วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 13:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2022, 05:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


มีตัว ไร้ตน

“... มีช่วงเวลาหนึ่งที่อาตมา
รู้สึกขัดข้องใจจนไม่อยากเป็นอาจารย์
เพราะเมื่อเป็นอาจารย์แล้ว
เราจะไม่สามารถเรียนรู้จากใครได้อีก
เราต้องเป็นอาจารย์ตลอดเวลา
และความสัมพันธ์ทุกอย่างของเรา
ก็เกิดขึ้นในฐานะที่เราเป็นอาจารย์
ทุกคนในวัดมองเราเป็นอาจารย์
เราก็เลยรู้สึกโดดเดี่ยว
เพราะว่า ลึกๆ ในใจเราก็แค่
อยากจะเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วๆ ไป
ไม่ได้อยากจะไปอยู่ในจุดที่เป็นอาจารย์

จากจุดที่มีเพียงแค่ความรู้สึกว่า ‘ตัวเอง’
อาตมาก็สร้างตัวเองให้เป็นอะไรบางอย่าง
เช่น 'เราเป็นคนอเมริกัน' 'เราเป็นพระเถรวาท'
'เราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชา'
'เราเป็นคนที่มีนิสัยใจคออย่างนี้ๆ'

อาตมากลายเป็นสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น
ถ้าอาตมาเชื่อมั่น (เชื่อการปรุงแต่งนั้น)
ชีวิตก็จะกลายเป็นอย่างนั้นไป
อาตมาจะกลายเป็นคนขี้อาย ประหม่า
หรือนิสัยสันดานอะไรก็แล้วแต่ที่อาตมาไปยึดมั่นอยู่

แต่ถ้าอาตมาอยู่กับ ‘ผู้รู้’
อัตตาก็ยังคงทำงานอยู่
แต่ว่าจะไม่ยึดมั่นถือมั่น
แล้วอาตมาก็จะสามารถ
แสดงบทบาทเป็นอาจารย์ เป็นพระ
หรือสิ่งสมมติอื่นๆ ได้อย่างสง่างาม อย่างเป็นธรรมชาติ
แทนที่จะนั่งเก้อเขินอยู่แบบไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
จากนั้นลักษณะนิสัย (ตัวตนหรือบทบาท)
ก็จะเป็นเพียงเครื่องมือไว้สำหรับใช้สอย
และเราก็จะไม่เหลือความรู้สึกว่า
‘มันมีตัวตนที่เที่ยงแท้’

นี่เป็นคำสอนอันลึกซึ้งในพระพุทธศาสนา

พระราชโพธิวิเทศ (หลวงพ่อปสันโน)
ณ มูลนิธิมายาโคตมี ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒






#อาตมาสลดใจเรื่องหนึ่ง

"... พระฝรั่งรูปหนึ่ง คือพระสุเมโธมาอยู่ด้วย
ก็ศึกษาธรรมะตรงไปตรงมา เราก็สอนว่า อัน
นี้เป็นบาปให้ละเสีย อันนี้มันเป็นบุญ มาอยู่ด้วยหลายปีเหมือนกัน

... เมื่ออยู่มาพอสมควรแล้ว ก็ให้ท่านไปอยู่
วัดป่านานาชาติ เมื่อไปอยู่แล้ว ท่านสุเมโธ ก็ตั้งใจ ถึงวันพระชาวบ้านก็มาสมาทานอุโบสถศีลกัน ท่านก็ดีใจว่า

... คนไทยนี่รับศีลรับพรหลาย มีศีลมีธรรม
มาก แต่อยู่ๆ ไปไม่กี่วัน ท่านก็ไปเห็นคนที่รับศีลไปกินเหล้า เมื่อเดินบิณฑบาตไปก็ไปเห็นทอดแห อย่างนี้ท่านก็หมดเลย

... วันหนึ่งก็กลับมากราบว่า “หลวงพ่อ ทำไม่เป็นอย่างนั้นเล่า เมื่อคืนก็มาสมาทานศีลกันแล้วว่า จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่กินเหล้า ทำไมไปทำกันอีกอย่างนี้”

... นี่คือความจริงของเขา ถ้าทำอย่างนี้มัน
จะเป็นการเป็นงานไหม มันจะได้ผลไหม
กำลังใจของท่านอ่อนไปมาก เพราะคิดว่า ถ้าใครสมาทานศีลในพระพุทธศาสนาแล้วก็เลิกละกัน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเหล้า แต่นี่มันอยู่อย่างเก่า รับศีลก็รับไปเถอะ เหล้าก็กินไปเถอะ ทั้งสองอย่าง ฝรั่งดูไม่ออก ไม่รู้ข้างหน้าข้างหลังมันเป็นอย่างไร ท่านก็เลยลำบากไม่สบายใจ อาตมาก็ว่า ..."

“สุเมโธ อย่าไปคิดมันมากซิ ให้ เข้าใจว่าสอนพวกเด็กๆ มันเป็นอย่างนั้น อย่าไปถือเลย เมื่อมีความรู้ ความเห็นขึ้นมา เขาจะละไปเองล่ะ” ดังนั้น ท่านก็อยู่ได้

"... อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา มันไม่
เข้าถึงที่สุด อยากจะบรรลุธรรม อยากจะประพฤติธรรม แต่ว่าไม่รู้จักกำหนดจิตใจของเจ้าของ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นมาในจิตไม่
รู้จักกำจัด บางคนก็ส่ง เสริมมันเสียด้วย ไม่รู้จักบำบัดมัน มันเป็นอย่างนี้

อย่างฝรั่งคนหนึ่งก็พูดว่า ประเทศไทยมีพุทธศาสนา ทำไมถึงมีขโมยมาก อาตมาก็ว่า

“สหรัฐมีกฎหมายห้ามขโมยไหม..!! ”

“ห้าม”

“มีขโมยไหม..!! ”

“มีครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะ ทำไมมีขโมยละ ทำไมกฎหมายไม่ฆ่ามันซะ..!! ”

... อย่างเดียวกันอย่างนั้น จะไปโทษพุทธศาสนาว่าศาสนาเป็นขโมย ไม่ใช่หรอก คน
มันเป็นขโมย เหมือนกฏหมายสหรัฐห้ามไม่ให้ขโมย แต่คนก็ยังเป็นขโมยกัน เป็นเพราะคน ไม่ใช่เป็นเพราะกฎหมาย

... ดังนั้นอาตมาจึงสอนอยู่แถวๆ นี้ล่ะ ไม่ต้องไปไกล ไม่ต้องไปสอนไปในพระไตรปิฎกหรอก สอนแค่ว่าคนที่ไม่รู้จักบาปนี่ทำไมมัน
จึงจะรู้สึก สอนถึงหัวใจมันเลย ..."

#หัวใจพระพุทธศาสนาก็คือ_ไม่กระทำบาปทั้งปวงนั่นล่ะอันหนึ่ง.
#แล้วก็ทำจิตให้เป็นบุญเป็นกุศลอย่างหนึ่งแล้วก็สอนทำใจให้ผ่องใสอีกอันหนึ่ง.

#หลวงพ่อชา_สุภัทโท







เวลาเห็นหรือได้ยินเรื่องใครทำอะไรไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นคนรู้จักหรือคนในข่าว ส่วนมากเราก็จะรู้สึกหดหู่ใจหรือขุ่นเคือง แม้ว่าอารมณ์หดหู่ขุ่นเคืองจะเป็นโทษต่อจิตใจ เราก็ยอมให้มันครอบงำใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมเราถึงทำกับตัวเองแบบนี้

มีวิธีที่แยบคายกว่านั้น เวลาเห็นหรือได้ยินเรื่องใครทำอะไรไม่ดี เราควรพิจารณากิเลสที่ก่อให้เกิดการกระทำเหล่านั้น เช่น เราอาจพิจารณาว่า “เรื่องนี้เกิดเพราะโลภแท้ๆ ความโลภนี่มันแย่จริงๆ สร้างทุกข์แสนสาหัส จะดีแค่ไหนถ้าโลกนี้มีความโลภน้อยลง เราเองก็มีความโลภในใจ ทุกครั้งที่ทำอะไรตามความโลภ เราก็มีส่วนสร้างทุกข์ในโลก เราต้องตั้งใจละความโลภในใจเรา เพื่อความผาสุกของตัวเอง และเป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งที่จะลดความทุกข์ในโลก” (ตรงคำว่าความโลภ เราอาจใช้กิเลสตัวอื่นมาแทนได้)

ด้วยการพิจารณาแบบนี้ ข่าวสารแต่ละชิ้นจะเขกให้รู้ว่าเรายังประมาทอยู่และต้องเร่งรีบปฏิบัติธรรมมากขึ้น เรารับรู้ว่ากิเลสทั้งหลายล้วนก่อให้เกิดทุกข์มหันต์ในโลก เช่น ความโลภและความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชังและความอิจฉา ความยึดมั่นถือมั่นในความคิดและความเชื่อ แทนที่จะปล่อยให้กิเลสกดขี่เราฝ่ายเดียว แต่เราเปลี่ยนกิเลสให้กลายเป็นพลังในการปฏิบัติ

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ






" ผู้เห็นโลกเป็น
ของวุ่นวาย
นั่นแลคือ “ผู้มีบุญ”

เห็นโทษของโลก
มากเพียงไร
ยิ่งเป็นผู้มีบุญมาก
วาสนามาก เพียงนั้น
บุญวาสนา อยู่ตรงนี้
ไม่อยู่ที่อื่น"
======================
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี






"ความดี ที่จะทำให้สำเร็จการชนะนั้น
ก็ต้องใช้ปัญญาค้นหา คือ วิธีชนะที่จะไม่ต้อง
เบียดเบียนใคร เป็นความดีชั้นตรี

ถ้าเป็นการชนะชนิดที่เกื้อกูลเขาอีกด้วย
โดยเฉพาะทำให้เขา ซึ่งเป็นคนไม่ดี เลิกละ
ความไม่ดีของเขา หรือกลับเป็นคนดี
ก็นับว่าเป็นความดีชั้นโท

ส่วนความดีชั้นเอก ก็คือ ความดีที่ชนะความชั่ว
ของตนเอง"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ







"การคอยรับบุญผู้อื่น
เหมือนดื่มน้ำที่ติดก้นแก้ว
ดื่มเท่าใดก็ไม่อิ่มสักที
คนมีสติมีธรรม ปัญญาธรรม
ย่อมฉลาดที่จะสร้างบุญด้วยตนเอง
เหมือนการเติมน้ำใส่แก้ว
หิวเมื่อใด ดื่มได้อิ่มชื่นใจฉันนั้น"

หลวงตามหาบัว ญาณสันปันโน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 56 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร