วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2022, 05:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


..เมื่อไม่มีรูปร่างกายแล้ว จะเอาอะไรไปใช้กรรม..
..เห็นไหมหลวงปู่นั้น หลวงปู่นี้ เดี๋ยวก็เจ็บโน่นเจ็บนี่เข้าโรงพยาบาล แท้ที่จริงจิตท่านหลุดแล้ว แต่ร่างกายมันเป็นของที่รองรับกรรมทั้งหลาย อาตมาจึงไปถามหลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ
..อาตมาก็ศึกษา "หลวงปู่ เวลาหลวงปู่จะหนีเข้านิพพาน กรรมมันว่ากันยังไง ?" โอ้ยมันรุมกัน มากันไม่รู้ทางใต้ ทางเหนือ มาทุกรูปแบบ จะมารบกวน ก็จะหนีแล้วนี่ ใครก็อยากใช้ เหมือนญาติโยมเป็นหนี้เขาซัก ๑๐ คน พอขายที่บ้านในกรุงเทพฯได้หลายล้าน ให้เจ้าของนี่ มีแต่คนจะมาเอา รุมเลย
..เค้าก็อยากมาเอาค่าหนี้ที่เราติดเค้า ก็เหมือนกับพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านจะเข้านิพพาน ก็เคยคิดนะบางที ว่า เออ..กรรมอะไรที่มันมีอยู่ มาใช้ให้หมดตอนนี้ซะดีกว่า ไข้เลยนะ ไม่ถึง ๓ วัน เอาเลย..มาจริงๆ นะ เลยไม่พูดเลยทุกวันนี้..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..







บุคคลผู้ให้ทานบ่อยๆ
#ย่อมมีฤทธิ์บันดาล
ในที่ทุกสถาน ...
แม้เทวดาที่เรามองไม่เห็น
ก็มีความเคารพรัก

ไปสู่สถานที่ใด
ไม่มีความอดอยาก
หรือขาดแคลน
ด้วยอานิสงส์ ...
แห่งการให้ทานนั่นเอง

โอวาทธรรม ...
หลวงปู่ลี ตาณังกโร







#บทสรุปเส้นทางดำเนินจิต

"...จะด้วยประการใดก็ตาม การทำสมาธินั้นจุดมุ่ง
หมายอยู่ตรงที่ต้องการให้จิตสงบเป็นสมาธิ และเพื่อ
ให้รู้สภาพความเป็นจริงของจิตดั้งเดิมที่ยังไม่รับรู้
อารมณ์มีลักษณะอย่างไร ในเมื่อออกมารับรู้อารมณ์
แล้วมีลักษณะอย่างไร เราจะได้รู้ข้อเท็จจริงกันตรงนี้

การทำสมาธิ สมาธิจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราหมด
ความตั้งใจ ถ้าเราภาวนา พุทโธๆๆๆๆ ถ้ามีความตั้งใจ
อยู่ว่าเมื่อไรจิตจะสงบ ท่านจะไม่พบกับความสงบ
ท่านต้องบริกรรมภาวนาจนลืมไป ลืมนึกถึงผลที่จะ
พึงเกิดขึ้น แล้วจิตของท่านจึงจะสงบลงได้

วิปัสสนาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราหมดความคิด
ในขั้นต้นเราอาจยกเอาอันใดอันหนึ่งขึ้นมาพิจารณา
เช่น รูปไม่เที่ยง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันนี้เราจำเป็นจะต้อง
เอาความรู้ทางปริยัติมาคิดพิจารณาเป็นแนวนำ
เป็นการปรับปรุงปฏิปทา ทำให้จิตของเรามีความเชื่อ
ตามสิ่งที่พิจารณานั้นๆ การพิจารณาอันนี้ก็เป็นอุบาย
ทำให้จิตสงบลงไปได้ เมื่อจิตสงบลงไปแล้ว ความรู้
ซึ่งจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติย่อมมี

ความรู้ที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตเป็นอุปจารสมาธินั้นเป็น
ความรู้ที่มีชื่อสมมติบัญญัติเรียกได้ เช่น รู้เรื่องของ
รูปก็เรียกรูปได้ รู้เวทนาก็เรียกเวทนาได้ สัญญา
สังขาร วิญญาณ ก็เรียก สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้
อันนี้เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นในระดับอุปจารสมาธิ

แต่ถ้าความรู้ที่เกิดขึ้นในระดับอัปปนาสมาธินั้น
มีแต่สิ่งที่ปรากฏการณ์ เกิดขึ้น-ดับไป เกิดขึ้น-ดับไป
ไม่มีสมมติบัญญัติจะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านจึงกล่าว
ว่า ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความ
ดับไปเป็นธรรมดา..."

#ที่มา หนังสือ ฐานิยปูชา ๒๕๖๓ หน้า ๗๒ - ๗๓
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)







"ทำใจตัวเองให้เป็นหนึ่ง ผ่องใสสว่างแสง
ประดุจแสงดวงอาทิตย์ สว่างจ้าส่องไปทั่วโลก
เป็นผู้รู้แจ้งโลก ไม่รักใคร ไม่ชังใคร ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงกับใคร ทำใจให้ให้วางด้วยอุเบกขา ประดุจน้ำหยดบนใบบัว"

คติธรรม หลวงปู่แสง ญาณวโร







ถ้าเราไม่รักษาศีลให้ดีแล้ว
สมาธิเราก็จะตั้งมั่นไม่ได้
สติเราก็จะไม่แนบแน่นกับใจ
ปัญญาก็ไม่เกิด ...

เมื่อปัญญาไม่เกิด
#อวิชชาจึงเกิดขึ้น
และควบคุมใจของเราได้

โอวาทธรรม...
หลวงพ่ออนันต์ อกิญจโน








"...ครูบาอาจารย์สมัยก่อน ท่านเอาจริงเอาจังกับลูกศิษย์มาก ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือบรรพชิต ท่านไม่มียกเว้นทั้งนั้น ไม่เหมือนลูกศิษย์ทุกวันนี้ พอโดนว่านิดว่าหน่อยก็ไม่ได้แล้ว ต้องโกรธไปต่าง ๆ นานา แบบนี้มันก็สอนกันไม่ได้ เพราะทิฐิมานะมันไม่ยอมรับกัน มันก็เลยห่างไกลกันเหมือนฟ้ากับดิน

พวกเราเข้ามาหาครูบาอาจารย์ ตั้งใจว่าจะมาขอเป็นลูกศิษย์ เพื่ออยู่ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติจากท่าน แต่พอมาอยู่แล้ว บางคนมันไม่ได้มาเป็นลูกศิษย์ แต่มันมาเป็นอาจารย์สอนท่านเสียเอง พอท่านว่ากล่าวตักเตือนก็ไม่ฟัง อันนี้อันหนึ่ง หากเราจะไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ไหน เราก็ต้องศึกษาดูนิสัยของท่านให้ดีเสียก่อน ว่าจะอยู่กับท่านได้หรือไม่ ถ้าดูแล้วนิสัยเข้ากันได้จึงค่อยตัดสินใจไปอยู่ศึกษากับท่าน

เพราะการอยู่กับครูบาอาจารย์ เราจะได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ บวชมาต้องมีครูมีอาจารย์ คอยสอนสั่งอบรมบ่มนิสัย ให้รู้ผิด รู้ถูก ไม่ใช่บวชมาแล้วตั้งตนเป็นอาจารย์ ตัวเองยังไม่รู้ยังจะไปสอนคนอื่นให้ตกนรกตามตัวเองอีก..."

.
โอวาท​ธรรม​
#พระราชมงคลวชิรธรรม
(หลวงปู่บุญมา คมฺภีรธมฺโม)
วัดป่าสีห์พนมประชาราม
อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร






ลูกถึงแม้จะออกจากท้องของเรา เป็นลูกของเรา แต่ก็เป็นลูก แต่เพียงร่างกาย คือเขาอาศัยร่างกายของพ่อของแม่เท่านั้นเอง แต่จิตใจของเขานั้นไม่ได้มาจากพ่อจากแม่ จิตใจของเขานั้น มาจากกรรมในอดีต

หลวงพ่อสุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี
ธรรมะบนเขา ๒ กันยายน ๒๕๔๓






การเพ่งโทษผู้อื่น มันก่อให้เกิดความไม่ชอบใจ ความทุกข์ใจเกิดขึ้น เราต้องพยายามฝึกนิสัยใหม่ พยายามฝึกสติดูใจของเรา ถ้าเราไปเพ่งโทษบุคคลอื่น ก็พยายามตัดอารมณ์นั้นออกไป คนอื่นทำไม่ดีก็เรื่องของเขา ถ้าเขาทำไม่ดี ก็ได้รับผลที่ไม่ดี ถ้าเขาทำดี ก็ได้รับผลที่ดี เพราะฉะนั้นดีไม่ดีก็เรื่องของเขา

...พระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตฺโต...








"เวลาที่เรายังไม่แก่ ยังไม่เจ็บ ยังไม่ตาย ยังมีกำลังวังชา ยังมีความสามารถอยู่ อย่าปล่อยให้เวลาอันมีคุณค่านี้ ผ่านไปโดยไม่เกิดประโยชน์"

#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
"โอกาสทองของชีวิต"
กัณฑ์ที่ ๒๐๕ หน้า ๗๗
๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗







…พระพุทธเจ้าก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี
“ ท่านสละเวลาอบรมสั่งสอนพวกเรา “

.ก็เพื่อให้พวกเราได้มี ดวงตาเห็นธรรม
ได้บรรลุธรรม ได้หลุดพ้นจากความทุกข์กัน

.เป็นเป้าหมายของการสั่งสอน
ของครูบาอาจารย์ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา
จนถึงครูบาอาจารย์ในสมัยปัจจุบันนี้

.ท่านไม่ปรารถนาอะไรจากเรา
“ ยิ่งกว่าการที่จะเห็นพวกเราได้บรรลุธรรม “

.ได้หลุดพ้นจากความทุกข์กัน
เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ของชีวิตเรา..ของใจเรา.
………………………………………..
กำลังใจ ๕๐ กัณฑ์ที่ ๔๑๓
๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





ประสบการณ์ที่หลวงปู่กินรีไม่เคยลืมได้เกิดขึ้นคราวหนึ่งระหว่างอยู่รับการอบรมกรรมฐานกับพระอาจารย์มั่น ท่านว่าเมื่อลงนั่งภาวนา จิตสงบลึกจนเกิดอาการเน่าเปื่อยขึ้นที่กาย หนังเนื้อหลุดออกจนเหลือแต่โครงกระดูก

“นั่นน่าเบื่อหน่ายนัก” ท่านกล่าว "บางครั้งเกิดไฟไหม้ตัวโหมกระพือ ลุกเผาจนเหลือแค่กองกระดูกและเถ้าถ่าน ไม่ว่าคนจะงามจะเลอโฉมเพียงใด ที่สุดแล้วก็ต้องถูกเผาจนเกิดภาพเดียวกัน"

หลวงปู่กินรี จันทิโย





#หลวงปู่สิม #พุทธาจาโร
#ไม่ยึดเสียเลยก็พ้นทุกข์

โลกนี้มันเป็นอย่างนี้แหละ
เกิดขึ้นมาก็ตั้งอยู่ในกองทุกข์

เกิดในกองทุกข์
แก่ในกองทุกข์
เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ในกองทุกข์
ตายอยู่ในกองทุกข์อันนี้
เป็นอย่างนี้มาทั้งโลก

เมื่อมาถึงปัจจุบันชาตินี้
เวลานี้ ปัจจุบันนี้
เราจะต้องเร่งภาวนาพุทโธ
ทำใจของเราให้สงบ

พิจารณากายของเราให้เห็น
ความแก่ ความชรา
ให้เห็นร่างกายนี้ไม่คงทน
จิตใจก็จะได้เย็นสบาย
ความทุกข์ต่างๆ มันจะได้ออกไป

คนเราเมื่อจิตไม่มีทุกข์
ทุกข์อะไรก็ไม่มี
แต่ว่าถ้าจิตมีทุกข์แล้ว
อะไรทุกอย่างมันเต็มไปด้วยทุกข์

เมื่อย่นย่อเข้ามา
ทุกข์ทั้งหลายมันอยู่ที่จิต อยู่ที่ใจ
แล้วก็คือใจมีอุปาทานยึดถือ

เมื่อจิตนี้ยึดถือมากก็ทุกข์มาก
ยึดถือน้อยก็ทุกข์น้อย
ไม่ยึดเสียเลยก็พ้นทุกข์
มันอยู่ที่ตรงนี้

หลวงปู่สิม






สุดท้ายเราไม่ได้อะไรเลยนะ
อย่าเปลืองตัวเปลืองใจ

ชีวิตนี้ เวลาที่พวกเรามา
ได้อะไรๆมามากมาย
แต่เวลาที่พวกเราจะไป
เขาทวงคืนทั้งหมด
เรากลับไม่ได้อะไรเลยจริงมั้ย

ต่อให้คุณรูปงาม
มีสติปัญญาเลิศ
มีทรัพย์สมบัติมากมาย
แล้วคุณก็สร้างโปรไฟล์
ในชีวิตนี้ไว้สวยหรูมาก

สุดท้ายเมื่อความตายมาถึง
พิจารณาสิ

สุดท้ายเมื่อความตายมาถึง

ไม่เหลืออะไรเลย

เอาอะไรไปไม่ได้เลย

ไม่ว่าจะมีน้อยหรือมีมาก
เป็นของชั่วคราวทั้งนั้น
ที่เราทั้งหลายจะได้ประโยชน์
อยู่แค่ขณะที่มีร่างกายอยู่จริงมั้ย

ก็ที่ทำมาหากินกันวุ่นวายกันมากมาย
ก็เพื่อจะมาบำรุงบำเรอร่างกายนี่แหละ

#พระอาจารย์คม #อภิวโร












.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร