วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2022, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"สมาธิที่เราได้
กระทำมาแล้ว
จะเป็นสิบครั้งร้อยครั้ง
หรือจะเป็นกี่ครั้งก็ตาม
ทำไว้ที่ไหน?..ก็ทำไว้
ที่ใจของเรานี่เอง
เพราะฉะนั้นเวลาใจ
จะออกจากร่างไปนี้
สมาธิทั้งหมดมันก็เก็บ
เอาไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ
เรียบ..เก็บเพรียบพร้อม
เมื่อพร้อมแล้วในชั่ววินาทีนั้น
สมาธิย่อมจะต้องเกิด
ขึ้นกับเรา เมื่อสมาธิ
เกิดขึ้นกับเรา

เราก็ไม่ต้องไปเกิด
เป็นสัตว์เดรัจฉาน
เราก็ไม่ต้องไปเกิดในอบาย
เรียกว่า ปิดได้แน่นอน
เพราะว่าอะไร?
เพราะว่า เมื่อเราทำจิตนั้น
เราก็ได้ทำและเราก็จำได้
ไม่มีการหลงลืม
เรานั่งสมาธิกี่ครั้ง
เราก็ไม่ได้ลืม
เรายังทรงจำอยู่ภาย
ในจิตนั้น
ไม่มีเวลาที่จะลืม

ใครจะมาทำให้ลืม
ก็ไม่ได้ อะไรจะมา
ทำให้ลืมก็ไม่ได้
อะไรจะมาพรากสมาธิ
นี้ไปจากจิตก็ไม่ได้
เพราะอะไร เพราะว่า
มันอยู่กับจิตอยู่แล้ว
เราทำแล้ว มันก็อยู่
ในใจของเราอยู่แล้ว
มันจึงเรียกว่า ไม่มีอะไร
มาพรากได้
จึงเรียกว่า สามารถที่
จะปิดอบายภูมิได้
เพราะฉะนั้นจึงเป็นการ
คุ้มค่าจริงๆที่บุคคลทั้งหลาย
ได้พากันมีการเสียสละ
มาปฏิบัติความดีเหล่านี้ให้เกิดขึ้น "

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร







บุญทั้งหลายลงจิตภาวนา พุ่งทีเดียวถึงนิพพาน -

หลวงตามหาบัว






#รู้ตามเป็นจริงแบบนี้จึงเป็นตัวปัญญา

การสงบนั้นมีอยู่หลายอย่าง อย่างหนึ่งมันสงบพั๊บเข้าไป ร่างกายและจิตก็เบาหวิวไม่เห็นนิมิตอะไร คล้ายกับตัวลอยอยู่ในอากาศ แต่ไม่ปรากฏว่าเคลื่อนที่มีแต่ผู้รู้เฉยๆ นี่แบบหนึ่ง แต่ถ้าหมดกำลังก็ถอนออกมา เวลาเข้าพั๊บก็ถอนออกพั๊บเหมือนกัน

วิธีรวมอีกแบบหนึ่ง เมื่อจิตเข้าไปก็สว่างโร่เหมือนแสงอาทิตย์ก็มี แสงพระจันทร์ก็มี แสงเหมือนตะเกียงเจ้าพายุก็มี เหมือนกลางวันก็มี บางทีก็เห็นดอกบัวหลวง และกงจักรตลอดถึงเทวบุตรเทวดาและบุคคลสารพัดจะนับคณา

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หากเกิดให้เราเห็นอยู่ซึ่งหน้า (คำว่าหน้าคือหน้าสติหน้าปัญญา) แล้วก็ดับอยู่ที่นั้น ถ้าเราเพ่งต่อที่มันดับอยู่ มันก็เกิดอีกตะพืด แต่ไม่เป็นเรื่องเก่า เป็นเรื่องใหม่ แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องเก่า (คำว่าเก่าคือเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป)

ถ้าจิตของเราเพลินไปก็ลืมกรรมฐานเดิม คล้ายๆ กับโบราณท่านกล่าวว่า “หมาตาเหลืองเมื่อเห็นไฟที่ไหนเรืองก็แล่นเข้าไปหา”

และขอให้เข้าใจว่านิมิตที่เราตั้งไว้เดิมก็ดี (และให้เข้าใจคำว่า นิมิตแปลเป็นไทยว่าเครื่องหมายที่ผูกให้ใจติดอยู่) นิมิตเดิมก็ดีนิมิตใหม่ก็ดีที่มาเกยพาดก็ดับเป็น จะมีกี่ล้านๆ ก็ตาม หรือจนนับไม่ไหวก็เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น เราก็ได้ตัวพยานแล้ว เพราะมันเป็นอันเดียวกันกับนิมิตเดิม ที่เราจับนิมิตเดิมไว้ก็เพื่อจะเป็นตัวประกันให้เป็นพยาน หรือจะเรียกนิมิตเดิมเป็นกระจกเงา นิมิตผ่านเป็นเป็นนิมิตแขก แต่ก็เกิดดับเป็นเสมอกันนั่นเอง

ถ้าจะเอาด้านปัญญามาตัดสิน ก็ตอบตนว่านิมิตเดิมก็ดีไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มีอภินิหารให้เห็นเพียงเกิดดับเท่านั้น เราไม่มีหน้าที่จะถือว่าได้ถือว่าเสีย ต้องลงเอยแบบนี้ รู้ตามเป็นจริงแบบนี้จึงเป็นตัวปัญญา มิฉะนั้นแล้วคล้ายๆ กับหยอกเงาตนเอง เมื่อตนเหนื่อยเงาก็เหนื่อย

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต








#อย่าหาขลังแต่ภายนอก

ขอเชิญปิดลูกนิมิตผูกพัทธสีมา แล้วแจกเหรียญ ฟังแล้วมันจะสลบนะเรา แจกเหรียญ เหรียญพ่อเหรียญแม่อะไรเราก็ไม่รู้นะ

มันหาขลังแต่ภายนอก ตัวเองไม่มอง หัวใจที่ต้องการความขลังเต็มเหนี่ยวอยู่ภายในใจ ไม่ได้มาสนใจไม่เหลียวแล

ดูตั้งแต่ภายนอก เกาแต่ภายนอก ตัวสำคัญภายในใจนี้ไม่ได้มาชำระสะสาง มันจะขลังได้ที่ไหน ไม่ขลัง ถ้าทำอันนี้ให้เต็มเหนี่ยวแล้วขลังตลอด อยู่ที่ไหนขลังหมด

พระพุทธเจ้าขลังที่หัวใจนะ พระสงฆ์สาวกขลังที่หัวใจ ธรรมก็ขลังอยู่ที่หัวใจ ธรรมกับใจเข้าอันเดียวกันแล้วไม่มีอะไรมีอำนาจเหนือกว่าแหละ นี่ให้มันขลังอย่างนี้

หลวงตามหาบัว







.



เราจะไม่เมาในร่างกาย คือไม่ยึดถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ขณะใดที่มันยังคงอยู่ เราก็อาศัยมันอยู่ และก็จะสร้างความดีเพื่อหนีความเกิดคือความมีร่างกายอย่างนี้อีกต่อไป

"ถ้าร่างกายมันจะแก่"
เราก็รู้ไว้ก่อนว่ามันจะต้องแก่ เมื่อความแก่เข้ามาถึง เราก็ไม่หนักใจ ก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะแก่

"ถ้าความป่วยไข้ไม่สบายปรากฎเราก็สบายใจ"
ที่สบายใจก็เพราะไม่ตกใจ ก็รู้แล้วว่ามันจะป่วย

"เมื่อถึงเวลาที่มันจะตายจริงๆ เข้ามาถึงเราก็สบายใจอีก"
คิดไว้ว่าเจ้าร่างกายแบบนี้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เป็นร่างกายที่มีความกลับกลอก เลี้ยงไม่เชื่อง จะเลี้ยงสักเท่าไหร่ก็ตามที ประคบประหงมสักเท่าไหร่ก็ตาม เอาอกเอาใจอย่างหนักก็ตาม มันไม่ยอมตามใจเรา เอาแต่ใจของมันอย่างเดียว ร่างกายที่มีความสับปลับ ไม่รู้บุญคุณของบุคคลผู้เลี้ยง อันนี้จัดเป็นโทษหนัก เราไม่ต้องการ
เวลานี้มันจะสิ้นลมปราณก็เชิญมันสิ้นไปขึ้นชื่อว่าร่างกายแบบนี้เราไม่ต้องการมันอีก เราจะมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
ถ้าเราสิ้นลมปราณเมื่อไร สิ่งที่เราต้องการนั่นก็คือ พระนิพพาน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔๒๐ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙ หน้า ๘๔ คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์







"จับผิดตนเอง"

.....ถ้าจิตของเราทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ และมีอะไรบ้างที่มันจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ ศีลบริสุทธิ์ไม่ต้องระมัดระวังศีล ความเป็นผู้มีเหตุมีผลมีความเคารพในองค์พระทศพลก็มีพร้อมบริบูรณ์ เพราะอะไร เพราะคนที่ทรงศีลบริสุทธิ์ก็แสดงว่า
-มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
-มีความเคารพในพระธรรม
-มีความเคารพในพระสงฆ์
เพราะว่าพระพุทธธรรมพระสงฆ์ ทรงแนะนำให้จิตอยู่ในขอบเขตนี้ เรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์เป็นต้น เราจึงมีศีลบริสุทธิ์ เรารู้จักอายความชั่ว เกรงกลัวความชั่ว จึงได้มีการประกอบความดี คือจิตทรงพรหมวิหาร ๔ มีหิริและโอตัปปะ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเยือกเย็น มีแต่ความสุขเราก็เป็นสุขบุคคลอื่นก็เป็นสุข เพราะกายไม่เสีย ปากไม่เสีย ทั้งนี้เพราะว่าใจไม่เสีย ถ้ากายเสีย ปากเสีย ก็แสดงว่าใจมันเสีย เสียมากจนล้นมาถึงกาย ถึงวาจา นี่เป็นอันว่าถ้าทรงคุณธรรมอย่างนี้ได้ ความเป็นพระโสดาบันก็ย่อมปรากฏ.....(18)

โดยพระเดชพระคุณ
พระราชพรหมยานมหาเถระ
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี

' ทางสายพระอริยบุคคล '
๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๕


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 54 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร