วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 02:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2022, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“ร่างกายต้องการเพียงใดก็ให้มันเพียงนั้นก็พอ”

การอยู่แบบหรูหราการอยู่แบบฟุ่มเฟือยนี้ มันเป็นการอยู่แบบกิเลสต่างหาก เป็นการอยู่กับความทุกข์โดยไม่รู้สึกตัว เพราะมันจะต้องใช้เงินทองมาก จะต้องเสียเวลาให้กับการหาเงินหาทอง เมื่อทำงานหาเงินหาทองก็จะต้องเจอปัญหาต่างๆ เจออุปสรรคต่างๆ เจอความเครียดต่างๆ ท่านจึงเลือกทางกินอยู่แบบที่มันมีอุปสรรคมีความเครียดมีปัญหาน้อยที่สุด ก็คือมักน้อย เอาเท่าที่จำเป็น เช่น อาหารก็ขอแค่วันละมื้อเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่จู้จี้จุกจิกว่าจะต้องเป็นอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ ถ้าคนให้เขากินได้ เขากินอะไรได้ เขาให้เรามา เราก็กินได้เหมือนกันอาหารที่เขาให้มา ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเลือกว่าเรากินอาหารชนิดนั้นชนิดนี้นะ

เวลาไปบิณฑบาตเขียนเมนูไว้ติดฝาบาตรไหม ใครจะใส่บาตรนี่อ่านเมนูก่อนนะ ไม่มีหรอก ท่านก็เดินไปเปิดฝาบาตรไป ใครอยากจะใส่อะไรก็ใส่ไป กลับมาวัดท่านก็หยิบสิ่งที่ท่านพอฉันได้ หยิบเอามาฉัน แล้วก็ฉันแค่มื้อเดียวก็พอ ร่างกายมันต้องการอาหารแค่มื้อเดียวเท่านั้นต่อวัน ไม่จำเป็นจะต้องกินสี่ห้ามื้อ ห้าหกมื้อ บางคนกินทั้งวันทั้งคืน พอปากว่างแล้วปั๊บเดี๋ยวกินอีกแล้ว หาอะไรมาไม่กินก็ดื่ม กินอยู่นั่นดื่มอยู่นั่น จนกลายเป็นลูกโป่งพองแล้ว

นี่คือการกินอยู่แบบไม่มีหลักมักน้อยสันโดษ กินตามความอยาก กินจนกระทั่งกลายเป็นตุ่มกันไป แล้วก็มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนกัน โดยไม่รู้สึกตัว แล้วก็ไปโทษโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ได้ไปโทษคนกิน คนกินนี่แหละเป็นตัวไปสร้างโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา กินมากน้ำหนักเกิน น้ำตาลมาก ไขมันมาก เกลือมาก กินของเค็มมากๆ ก็ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง กินน้ำตาลมากก็เกิดเบาหวาน กินไขมันมากก็เกิดไขมันอุดตัน เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคอะไรต่างๆนี้ เป็นโรคที่เกิดจากการกินทั้งนั้นแหละ

สมัยก่อนยุคที่ไม่มีความเจริญทางด้านการกินการอยู่นี้ โรคภัยไข้เจ็บแบบนี้ไม่ค่อยมี สมัยก่อนนี้หาดูสิหาคนอ้วนดูได้ยาก มีแต่คนผอมๆทั้งนั้น เพราะไม่มีอะไรกินมากๆเหมือนสมัยนี้ ร้านอาหารเต็มไปหมด เดินไปแทบทุกแห่งทุกหนนี้ มีร้านอาหารเต็มไปหมด สมัยก่อนนี้ร้านอาหารไม่ค่อยมี ต้องซื้อมาทำกินกันเอง อันนี้เป็นเพราะกินอยู่แบบไม่มีธรรมะเป็นผู้คอยกำกับ

ธรรมะก็คือเหตุผลความต้องการของร่างกาย ร่างกายต้องการเพียงใด ก็ให้มันเพียงนั้นก็พอ อย่าให้มันมาก มันไม่ยินดีหรอกร่างกาย ให้มันอ้วน มันอยากอ้วนที่ไหน กินแล้วก็อ้วนกัน แล้วก็ต้องไปเสียเงินรีดน้ำหนักกันอีก ลดน้ำหนักกันอีก เพราะไม่รู้จักห้ามปรามกิเลสความอยากกิน หาความสุขจากการกิน หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะของอาหาร นี่มันเป็นการหาความทุกข์ทั้งนั้น

ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี







ความดีนั้นตกน้ำไม่ไหล
ตกไฟไม่ไหม้เน้อ
ทำดีเพื่อดี
ไม่ใช่ทำดีเพื่ออวด
แต่แจ้งให้คนอื่นรู้
เพื่อได้อนุโมทนาด้วยก็ดีเนาะ
สบายดี...

ตุ๊พ่อพระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ
วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน







โลกนี้มันเป็นอย่างนี้ล่ะ
สิ่งที่ไม่น่ายินดี
มันมักหลบอยู่กับ
สิ่งที่น่ายินดี

สิ่งที่ไม่น่ารัก
มักหลบอยู่กับ
สิ่งที่น่ารัก น่ายินดี

ทุกข์มักอยู่กับสุข

เหตุนี้เองล่ะที่คน
ประมาทมัวเมากันอยู่

หลวงปู่จาม มหาปุญโญ






"อย่าไปคิดว่า เวลาเราแก่ หรือเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย
หรือใกล้ๆ จะแตกจะตายแล้วจึงภาวนา ถ้าคิดอย่างนั้น
ก็เป็นอันว่าคิดผิด เพราะเวลาอยู่ดีสบายนี้แหละ
เป็นเวลาที่เราจะต้องริเริ่มภาวนาให้ได้ ให้ถึง"

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร






"สนิมเกิดจากเหล็ก
ย่อมตัดเหล็ก ฉันใด
ความชั่วเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมทำลายตนเอง ฉันนั้น"

หลวงปู่ขาว อนาลโย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร