วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2022, 05:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้ว

"... เป็นเหมือนถังขยะที่คอยเก็บอานิสงส์
ของกรรมดีชั่ว
แล้วก็ให้ผลแก่เราเป็นผู้เสวย ถ้าเรานำชีวิต
ที่เราพิจารณา
เห็นด้วยปัญญา อันยิ่งเองแล้ว น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะ
ขึ้นภายในใจ ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละ
จะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที เพราะร่างกายของคนนี้
ไม่มีค่า มันมีค่าอยู่ที่ "หัวใจที่มีธรรม" รูปธรรมทุกๆ อย่าง จึงเป็นผ้าขี้ริ้ว ... "

#นามธรรมคือหัวใจที่ฝึกปฏิบัติ_จนได้เห็นธรรมตามความสามารถ
#นั่นแหละเป็นทองคือธรรมสมบัติอันล้นค่าปรากฏเด่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน.

#พระครูสุทธิธรรมรังษีหลวงปู่เจี๊ยะ_จุนฺโท
[ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานี ]





"ฝ่ายหนึ่งเขาชั่ว เขาเสีย ก็อภัยให้เขาไป
ตามเรื่องของเขา เขาชั่ว เราอย่าไปชั่วกับเขา
เราเฉย เราไม่ตอบถ้อยตอบคำของเขา
คำพูดของคนนั้น ก็นับวันจะเบาไป หมดไป
เพราะเราไม่สนใจ ไม่ทำชั่ว เราสนใจในความดี"

หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร




"การที่จะทำงานอย่างมีความสุข
หรือมีความสนุกกับการทำงานแล้ว
จะต้องมีความตั้งใจจริง มีความเสียสละ
ให้คิดไว้เสมอว่า เราทำประโยชน์อะไร
ให้กับสังคมบ้าง อย่าคิดว่า
สังคมจะทำประโยชน์อะไรให้กับเรา"

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม




#แนวทางปฏิบัติเรื่องของใจ

"พวกเราเวลานี้ก็ฟังมากจนเหลือเกิน ในเมื่อฟังมากๆ ไม่รู้จักประมวล มันก็เสร็จแค่นั้นเอง เราก็ลองประมวลดูซิที่สอนๆมาทั้งหมดคืออะไรบ้าง ไล่ไปแล้วสรุปผลเนี่ยมันเข้ามาสู่อะไรกันแน่ นะ นอกจากกายกับจิตแล้วมันมีอะไร คำว่านอกจากกายและจิตนั่น กายน่ะมันมีอะไร ธรรมะทั้งหมดประมวลเข้ามาสู่กาย ถ้าจะเล่าถึงความไม่เที่ยง ก็เอาอะไรมาไม่เที่ยง จะเล่าถึงความเป็นทุกข์ เอาอะไรมาเป็นทุกข์ เราลองดูซิ เล่าถึงความเป็นอนัตตา เอาอะไรมาเป็นอนัตตา

ส่วนใจนั้นคืออะไร..เป็นผู้รับรู้ แล้วจะเกิดความรู้สึกตามเหตุที่กระทบ อันนี้เป็นเรื่องของจิต แล้วก็ใช้ปัญญาตรองเข้าไปแก้ไข ก็แก้ไขจิต เพราะฉะนั้นสรุปแล้วก็หมายความว่ามีกายกับจิต

ยิ่งจะมามองถึงอายตนะ ภายนอก ภายใน มันก็มีหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ใจ เราลองดูเองก็แล้วกัน มองดูให้ดีๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอายตนะหกภายใน อายตนะภายนอกล่ะ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหลายเหล่านั้นมันหมายความว่ายังไง ก็ใจเราหลงใช่ไหม แล้วหลงเรื่องอะไร ลองดูซิ มันหลงเรื่องอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเพื่อกายเหรอ ลองดูซิ ลองดูให้ดีๆ

ตาเห็นรูป ก็ลองมองดูดีๆ ต้องการ ไม่ต้องการ ต้องการเพื่ออะไร ไม่ต้องการเพราะอะไร เพราะอะไรจึงไม่ต้องการ สรุปแล้วไม่ใช่อยู่ที่กายกับใจเท่านั้นหรือ ลองไล่ดูซิ หูที่ฟังเสียงเช่นกัน เช่นกัน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายถูกต้องสัมผัส แล้วก็ใจมีอารมณ์ เราลองคิดดูก็แล้วกัน อ่านทวนไปดีๆซิ ทวนไปทวนมา ทบทวนให้ละเอียดลออซิ ได้ความว่ายังไงกันแน่ มันสรุปเข้ามาแค่นี้ มันไม่ไปไหนเลย จะเทศน์ไปไกลแค่ไหนก็มารวมอยู่แค่นี้

สรุปให้ถึงที่สุดแล้ว ทุกอย่างที่ท่านชี้ไปทั้งหมดเนี่ย ตามหลักพระไตรปิฎกลองอ่านดูมากมายเหลือเกิน สรุปแล้วทั้งหมดประมวลแล้วมันเข้ามาจุดเดียว คือทำให้ใจรู้สภาพความเป็นจริงของกาย ทั้งเราและเขา ได้แก่รูปอันนี้เท่านั้นเอง ว่าสภาพความเป็นจริงมันเป็นยังไง ให้จิตยอมรับ จะพลิกไปทางไหน แพลงไปทางไหนก็แล้วแต่ ประมวลเข้ามาแล้วเวลานี้ เราหลงเรื่องอะไร๊ มองให้ดีๆก็แล้วกัน ก็เพื่อต้องการให้ใจเข้าใจสภาพความเป็นจริงอันนั้น ไม่ทวนกระแส ให้เป็นไปตามสภาพความเป็นจริงของเค้าจริงๆดูซิ เท่านั้นเองน่ะ มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ถ้าใจของเรายอมรับสภาพความเป็นจริง คือสังขารร่างกายเนี่ย เป็นสภาพไม่เที่ยง แปรปรวน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้เราเข้าใจสามอย่างเนี้ยให้ชัดๆออกมาซิ ให้จิตยอมรับจริงจริ้ง! ไม่ใช่รู้เฉพาะประสาทสมอง ให้ใจยอมรับสภาพอันนี้จริงๆซิ มันจะเป็นยังไงกันความรู้สึก นี่อยากลองถามผู้ปฏิบัติดู ลองดูซิ ถ้าใจยอมรับสภาพความเป็นจริงอันนี้อย่างถูกต้องแล้ว ความรู้สึกจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง เราจะรู้ได้ทันทีว่า โลกนี้ไม่มีอะไรน่าหลง หลงเบื้องต้นก็หลงเราซะก่อน นอกจากหลงเราก็หลงเขา หลงเพื่อจะนำมาเพื่ออะไร ก็ดูเอง ตลอดดิ้นรนหาทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่ออะไร มองดู หรือจะมองในรูปกิเลส โลภ โกรธ หลง เอาแค่นั้นก็แล้วกัน โลภเพราะอะไร สิ่งที่ต้องการอยากได้ทั้งปวงนั้นเพื่ออะไร ก็ไม่ใช่เพื่อกายนี่หรือ โกรธ ทำไมถึงโกรธ ลองคิดให้ดีๆซิ นี่ก็เป็นเรื่องของจิต โกรธ กลัวเขาจะไม่นิยมเรา เขาดูถูกเรา กลัวคนอื่นหาว่าเราไม่ดี กลัวจะไม่มีเพื่อนฝูง กลัวคนจะไม่รัก ไม่นับถือ กลัวเขาจะนำไปนินทาต่อไป อะไรต่างๆทั้งหมดนี้ มันเพื่ออะไรอีก ลองอ่านดูดีๆ มันหนีไปไม่พ้น หลง คืออะไรหลง ก็มีหลงรักกับหลงชัง ก็แค่นั้นเอง หลงรักกับหลงชัง หลงรักเอามาเพื่ออะไร ชังทำไม ลองดูซิ ถ้าไม่เผื่อเรื่องแค่นี้ เนี่ยต้นตอมันไปจากนี่ทั้งหมด ต้นตอ

เพราะเรายึดว่าเราเป็นเรา อันเนี้ยขึ้นมาก่อน มันก็โยงใยเข้าไปหาอย่างอื่น ลามปามไปหาอย่างอื่น สรุปแล้วตัวยืนพื้นจริงๆก็คือตัวเรานี่เอง คือกายของเรานี่ ที่เราหึงเราหวง เราดิ้นรนหาทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อกายของเรา อันนี้ลองคิดดูดีๆเถอะ แล้วก็เรื่องกายเรื่องจิตเนี่ยสองอย่างมันพัวพันกันอยู่

โดยสรุปผลแล้วคืออะไร เพื่อหาวิธีให้ใจยอมรับสภาพความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านี้ มองดูดีนะๆ สิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เรากำลังหลงอยู่เหล่านี้ เราเป็นต้นตอ ตัวต้นตอที่เราดิ้นรนทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อเขา ป้องกันทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่มาขัดขวางต่อสิ่งทั้งปวงที่เราจะนำมาเพื่อเขา อะไรสุดแล้วแต่ มันโยงใยกันจากตัวนี้ ถ้าเรามาเข้าใจตัวนี้ไม่ใช่เรา เพียงแค่ธาตุประชุมกันอยู่ เขาจะต้องสลายไปวันหนึ่งแน่นอน ตัวของเราจริงๆคือใจ..จะต้องไปต่อภพ ให้มันชัด!ออกมาซิ ให้มันชัดออกมาจริงๆ ลองมองให้มันชัดๆซิ ถ้าเราสามารถรู้กายของเรานี้อย่างถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของเขาแล้ว อะไรมันเป็นสิ่งที่น่าหลงในโลกนี้ ถ้ามันยอมรับอย่างเดียวแล้ว มีแต่สิ่งที่น่าเศร้าสลด มองแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง เป็นสิ่งที่ไม่น่าหลง เราจะเห็นได้ชัดด้วยตัวของเราเอง อันนี้

อะไรมันหลงล่ะ ก็ใจนั่นแหละ หลงรักหลงชังก็คือใจนั่นแหละ มันเกิดขึ้น แล้วก็ใจตัวนั้นแหละ..มันมายึดว่ากายนี้อีกซะล่ะ เป็นของเขา เขาก็ต้องการสิ่งเหล่านั้นมาปรนเปรอนี้ ป้องกันสิ่งที่ขัดขวาง จึงได้มีความโกรธขึ้นมา เขามาทำลายสิ่งนั้นสิ่งนี้ เขาดูถูกเรา กลัวจะไม่มีลาภสักการะ กลัวคนเขาจะว่าเราไม่ดี กลัวจะไม่มีชื่อเสียง กลัวจะไม่มีลาภสักการะ ไอ้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งเป็นโลกธรรมแปดนั้น ไอ้ตัวที่มันเล่นละครที่กระโดดโลดเต้น ก่อให้เกิดทุกข์วุ่นวายอยู่นั้นคือจิต เนื่องจากมันหลงกายของตัวเองเป็นเบื้องต้น จึงไปหลงกายผู้อื่น จึงไปหลงสิ่งต่างๆที่จะเอามาบำรุงปรนเปรออะไรส่วนร่างกาย ซึ่งเขายึดว่าเป็นเขาอยู่นี่ อันเนี้ยมันหนีไปไหนไม่พ้น

พระไตรปิฎกทั้งกือ อ่านไปเถ๊อะ..สรุปแล้วมันประมวลลงมานี่ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้สอนให้พิจารณาเข้าใจสภาพของง่ายๆ แค่สามอย่าง สภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จะไปเอาอะไรมากมาย เอาตัวเนี้ยเป็นหลักยืนพื้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ยัดเยียดเอาความจริงเข้ามาให้จิตรับซะ"

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย






ให้มีสติ ความระลึกได้ มีสัมปชัญญะความรู้ตัวอยู่เสมออย่าให้เผลอ

จิตเป็นหนึ่งอยู่ รู้อยู่ เป็นหนึ่งอยู่ รู้ตัวอยู่ เรียกว่าไม่เผลอ ไม่หลง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ปล่อยออกนอกลู่นอกทาง

อยู่ในฌานอยู่เสมอ กำหนดเวลาไหนก็ได้เวลานั้น ถี่เข้าๆ จนไม่มีช่องว่างพอให้สังขารเข้าแทรกได้เลย

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร




หลวงปู่ท่อน : ไม่ส่งออกไปจากความรู้ กำหนดรู้อยู่ ใจเป็นผู้รู้ ถ้ามันไม่รู้ก็ไม่ใช่ใจ กำหนดจิตอยู่กับความรู้ ถ้ากำหนดแล้วไม่รู้อะไรเลย มันไม่ใช่แล้ว

การกำหนดต้องรู้อยู่เสมอ หายใจเข้า รู้ หายใจออก รู้ มีสติรู้อยู่นั้นเป็นปัจจุบันธรรม ไม่ส่งไปทางอื่นก็ใช้ได้แล้ว

ถ้าทำได้นานๆมันเป็นฌานกำหนดอยู่ในรูป เรียกรูปฌาน ถ้ากำหนดอยู่ในไม่มีรูป มีแต่รู้ เรียกว่าอรูปฌานไม่มีอายตนะต่อไปอื่น เพิ่นว่า มันใช้ได้แล้ว ถูกทาง ได้กำลัง ต้องการให้เป็นอย่างนั้น กำหนดใจให้รู้อยู่ตรงนั้นแหละ

ถาม : เวลาที่เราเฝ้าดูเฝ้ารู้อยู่ที่ใจ ถ้าเราไม่เผลอจิตจะไม่ส่งออกไปครับ แต่ถ้าเผลอเหมือนสติมันเคลื่อนออกไปจากความรู้

หลวงปู่ท่อน : ถ้ายังส่งไปโน้น ส่งไปนี้ มันเป็นสังขารจิตตสังขาร ปรุงแต่งไป ไม่ได้อยู่กับที่ ถ้ามีเหตุมันจึงค่อยไป มันจึงค่อยดู ถ้าไม่มีเหตุมันไม่ไป มันไม่ดู

ถาม: ตอนที่มันไม่ไป ไม่ดู มันว่างเลยหรือครับ

หลวงปู่ท่อน : อือ..มันว่าง ถ้าดูอยู่เฉยๆ มันวาง ไม่ยึดไม่ถือ เมื่อวางได้แล้วมันก็ว่าง จิตมันว่างแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่เป็นของเราทั้งนั้นอย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าเรารู้แล้ว เฉยๆไว้ ถ้าใจเป็นอย่างนี้ มันสุขหรือมันทุกข์ใจวาง ใจว่าง มันจะเกิดสุขพิเศษขึ้นมามันอยู่ที่นี่เอง ตามหามันมาพอแรงแล้วในที่สุดก็เจอ คำว่ารู้ มันเป็นใจเป็นจิตแท้

ถาม : จิตรวม คือ สติเขารวมกับจิตใช่ไหมครับ

หลวงปู่ท่อน : มันไม่ส่งออกไปไหน มันรวมแล้ว มันรู้แล้วมันไม่ส่ง มันอยู่แต่รู้อย่างเดียว มีแต่รู้แจ่มชัดลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสงสัย

ผู้รู้นั้นเป็นจิต ส่วนผู้ไม่รู้อะไรกับเขามันเป็นสังขารหรอก มันปรุงมันแต่งเฉยๆ มีแต่เรารู้ของภายนอก ตัวของมันไม่รู้เรา ของเหล่านั้นมีแต่เรารู้มัน แล้วจะเอามันมาเป็นเราได้ไง

ระลึกอย่างนี้ก็ได้ รู้เท่าเอาทันให้ติดต่ออยู่อย่างนี้มันจะเป็นพลังต้องการให้อยู่ มันก็อยู่ ต้องการให้ไปมันก็ไป จะว่ามันปรุงแต่งก็ใช่อยู่ แต่ว่ามันปรุงแต่งตามความเป็นจริง ไม่ได้ปรุงแต่งนอกออกไปหรอก รู้ปัจจุบันธรรมอยู่อย่างนั้นแหละ

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร