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตลอด ทั้งวันจนขาจะขาด ค่ำมืดแล้วก็เข้านอน อาตมาก็มีความเป็นอยู่เช่นเดียวกัน การกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของชีวิต คนมองเผินๆ ดูเหมือนว่าเป็นคนขยัน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ทำด้วยความทุกข์ยาก ทำด้วยความจำเป็น ทำด้วยการบรรเทาทุกข์เท่านั้น

บางครั้งก็มีผู้มาถามอยู่หลายครั้งหลายหนว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ของใคร เราไม่รู้ว่าจะตอบเขาว่าอย่างไรดี ตอบได้แต่คำว่าอาตมาแต่ก่อนเคยอยู่กับหลวงปู่ขาว เราไม่อาจจะตอบว่าเป็นลูกศิษย์ เพราะคิดว่าคำว่าศิษย์มันหมายความว่าอย่างไร เพราะเราเคารพนับถือท่านมาก ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมายจนหาที่ตำหนิไม่ได้ ท่านขาวสะอาดจริงๆ ไม่ใช่ขาวแต่ชื่อ ท่านขาวกระทั่ง กาย วาจา ใจ ถูกกับคำว่า "เกลี้ยง ทางใน ใสทั้งกระดูก เกลี้ยงทั้งข้าวปลูกทั้งข้าวปัดลาน ไม่ใช่เกลี้ยงแต่นอกทางในเป็นหมากเดื่อบี๋ เบิ่งแล้วแมงหมี่ซ้อนอยู่ใน"

ถ้า เราจะตอบว่าเราเป็นศิษย์ของท่าน เราทำได้อย่างท่านไหม ตรงนี้แหละเป็นสิ่งน่าละอายใจเป็นอย่างยิ่ง อาตมาไม่กล้าพูดว่าเป็นศิษย์ อาตมาเคยรู้เคยเห็น บางท่านบางคนบอกว่าฉันเป็นลูกศิษย์คนนั้นคนนี้ ลูกคนนั้นหลานคนนั้นมันเป็นศิษย์ ลูกหลานสมมติหรือเป็นจริงๆ ข้อนี้แหละควรคิด คำว่าลูกศิษย์ตถาคต พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใครก็ตาม เป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างมากๆ เลยทีเดียว อย่าให้เป็นผีแลกหน้าพร้าแลกคม มันจึงจะสมกับคำว่า "คนก็ให้เป็นคนแท้ๆ อย่าเป็นคนตั้งแต่ชื่อ คนให้ฮวดก้นหม้อเหนียวตุ้ยจึงแม่นคน" เอาไว้แค่นี้ก่อน

จะย้อนกล่าวถึงการตั้งชื่อถ้ำ แต่ก่อนถ้ำนี้ชาวบ้านในเขตนั้นเขาเรียกว่าถ้ำเถ้า เวลาเราเดินไปในพื้นที่ถ้ำดินจะปุยขึ้นมาเหมือนเราเหยียบลงไปในขี้เถ้าไฟ สันนิษฐานว่าสมัยก่อนนายพรานไพรคงเึคยมาพักอาศัยก่อไฟหุงข้าวทำกิน ย่างเนื้อหลายครั้งหลายหน ก็เลยมีขี้เถ้าเพิ่มมากขึ้น อาตมาตรวจตราดูหิน มองไปมองมาเป็นสภาพหินย้อย แต่ก่อนตรงนั้นจะเป็นช่องเป็นรู เวลาฝนตกน้ำจะไหลออกมาจากรูนั้น จนเป็นคราบหินปูนจับกันเป็นก้อน จนกลายเป็นเหมือนรูปช้างเืผือกทั้งตัวอย่างเด่นชัด เป็นรูปหัวช้างมีตา มีหู มีงวง มีขาหน้า ขาหลัง เป็นรูปสัตว์ช้างทั้งหมด ปัจจุบันอาตมาเอาพระประธานตั้งไว้ใต้ท้องช้าง เวลาเราขึ้นไปบนถ้ำพักที่หนึ่ง มองเห็นพระประธาน บนครอบพระประธานนั้นแหละเป็นรูปช้างเผือก อาตมามองไปเห็นก่อนใครๆ ทั้งหมด ก็คิดจะตั้งชื่อเสียใหม่ ถ้าจะใช้ชื่อเอราวัณก็จะไปทับกับถ้ำเอราวัณ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ถ้าจะตั้งชื่อถ้ำช้างเผือกเฉยๆ ก็ไม่ใหญ่ไม่สมศักดิ์ศรี ก็เลยเอาพญานำหน้า ก็เลยได้ชื่อว่าวัดถ้ำพญาช้างเผือกตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้แลฯ

ครั้ง แรกอาตมามาอยู่ในถ้ำนี้รูปเดียวอยู่ ๓ ปีเต็ม ทั้งแล้งทั้งฝน ฉันจังหันเสร็จก็ทำงานตลอดวัน อาตมาฉันหนเดียวเป็นวัตร ปรับพื้นที่ภายในพื้นขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ หารถน้ำมาขนดินขนหินอยู่คนเดียวตลอด ๓ ปี จึงดูพออยู่ได้ ในเวลาทำอยู่นั้น มีก้อนหินก้อนหนึ่งใหญ่ประมาณเท่าช้าง ๓ ตัว มันปิดแสงสว่างที่ส่องเข้ามาทางปากถ้ำ ทำให้มืด ต้องพยายามจะเอาหินก้อนนั้นออก บัญเอิญหินก้อนนั้น เป็นหินก้อนที่หล่นมาจากแถวนั้น เราคนเดียวก็ขุดเข้าไปใต้ก้อนหินให้เป็นโพรงที่ตรงกลางก้อนหินพอก่อไฟได้ พอติดไฟแล้วก็ไปเที่ยวหาแบกฟืนไม้แห้งขนาดใหญ่พอแบกไหวมาใส่ เผาอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันกลางคืนอยู่สองสามวัน

ทางจิตใจก็ลำบากหนักใจว่าทำอย่างไรหนอหินจะออกให้ คิดแล้วลองเอาค้อนแปดปอนด์ไปทุบไปตีก้อนหิน ก้อนหินเมื่อถูกไฟเผามันก็ร้อน เราก็เอาค้อนไปตีด้วยความไม่มั่นใจเพราะมันก้อนใหญ่ ตีอยู่อย่างนั้นแหละเหมือนกับไปจั๊กจี้ช้าง ตุบๆๆๆๆๆๆๆ เหมือนกับมีอภินิหารหรือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาช่วย ถ้าคนธรรมดาก็จะว่ามีเทวดามาช่วย แต่อาตมาไม่ใช่คนธรรมดา อาตมาเป็นพระแล้วก็มองไม่เห็นเทวดาด้วย ก้อนหินก้อนใหญ่นั้นแตกแบ่งออกกึ่งกลางก้อนเลยน่าอัศจรรย์จริงๆ น่าอัศจรรย์ใจ โอ้ข้าวสารในโอเงยคอตอดไก่ รู้สึกดีใจอยู่คนเดียว แล้วก็มาขุดโพรงเผาก้อนที่แตกออกอีกเผาอีก เอาค้อนปอนด์ตีอีกแตกอีกอัศจรรย์อีก ทำไปเรื่อยๆ จนก้อนหินก้อนนั้นหมดไม่มีเหลือ ขนใส่รถน้ำนำมาทำเขื่อนกั้นดินบ้าง กั้นเขื่อนกั้นถนนบ้าง แสงสว่างก็ส่องได้ตลอดถ้ำ ถ้าเราเปรียบเทียบ กับธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ก็คงจะอยู่ในหมวดของความเพียรที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น เข้ากับคำว่าฝนทั่งให้เป็นเข็ม จริงไหมท่าน

อาตมาชอบเป็นคนจัญไรตีน จัญไรมือ ก่อปูนเองฉาบปูนเอง จะไปจ้างเขาค่าจ้างก็ไม่มี มีก็เล็กๆ น้อยๆ พอเป็นค่าอุปการะเท่านั้น ใจมันบอกว่าช่างมัน เอาอะไรทำ เอามือทำ เรามีมือไหม มันเลยเกิดมาเป็นคนจัญไรไม่ได้อยู่เป็นสุข บางครั้งทำงาน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่มก็มี อัปรีย์มาก

พอครบ ๓ ปีก็พอดูได้พออยู่ได้ ก็เลยหยุด ทำความเพียรอย่างตั้งใจจริงๆ ปูนซีเมนต์เหลือค้างอยู่ถุงหนึ่ง ถ้าทำงานก็ประมาณ ๒ - ๓ วันก็หมด ไม่ทำ หยุดแต่วันนั้นเป็นเวลา ๒ ปีเต็ม พอมีกำลังจิตกำลังใจแล้วจึงกลับมาทำงานต่อไป ดูปูนถุงนั้นเหมือนก้อนหินมันแข็งก็ไม่ทิ้ง เอามาบดให้ละเอียดเหมือนเดิม ใช้ผสมกับปูนใหม่ใช้ได้เหมือนเดิม เริ่มสร้างภายนอกถ้ำ มี ศาลา โรงครัว ที่พัก กุฎี ห้องน้ำ เสริมมาเรื่อยๆ ต่อมาก็มีผู้มีจิตศรัทธาแก่กล้า คือ โรงโม่หินเทพประทานพร นำโดย นายเฮง ทองแท่งไทย นางวัชราภรณ์ ผ่องใส และคณะได้มาอุปถัมภ์ก่อสร้างพระประธานองค์ใหญ่ นามว่า พระพุทธชินสีห์มิ่งมงคล

ซึ่งไปขอคารวะประทานพรมาจากวัดพระพุทธชินสีห์องค์จริงจากจังหวัดพิษณุโลก หน้าตัก ๙๙ นิ้ว หล่อเองจากโรงหล่อนายบุญชู กรุงเทพมหานคร น้ำหนัก ๓ ตัน พร้อมสาวกซ้ายขวา และพระประจำวันทั้ง ๗ วัน ได้ทำรูปเหมือนครูบาอาจารย์ไว้ด้วยหลายรูป แท่นพระกับปูพื้นด้วยหินแกรนิตเป็นจำนวนเงินประมาณ ๕ ล้านกว่า ทางเจ้าภาพมีความประสงค์จะให้ป็นสถานที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข ให้เกิดสิริมงคลขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีไม่งามให้ประสบความผาสุกรุ่มเย็นแก่ผู้ มาอธิษฐาน ขอพรกราบไหว้ไปทั่วทิศานุทิศ อาตมาก็ขออนุโมทนาจากจิตอันบริสุทธิ์ในผลของการกระทำในครั้งนี้ของเจ้าภาพ ด้วย สาธุ

รูปภาพ

ภายในถ้ำขณะนี้จัดทำให้เป็นอุโบสถ (โบสถ์) เพื่อเป็นที่ทำสังฆกรรมในพระพุทธศาสนาต่อไปเท่านานแสนนาน องค์พระประธานและองค์พระต่างๆ ตลอดรูปเหมือนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่อยู่ในถ้ำนั้น เสมือนอยากจะบอกลูกหลานทุกคนทราบและรู้จักว่าขลังและศักดิ์สิทธิ์เพียงไหน

ในวันที่ชาวคณะกฐินสามัคคีที่จะนำมาทอดถวายที่วัดถ้ำพญาช้างเผือกในวัน อาทิตย์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ ของคณะผู้พิพากษาขอนแก่น อุดรและอื่นๆ นายแพทย์ไกรสร-ทันตแทพย์หญิงเรวดี ทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนทั่วๆ ไป ตลอดทั้งโรงโม่หินเทพประทานพร ได้ปัจจัย ๗ แสนกว่า ช่างภาพเขาถ่ายออกมาเป็นเจ้าภาพอภินิหารเป็นสายรุ้งเป็นตัวอักขระตัวยันต์ หรือตัวขอมที่เกิดขึ้นกับองค์หลวงพ่อพระพุทธชินสีห์มิ่งมงคล รูปที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เกิดอานุภาพให้เราได้เห็นอัศจรรย์เช่นเดียวกัน เป็นสักขีพยานในสิ่งที่ไม่รู้ไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ว่าสิ่งลี้ลับมีจริง บาปบุญดีชั่วกรรมเวรมีจริง จะทำอะไรลงไป ท่านให้คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน จึงค่อยทำสิ่งนั้น

ตอนอาตมาบวชใหม่ๆ เคยเดินสัญจรไปเที่ยววิเวกกับหมู่เพื่อนหลายแห่ง บางครั้งก็ไปรูปเดียว ครั้งหนึ่งเคยไปแถวเมืองเลย ปีพุทธศักราช ๒๕๐๒ ออกจากวัดถ้ำกลองเพลด้วยกันมี ๓ รูป มีอาจารย์ไปด้วย แต่ก่อนทางสายหนองบัวลำภู-เลย ยังไม่ทะลุกัน ทางลูกรังไปถึงอำเภอนากลาง ต่อนั้นไปเป็นทางล้อทางเกวียนทางคนเดินเท้า ไปพักนากลาง เขาเรียกบ้านกกคร้อ-กกโพธิ์

ตอนเช้าออกบิณฑบาตได้ข้าวเต็มบาตรแต่ไม่มีกับ มาถึงที่พักก็เตรียมฉัน ฉันข้าวเปล่าๆ ทีแรกก็พอฉันได้ ต่อไปก็กลืนไม่ค่อยลง เอาน้ำมาเป็นกระสายไปหน่อยก็กลืนไม่ลงอีก ก็หยุด ล้างบาตรเสร็จเตรียมของเดินทางต่อไปพักแถวผาเจาะบ้านเทพคีรี กำลังมาอยู่ใหม่เป็นกระต๊อบ ตอนนี้เจอน้ำหินปูน รสจืดกินไม่อิ่มท้องเลย ท้องเต็มปากยังหิวทรมานพอสมควร

เดินทางอีกไปพักบ้านผาวังยังไม่ค่ำ คิดว่าจะเดินทางต่อไปบ้านนาดอกไม้ เขาห้ามไม่ให้ไป เขากลัวว่าจะไม่ถึงจะค่ำเสียก่อนอันตราย เขาบอกว่ามีเสือโคร่งลายพาดกลอนแม่ลูกอ่อน ก็เลยมาพักที่นั้น เช้าฉันเสร็จก็เิดินทางน้ำใส่กาเต็มทุกรูป ปรากฏว่าเดินตลอดทั้งวันไม่ได้พักเลย ไปเจอรอยเสือเดินตามทาง อาตมาเอามือห้านิ้วกระจ่างวัดลงที่รอยเสือเต็มพอดี จะเล็กจะใหญ่ขนาดไหนคิดดูเอา ถ้าไม่เชื่อเขา เดินทางในคืนนั้น จะเป็นพระขี่เสือหรือเป็นพระขี้เสือก็ไม่รู้

เดินตลอดวันไม่มีน้ำสักแห่งเลย พอจะถึงบ้านจึงพบน้ำในห้วย จนตะวันแดงจะตกดินจึงพักเอาแรงเดินต่อเข้าไปพักโรงเรียน เดินต่อไปเรื่อยๆ ทะลุอำเภอวังสะพุงไปพักถ้ำผาบิ้ง (บิ้งภาษาเมืองเลยเราเรียกว่าค้าวคาว) ถ้ำผาบิ้งไม่มีใครอยู่ สมัยก่อนหลวงปู่มั่นเคยไปพักภาวนา ต่อมาหลวงปู่หลุยได้มาบูรณะจนสมบูรณ์เท่าทุกวันนี้ จากนั้นเดินทางมาหนองหิน เข้าพักถ้ำมโหฬารนานพอสมควร

ออกจากนั้นก็เดินทางมาแถวภูกระดึง บ้านศรีฐาน ขึ้นภูกระดึงพักอยู่หนึ่งคืน ลงมาเพราะไม่มีที่บิณฑบาต อาศัยพวกป่าไม้เฉยๆ ต่อมาเดินทางผ่านผานกเค้า-บ้านโนนหัน เข้าไปอำเภอคอนสารไปพักถ้ำพระละมุด บ้านปากช่อง บ้านน้ำอุ่น ตำบลห้วยยางหนึ่งคืน กลับออกมาเดินทางเข้าอำเภอสีชมพู บ้านนาจาน ขึ้นเขาภูเวียงไปถ้ำหินหล่อง พักพอสมควรผ่านลงบ้านกุดดุก ข้ามน้ำพอง ใส่ภูเก้าเขตอำเภอโนนสัง แต่ก่อนยังไม่กั้นเขื่อนอุบลรัตน์ ผ่านภูเก้าลงหนองบัวลำภูเข้าวัดถ้ำกลองเพลเหมือนเดิม

รูปภาพ


ข้อมูลจาก :
๑. http://dhammarakkoe.blogspot.com/2011/0 ... _6578.html
๒. http://dhammarakkoe.blogspot.com/2012/02/2.html
๓. http://www.weekendhobby.com/camp/webboard/

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร