ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

แสวงหาความจริง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=63065
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 23 ม.ค. 2023, 04:56 ]
หัวข้อกระทู้:  แสวงหาความจริง

#อันตรายจากสิ่งรอบข้าง

"... อันตรายจากสิ่งรอบข้างนั้น​ ไม่น่ากลัว
เพราะสามารถระวัง​ แก้ไขได้ แต่อันตราย​
ที่เกิดจากกิเลส..!!
ที่เข้ามากัดกินหัวใจแล้ว​ น่ากลัวมากกว่า
เพราะเป็นข้าศึก ต่อการ​เข้าถึงธรรม ..."
...................................
#หลวงปู่ชอบ_ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย







หนีของปลอม มาแสวงหาของจริง

ถาม : ส่วนตัวพระอาจารย์ทำไมถึงหันมาในศาสนาเต็มที่ขนาดนี้ครับ

พระอาจารย์สิริปัญโญ : เพราะว่าผมเห็นโทษ เห็นว่ากามมันจำกัด และก็เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับผมตอนเป็นวัยรุ่น เรื่องภาวะโลกจะต้องเจอวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ข้อมูลที่เพิ่งออกมาใหม่ ปัญหาที่ว่ามีร้อนมีน้ำท่วมอะไรเป็นของเก่ามีมานานแล้ว เพียงแต่ว่าโดนปกปิด

ส่วนอาตมาสิ่งที่เกิดในชีวิตของอาตมาก็ พ่อแม่หย่ากัน ก็เลยเห็นตั้งแต่เด็กว่าแบบนี้ก็ไม่แน่นอน จึงคิดว่าต่อไปจะมีความอบอุ่น ความรักในชีวิต มีภรรยาเดี๋ยวมีลูก ทุกคนก็ Happy เรารู้ตั้งแต่เด็กว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ตามความเป็นจริงมันไม่ใช่

แล้วก็ดูวัตถุ ด้วยการอยู่ใกล้ๆกับคนมีวัตถุเยอะ มีเงินเยอะ แต่ไม่เห็นคนที่จะดีสักคนหนึ่ง พูดตรงๆนะ คนระดับสูงแค่เอาศีล 5 เป็นหลักแทบจะไม่มี ก็เลยเมื่อเรามีโอกาสมาบวชเรียนตอนอายุ 18 แล้วก็โชคดี ช่วงนั้นได้มาบวชที่วัดป่าสาละวัน หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เป็นพระอุปัชฌาย์ เขาส่งให้ไปศึกษาที่วัดป่านานาชาติ

อย่างที่ผมพูดแรกๆอย่างน้อยขอให้มีพระวินัยกับกิจวัตร 14 เพราะว่าอันนั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏภายนอก จะเห็นได้ เห็นได้ชัด ภายในยังไม่รับรอง ยังพิสูจน์ไม่ได้ อารมณ์อะไรแปลกๆหลายอย่าง แต่อย่างน้อยมีการควบคุมภายนอก โดยกายและวาจาก็เลยเห็นแบบนี้แล้ว แค่นี้เรามีความรู้สึกสบาย เรารู้ว่าเราอยู่กับคนที่เราไปได้ถูกทาง

พออยู่ในวัดนี้ไม่นาน ก็เริ่มจะฟังเทศน์ฟังธรรม ก็มีอาจารย์ ชยสาโร ซึ่งมีความสามารถในการอธิบายธรรมะให้คนฟัง ท่านเป็นคนอังกฤษผมก็เป็นคนอังกฤษ มีความรู้สึกว่าพี่คนนี้เขาเป็นอาจารย์ได้ เขามีปัญญาขนาดนี้ได้ ก็อยู่ 10 กว่าปีได้ ก็เราเคารพศรัทธาท่าน

แต่ในขณะเดียวกันเราคิดว่า ถ้าท่านทำได้ทำไมเราทำไม่ได้ ใช่ไหม? ก็ท่านดีกว่า เก่งกว่าทุกคนที่เราเคยเห็นมาก่อน ไม่มีใครเทียบกับท่านได้ แล้วก็รู้จักกับครูบาอาจารย์องค์อื่น ก็เลยมีความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้อง มันเป็นรสชาติอธิบายไม่ถูก เออ..ที่นี่ใช่ ข้างนอกไม่ใช่ ตอนนั้นผมก็ยังอายุน้อยก็เลยสึกไป ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย

แต่ไม่ลืมบรรยากาศที่นี่ ไม่ลืมรสชาติที่นี่ พอเรียนจบแล้วทำงานสักพักหนึ่งมีความรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้ว อย่างน้อยก็มาชั่วคราวเพื่อมาศึกษาต่อ ทำให้ธรรมะหรือศีลธรรมมั่นคงหน่อย พอที่จะสู้ในชีวิต พออยู่ไม่นานมีความรู้สึกว่า จริงๆไม่ต้องเอาธรรมวินัยเพื่อใช้ในชีวิตฆราวาส เอาทำวินัยใช้ในเพศพรหมจรรย์ดีกว่า เพราะว่าดูแล้วมันไม่มีประโยชน์อย่างอื่น ก็เลยโชคดี

พูดง่ายๆผมอาศัยกัลยาณมิตร เพื่อนที่จะเป็นแรงบันดาลใจ ที่จะอยู่ไปเรื่อยๆได้ แล้วอาจจะเป็นโชคดีที่ว่า เห็นว่าวัตถุมันจำกัด จะรวยแค่ไหนก็ไม่มีความสุข จะประสบความสำเร็จแค่ไหนมีแต่ปัญหาเพิ่มขึ้นๆ ความเครียด ความฟุ้งซ่าน และก็คนที่เราต้องเกี่ยวข้อง ไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องศีลเลย ก็เลยไม่น่าเข้าไปใกล้

พูดง่ายๆ หนี หนีเข้าบวชหนีเข้าวัดปลอดภัยกว่า บางคนว่าพระนี่หนีในโลกนี้จากความเป็นจริง เพราะว่าโลกนี้มีภัยอันตราย มีไฟ แต่จะว่าหนีจากความเป็นจริงผมว่าไม่ใช่ มาหันหน้าจากความเป็นจริง ก็ดูตามความเป็นจริงว่าตัวเองมีอะไรบ้าง ก็เลยหนีของปลอม มาแสวงหาของจริง

แล้วจะไปให้ทุกคนเห็นด้วยก็ไม่ได้ คนที่เข้าใจก็โดยส่วนมากคนจะสนับสนุน แต่บางคนจะมองพระว่าเป็นคนไม่ทำงาน ไม่ช่วยสังคม อยู่ในโลกส่วนตัวก็แล้วแต่เขา ช่างมัน เราไม่ต้องไปพยายามพิสูจน์ หรือบังคับให้เขาเชื่อฟัง เราไม่สนใจ

โอวาทธรรม พระอาจารย์สิริปัญโญ (Ajanh Siripannyo)







#รางวัลใหญ่ของเราคืออะไร

รางวัลที่หนึ่งของเราคืออะไร
คือการเกิดเป็นมนุษย์ในเมืองพุทธ
นี่เป็นรางวัลที่เรารับแล้ว
ที่เราไม่ค่อยจะสำนึก
ทีนี้ถ้าเราได้รางวัลที่หนึ่งแล้ว
ไปแลกเอาเงินเอาทอง เอาชื่อเสียง
เอาอะไร มันจะคุ้มเหรอ มันไม่คุ้มสิ
มันได้แค่เงิน แค่ชื่อเสียงอะไรบางอย่าง
มันก็แค่นั้น มันก็ไม่น่าตื่นเต้นเท่าไร

แต่ถ้าเรามองว่า
การที่มาเกิดเป็นมนุษย์ในเมืองพุทธ
มีโอกาสจะพัฒนาตัวเอง
ซึ่งจะมีผลต่อการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

ความดีที่เราทำไว้ชาตินี้
ไม่ใช่จบอยู่ชาตินี้
มันก็มีผลต่อชาติต่อๆ ไป
แล้วทำให้อะไรๆ ก็ดีขึ้นก็ได้
แต่ถ้าเราประมาท เราก็ได้ความรู้สึก
ความสุขสบาย ความสนุกสนาน
ความเพลิดเพลินอะไรเล็กๆ น้อยๆ
แต่ถ้ามองในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

น่าเสียดาย อย่างนั้นจึงให้เราฝึกจิต
ให้ปล่อยวางความคิดที่เป็นขยะสมอง
ความคิดที่ไม่มีประโยชน์
เพื่อจะเอาไว้ให้ความคิดดีๆ
แล้วไปคิดในสิ่งที่จะนำไปสู่ประโยชน์
และความสุขของตน ของครอบครัว
ของชุมชน ของสังคมของเรา
.........
"รางวัลใหญ่"
#พระธรรมพัชรญาณมุนี วิ.
(พระอาจารย์ชยสาโร)
ณ บ้านบุญ ปากช่อง นครราชสีมา






#การฝากคนอื่นทำบุญแทนตัวเอง

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเมตตาตอบปัญหาเรื่อง "การฝากคนอื่นทำบุญ"

* ถ้าให้คนอื่นทำบุญแทน เราจะได้บุญหรือเปล่า?

หลวงพ่อพุธ : ถ้าเป็นสมบัติของเรา เราให้คนอื่นเขาทำแทน เราจะได้บุญหลายทอด

ทอดที่ 1 เป็นบุญเพราะสละสมบัติของเราออกไป
ทอดที่ 2 เป็นการแบ่งบุญให้เขา เมื่อเราให้คนอื่นเขาทำ เราก็ได้บุญเพิ่มขึ้น เป็นการแบ่งปันความสุขให้กันและกัน

* ถ้าฝากคนอื่นเขาทำบุญ แล้วเราจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลได้หรือไม่?

หลวงพ่อพุธ : ทำได้ มีปัญหาอยู่ว่าคนเฒ่า - คนแก่โบราณมักจะพูดว่า "ทำบุญแล้วไม่กรวดน้ำจะไม่ได้บุญ" อันนี้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็แก้กันอยู่บ่อยๆ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทำดีได้ดี - ทำชั่วได้ชั่ว" ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว เราทำอะไรลงไปแล้ว เราจะได้รับผลอย่างแน่นอน เราไม่ต้องการกรวดน้ำเราก็ได้

แต่หากเราจะทำบุญเพื่ออุทิศให้ใครสักคนหนึ่ง ถ้าเราไม่น้อมใจนึกถึงเขา เขาก็จะไม่ได้รับส่วนบุญจากเรา จึงมี "พิธีกรวดน้ำ" เพื่ออุทิศส่วนกุศล

แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องส่วนตัว เราจะกรวดก็ตาม ไม่กรวดก็ตาม ทำลงไปแล้วจะได้ผลเฉพาะตัวเรา ถ้าจะให้คนอื่นด้วย ต้องตั้งจิตอธิษฐานว่าเราจะให้ส่วนบุญแก่คนๆนั้น เขาก็จะได้รับส่วนบุญจากเรา

* ถ้าอุทิศส่วนกุศลไปแล้ว บุญของเราจะเหลืออยู่หรือเปลา?

หลวงพ่อพุธ : สำหรับการให้ส่วนบุญ เป็นการแบ่งส่วนความดีที่เราทำให้กับคนอื่น "บุญที่เราทำนั้นไม่ได้หมด" แต่ยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น

แทนที่จะได้เฉพาะส่วนที่เราทำอย่างเดียว แต่เราได้ให้ส่วนบุญแก่คนอื่นด้วย การให้ส่วนบุญคนอื่นนั้น เรียกว่า "ทานบุญ" ให้บุญเป็นทาน

และถ้าสมมุติว่าเราเดินไปในที่ไหนๆก็ตาม ไปเห็นใครเขาทำบุญสุนทาน คนที่เขาทำจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่เราเห็นแล้ว "เราอนุโมทนา" แสดงความยินดีในบุญที่เขาทำ เราก็ได้บุญเหมือนกัน คือ "บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา"

* การทำบุญจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องทำกับพระสงฆ์ ถ้าทำกับคนทุกข์คนยากจะได้บุญหรือไม่?

หลวงพ่อพุธ : "การทำบุญ" คือ "การให้" ไม่เฉพาะแต่ในพระพุทธศาสนาอย่างเดียว แต่เป็นอุบายผูกมิตรไมตรีระหว่างเพื่อนมนุษย์ เราอยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างให้ซึ่งกันและกัน ให้วิชาความรู้ ให้สิ่งของ ให้การช่วยเหลือ ได้ชื่อว่า "การให้ทาน" ทั้งสิ้น

ผู้ใดมีศรัทธาบริจาคทรัพย์สร้างถนนหนทาง / สร้างโรงพยาบาล / สร้างสาธารณะประโยชน์ ฯลฯ นับเป็น "การให้ทาน" เป็น "การทำบุญ" ได้บุญเหมือนกัน

โอวาทธรรม
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย






บันทึกธรรมเรื่อง "#งานมงคล"
หลวงพ่อประสิทธิ์ #ถาวโร

#แด่คู่บ่าวสาว #การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

เป็นสิ่งปกติไปแล้วที่เมื่อมีเรื่องราวใดๆ ลูกศิษย์หลายคนของหลวงพ่อฯจะนำเรื่องนั้นๆมาถามหรือปรึกษาขอความเห็นจากหลวงพ่อเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่จะทำนั้นถูกต้อง ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละคน ห้ามกันไม่ได้ ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นการดูดวงผูกดวงจับยามหรืออะไร เป็นเพียงการถามหลวงพ่อว่าทำอย่างนั้นๆดีหรือไม่ ท่านก็จะตอบแนะนำไปด้วยหลักแห่งธรรมเสมอ ก็มีอยู่เท่านั้น

นายแพทย์ท่านหนึ่งของโรงพยาบาลเกาะสีชัง (ปัจจุบันบวชอยู่กับหลวงพ่อฯมา ๒ ปีแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะสึก และแนวโน้มคงจะไม่สึก เพราะทำเรื่องลาออกไปแล้วตั้งแต่เมื่อบวชใหม่ๆ) ท่านใช้ชีวิตโดยอาศัยวัดเป็นบ้านมานานแล้ว คือมาอาศัยกุฎิว่างหลังหนึ่งเป็นที่หลับนอน และยกบ้านพักที่ราชการจัดให้ให้แก่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลคนอื่นไป ตอนเช้าท่านก็กินข้าววัดแล้วออกไปทำงาน ตอนเย็นก็กลับมานอนวัดเป็นปกติ ส่วนเงินเดือนก็นอกจากจะให้พ่อแม่ส่วนหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็ถวายวัดทั้งหมด วันหนึ่งนายแพทย์ท่านนี้ได้รับการ์ดเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนแพทย์ร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านไม่อยากไปร่วมงานสังสรรค์ประเภทนี้เท่าใด ด้วยคงจะระอาในความวุ่นวายอะไรทำนองนั้น แต่ด้วยมารยาท อย่างไรเสียก็ต้องส่งเงินและการ์ดอวยพรกลับไปให้ ท่านจึงนำการ์ดเชิญนั้นไปถวายหลวงพ่อให้พิจารณา พร้อมขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่า ควรจะเขียนอวยพรคู่บ่าวสาวอย่างไรดี
หลังจากหลวงพ่ออ่านการ์ดเชิญแล้ว ท่านตอบว่า "ไม่ยากหรอก ให้เขียนลงไปในด้านหลังของการ์ดว่า "แด่คู่บ่าวสาว...การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง" ว่าเท่านั้นคุณหมอก็รับคำหลวงพ่อ และรีบทำตามโดยเร็วมิได้แสดงอาการสงสัยใดๆ
หากแต่ผมเองซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย กลับเป็นฝ่ายสงสัย ก็อดถามหลวงพ่อไม่ได้ว่า "มันจะดีหรือครับหลวงพ่อ คนเขาแต่งงานกัน เป็นงานมงคล แต่ไปบอกเขาว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เดี๋ยวเขาจะหาว่าไปแช่งไม่ให้เขามีลูก"หลวงพ่อตอบว่า "เอ็งน่ะพูดผิดแล้ว ใครว่า งานแต่งงานเป็นงานมงคล" ผมฟังแล้วก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่
หลวงพ่ออธิบายเพิ่มเติมว่า "งานแต่งงานน่ะเป็นงานอวมงคลนะ คือ การที่คนเราไอ้อยู่คนเดียวดีๆ แล้วไปหาเรื่องใช้ชีวิตคู่ แถมมีลูกมีเต้าให้มันวุ่นวายน่ะ มันเป็นมงคลที่ไหนกัน แทนที่จะได้บริหารจิตบริหารขันธ์ตัวเองก็ยุ่งพอดีอยู่แล้ว ยังจะต้องมารับภาระขันธ์คนอื่นอีก ทั้งการเตรียมการงานแต่งก็วุ่นวายต้องแต่งหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว โปะใบหน้าให้มันดูดีก็จัดเป็นมารยาอย่างหนึ่งล่ะ ไหนจะชุดที่สวม ไหนจะเรื่องเงินๆทองๆ ไหนจะข้าวปลาอาหาร ไหนจะชักชวนแขกเหรื่อผู้ใหญ่ผู้โตมาคุยโวกัน แล้วทุกวันนี้มีหรือที่งานแต่งงานแล้วจะไม่มีเหล้าเข้าปาก ยิ่งตามบ้านนอกแล้ว ต้องล้มวัวล้มควายกัน มีแต่เรื่องล้วนแล้วแต่วุ่นวายด้วยโลกีย์วิสัย อย่างนี้มันเป็นมงคลที่ไหน

ส่วนงานมงคลที่แท้จริงน่ะ คือ"งานศพ"ต่างหาก เพราะเราไปแล้วได้พิจารณาธรรมหลายอย่าง เช่น ได้เห็นศพก็ได้ปลงอสุภกรรมฐาน ได้เห็นรูปถ่ายของคนตายดูยังดีๆ แต่เจ้าตัวตายไปแล้วก็ได้เห็นความไม่เที่ยง ว่าดูเถอะรูปถ่ายก็ยังดูดี แต่ที่อยู่ในโลงนั้นเตรียมเผาเสียแล้ว เมื่อฟังพระสวด หากพิจารณาบทสวดก็ได้บทธรรมกุศลา ธัมมา อกุศลา ธัมมาฯ พิจารณาเนื้อธรรมให้ดี ก็อาจมีดวงตาเห็นธรรมได้ เห็นไหมเล่ามีแต่เรื่องกุศลทั้งนั้น อย่างนี้งานศพจะไม่ใช่งานมงคลดอกหรือ"

หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/