วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 13:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2021, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


…เวลาเหลือน้อยแล้ว
ต้องรีบเจริญสติ
ต้องรีบเจริญสมาธิ
ต้องรีบเจริญปัญญา
ต้องรีบไปปลีกวิเวก
ไปอยู่คนเดียว

.วันหยุดยาวไม่เที่ยว
วันหยุดไปปฏิบัติธรรม
ถึงจะเรียกว่าไปถูกทาง
ถ้าวันหยุดเราไปเที่ยวนี้
เรียกว่าหลงทาง.
........................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 13 / 5 / 2561
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










คนเราตาย เพราะว่ามีกรรมใช่ไหม ไม่ใช่เพราะว่าโควิด

หลวงปู่มาร์ติน ปิยะธัมโม







"บางเรื่องรู้แล้วมันทุกข์ อย่ารู้ดีกว่า..
ทุกวันนี้มันมีแต่ประเภท..รู้ไปหมดแต่มันอดไม่ได้ รู้ไปทั่วแต่เอาตัวไม่รอด.."

#พระเทพมงคลวชิรมุนี
หลวงปู่หา สุภโร[url][/url]






#เกิดมาได้อะไร

“...หลวงปู่พูดให้ฟังอยู่ตลอดๆนะ หลวงปู่เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ไม่ใช่สมาธิอบรมปัญญานะโน่นปัญญามันสมเหตุสมผลของมันจริงๆ มันจึงรวมลงมา รวมลงมา รวมลงมา ป้างเลยตอนนี้ชุ่มเย็นล่ะ แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินี่มันจะมีปัญญาแฝงไว้ตลอดแม้จิตมันจะรวมลงขณะนั้นเดี๋ยวนั้นมันก็มีปัญญาแฝงๆๆๆไว้นะลูก ไม่เหมือนพวกสมาธิอบรมปัญญานะเพราะตัวนี้มันทื่อมีผลเสียมาก ถ้ามันติดในสมาธิปัญญามันไม่ส่งผลล่ะ นี่มันก็เวียนว่ายตายเกิดภพนั้นบ้างภพนี้บ้าง ปัญญามันไม่มีมันไม่ได้แฝง แต่ถ้าปัญญาอบรมสมาธิอยู่ตลอด อยู่ตลอดนี้
มันเหมือนกับภาวนามยปัญญา สมาธิจะรวมลงไปสุดฐานแห่งอัปปนาสมาธิถอนขึ้นมามันก็มีปัญญาเข้าสู่กฎพระไตรลักษณ์ญาณดูสิ นี่หาความเที่ยงไม่ได้มันจะอยู่ตลอดๆนี่เป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันจะแฝงด้วยภาวนามยปัญญามันจึงเดินทางเข้าสู่มรรคเข้าสู่ผลได้อย่างรวดเร็วไงสำหรับหลวงปู่นะ คนอื่นเราก็ไม่เข้าไปก้าวก่าย

นี่ก็สงสารไม่ใช่อะไรหรอก กลัวว่าลูกเวลาตายแล้วเกิดความยึดมั่นถือมั่นเพราะห่วงโน่นห่วงนี้ ห่วงผัวบ้าง ห่วงเมียบ้าง ห่วงลูกบ้าง ห่วงทรัพย์สินบ้าง ห่วงไร่นาสาโทบ้างห่วงทำไม เกิดมามีอะไรมาล่ะนั่นหรือเมื่ออยู่ได้อะไรในการอยู่ ตายไปแล้วได้อะไรไปหลวงปู่ก็จะถามเหมือนกัน เกิดมาเราได้อะไรมาด้วยและเวลาอยู่พวกเธอได้อะไรแล้วเวลาตายพวกเธอได้อะไรไปก็ไม่เห็นว่าได้ ได้ผัวได้เมียได้ลูกไหนล่ะได้ ผลสุดท้ายผัวเมียก็ตายจากกัน หรือผลสุดท้ายก็แตกแยกสามัคคีกันไปมีผัวใหม่ไปมีเมียใหม่ ลูกก็ไปคนละทิศคนละทางไหนล่ะความเที่ยงอยู่ที่ไหน ไหนละสัจจะความจริงของสัตว์โลกอยู่ที่ไหน เห็นแต่สัทธรรมของพระพุทธเจ้าที่พูดถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หาความเที่ยงไม่ได้มีแต่ความทุกข์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เรา

ก็ถามลูกหลานเลยนะทั่วโลกนี้มันก็ถามอยู่เนี่ยแล้วได้อะไรเกิดมาแล้วพวกเธอได้อะไรมาอยู่แล้วพวกเธอได้อะไรในการอยู่ตายไปแล้วพวกเธอได้อะไรในการที่พวกเธอตายไปเราก็จะถามนั่นถ้าไม่มีธรรมะครองใจแล้วพวกเธอได้อะไรไป ความพึงพอใจของใครของในเราก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายนะ แต่ว่านี้ก็คือเหตุผลความเป็นจริงในพระสัทธรรมและหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ามันละไม่ได้ลูกนั่นแหละเป็นคนทุกข์ยากตกระกำลำบากไม่ใช่ว่าผัวเขาตกระกำลำบากตกทุกข์ได้อยาก ไม่ใช่ว่าเมียไม่ใช่ว่าผัวไม่ใช่ว่าลูกไม่ใช่ว่าพ่อแม่วงศาคณาญาติก็เรานั่นแหละ ตกนรกก็คือเราเข้าสู่ทุกขคติสุขคติก็คือเราทั้งนั้น ผู้ตกทุกข์ได้ยากก็คือเรานั่นแหละ ถ้าเราละวางได้ผู้สุขก็คือเรานั่นแหละแล้วจะไปห่วงอะไรล่ะ ห่วงตัวเองนั่นหาวิธีการให้มันตลอดรอดฝั่งสิให้มันพ้นสิ

ไหนล่ะความรักจริงจากผู้เป็นผัว ไหนล่ะความรักจริงจากผู้เป็นเมีย ไหนล่ะความรักจริงจากผู้เป็นลูก หลวงปู่ยังไม่เห็น จากวงศาคณาญาติหลวงปู่ยังไม่เห็น...ไม่มี เพราะนี่คือโลกแห่งจอมปลอมไม่มีความเป็นเป็นจริง โลกจริงก็คือมหาปรินิพพานนั่นแหละของจริงของเที่ยงของแท้ โลกมนุษย์หรือโลกเทวดาโลกพรหมเป็นโลกแห่งจอมปลอม หันหน้าเข้าหากันพูดกันมีแต่ความแปลกปลอมทั้งนั้นหาความสัจความจริงไม่มี เข้าใจหรือยังตอนนี้ สติกำลังปัญญาไม่มีลูกออกไม่ได้นะ จมปลัก จมปลักด้วยความทุกข์ จมปลักกับผัวจมปลักกับเมียจมปลักกับลูกจมปลักกับทรัพย์สินเงินทองจมปลักอยู่อย่างงี้ แล้วใครจะช่วยเราได้ล่ะ ทุกข์ก็เราทุกข์เอง สุขก็เราสุขเอง เกิดก็เราเกิดเองนี่ เกิดมาแล้วเราก็โตเองคนอื่นตัวแทนเราไม่ได้ แล้วจะเอายังไงล่ะวกเข้ามา วกเข้ามา อัตตาหิอัตโนนาโถ พระพุทธเจ้าตรัส ตนแลเป็นที่พึ่งของตนพึ่งตนให้ได้ แม้นเราตถาคตก็เป็นผู้บอกผู้สอนเท่านั้น พวกเธอต้องปฏิบัติเองพึ่งตนเองให้ได้...

พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
๑๒ กันยายน ๒๕๖๔







.

#ความเป็นพระ

ความจริงถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจะอายุกี่ปีก็ตาม ๗ ปีก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าพระเต็มอัตรา เรียกว่า "มหาเถระ" คือพระผู้ใหญ่มาก

นี่ความจริง ความเป็นพระ
คือความเป็นผู้ใหญ่ในพระพุทธศาสนานี่ไม่ใช่อายุ หรือว่าไม่ใช่วิชาความรู้ที่เรียนมาเป็นเปรียญ เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เป็นเปรียญ ๙ ประโยค อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงเรียก "มหาเถระ" และก็ยังไม่เรียก "พระ" ด้วย ถ้ายังไม่เป็น "พระโสดาบัน" เพียงใดยังไม่เรียก "พระ" ถ้าเด็กอายุแค่ ๗ ปี หรือผู้หญิงก็ตามผู้ชายก็ตามที่ยังไม่ได้บวช ถ้าบรรลุมรรคผลตั้งแต่ "พระโสดาบัน" ขึ้นไปพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "พระ"

แต่ความจริง พระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี นี้บรรลุไม่ยาก มันเป็นของไม่ยากจริงๆ คำว่า "ไม่ยาก" นี้ ก็หมายความว่าเราทรงคุณธรรมเพียงเล็กน้อย อย่างคนที่เป็น "พระโสดาบัน" จริงๆ โดยเฉพาะฆราวาสก็มี

อารมณ์พระโสดาบัน
๑. เคารพพระพุทธเจ้า
๒. เคารพพระธรรม
๓. เคารพพระอริยสงฆ์ด้วยความจริงใจ
๔. รักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ผุดผ่อง
๕. จิตต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน

เพียงเท่านี้นะ ท่านเรียก "พระโสดาบัน" หรือ "พระสกิทาคามี" ตัดสังโยชน์เท่ากัน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ฉบับที่ ๔๔๑ เดือนธันวาคม ๒๕๖๐ หน้า ๘๔ - ๘๕
คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 40 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร