วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2022, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"... ความพอใจ...ในสิ่งที่มีอยู่... "
#เป็นทรัพย์อันประเสริฐ

#หลวงปู่ขาว_อนาลโย






"..#ทุกวันนี้มีแต่คนทำบุญไม่มีคนภาวนา พอมีผ้าป่า กฐิน มีเทศกาลอะไร คนเต็มวัดแต่จะหาคนไปอยู่วัดนอนวัดปฏิบัติธรรมมีน้อย วัดไหนก็เงียบๆ ไม่เหมือนสมัยหลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ฝั้น สมัยนั้นคนชอบเข้าวัด

สมัยนี้คนไปวัดก็ไปแต่ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน จะไปปฏิบัติละกิเลสเอาบุญในการปฏิบัติไม่ค่อยมี ทั้งๆ ที่เป็นบุญหลัก บุญสะอาด บุญขาว บุญไม่ติด ไปทำบุญทำทานทำมากก็ติด

ทำบุญอย่าไปติดบุญ เหมือนกินข้าวอย่าไปติดข้าว เอากำลังจากกินข้าวไปทำการทำงานมันถึงจะถูก ใครจะบ้าฟันไม้ ไม้มันขาดยังจะไปแบกขวานอยู่

ก็คนโง่เท่านั้นล่ะทำบุญแล้วยังไม่รู้จักบุญ อีกอย่างคนสมัยปัจจุบันทำบุญแล้วยังขอถ่ายรูปบุญตัวเองทำแท้ๆ ไม่รู้ไม่เห็น เอาไปไว้ในเมมโมรี่หมด ใจเราน่ะทำไมไม่ฝังบุญไว้ ให้บุญมันติดที่ใจสิ

ทำบุญไม่ใส่ใจบุญ ทำบุญไม่สนใจบุญอย่างนี้คนจึงไม่ชอบภาวนาไม่เอากัน.."

พระอาจารย์โสภา สมโณ
๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙








#บ้าหลงสังขาร

จิตพ้นจากกามกิเลสไปแล้ว ท่านว่า
จากนั้นก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ซึ่งหมุน
ตัวเป็นเกลียวเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่าย
เดียว
"รอไม่ได้เลย หมุนติ้ว ๆ สติปัญญาอัต
โนมัตินี้คือสติปัญญาแก้กิเลสฆ่ากิเลส
เป็นอัตโนมัติ ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอน เว้นแต่หลับเท่านั้น พอตื่นนอน
ขึ้นมาสติปัญญานี้จะจับงานอัตโนมัติของ
ตนแล้วเป็นลำดับลำดา นี่คือสติปัญญา
อัตโนมัติทำงาน แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ ทีนี้เรื่องความพากความเพียรที่เราจะ
หมุนอย่างที่ว่าเพียรพยายามถูไถกันไป
อย่างนี้ไม่มี ในวงที่ว่าสติปัญญาอัตโน
มัติ มีแต่หมุนตัวไปเองเพื่อความพ้นทุกข์
ๆ แก้กิเลสโดยอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนแก้
ตลอด ๆ ไม่มีคำว่าพัก
'โห เอาเสียจนบางคืนนอนไม่หลับเลย
นะ เป็นคืนสองคืนนอนไม่หลับ' "
เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว มันยิ่งเห็นโทษเห็นภัย
ของกิเลสอย่างหนัก ขณะเดียวกันก็เห็น
คุณค่าของความหลุดพ้นมีน้ำหนักเท่า ๆ กัน
"มันก็พุ่งน่ะสิ มีแต่ว่าตายเท่านั้น เรื่อง
แพ้ไม่พูดเลย แพ้ก็ต้องแบกหามลงเปล
ไปเลย ที่จะให้ยกมือยอมแพ้นั้นไม่มี ซัดกันขนาดนั้น ถ้าได้ลงทางจงกรมแล้ว
มันไม่รู้จักหยุด ไม่ว่าเวล่ำเวลาร้อนหนาว
มันไม่ได้สนใจ คือจิตมันอยู่ที่นี่มันไม่ได้
ออกนะ ออกไปตามดินฟ้าอากาศนี้ไม่ได้
ออกไปหาร่างกายนี้วันหนึ่งมันก็ไม่ได้
ออก มันฟัดกันอยู่ภายในเหมือนนักมวย
เข้าวงใน ว่างั้นเถอะนะ ใครจะไปสนใจ
เรื่องความเจ็บความปวด มันไม่สนใจนะ
อันนี้กิเลสมันเข้าวงในนะ ระหว่างธรรม
กับกิเลสฟัดกันวงใน มันเป็นอย่างนี้ หมุนติ้ว ๆ เดินจงกรมตั้งแต่ฉันอาหาร
เสร็จแล้วจนกระทั่งถึงเวลาปัดกวาดตอน
เย็นนะ มันเดินได้ยังไง คือมันไม่รู้เวล่ำ
เวลา
จนกระทั่งเวลาหยุดจากทางจงกรม แล้วมองเห็นกาน้ำนี้มันจะตายเลย มันไม่
ได้กินน้ำโดดคว้ากาน้ำมารินนี้ กลืนนี่ โห กลืนไม่ทัน สำลัก กั๊กๆๆ เวลามันฟัดกันนี่
ไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้นะ เวลาออกมา
แล้วมาเห็นกาน้ำนี่สิ โอ้โห โดดใส่เลย
เชียวนะ มันจะตาย แหมมันขนาดนั้นนะ
เราไม่ถึงฝ่าเท้าแตกแต่ออกร้อน โอ้โห เหมือนไฟลนแหละ พอมาถึงที่พัก
ถึงรู้นะตอนนั้นไม่รู้ แดดก็ไม่รู้ร้อน มันไม่
สนใจกับแดดกับฝนอะไร แต่ไม่ได้เคย
ตากฝนเดินจงกรม แต่ตากแดดนี่เคยแล้ว
เราเอาผ้าอาบน้ำมาพับครึ่งแล้วก็มัดผูก
บนศีรษะนี้ แล้วก็มาผูกใส่คางเหลือแต่
ตา
เดินจงกรมกลางแจ้งทีเดียว บนไร่ร้าง
สวนร้างเขา เอากันอยู่นั่นไม่มีร่มเลย ร่มไม่ร่มช่างหัวมัน ฟาดลงนั่นเลย ทำได้นะ ไม่สนใจกับร้อนกับหนาวอะไร
เลย เพราะอันนี้มันรุนแรงภายในใจ
นี่ แล้วไม่ใช่เดินอยู่วันหนึ่งวันเดียว นั่นซี มันเป็นประจำของมันอย่างนั้น พอเข้าทางจงกรมแล้ว เท่านั้นแหละ ไม่มีเวล่ำเวลานาทีมายุ่งกวน มีแต่อันนี้
ฟัดกันอยู่ภายใน หมุนติ้ว ๆ เราก็เดิน ก็เดินไปยังงั้นล่ะ แต่ทางนี้ทำงานอยู่
ตลอดเวลา เดินสะเปะสะปะไปตามเรื่อง
ของมัน ทีนี้เดินไม่หยุดสิ วันนี้ก็เดินวัน
หน้าก็เดิน เดินหลายวันต่อหลายวัน
เดินจงกรมไม่รู้จักหยุด ไม่รู้ว่าเหนื่อย
ว่าอะไร เพราะมันหมุนติ้ว ๆ อยู่นี่ งานอยู่นี้เดินไปบางทีเดินจงกรมนี้ โน่นเซซัดเข้าไปในป่าโน่น โครมครามใน
ป่าโน่น เพราะจิตมันไม่ออก ตาก็มืดมัว
ไปหมดละซี มีแต่ขาก้าวไป ๆ ก็เข้าไป
โน่น แล้วออกมาอีกที เอาอีกอยู่งั้น คำว่าน้ำท่าอะไร ๆ ไม่สนใจทั้งนั้น เมื่อถึงขั้นตะลุมบอนกัน"
"ปุถุชนเรานี้คิดเรื่องใดก็ตาม กิเลส
ต้องเป็นอัตโนมัติของมันตลอด ๆ ไป นี่เว
ลากิเลสมีกำลังมากเป็นอย่างนั้นนะ ทีนี้
บทเวลาสติปัญญาขั้นนี้ขึ้นมามันรับกันล่ะซิ พอสติปัญญาขั้นนี้ขึ้นมามันฆ่ากิเลส ทีนี้ฆ่ากิเลสมันก็เพลินในการฆ่ากิเลส เพลินไปเพลินมาเลยกลายเป็นอัตโนมัติไป หมุนติ้ว ๆ เลย อยู่ไม่ได้ต้องฆ่าตลอด
ๆ นี้เรียกว่าวิวัฏจักรหมุนกลับ
แต่ก่อนกิเลสมันเป็นวัฏจักร หมุนจิต
เข้ามาสู่ความทุกข์ทั้งหลาย ทีนี้เป็นวิวัฏ
จักร ด้วยสติปัญญาอัตโนมัตินี้ มันหมุน
จิตกลับออกจากกองทุกข์ หมุนเรื่อย ๆ หมุนติ้ว ๆ จนกระทั่งกลางคืนทั้งคืน นั่งภาวนามันพิจารณาของมันตลอด นอน
มันก็พิจารณาของมันตลอด อยู่อิริยาบถ
ไหนเรียกว่าไม่มีอิริยาบถ คือมันเป็นสติ
ปัญญาตลอดเวลาไม่ว่าจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน มันจะเป็นสติปัญญาฟัดกับกิเลส
ตลอดเวลา แม้ที่สุดเราฉันจังหันอยู่นี้ จิตมันไม่ได้อยู่กับอาหารนะ มันจะทำงาน
ของมันอยู่ในนั้น หมุนติ้ว ๆ ซัดกันอยู่ใน
นั้น นี่ละสติปัญญาอัตโนมัติ นี่ละฆ่ากิเลส
ที่นี่ เริ่มละนะ เริ่มเรื่อยๆๆ ไป
ถ้าลงได้ก้าวลงไปเดินจงกรมแล้วไม่รู้
จักหยุดยั้งน่ะ จนกระทั่งเวลา เช่น เวลา
ปัดกวาด ฉันจังหันเสร็จแล้วลงเดินจง
กรม นานขนาดไหนฟังซิ มันรู้เมื่อไรว่า
เช้าสายบ่ายเย็นที่ไหน มีแต่กิเลสกับ
ธรรมฟัดกันอยู่ภายในใจหมุนติ้ว ๆ นี่ถ้า
เป็นนักมวยก็เรียกว่าเข้าวงใน ไม่รู้จักเป็น
จักตาย นักมวยเข้าวงในกันเป็นอย่างนั้น อันนี้กิเลสกับธรรมเข้าวงในกันก็แบบ
เดียวกัน วงนี้วงจะออกจากทุกข์แล้วนี่ หมุนติ้ว ๆ เดินจงกรมตั้งแต่ฉันจังหันเสร็จ
แล้วจนกระทั่งถึงเวลาปัดกวาด ถึงด้อม ๆ
มาจากทางจงกรม วันนี้ก็เดิน คืนนี้ก็เดิน
วันหน้าก็เดิน คืนหน้าก็เดิน เดินไม่หยุด
ไม่ถอยฟัดกับกิเลส จนกระทั่งกิเลสขาด
สะบั้นลงเมื่อไรถึงจะหยุดได้ แล้วมันมีเว
ลากี่วันกี่ปีกี่เดือน นั่นฟังซิน่ะ เดินอยู่อย่างนั้นตลอด
ถ้าลงได้เดินก็ไม่รู้จักหยุด ถ้าได้นั่งก็
เอา ไม่รู้จักเคลื่อนจักไหวเพราะทางภาย
ในมันไม่ได้ออก มันหมุนของมันอยู่ภาย
ใน นี่ละฝ่าเท้าถึงแตกเพราะเดินไม่หยุด วันนี้ก็เดินวันหน้าก็เดิน เดินหลายวัน
หลายคืนมันก็แตกล่ะซิ ทีนี้มาพิจารณา
ถึงเรื่องความเพียรที่มันเป็น นี่ท่านเดินจง
กรมฝ่าเท้าแตกเพราะเหตุนี้เอง ถ้าธรรมดาเราบังคับบัญชาเราเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ร้อยทั้งร้อย พันทั้งพันเรา
ยังไม่อยากเชื่อนะ แต่พอก้าวเข้าถึงขั้น
ความเพียรอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติ
แล้วเชื่อทันทีเลย"
"อ๋อ ท่านเดินจงกรมฝ่าเท้าแตก ยอมรับทันที อ๋อ เดินแบบนี้เอง เดินฝ่าเท้าแตก เราเองฝ่าเท้าไม่แตก แต่ได้เอามาดูจริง ๆ พอมานั่งหยุดพัก
เดินจงกรม ฝ่าเท้านี้เหมือนไฟลนนะ ออกร้อนวูบ ๆ ๆ 'โอ้โห ทำไมฝ่าเท้าเรา
จึงเป็นอย่างนี้' พลิกออกมาก็มาดูหรือฝ่า
เท้าแตกหรือยังไง มาดูไม่แตก แต่เวลา
เอามือลูบ ๆ มันเสียวแปลบ ๆ ๆ นี่จวนจะ
ทะลุแล้วนะ ฝ่าเท้ามันทะลุถึงเนื้อเข้าใจ
ไหม หนังเรานี่เดินนานเข้ามันบางเข้า ๆ มันทะลุจะถึงเนื้อ เรามาลูบฝ่าเท้าเรานี้
มันก็ไม่แตก หรือมันฝ่าเท้าแตก ทำไม
มันออกร้อนหนักหนา มาดูมันไม่แตก แล้วเอามือลูบดู โอ๊ย เสียวแปลบ ๆ ออก
ร้อน นี่ถ้านานกว่านี้จะแตก นี่จับได้ตรงนี้
เราฝ่าเท้าไม่แตก แต่ว่าจะแตก ถ้านาน
กว่านี้ไปแตกแน่ ๆ นี่ละเรื่องของความ
เพียรของผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร ไม่ต้อง
มีใครบอกนะ เป็นอยู่ในหัวใจนี้แล้วยังไง
ก็ไม่อยู่"
"ตายก็ให้ไปเลย ที่จะมาถอยให้กิเลส
บีบคั้นอย่างแต่ก่อนถอยไม่ได้แล้ว นั่นเห็นโทษขนาดไหน ถึงว่าถอยไม่ได้
แล้ว ต้องเอาตายเข้าว่าเลย ถึงธรรมขั้น
ที่กระจ่างแจ้งจะให้หลุดพ้นโดยถ่าย
เดียวแล้วจะอยู่ไม่ได้เลย ต้องหลุดโดย
ถ่ายเดียว ไม่หลุดก็ เอ้า! ตาย ให้ถอยให้
ยกมือไหว้ไม่มี เอาตายเข้าว่าเลย"
ทีนี้เวลามันไปเต็มที่แล้ว นั่งเหนื่อย
แล้วนอน นอนให้มันหลับมันไม่ยอมหลับ
มันหมุนของมันเหมือนกับนั่งอยู่นั้นละ หมุนฆ่ากิเลส 'เอ๊ นั่งก็เหนื่อย นอนก็
เหนื่อย เอ้า ลุกขึ้นมานั่งอีก สุดท้ายแจ้ง
ไม่หลับเลย อ้าว กลางวันยังจะไม่หลับ
อีกนะ มันยังหมุนของมันอยู่ตลอดเวลา วันนี้ไม่หลับ วันหลังก็ไม่หลับอีกกลาง
คืน อัาว มันจะตายแล้วนะ ทำไมเป็นอย่างนี้'
เรื่องอ่อนน่ะอ่อนนะ คือมันจะเป็นความ
ลำบาก เป็นความอ่อนเพลียภายในหัวอก
ของเรานี้ คือสติปัญญามันทำงานอยู่ตรง
นี้ สังขารคือทำงานนั่นเข้าใจไหม มันทำ
งานอยู่ในนี้ สังขารมันทำงาน สังขาร สัญญาที่คาดที่หมายที่คิดกับกิเลสจะฆ่า
กิเลสมันไปด้วยกันนั่นแหละ แต่เป็นสัง
ขารของมรรค สัญญาของมรรค ไม่เป็น
สัญญาของสมุทัยสังขารของสมุทัย
เหมือนแต่ก่อนเข้าใจไหมล่ะ แต่มันก็
หมุนของมันอยู่นี้
ทีนี้มันก็เหนื่อยล่ะซี ทำงานอยู่ตลอด
เวลาเหนื่อย ทีนี้เราจะมาพัก พักมันก็ไม่
ถอย มันหมุนของมัน เรียกว่าทางแพ้ไม่
มีพูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้นนะ เรื่องแพ้ไม่มี
เมื่อเรื่องแพ้ไม่มีมันก็ต้องหมุนของมัน
เรื่อย อันนี้ก็แจ้ง
'อู๋ย ยังไงกัน กลางวันก็เป็นอย่างนี้มัน
จะไม่ตายเหรออย่างนี้ วิตกนะ วิตกวิจารณ์หือ ขนาดนี้มันจะไม่ตายเหรอ
มันทำไมลำบากลำบนนักหนา'
จนกระทั่งถึงได้ย้อนหลังมาคิด ที่เรา
เคยคิดด้นเดามาแต่ก่อนด้วยความคาด
ความหมาย เวลานี้เราลำบากลำบนแต่
ก่อนเพราะเรายังไม่ได้รากได้ฐาน แต่เวลาได้รากได้ฐานจิตมีความละเอียด
ลออเข้าไปเท่าไร การงานของเราจะ
ค่อยเบาไป ๆ สะดวกสบายไปและพ้น
ทุกข์ไปเลย มันคาดนะนั่นนะ มันคิดมัน
ด้นมันเดา แต่เวลามันได้เหตุได้ผลของ
มันมากเท่าไรมันยิ่งหมุนของมันใหญ่มันไม่ได้คิด แต่เวลามันไปเจอจัง ๆ ที่เป็น
ปัจจุบันตัวเป็นเองมันก็เอามาคิด
'โห ที่เราคาดคิดเอาไว้ว่าแต่ก่อนเวลา
จิตเราหยาบนี้มันก็ต้องทุกข์ลำบาก เวลา
จิตละเอียดเข้าไปเท่าไรมันก็จะค่อย
สบาย ๆ อย่างนี้มันผิดทั้งเพ เวลามันได้
ผลมันยิ่งหมุนของมันใหญ่เลย มันยังไง
กัน ๆ คิดแย็บเดียวเท่านั้นเดี๋ยวมันก็หมุน
ของมันไปอีก'
จนกระทั่งไม่ไหวแล้วต้องวิ่งขึ้นหาพ่อ
แม่ครูอาจารย์ แต่สำหรับพ่อแม่ครูอา
จารย์กับเรานี้ท่านจะเห็นเหตุผลอะไรไม่
ทราบนะ ถ้าหากว่าเป็นไม้ก็ยกมาทั้ง
ท่อนเลยให้ไปจาระไนเองให้ไปเลื่อยเอง
ท่านไม่เลื่อยให้ไม่จาระไนให้ไม่อธิบาย
แยกแยะนะ ท่านจะโยนตูมมาให้เลย
"ทีนี้ก็ขึ้นไปหาท่านล่ะซี นี่ที่พ่อแม่ครู
อาจารย์ว่าให้พิจารณาทางด้านปัญญา
นั้น
'เวลานี้มันออกแล้วนะ' ก็ว่างั้น 'มันออกยังไงว่าซิ' ท่านว่า 'โอ๋ย มันไม่
ได้นอนทั้งวันทั้งคืนเลย เวลามันได้หมุน
ตลอดเลยทั้งวันทั้งคืนไม่ได้นอน นี่ก็ไม่ได้นอนมาสองคืนแล้ว'
ท่านก็ใส่เปรี้ยงเลยนะ 'นั่นละมันหลง
สังขาร' ท่านว่า นั่นฟังซิสังขารทางนี้ก็
ปั๊บเข้าไป 'ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้'
'นั่นละบ้าสังขาร' "

#บ้าหลงสังขาร

โดยปกติท่านอาจารย์มั่นจะพูดกับท่านแบบธรรมดาคล้ายพ่อแม่พูดกับลูก แต่หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการภาวนาแล้ว จะไม่พูดแบบธรรมดาเลย แต่จะจริงจังเด็ดขาดและพูดอย่างคึกคักเต็มที่ ซึ่งถูกกับจริตนิสัยที่ผาดโผนจริงจังของท่านมาก คราวนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่เพลินกับการพิจารณาทางด้านปัญญาถึงกับลืมหลับลืมนอน จนกระทั่งท่านอาจารย์มั่นต้องได้ใส่ปัญหาแก่ท่าน ดังนี้

"...เวลามันออกทางด้านปัญญาแล้วนะ

"โห ! มันพิจารณาทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน นี่ก็ไม่ได้นอนมา 2 คืน 3 คืนแล้ว มันหมุนติ้วๆ เลย ทั้งวันเลย"

"นั่นละ มันหลงสังขาร" ท่านอาจารย์มั่นว่า

จึงโต้เหตุผลกับอาจารย์มั่นว่า

"ไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ ถ้าไม่พิจารณา มันก็ไม่รู้"

"นั่นละ บ้าสังขาร บ้าหลงสังขาร..."

ทีแรกนี้ท่านไม่เข้าใจคำว่า บ้าหลงสังขาร เพราะท่านอาจารย์มั่นก็ไม่ได้อธิบายถึงความหมายไว้ให้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านรู้ถึงอุปนิสัยของลูกศิษย์ว่าเป็นคนผาดโผน จึงได้ใส่ปัญหาแบบผาดโผนให้ ต่อเมื่อผ่านไปแล้ว ท่านจึงเข้าใจความหมายดังนี้

"...ความหมายท่านว่า ถ้าจะพูดให้พอเหมาะนะคือ เราจะใช้ทางด้านแก้กิเลสก็ตาม เรื่องของมรรคก็ตาม เรื่องของสมุทัยก็ตาม จะต้องเอาสังขารนี้ออกใช้ แต่เวลานี้สังขารมันใช้จนเลยเถิด มันเกินประมาณ มันเป็นสมุทัย ให้ใช้พอเหมาะพอดีมันจึงเป็นมรรคฆ่ากิเลส นี่มันเลยเถิดแล้ว จึงไม่ได้หลับได้นอน

เพราะงั้นท่านถึงบอก มันหลงสังขารคือสังขาร มรรคที่แก้กิเลสนี้ มันเป็นสมุทัยอยู่ในตัวของมันนั้น นี้เราไม่รู้นี่ ท่านเหนือกว่า ท่านรู้นี่ เราถึงได้เถียงกับท่าน

"ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้"

"นั่นแหละมันหลงสังขาร บ้าหลงสังขาร"

ขนาบเลย ทิ้งหมดเลยปัญหานี้ท่านไม่เอาไว้เลยนะ ท่านโยนทิ้งหมด ให้เราหาใหม่..."

คัดลอกจากหนังสือ "หยดน้ำบนใบบัว"
คติธรรมและชีวประวัติ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
เรียบเรียงจากเทศนาธรรมของท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน







#วิราคธรรม #เป็นยอดของธรรมะ
#ตัวนี้เป็นตัวหลุดพ้น

นิพพิทา จึงวิราคะขาด
นิพพิทา คือความเบื่อหน่าย
ทุกอย่างถ้าเบื่อหน่ายมันไม่เอาทั้งนั้นล่ะ
ของใช้จนเบื่อให้เราเอาอีก เราก็ไม่เอา

เมื่อไหร่เราจะเบื่อ
เบื่ออย่าให้เป็นโทสะ
ให้เบื่อด้วยเป็นผู้มีสติปัญญา
เบื่อด้วยความแช่มชื่นเบิกบาน

ให้เบื่อแบบนั้น เบื่อด้วยความรู้
ไม่ใช่เบื่อแล้วหงุดหงิดหน้าเหี่ยวหน้าแห้งไป
เดินก้มหน้ามุดหนีไป
นั่นคือเป็นกิเลส

แต่เบื่อด้วยความแช่มชื่นเบิกบาน
ไม่ต้องการไม่น่าปรารถนา
ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น

เบื่อหน่ายขันธ์ ๕ ลบสมมุติ
คลายความกำหนัด คือไม่ปรารถนา
ไม่มีความยินดี

วิราโค เตสํ อคฺคมกฺ ขายติ

อาตมาค้นพระไตรปิฏกมาเจอตรงนี้
วิราคธรรม เป็นยอดของธรรม
เอามาวิจัยตรงนี้

วิราคะ คือคลายความกำหนัด
สิ้นความยินดี ไม่ปรารถนาอีก

วิราคธรรม เป็นยอดของธรรมะ
ตัวนี้เป็นตัวหลุดพ้น

ถ้าไม่ได้ตัวนี้ ก็หลุดพ้นไม่ได้
จิตต้องมีตัวนี้
คลายแล้วเขาก็ไม่ยึดแล้ว
คลายความยึดมั่นถือมั่น

#หลวงปูเปลี่ยน






เป็นฆราวาสก็เบื่อโลก
เบื่อเรื่องยุ่งๆ เรื่องเงิน เรื่องทอง
เรื่องเพื่อน เรื่องฝูง เรื่องวุ่นวายต่างๆ

ครั้นมาเป็นพระ ก็เบื่อพระอีก
เบื่อพระที่ไม่ตั้งใจทำจริง

ตกลงเลยไม่เอาใครทั้งนั้น
จะเป็นพระ เป็นผีก็ตาม
เราขอหนีไปให้พ้นจากโลกนี้เท่านั้น

#ท่านพ่อลี #ธัมมธโร






ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้ว เป็นเหมือนถังขยะ
ที่คอยเก็บอานิสงส์ของกรรมดีชั่ว
แล้วก็ให้ผลแก่เราเป็นผู้เสวย
ถ้าเรานำชีวิตที่เราพิจารณา
เห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว
น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นภายในใจ
ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละ
จะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที
เพราะร่างกายของคนนี้ไม่มีค่า
มันมีค่าอยู่ที่หัว ใจที่มีธรรม
รูปธรรมทุกๆ อย่างจึงเป็นผ้าขี้ริ้ว
นามธรรมคือหัวใจ
ที่ฝึกปฏิบัติ จนได้เห็นธรรม
ตามความสามารถ
นั่นแหละเป็นทอง คือธรรมสมบัติ
อันล้นค่า ปรากฎเด่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน

#หลวงปู่เจี๊ยะ #จุนโท







"กฎของกรรมนั้น เที่ยงเสมอ
หากเราไม่เคยก่อกรรมนั้นมาก่อน
วิบากกรรมนี้ ก็เกิดกับเราไม่ได้"

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 44 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร