วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 15:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2022, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ภาวนาไม่มีข้ออ้างหรอก ภาวนาได้ทั้งนั้นจะทำอะไร เพียงแค่น้อมเข้ามา พวกหลวงพ่อพวกพระฝึกกันมา ภาวนาทั้งนั้น ทำการทำงาน กวาดตาด ทำกิจวัตรข้อวัตรอะไรๆก็ภาวนาไปพร้อม มานั่งหลับตาอยู่อย่างเดียวไม่ทันหรอก กิเลสเอาไปกินหมด อย่างเมื่อก่อน ขึ้นรถเมล์ คนเยอะๆอยู่เนี่ย เราก็น้อมใจเป็นภาวนา ได้ยินหมดล่ะ เห็นหมดล่ะ แต่มันเข้ามาไม่ถึงใจ"
.
โอวาทตอนหนึ่งของหลวงพ่อสมบูรณ์







ความแตกต่างระหว่างคนฉลาดและคนมีปัญญา เห็นชัดในการเบียดเบียนตัวเอง คนฉลาดจำนวนมากดำเนินชีวิตอย่างไม่รู้จักตน จึงเบียดเบียนตนอยู่เรื่อย ส่วนผู้มีปัญญารู้จักตน จึงไม่ยอมเบียดเบียนตน

การเบียดเบียนตนทางร่างกาย มีตั้งแต่การใช้ยาเสพติดทั้งที่ผิดกฎหมาย และที่ไม่ผิดกฎหมาย เช่น สุราและบุหรี่ เป็นต้น (ผู้มีปัญญารู้ว่าโทษที่เกิดนั้นเกิดกับกายไม่เกี่ยวกับกฎหมาย) การกินอาหารที่มีโทษต่อร่างกาย เช่น อาหารขยะทั้งหลาย การพักผ่อนไม่เพียงพอต่อความต้องการของกาย การไม่ออกกำลังกายให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย เป็นต้น

ส่วนการเบียดเบียนตนทางจิต คือ การปล่อยให้กิเลสคือเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ได้ครอบงำและบงการความรู้สึกนึกคิด จนในที่สุดชีวิตตนกลายเป็นหุ่นเชิดของกิเลส ต้องยึดทรัพย์สมบัติ ฐานะทางสังคม ชื่อเสียง ฯลฯ เป็นเครื่องปลอบใจ

พระอาจารย์ชยสาโร







#การฝึกตนให้มีสติควบคุมจิต

ธรรมเทศนา
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

การฝึกตนให้มีสติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม เป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิต ผู้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ การกระทำกิจการใดๆ ก็ลุล่วงไปด้วยดี ไม่ี่ค่อย มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น

๑. มีสติรู้ตัว รู้ลมหายใจเข้า-ออก มีสติอยู่รู้ว่า ขณะนี้ หายใจเข้ายาว-หายใจออกยาว ก็รู้อยู่ หายใจเข้าสั้น-หายใจออกสั้น ก็รู้อยู่ อาจจะใช้คำภาวนาในใจ อย่างใดกำกับตามไปด้วยก็ได้

๒. มีสติรู้ตัว ตามรู้จิต เมื่อมีสติรู้ลมหายใจอยู่ก็ตามรู้จิต ธรรมชาติของจิต มีความหลุกหลิก กลิ้งกลอกอ่อนไหว ว่องไว คิดเรื่อยเปื่อยไปได้ทั้งดีและชั่ว ต้องใช้สติต่างเชือกมัดจิตไว้กับหลัก คือลมหายใจให้ได้ จิตคิดวิ่งไปที่ไหน ก็ใช้สติระลึกรู้ตาม ไปประคองจิตไว้ไม่ให้คิดในเรื่องชั่ว อันเป็นบาปทุจริต ประคองจิตไว้ให้คิดในเรื่องดี อันเป็นบุญสุจริต เท่านั้น ความผ่องใสในจิตจะเกิดเพิ่มขึ้น ความทุกข์ก็จะค่อยสิ้นไป

๓. มีสติรู้ตัวทุกอิริยาบถของร่างกาย มีสติระลึก รู้ตัวตั้งแต่ตื่นนอนลืมตาขึ้นมาว่า ตื่นแล้วกำลังจะลุกขึ้นนั่ง ย่างก้าวเดินเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน อาบน้ำ ขับถ่าย ฯลฯ มีสติระลึกรู้ตัวไปทั่วทุกสิ่ง ทั่วทุกอิริยาบภ เคลื่อนไหว ยืน เดิน นั่ง นอน เหลียวซ้าย แลขวา ก้าวหน้า ถอยหลัง ก็ทำสติตามรู้ทุกอย่างไป แม้จะยังไม่บริบูรณ์ ด้วยจิตหนีหายหลบไป เมื่อรู้ตัวก็กำหนดสติต่อไป จะเกิดผล เป็นผู้มีพลัง สติคุมจิต ตั้งมั่นเกิดสมาธิ

๔. มีสติรู้ตัวพิจารณาให้เห็นความจริง มีสติพิจารณา ในความเป็น ธรรมชาติ ที่มีเห็นอยู่รอบๆ ตัวเรานี้ ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยงคงทนถาวรอยู่ได้ตลอดไป เกิดมีขึ้นแล้ว ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่หยุดนิ่ง แล้วก็ดับหายตายจากไป ไม่เราจากสิ่งนั้นไปก่อน สิ่งนั้นก็จากเราไปก่อน ไม่มีใครจะยึดเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้ได้ เป็น ธรรมชาติ ที่เลื่อนไหลไปอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดาอย่ายึดถือไว้เป็ีนความทุกข์

๕. มีสติรู้ตัว ถอนความยึดถือในตัวตนเสีย มีสติพิจารณา ดูลงไปที่ตัวเราเองว่ามีอะไรบ้าง หรือที่เราบังคับได้บ้าง ร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดมา มีแต่ ความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง เกิดมาได้อย่างไร ไม่รู้ตัวเลย (หรือใครรู้ตัวบ้างช่วยบอกที) มารู้ตัวเอาก็ต่อเมื่อเติบโตพอจำความได้แล้ว ก็มีความเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดยั้ง แล้วก็ต้องตายไป ทำพิธีต่ออายุสืบชะตาอย่างไร ก็ต้องตายทุกคน แล้วจะยึดถือว่าเป็นตัวเรา ของเราได้อย่างไร ตายแล้วไม่เผาไฟ ก็ฝังดินเท่านั้นเอง มันเป็นเพียงธรรมชาติที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เราเพียงยืมใช้ได้อาศัยศึกษา รักษาไว้เป็นพาหนะ ให้ทำความดีเพื่อข้ามวัฎสงสารเท่านั้น

๖. มีสติรู้ตัว พูดจาให้น้อยลง พูดเท่าที่จำเป็นจะต้องพูด ด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่ การพูดมากมีโอกาสพูดผิดได้มาก ไม่เกิดประโยชน์แล้วยังเป็นโทษอีกด้วย เป็นผู้ฟังแล้วตามคิด เลือกจำสิ่งดีๆ มาใช้จะได้ประโยชน์ กว่าคนพูดมาก มักขาดสติง่าย เป็นผู้ฟังที่โทษน้อย หรือไม่มีเลย แต่เป็นผู้ได้รู้มากกว่าผู้พูด

ทั้ง ๖ ข้อนี้ ที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นสิ่งที่ควรสนใจฝึกอบรมสติ ควบคุมจิต ให้เกิดพลังจิตที่มีประสิทธิภาพที่ควรแก่การงาน การกระทำกิจการงานใดๆ จะมีความสำเร็จถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ เป็นพื้นฐานที่ถูกต้องต่อการดำรงชีวิต และการปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้าเจริญสู่ขั้นสูงได้ง่ายต่อไป การฝึกฝนตนเอง ด้วยการมีสติควบคุมจิต ต้องใช้ความเพียรอย่างมากเพียงใดก็ตาม ก็อย่าได้มีความท้อถอย ที่ใดมีความตั้งใจจริง เพียรพยายามอยู่ ความสำเร็จย่อมมี
ตามมาอย่างมิสงสัย...

(จากหนังสือ โลกทิพย์ ฉบับที่ ๔๑๐ ประจำเดือน พฤษภาคม ๒๕๔๗ หน้าที่๓๐-๓๑)
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร







“ขอให้เชื่อมั่นลงไปในผลทานที่เราได้บริจาคมา
เชื่อมั่นในผลศีลที่เรารักษา ที่เราไม่ทำบาป
ไม่เบียดเบียนใคร เชื่อมั่นในการไหว้พระ
นั่งสมาธิภาวนานี้ว่าเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ไพศาล
แม้ว่าตนยังไม่สามารถทำอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป
โดยประการทั้งปวงได้ ก็เป็นอุปนิสัยปัจจัยอย่างแรงกล้า
ติดตามไป เมื่อเกิดในชาติต่อไป จะดลบันดาลให้
เป็นผู้ยินดีในบุญ”

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ







"เอาเหรียญ เอาพระไป
ไม่ใช่ว่าจะไปอวดดีอวดเก่งอะไร
เอาห้อยคอไป เพื่อกระตุ้นเตือนใจ
จะไปทำชั่ว ให้อายพระบนคอ"

หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ







#หลวงปู่แสง #ญาณวโร
#ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนถาวรหรอก
#มีแต่การเกิดการดับเท่านั้นล่ะ

ทำให้มันรู้อย่าให้มันหลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เทียวเกิดเทียวตายอยู่นี่ลุ่มๆดอนๆสูงๆต่ำๆ ไม่รู้ทางออก เหมือนมดไต่ขอบกระด้งหาทางออกไม่เจอ ถึงได้มาเกิดมาตายไม่เลิกไม่แล้วสักที

ทำให้มันรู้มันแจ้ง ถ้ามันแจ้งแล้วจะมาเกิดเอาอะไรอีก มันเบื่อมันหน่ายคลายกำหนัดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พอแล้วอิ่มแล้ว

โมหะคือความหลง โลกวิทูเป็นผู้แจ้งโลกแจ้งธรรม ทำให้มันสูงก็สูงได้ ทำให้มันต่ำก็ต่ำได้ ว่าสูงๆต่ำๆก็สมมุติเฉยๆ ถ้าธรรมนะไม่มีสูงไม่มีต่ำ ราบรื่นไปหมด นำไปสอนจิตใจตัวเองเอาให้เป็นนักปราชญ์

ควรสร้างสมนิสัยบารมีให้มันแก่กล้าอาจหาญ ได้ฟังธรรมนิดหน่อยมันก็ทะลุปุโปร่งไปได้ หนีจากวัฏฏะสงสารความเกิดความตายนี้ได้

หลวงปู่แสง ญาณวโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร