วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2021, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของปาก
ใครจะพูดจะทำอะไร
มันก็กรรมของเขา
ในครั้งพุทธกาล
ก็มีคนนินทาพระพุทธเจ้า
มันก็กรรมของเขาแหละ
เราไม่ไปทุกข์กับมัน
มันก็ไม่ทุกข์หรอกเรื่องของเขา
เรื่องของเราคือรักษาใจ รักษาความดี

โอวาทธรรม หลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี






#สติคือชีวิต

#สติ คือ #ชีวิต
หลวงพ่อชาเคยสอนว่า ...
ผู้ที่ไม่มีสติ...เป็นบ้า
ขาดสติ 5 นาทีเท่ากับเป็นบ้า 5 นาที
ท่านว่าอย่างนั้นขาดสติชั่วโมงก็บ้าชั่วโมง

ฉะนั้น ขอให้พวกเรามีสติ ชีวิตจะมีความมั่นคง
เราจะเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ เชื่อตัวเองได้
เราจะไม่ต้องไปปลุกเสก ไม่ต้องสะเดาเคราะห์
ไม่ต้องขออะไรจากใคร...

พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ






“สงบจริงๆนั้น ไม่มีอะไรเลย แต่รู้สึกตนว่า ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องในที่นั้น นั่นล่ะความสงบแท้ แต่ว่าอันนี้พูดให้ฟังเพื่อเป็นอุบาย”

" โอวาทหลวงปู่เทสก์ เทสรังษี "

พากันตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติตามความสามารถของตน ถ้าหากคนเราไม่ปฏิบัติธรรมะ ก็จะไม่รู้จักธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความสุขอันใดจะเสมอเหมือนความสงบไม่มี คำนั้นเป็นคำจริง ถ้าหากปฏิบัติไม่ถึง พอจะเดาๆ คิดนึกเอาเฉยๆ ก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อันความที่จะเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆจังๆ นี่เป็นของยากมาก ถึงหากเราเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ถ้าหากปฏิบัติลงไปถึงตรงนั้นแล้วจะเชื่อขึ้นมา อ๋อ! ตรงนี้หรอกคำที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้นั้นว่ามีความสุข ความสงบ อย่างนี้เป็นต้น

ความสงบนั้นมันมีจากไหน คนเราโดยส่วนมากมันยุ่งมันวุ่นวายสารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง แส่ส่ายไปในที่ต่างๆ มันหาความสงบไม่ได้ เหตุนั้นคนที่เชื่อว่า ความสงบเป็นความสุข จึงค่อยมีน้อยนัก เพียงแต่เดาๆ คิดๆ นึกๆ ไปเฉยๆ ที่จะให้ถึงความสงบจริงๆจังๆ มันต้องละทุกสิ่งทุกประการ อารมณ์ทั้งปวงวุ่นวี่วุ่นวายอยู่ในใจของตนหายหมด ไม่มีเกี่ยวข้อง ถึงซึ่งความสงบจริงๆจังๆ ถ้ายังไปเกี่ยวข้องเรื่องต่างๆอยู่ มันยังไม่ถึงความสงบขึ้นมาได้ ความตรงนี้ล่ะ ที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เชื่ออย่างจริงๆจังๆ เราฝึกหัดนี้ฝึกหัดหาความสงบ ทุกอย่างทุกประการที่อบรมมาก็เข้าหาความสงบอย่างเดียว ความไม่สงบมันมีมาก อย่างเราตั้งแต่เกิดขึ้นมาก็หาความสงบไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งๆ ๒๔ ชั่วโมงจะเอาความสงบจริงๆจังๆ สัก ๕ นาทีก็ยังดี ๑๐ นาทีก็ยังดี นั่นล่ะเห็นแจ้งความจริงของพระพุทธเจ้าที่ทรงเทศนาไว้จริงในใจของเราเลย

การฝึกหัดในทางพุทธศาสนา จะหัดวิธีใดก็ตาม ถึงกัมมัฏฐานจะหัดต่างครูต่างอาจารย์ก็ตาม ก็ลงสู่ความสงบอันเดียวกัน อย่างเขาหัดยุบหนอพองหนอก็ดี สัมมาอรหังก็ดี อานาปานสติ มรณสติอะไรก็ดี คือให้เข้าถึงความสงบนั่นเอง แต่แท้ที่จริงเมื่อถึงความสงบแล้ว ไม่รู้จักความสงบซ้ำอีก ยังหาว่าความสงบเป็นความโง่ไปโน่นซ้ำอีก ความโง่อย่างนี้เคยไหม? หัดให้ถึงความโง่อันนี้ ไม่ถึงความโง่ไม่ได้ความฉลาดหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างให้มันเสียก่อนนั่นแหละ มันไม่ฉลาดก่อนหรอก ความสงบ จึงว่า เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ ที่เราปฏิบัตินั่นจะใช้อุบายแยบคายใดก็เอาเถอะ ที่ฟังเทศน์ฟังธรรมฟังอุบายจากครูบาอาจารย์ ทุกสิ่งทุกประการนั้นเรียกว่า อุบาย ครั้นเมื่อเข้าถึงความสงบแล้วนั้นเป็น แยบคาย

“แยบคาย” กับ “อุบาย” นั้นมันต่างกัน แยบคายนั้นใครสอนไม่ถูกรู้เฉพาะตนเองเป็นแยบคาย เข้าถึงความสงบแล้วนั่นแหละเป็นแยบคายของเรา แยบคายนั้นเมื่อถึงความสงบแล้ว เราจะเอามาสอนคนอื่นว่า ต้องทำอย่างนั้นๆ มันจึงเข้าถึงความสงบ อันนั้นเป็นอุบายอีก แยบคายแล้วมาเกิดเป็นอุบายของคนนั้น สอนคนอื่นต่อไป คนอื่นได้ฟังอีกก็เป็นอุบาย ครั้นเมื่อฝึกฝนอบรมเข้าถึงความสงบจริงๆ จังๆ เป็นแยบคายของแต่ละคน แยบคาย ก็คือ ตัวปัญญานั่นเอง จึงว่าพระพุทธศาสนานี้สอนให้เข้าถึงความสงบเสียก่อน จึงเรียกว่า สมถะ ถ้าไม่เกิดสมถะ ก็ไม่มี ปัญญา สมถะคือความสงบ ความสงบเกิดขึ้นมาในใจของตน มองเห็นหมดทุกสิ่งที่มันไม่สงบนั่น โทษของความไม่สงบเห็นที่นี่ เห็นแจ้งประจักษ์ในใจของตนเลย ชัดขึ้นมา นั่นล่ะคือตัว ปัญญา

ถ้าไม่เข้าถึงความสงบจิตใจยังฟั่นเฝืออยู่ จิตใจยังกระวนกระวายเกี่ยวข้องอยู่ถึงชัดถึงจริงก็ไม่เป็นของชัดด้วยตนเอง มันยังปะปนด้วยอารมณ์ต่างๆ ด้วยกิเลสทั้งปวง จึงต้องกระสับกระส่ายอยู่ร่ำไป เมื่อเข้าถึงความสงบนั่นเป็นต้น ชัดด้วยตนเองเลยที่เดียว อ๋อ!…อย่างนี้หรอกความความสงบ ที่ท่านว่า “ความสงบหาความสุขอันใดเสมอไม่ได้” มันอย่างนี้เอง ถ้าพูดโดยอนุมาน เมื่อไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งปวงหมดมาเกี่ยวข้องกับจิตแล้ว มันจะมีอะไรเหลือในที่นั้น? มันก็ไม่มีอะไรน่ะสิ อันที่มีสิ่งต่างๆ เกี่ยวข้องนั้น จิตมีสิ่งต่างๆ นั้นเรียกว่ามันไม่สงบ ไม่เห็นความสงบ

สงบจริงๆนั้น ไม่มีอะไรเลย แต่รู้สึกตนว่า ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องในที่นั้น นั่นล่ะความสงบแท้ แต่ว่าอันนี้พูดให้ฟังเพื่อเป็นอุบาย

ถ้าคนใดเข้าถึงความสงบแล้ว เห็นด้วยตนเองเลย คราวนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนไม่ว่าจะพูดจะคุยอะไรต่างๆ มองเห็นความสงบอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ในขณะนั้นจะไม่ได้ความสงบอย่างเต็มที่ มันก็คิดถึงความสงบ ระลึกถึงความสงบ เห็นความสงบอยู่ตลอดเวลา หากได้โอกาสเวลาว่างๆ เราทำความเพียร เดินจงกรม นั่งภาวนาก็ดี มันสงบ ยังเหลือแต่จิตอันเดียว ไม่มีสิ่งเกี่ยวข้อง มันก็สุขน่ะซีตรงนั้น มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง มันก็สุขนะซี คนที่ไม่เคยละสิ่งที่เกี่ยวข้อง เลยไม่เห็นความสุข เห็นว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องน่ะเป็นความสุขความสบาย โน่นละไปโน่นอีก มันยากที่รู้จักธรรมเห็นธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า

เหตุนั้น จึงว่าตั้งใจปฏิบัติไปเถิดไม่เป็นไรหรอก เราปฏิบัตินี่ถูกต้องแล้ว ปฏิบัติมุ่งหาความสงบนั้นถูกแล้ว ความไม่สงบมันมากมาย มันเป็นเองหรอก ความไม่สงบน่ะ มันเป็นตามเรื่องตามราวของมัน ของไม่สงบนั่นมันหากมีในนั้น ฉะนั้นสิ่งที่มันสงบน่ะมันหายาก สิ่งที่ไม่สงบน่ะมันหาง่าย ไปที่ไหนๆ ก็พบหรอกความไม่สงบ

เหตุนั้น ในชีวิตอันนี้ ขอให้ได้ความสงบสักพักหนึ่งเถิดในวันหนึ่งๆ ขอให้ได้ความสงบสักพักหนึ่ง ก็นับว่าดีอักโขแล้ว เอาละ.

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี





#อย่าคิดว่าจะได้เกิดเป็นคนอีกนะ..

ทำไมบางคนไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด บางคนชอบคิดว่าเกิดเป็นคนแล้ว ต้องเกิดเป็นคนอีก..

"คนมันมีความคิดแบบนี้แหละ เห็นว่าตายแล้วเกิดก็มี ตายแล้วสูญก็มี เห็นว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี มาเป็นคนแล้วก็ต้องมาเกิดเป็นคนอีก แบบนี้มีมาทุกยุคทุกสมัย อันนี้ท่านเรียกว่ายังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ไม่ใช่เป็นสัมมาทิฐินะ

พระอานนท์ก็เคยถามพระพุทธเจ้า คนเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะเกิดมาเป็นมนุษย์อีกอย่างนั้นหรือพระเจ้าข้า.. !!?

พระพุทธเจ้าท่านว่า..อานนท์ขนโคกับเขาโคอันไหนมีมากกว่ากัน

พระอานนท์ก็ตอบ..ขนโคมาก เขาโคมีน้อย

..เออ...อานนท์ คนเกิดมาเป็นคนแล้ว จะเกิดมาเป็นคนอีกเหมือนกับเขาโค..

..คนที่เกิดมาเป็นคนแล้ว ตายไปนี่ ไม่เกิดมาเป็นคนนี่เหมือนกับขนโค..

...คนที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์ได้ ไปเกิดบนสวรรค์ได้ ต้องเห็นว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี ชาตินี้มี ชาติหน้ามี อย่างนี้จะมั่นคงในศีลห้า มั่นคงในพระรัตนตรัย คือ..!!!
#พระพุทธ_พระธรรม_พระสงฆ์

#พุทธะ_แปลว่า_ผู้รู้_ผู้ตื่น_ผู้เบิกบานแล้ว
...จะไม่มีเศร้าหมอง มีแต่ความผ่องใส เพราะ
ทำแต่ความดีตลอดไป ทำความดีอย่างไร..
ไม่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เรียกว่ากายกรรม วจีกรรม ไม่พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มโนกรรม ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น เห็นชอบตามทำนองครองธรรม.."

#หลวงปู่คำบ่อ_ฐิตปัญโญ​.










"หน้าที่ของพระสงฆ์คือให้ธรรมะของพระพุทธเจ้า

สติเป็นเครื่องกั้นความเศร้าหมอง กั้นกิเลส

คนเราจะทำพลาดทำชั่วก็เริ่มที่การขาดสติ

เพราะฉะนั้น จึงต้องหันมาฝึกสติให้มาก"

หลวงปู่พล ยโสธโร
วัดภูหล่มขุม อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร







คนเราเกิดมาทุกรูปทุกนาม รูปสังขารเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าพระราชามหากษัตริย์ พระยานาหมื่น คนมั่งมี เศรษฐี และยาจก ล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น มีทางพอจะหลุดพ้นได้ คือ ทำความเพียรเจริญภาวนา อย่าสิมัวเมาในรูปสังขารของตน มัจจุราชมันบ่ไว้หน้าผู้ใด ก่อนจะดับไป ควรจะสร้างความดีเอาไว้

โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ
วัดประสิทธิธรรม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี







#วิชาหนังเหนียว​

"... วันหนึ่งมีผู้หญิงวัยแก่คนหนึ่ง แกอยากอยู่ยงคงกะพัน อยากหนังเหนียว นิมนต์ให้หลวงปู่เป่าหัวให้สุดยอดไปเลย หลวงปู่ก็สอนว่าของพวกนี้ไม่จีรังยั่งยืนศักดิ์สิทธิ์วิเศษเท่ากับภาวนาพุทโธหรอก แกก็ไม่เอาพุทโธ อยากหนังเหนียวอยู่อย่างเดียว
ท่านรำคาญจึงเป่าหัวปู๊ดๆ ให้แกก็กลับไปด้วยความสบายใจที่ได้ถูกเป่าเสกกระหม่อมด้วยวิชาหนังเหนียว
หลังจากนั้นเวลาผ่านไปประมาณครึ่งเดือน เสียงรถพยาบาลวิ่งเข้ามาที่วัดป่าภูริทัตต ฯ อย่างรีบด่วน จอดที่หน้ากุฏิหลวงปู่ ผู้หญิงคนเดิมร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด แพทย์พยาบาลนำเธอเข้ามากราบเรียนท่านว่า
“หลวงปู่เจ้าคะช่วยเป่ากระหม่อมถอดถอนวิชาหนังเหนียวให้ด้วยเถอะ ตอนนี้จะตายอยู่แล้ว ปวดท้องเหลือเกินไส้ติ่งจะแตกอยู่แล้ว หมอพยายามผ่าตัด เข็มฉีดยาก็ไม่เข้า เชือดเท่าไหร่ เฉือนเท่าไหร่ก็ไม่เข้า มันเหนียวจริง ๆ หนังดิฉันนี่”

#เธอพูดทั้งๆ_ที่มือกุมท้องอย่างน่าเวทนาสงสาร
#หลวงปู่จึงเป่าหัวให้_เธอก็กลับไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลโดยรีบด่วนได้อย่างปกติ

#หลวงปู่เจี๊ยะ_จุนฺโท







“ เกิดมาพบพระศาสนา ก็ให้รักษาศีลภาวนา ทำทาน คนที่ไม่อยากมาเกิดก็รีบภาวนา ใช้กรรมใช้เวรให้มันหมดแล้วก็ไม่ต้องมาเกิด อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกไม่พ้นชาตินี้ก็ให้พ้นชาติหน้า สร้างบุญต่อ… “

คติธรรมหลวงปู่บุญจันทร์ จันทสีโล
วัดป่ากิ่วดู่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่






#สมุทัย คือ อาการของจิตที่เคลื่อน
จากสภาพเดิม ปกติเดิมของใจ
ซึ่งมีอาการแว๊บออกไป
ขั้นแรกก่อน จะเป็นสังขารหรือ
อะไรต่ออะไรเยอะแยะ
แล้วเข้าไปยึดเอาเป็นอัตตา เป็น
อุปาทาน อันเป็นต้นเหตุของ
กองทุกข์จิปาถะ

ผู้ที่มาพิจารณาเห็นต้นตอ
บ่อเกิดของทุกข์
จนเห็นชัดแจ้งด้วยใจด้วยปัญญา
ของตน
ดังได้อธิบายมาแล้วนี้ จนละ
ความเข้าใจผิด
หลงติดยึดมั่นอยู่ในขันธ์ห้านี้ได้
ได้ชื่อว่า เป็นผู้มีปัญญาพิจารณา
เห็นสมุทัยสัจโดยแจ้งชัด
เป็นอันว่าได้ผจญต่อสู้กับศัตรู
ข้าศึก ทัพที่สองรองจากทุกขสัจจ์

#สมุทัย นี้พระพุทธองค์ตรัสว่า
เป็นของควรละ
และท่านผู้รู้ทั้งหลาย เมื่อมา
พิจารณากำหนด
เอาทุกข์เป็นอารมณ์อยู่
เมื่อเห็นทุกข์เป็นธรรม
เพราะจิตไม่เข้าไปยึดเอาทุกข์
นั้นมาไว้ที่จิต ถึงทุกข์นั้นๆ
จะไม่ปรากฏอยู่ที่จิตก็ตาม

แต่ทุกข์นั้นๆ ก็ยังปรากฏอยู่ที่
#ขันธ์ห้า
เพราะขันธ์ห้ายังไม่ดับแตกสลาย
เหตุนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
ทุกข์เป็นของควรกำหนด
มิใช่ของควรละ เพราะถึงละแล้ว
ก็ยังปรากฏอยู่

เมื่อสาวหาเหตุที่ก่อให้เกิดทุกข์
ก็จะปรากฏว่า ที่เป็นทุกข์
เพราะจิตเข้าไปยึดเอา #ขันธ์ห้า
มาเป็น #อัตตา ก่อนที่จิตจะเข้าไป
ยึดเอาขันธ์ห้า มาเป็นอัตตา
ก็จะปรากฏว่าอาการของจิต
เปลี่ยนจากสภาพปกติของเดิม
ของมัน คือ ...

อาการแว๊บออกจากใจอันหนึ่งนั้น
เอง ฉะนั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลายที่
เห็นภัยในทุกข์ที่มี
อยู่ในวัฏฏะด้วยใจ ด้วยปัญญา
อันชอบแล้ว
เมื่อจับต้นตอ..บ่อเกิดของทุกข์
ได้แล้ว

#ท่านจึงดำรงตั้งมั่น อยู่ในความ
เป็นหนึ่งของใจไม่มีสอง
แล้วละอาการของจิตทั้งปวง
ตั้งต้น แต่อาการแว๊บออกจากใจ
ครั้งแรกได้เลย

#ฉะนั้น สมุทัย พระพุทธองค์จึง
ตรัสว่าเป็น ของควรละ
เพราะเห็นเป็นโทษเป็นภัยของ
ทุกข์ทั้งปวงได้โดยแท้จริงแล้วจึงละ
แล้วก็ละได้เด็ดขาดจริงๆ เสียด้วย.

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี




“...ความสำคัญของทุกสิ่งในโลกก็คือใจ ถ้าใจหยาบทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็กลายเป็นของหยาบไปด้วย เช่นเดียวกับร่างกายสกปรก แม้สิ่งที่มาคละเคล้ากับกายจะเป็นของสะอาดสวยงามเพียงไร ก็กลายเป็นของสกปรกไปตามร่างกายที่สกปรกอยู่แล้ว ฉะนั้นธรรมจึงอดจะหยาบไปตามใจที่สกปรกไม่ได้ ถึงจะเป็นธรรมที่บริสุทธิ์หมดจด แต่พอคนมีใจโสมมเข้าไปเกี่ยวข้อง ธรรมก็กลายเป็นธรรมอับเฉาไปตาม เหมือนผ้าที่สะอาดตกลงไปคลุกฝุ่น หรือคนชั่วแบกคัมภีร์ธรรมอวดโลกให้เขารับนับถือ ซึ่งทั้งสองนี้ไม่มีผลดีต่างกันเลย คนที่มีใจหยาบกระด้างต่อศาสนาก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน จึงไม่มีทางได้รับประโยชน์จากศาสนธรรม แม้เป็นของวิเศษเพียงไรเท่าที่ควร เอาแต่ชื่อออกประกาศกันว่าตนนับถือศาสนา แต่ไม่ทราบว่าศาสนาคืออะไร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้นับถืออย่างไรบ้าง ถ้าประสงค์อยากทราบข้อเท็จจริงจากศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว ตนกับศาสนาก็เป็นอันเดียวกัน ความสุขทุกข์ที่เกิดกับตนย่อมกระเทือนถึงศาสนาด้วย ความประพฤติดีชั่วก็กระเทือนถึงศาสนาเช่นกัน คำว่าศาสนา คือแนวทางที่ถูกต้องแห่งการดำเนินชีวิตนั่นแล จะเป็นอื่นมาจากไหน ถ้าคิดว่าศาสนาอยู่ที่อื่นนอกจากตัว ก็ชื่อว่าเข้าใจศาสนาผิดจากความจริง...”

พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒) จากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ





จงเป็นผู้มุ่งหน้าต่อความเพียร
อันเป็นงานพาให้ถึงความจบสิ้น
อุปปชฺชิตวา นิรุชุฌนฺติ
ไม่มีเชื้อต่อแห่งภพ
ฉะนั้น จงอยู่คนเดียว นั่งคนเดียว
เดินคนเดียว มาคนเดียว
ไปคนเดียวด้วยอารมณ์ของจิต
อันเป็นธรรมแท่งเดียว
อย่าให้ข้องแวะกับสิ่งใด ๆ
อันจะก่อความยุ่งเหยิงแก่ตนเอง
จิตแม้จะมีกิเลสรุมล้อมหนายิ่งกว่าภูเขาก็ตาม
ก็ไม่ต้องมีความท้อใจว่า
จะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยอำนาจ
ของสติปัญญาอันมีความเพียรหนุนหลัง
อย่างไรภูเขาบนหัวใจ
ต้องพังทลายลงโดยแน่นอน

#หลวงตามหาบัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร