วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2022, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“พิจารณาให้เห็นว่า
ไม่รู้จะอยู่ในโลกนี้ไปได้อีกนานสักเท่าไร
โอกาสที่จะได้ปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า
ก็ไม่รู้ว่าจะมีมากน้อยเพียงไร
ถ้าไม่รีบตักตวงในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
พอจะปฏิบัติก็จะสายเกินไป
เพราะมัวแต่ผัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อยๆ”

#คติธรรม
#พระจุลนายก
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







…ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องคนอื่น
วิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้
เรื่องนั้นเรื่องนี้
“ ต้องดึงใจให้เข้าข้างใน “


.วิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเราดีกว่า
ว่า..”ทำไมยังไม่สงบเสียที
ทำไมยังโลภยังโกรธยังหลงอยู่
ทำไมไม่มีสติ ทำไมไม่มีสมาธิ
ทำไมไม่มีปัญญา “

. เพราะไม่ปลีกวิเวก ไม่เจริญสตินั่นเอง
มัวแต่ปล่อยให้ใจคิดไปเรื่อยเปื่อย
ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา
ถ้าเจริญพุทธานุสติอยู่เรื่อยๆ
ควบคุมใจไม่ให้ไปคิดเรื่องต่างๆ

.คิดอยู่แต่…พุทโธๆ
ใจจะไม่ออกไปรับรู้เรื่องของคนอื่น
เวลานั่งสมาธิ จะสงบ
พอออกจากสมาธิก็จะเจริญปัญญาได้
พิจารณาไตรลักษณ์ได้ พิจารณาอนิจจังได้
พิจารณาอนัตตาได้
พิจารณาทุกขัง อริยสัจ ๔ ได้

.ว่า..ทุกข์เกิดจาก ”ความอยาก” ของเราเอง
ไม่ได้เกิดจากใครหรอก
จะดับทุกข์ได้ก็ต้อง..”ละความอยาก “
เช่น อยากจะวิพากษ์วิจารณ์
ก็ต้องหยุดวิพากษ์วิจารณ์
แล้วความวุ่นวายใจกับคนอื่น
“ ก็จะหมดไปเอง “

.คนในโลกมีเป็นพันล้าน
จะไปวิพากษ์วิจารณ์ไหวหรือ
ปล่อยเขาไปเถิด
เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา

.ความดีความชั่วของเขา
ไม่ได้ทำให้เราดีหรือชั่วตามไปด้วย
ความดีของเรา..”อยู่ที่การเจริญสติ “
อยู่ที่การปลีกวิเวก อยู่ที่การไม่คลุกคลี
ไม่วิพากษ์วิจารณ์.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๕๕ กัณฑ์ที่ ๔๓๒
๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔






" พูดแบบปฏิบัติ
มันก็ไม่มีอะไรให้ดูกาย
ดูวาจาใจของเรานั่นล่ะ

ดูกายดูวาจามันก็ไม่
เท่าไหร่เพราะทุกอย่าง
นั้นออกมาจากใจถ้าใจ
ดีกายก็ดี​ วาจามันก็ดี​
มันขึ้นอยู่กับใจตัวเดียว "

โอวาทธรรม
หลวง​ปู่​เพียร​ วิริ​โย






" การภาวนานั้น
ไม่ต้องสอนกันมาก
ให้ลงไปดูที่กายใจ

เพราะกายและใจ
จะสอนเราเอง ของจริง
ไม่ต้องอาศัยตำรา
ไม่อาจเรียนจากตำรา
ไม่อาจหาเอาจากสิ่งใด

แม้แต่คำจากหลวงปู่
ก็สอนไม่ได้ แม้พูดไป
เท่าใด ก็ไม่อาจเข้าถึง
จิตใจหากไม่มีความ
เพียร ขอให้ทำให้มาก
และใจเรานั่นแหละ
มันจะสอนตัวเอง "

โอวาทธรรม
หลวงปู่อว้าน เขมโก







โดยมากจะมีความเข้าใจผิดว่า #พระโสดาบัน จะต้องตัด #สักกายทิฏฐิ ได้เด็ดขาด จนกระทั่งมีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จึงจะเป็นพระโสดาบันได้ อันนี้ไม่ถูก ขอยืนยันว่าไม่ถูก เพราะพระโสดาบัน ยังถือว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเราอยู่

นอกจากถือร่างกายของตนเองว่าเป็นเรา เป็นของเราแล้ว ยังถือว่าร่างกายของคนอื่นเป็นเรา เป็นของเราด้วย นั่นก็คือ ผู้หญิงยังรักผู้ชาย ผู้ชายก็ยังรักผู้หญิง ผู้หญิงก็แต่งงานกับผู้ชาย ผู้ชายก็แต่งงานกับผู้หญิง และคนที่เป็นสามีภรรยาก็ยังยึดถือในความเป็นสามีภรรยาอยู่ ก็แสดงว่าพระโสดาบัน ยังยึดร่างกายเป็นที่พึ่งที่พำนักต่อไป ยังไม่ถึงกับตัดร่างกาย

ฉะนั้นเรื่อง สักกายทิฏฐิ คนที่จะเป็น พระโสดาบัน ต้องตัด สักกายทิฏฐิ หมด ไม่ถูก ผิดมาก ขอบอกว่าผิดถึงที่สุด การตัดสังโยชน์ ๑๐ เขาตัดที่ตัวเดียวสักกายทิฏฐิ

#โสดาบัน กับ #พระสกิทาคามี พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย มีศีล ๕ บริสุทธิ์ สำหรับฆราวาส

ฉะนั้นคนที่เป็น #พระโสดาบัน มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตายเฉยๆ ไม่ใช่ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา พระโสดาบัน กับ พระสกิทาคามี มีความรู้สึกแค่ตาย เป็น มรณานุสสติกรรมฐาน ในสมถภาวนา

ถ้า #พระอนาคามี มีความรู้สึกจริงใจ จดจ่อ จำอยู่เสมอว่าร่างกายนี้มันเน่า มันสกปรก มันสกปรกโสโครกน่าสะอิดสะเอียน ตัด กามฉันทะ ได้

อารมณ์ของพระอรหันต์เท่านั้น ที่มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่ในเรา ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทราบตามนี้ ภิกษุ สามเณรก็เหมือนกัน ขอยืนยันว่าไม่ผิด

จากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม ๙ หน้า ๒๘







#เราจะบวชหรือไม่บวชก็ไม่เป็นปัญหา

เพราะครั้งพุทธกาลฆราวาสมีพระโสดาบันก็ดีที่เป็นเพศหญิง และชายที่อยู่ในฆราวาส พระสกทาคามีก็ดี พระอนาคามีก็ดีมีมากจนนับไม่ไหวเสียแล้ว ไม่สำคัญกับเพศเลย และไม่สำคัญกับชั้นวรรณะอีกด้วย

แม้ฆราวาสเป็นพระอรหันต์ก็มีอยู่ถมไปเช่นพระสุทโธทนะ หรือ พระพาหิยะ เป็นต้น การดูแลเลี้ยงบิดามารดากับดูแลเลี้ยงพระอรหันต์ก็มีอานิสงส์เท่ากันพระบรม ศาสดายืนยันไว้แล้ว ในพระวินัยของพระภิกษุสงฆ์

เราจะทิ้งวิชาที่เราเรียนอยู่เดี๋ยวนี้ หลวงปู่ไม่เห็นดีด้วย เพราะวิชาเหล่านี้ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นสุวิชาแล้ว คือเป็นวิชาดีไม่ใช่ทุวิชาคือวิชาชั่ว

เราจะปฏิบัติควบกับศีลธรรมของเราได้ทั้งนั้น และขอให้เข้าใจว่าพระโสดาบันก็ดี พระสกทาคามาก็ดี พระอนาคามีก็ดี ครองฆราวาสได้ทั้งนั้น เว้นพระอรหันต์เสีย

เมื่อเป็นอรหันต์ในฆราวาสแล้วจะอยู่ได้เพียง 7 วันเท่านั้น เพราะไม่สมฐานะพระอรหันต์จะไปอยู่นาน เพราะเพศเป็นฆราวาส ถ้าหากว่าเป็นเพศภิกษุสามเณรแล้วอยู่ไปได้จนสิ้นอายุขัย ข้อนี้ตอบตามปริยัติ

ส่วนฝ่ายปฏิบัติบางองค์ท่านยืนยันว่าเมื่อสำเร็จพระอรหันต์เป็นฆราวาส แล้วอยู่ไปจนสิ้นอายุขัยก็ได้ แต่ก็ขอให้พิจารณาเอาเองเถิดในข้อนี้

#หลวงปู่หล้า #เขมปัตโต







"อย่าลืมตัวเป็นอันขาด! กิเลสมันติดตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะขณะไหนทั้งสิ้น ขณะที่สนใจธรรมก็ตาม กิเลสก็อยู่ในนั้น อยู่ในหัวใจเรานั่น ขณะกำลังนั่งขัดสมาธิก็ตาม ขณะกำลังคิดค้นคว้าอะไรก็ตาม กิเลสก็อยู่ประจำในหัวใจเรา

พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี กิเลสก็อยู่เต็มหัวใจท่านอยู่นั่น! กิเลสคืออวิชชา ยังอยู่เต็มหัวใจท่านอยู่นะ เพียงแต่มันออกทำงานในแง่ไหนๆ ที่ท่านรอบรู้แล้วไม่ได้เท่านั้น แต่ตัวมันเองยังอยู่ทั้งตัว มีพระอรหันต์ประเภทเดียวเท่านั้นที่กิเลสขาดได้เลย ดับไปเลย นอกนั้นกิเลสยังมี เต็มเหมือนเราๆ ท่านๆ เนี่ยแหละ แต่มันออกทำงานไม่ได้แล้ว ท่านตัดเครื่องไม้เครื่องมือมันออก ตัดทางหากินออกได้ พระโสดาบันตัดได้แค่นั้น พระสกิทาคามีตัดทางปิดทางหากินมันได้แค่นั้น พระอนาคามีปิดช่องทางหากินของมันได้แค่นั้น ๆ ตัวมันยังอยู่ แต่มันออกทำอะไรไม่ได้เลย

เมื่อถึงพระอรหัต พระอรหัตผลเท่านั้นแหละ ที่กิเลสกับจิต จากกันเด็ดขาด ดับสูญสิ้นไปเลย ดับมันสิ้นเชิง ดับกิเลสสิ้นเชิงออกไปจากใจ มีได้เฉพาะบุคคลผู้เดียว คือพระอรหันต์เท่านั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รวมอยู่ในนี้ รวมอยู่ในคำว่าพระอรหันต์นี่

เราจึงต้องระลึกรู้ตัวไว้เสมอ กิเลสมันไม่ได้เบาลง ไม่ได้อะไรออกไปแหละ มันอยู่ทั้งตัว ในขณะไหนก็ตามเถอะ พร้อมจะทำงานทุกขณะ มันเป็นความเข้าใจถูกประเภทนึง ส่วนใหญ่แล้วเราไม่ค่อยเข้าใจแบบนั้น เข้าใจว่ากิเลสมันขาดไปแน่ะ ‘เราไม่มีแล้วกิเลสตัวนี้ กิเลสตัวนั้นเราเบาบางแล้ว’ ที่ไหนได้ ความเป็นจริง มีอยู่ทั้งหมด ซ่องสุมกำลังอยู่นั่น เราเผลอเมื่อไหร่เป็นออกทำงาน เราไม่เผลอก็ตามเถอะ!

เราไม่เผลอ ในขณะที่เราเดินจงกรม ในขณะที่เรานั่งสมาธิ ในขณะนั้นนับว่าความเผลอน้อยที่สุดแล้ว ตัวมันก็อยู่ในนั้น ตัวกิเลสอวิชชา ครอบงำไว้ตลอด ตั้งกี่ล้านกัปล้านกัลป์ นับไม่ได้หรอก หยั่งลงไปไม่ได้เลย ว่าเราเคยเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นอย่างนี้มาตลอดกาล และถ้าปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้ ก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอดไป"

พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต
วัดภูสังโฆ จ.อุดรธานี






"งามร่างกายนี้ ยังไงๆ ก็ต้องแก่
แต่งามในศีลนี้ ชาตินี้ ก็งาม
ชาติหน้า ก็งาม"

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร







"กลัวผีเหรอ???

ในท้องแก ก็มีผีเต็มไปหมด
มีทั้งผีเป็ด ผีไก่ ผีหมู สารพัดผี
แกยังไม่เห็นกลัวเลย

แท้จริงแล้ว ถึงผีจะมีจริง
แต่ตัวปัญหาที่ทำร้ายเรา
ทำให้เราเป็นทุกข์ กลับไม่ใช่ผี
หากแต่ว่าเป็น ความกลัวผีต่างหาก

แถมยังทำร้ายซ้ำๆ ซากๆ
อยู่ตลอดทุกนาที ตราบเท่าที่สติเรา
ตามรู้ไม่ทัน"

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร