ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ความสุข
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=63014
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 15 ม.ค. 2023, 08:59 ]
หัวข้อกระทู้:  ความสุข

"เอาคำสอนมาใช้หน่อย อย่าเอาทิฏฐิมานะมาใช้กันหลาย มันจะฉิบหาย ละวางกันบ้าง ใครแพ้ใครชนะก็ไม่มีอะไรเป็นของใครซักคน ของแผ่นดิน สมบัติแผ่นดิน ตายแล้วทิ้งไว้ใส่แผ่นดินทั้งนั้นไม่มีใครหอบอะไรไปได้ซักคน"
.
โอวาทตอนหนึ่งของหลวงพ่อสมบูรณ์







#กิเลส_มันกลัวแต่คนปฎิบัติ

"... กิเลสไม่ได้กลัว.. แต่คนอ่าน.. คน
นับถือศาสนา
หรือคนเรียนตำหรับตำรามามาก..มัน
กลัวแต่คนปฏิบัติ​ เพื่อกำจัดมันเท่านั้น ..."
.........................
#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน
[วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี]






#สุขที่แท้จริง

"... สุขที่แท้จริง​ ได้แก่จิตที่นิ่งไม่ดิ้นรน
ผู้มาจับจุดความสุขที่แท้จริง​ ได้อย่างนี้
แล้ว
... แม้ผู้นั้นจะอยู่ใน​อริยาบถใด​ ประกอบ
ภารกิจ การงานใดๆอยู่ก็ตาม​ เขาจะมีใจ
เป็นสุขทุกเมื่อ ..."
....................................
#หลวงปู่เทสก์_เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.หนองคาย





การพิจารณาด้วยปัญญาก็ต้องอาศัยสัญญาเป็นเส้นทาง เพราะสัญญาความจำนั้น เมื่อเราได้จำในวัตถุสิ่งไหนมา เราควรจะประกอบปัญญาพิจารณาอย่างไร จึงจะเข้ากัน ถ้าเราใช้ไม่เป็นก็มีอันตรายแก่ตัวเอง ถ้าเราใช้เป็นก็มีคุณได้กับเหตุกับผล เพราะสัญญาความจำได้ยังเป็นมีดสองคม หรือเหมือนกับไฟ ถ้าเราใช้ไม่เป็นก็เป็นโทษ ถ้าเราใช้เป็นก็เป็นคุณ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เป็นมีดสองคมเช่นเดียวกัน ถ้าสัญญาไปจำมาแล้ว ถ้าเราเอามาวิจารณ์ผิดก็เป็นพิษขึ้นที่ใจ และยังเป็นไปเผาใจตัวเองได้ และก็ยังเป็นเส้นทางให้กิเลสตัณหาได้พองตัวไปตาม ๆ กัน และยังเป็นเครื่องมือให้สังขารจิตได้ปรุงแต่งพรรณนาความดีใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไปไม่มีทางสิ้นสุด และยังทำให้ใจเรามีความยินดีกำเริบไปตามความกำหนัดอีกด้วย ถ้าสัญญาจำเอา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มาแล้ว ถ้าประกอบด้วยปัญญาพิจารณาให้ลงสู่ไตรลักษณ์ได้ และใจก็รู้เห็นถูกต้องตามปัญญา ก็จะนำพาให้เกิดซึ่งความเบื่อหน่าย คลายจากความกำหนัดยินดี
ฉะนั้น เมื่อหากสัญญาไปจำสิ่งไหนมาแล้ว ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาตัดสินชี้ขาดแต่ฝ่ายเดียว ถ้าเรามอบหน้าที่ให้กิเลสตัณหาเป็นผู้นำแล้ว มันก็จะพาสัญญาที่จดจำสิ่งต่าง ๆ มาได้นั้นไปในเส้นทางของกิเลสตัณหาแต่ฝ่ายเดียว รูปก็มีแต่รูปที่น่าเชยชม สังขารก็ปรุงแต่งเรื่อยไป ว่ารูปดีอย่างนั้น รูปสวยอย่างนี้ เรื่อยไป ใจก็เออออห่อหมกไปตามกิเลสตัณหา สังขารเห็นว่าได้ท่าของตัวเองแล้ว ก็มีกำลังคิดพรรณนารูปในอดีตที่เป็นมาอย่างไร ก็จดจำพรรณนารูปนั้นไปในวิธีต่าง ๆ ให้ใจได้เพลินไปทั้งวันคืนเดือนปี และเพลินมาแล้วในอดีตไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ ก็เพลินมาจนถึงปัจจุบันนี้ และจะเพลินไปในอนาคตอีกไม่รู้จะไปถึงไหน และไม่มีที่สุด เสียงก็เหมือนกัน พรรณนาความสนุกสนานร่าเริง ใจก็เกิดความร่างเริงไปด้วย กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ตาม สังขารก็ปรุงแต่งก็ปรุงไปแต่งไป สิ่งที่เน่าก็แต่งให้หอม สิ่งที่ทุกข์ก็แต่งว่าเป็นสุข สิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนก็แต่งให้เที่ยว สิ่งที่เป็นอนัตตาก็แต่งว่าเป็นอัตตา ตัวตน ใจที่มีอวิชชาปิดบังมืดบอดอยู่แล้ว ก็ยินดีใฝ่ฝันตาม ผลสุดท้ายก็ไม่มีผลอะไรให้ใจมีความสุข และใจก็ยังไม่เข็ดหลาย ทั้ง ๆ ที่กิเลสตัณหาได้ต้มตุ๋นเอาจนหมดเนื้อประดาตัว ก็ยังไม่กลัวภัย ยังมีกำลังใจคิดสู้อยู่ตลอดเวลา นี้แล เมื่อสัญญาจำรูป เสียง ฯลฯ มาได้แล้ว ถ้าให้กิเลสตัณหาดำเนินเดินเรื่อง ต้องเป็นอย่างนี้ทุกราย ไม่ว่าคนในฐานะใดย่อมเป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าในกัปไหน ๆ ภพไหน ๆ ใจที่ยังเชื่อถือกับกิเลสตัณหาอยู่ตราบใด รางวัลของใจก็คือน้ำตา

หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ






"..ความชั่วใดๆ ยังเกิดขึ้นอยู่ ก็เพราะตนของตนไม่รู้จักอารมณ์ ไม่รู้จักสำรวมอารมณ์ ไม่ได้พิจารณาให้เห็นเป็นตามจริง เรียกว่ายึดมั่นถือมั่นเพราะไม่รู้

เพราะไม่รู้ ใจก็ไม่บริสุทธิ์
ไม่บริสุทธิ์ เพราะ..
ราคะ เพิ่มเข้ามาหาใจ
โทสะ เพิ่มเข้ามาหาใจ
โมหะ เพิ่มเข้ามาหาใจ
โลภะ เพิ่มเข้ามาหาใจ

มันเพิ่มเข้ามาก็เพราะ..
จิตไปปรุงไปแต่งในอารมณ์ใด ๆ

ถ้าหากรู้จักอารมณ์แล้ว ก็เป็นอันรู้จักเลือกที่จะเอาความดีหรือเอาความชั่ว จึงว่าให้มีสติ ให้หัดสติ ให้อบรมสติ ผู้มีสติเท่านั้นที่จะหายโง่หายบ้าหายเมา..”

---------------------------------
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ







ใจที่มีแต่ราคะจะประเสริฐได้อย่างไร

”..ราโค เสฎฺโฐ ธมฺมานํ.. วิราคะ แปลว่า การคลายออก คลายกำหนัดของจิตออกจากอารมณ์ใด ๆ คลายออกได้ เพราะมันเบื่อหน่าย

"หน่าย" แล้ว "วาง" แล้ว "ปล่อย"

หากเป็นธรรมเช่นนี้ มันก็ดับได้ ดับหลง
ดับเมา ดับความโง่เขลา แต่ใจของพวกเรานั้นใด ๆ ก็มีแต่ราคะ ใจที่มีแต่ราคะจะประเสริฐได้อย่างไร..”

--------------------------
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ






"...ได้ชมวิวสวยงาม
คนเราจะมีความสุขได้นานสักเท่าไร?
ไม่กี่นาที ไม่กี่วินาที ก็ชักร้อนบ้าง
ชักเย็นบ้าง ชักเมื่อยล้าบ้าง
หรือหิวข้าว หรือกระหายนำ้
หรืออยากเข้าห้องนำ้
หรือแค่รู้สึกพอสมควรแล้ว (เบื่อ)
อยากดูรายการต่อไป

ความสุขที่เราได้จากโลกรอบตัว
ก็อย่างนั้นแหละ
#มันมีความพร่องอยู่เป็นนิจ

พร่องเพราะเป็นของ “แค่นั้น”
มันกระตุ้นอารมณ์ชั่วคราวเท่านั้น
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ในขณะเดียวกันร่างกายของเราที่ถูกกระตุ้น
ก็ไว้ใจไม่ได้ มันดูแลยากเหลือเกิน
พร้อมจะเป็นทุกข์ตลอดเวลา
ไม่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของเรา

และที่สำคัญที่สุด
จิตใจผู้เสวยสุขยังมีกิเลสอยู่
จิตมีกิเลสได้อะไรเท่าไรก็ไม่พอ
เพราะพอไม่เป็น

ส่วนจิตที่รับการฝึกอบรมดีแล้ว
ไม่ต้องไปเที่ยวที่ไหน
มองไปทางไหน
ด้วยจิตที่งามและมีปัญญา
ก็มีความสุขทั้งนั้น..."

พระอาจารย์ชยสาโร

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/