วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 07:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2021, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"..ถ้าย่นเข้ามามันไม่มากนะความหลงนี้ก็มีนิดเดียว
ถ้าสมมุติว่าแผ่นใหญ่ๆ ก็ย่นเข้ามาให้มันเหลือดินเม็ดเดียว ถ้าเป็นจิตก็จิตดวงเดียว ถ้าจะเปรียบจิตใจเท่ากับวัตถุ ถ้าเป็นจิตก็เป็นจิตดวงเดียว ถ้าจะเปรียบจิตใจเป็นวัตถุ แต่จิตใจมันไม่เป็นวัตถุ มันติดกันอยู่นี่ จะทิ้งหรือไม่ทิ้งดินเม็ดเดียวนี้ ทิ้งได้มันก็จบแล้ว
ถ้าไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่มี เมื่อมันวกเข้ามาหาความจริง รูปก็คือจิต ถ้ามันจะย่นเข้ามาหาตัวผู้รู้ รูปก็คือตัวผู้รู้นี้ เวทนาก็คือตัวผู้รู้นี้ สังขารก็ตัวผู้รู้นี้ วิญญาณก็คือตัวผู้รู้นี้ นี่มันหดเข้ามานี่แล้ว มันมีไหมพวกนี้ รูป ขันธ์ เวทนา มีไหม เวทนาไม่มี รูปไม่มี สัญญามีไหม สัญญาไม่มี รูปก็ไม่มี สังขารมีไหม สังขารไม่มี รูปก็ไม่มี
ทีนี้อยู่ในขันธ์ห้านี้ มันจะไปรวมอยู่ที่ตัววิญญาณคือตัวรู้ ตัววิญญาณ วิญญาณรู้ไปตามขันธ์ รู้ไปตามอาการ อันนี้ล่ะ ท่านให้ชื่อว่าวิญญาณ ถ้าไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่มีพวกนี้ขันธ์ไม่มี ขันธ์หายไป มันก็มาเหลือแต่ดวงจิตมัน เมื่อเหลืออยู่แต่ดวงจิต ท่านก็ให้ย้อนเข้ามาดูจิต มันมีอะไรตกค้างอยู่บ้างไหม มากำหนดดูอยู่ที่นี่ ให้รูปมันเกิดขึ้นที่นี่ ให้มันดับลงที่นี่ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว จิตใจมันยินดีไหม จิตใจมันยินร้ายไหม จิตใจมันดีใจไหม จิตใจมันเสียใจไหม ถ้ามีพวกนี้อยู่ ก็แปลว่าตัวยินดียินร้าย ดีใจเสียใจ อันนี่ล่ะลูกน้องของอวิชชา คนงานของเขา ถ้าเทียบกับทหาร ก็เป็นทหารของอวิชชาตัณหา ดีใจ รัก ชัง กลัว หลง ที่มันมีอาการเกิดขึ้นภายในจิตใจนี้ใช่ทั้งนั้น ที่ท่านให้ชื่อว่าเจตสิกหรือตัวสังขารจิตใช่ทั้งนั้น ทหารของมันทั้งนั้น
ถ้าเราไม่รู้ก็ต้องรู้ น้อมเข้ามาหาดวงจิตดวงใจ ค้นดู พิจารณาดู มันก็ดีกว่านอน นอนแล้วไม่ได้อะไร ทำไมมันจึงสนใจหนักหนา ค้นหาแต่ความสุขในร่างกาย ความสุขทางจิตใจทำไมไม่เอา ทำไมไม่ส่งเสริม ทำไมไม่สนับสนุน มันเป็นอะไร มันเป็นเพราะอะไร.."

โอวาทธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร







ดูแลพ่อแม่คือ...มหาบุญมหากุศล

โอวาทธรรม
หลวงปู่ชนะ อุตตมลาโภ






#ผู้เห็นคุณค่าของตัว

ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น
ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน

ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์
ไม่ตกต่ำเพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์
ธรรมก็สั่งสอนแล้วควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง
จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน

พระอรหันต์ผุดขึ้นมาจากใจของปุถุชน
พระอรหันต์ไม่ได้ผุดขึ้นมาจากไหน
ก็มาจากหัวใจของปุถุชน มาจากราคะ โทสะ โมหะ

ถ้าหากใจปุถุชนนั้นพยายามบากบั่นฝึกปรือตน
ให้เดินตามมรรคาสัมมาปฏิบัติ
พระอรหันต์ก็มาจากที่นั่น กลั่นกรองมาจากที่นั่น
เหมือนดอกบัวมาจากขี้ตมขี้โคลนเน่า ๆ เหม็น ๆ
แต่พอพ้นน้ำ รับแสงอาทิตย์ แย้มบานเต็มที่
มีสง่าราศรี ใครก็อยากได้อยากชม

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต







…ควรคำนึงทุกครั้งที่จะพูด
ว่ามีประโยชน์ มีสาระหรือไม่ มีโทษหรือไม่

.ถ้ามีโทษก็อย่าไปพูด
ถ้ามีคุณมีประโยชน์..จึงค่อยพูดออกไป.
………………………………………
กำลังใจ ๓ กัณฑ์ที่ ๓๒
วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๔๔
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






“ภาวนาคำว่า “อภัย” ได้ไหมครับ”

คำถาม: ผมภาวนาพุทโธมา ๑๐ กว่าปีแต่จิตไม่สงบเลย จนมาวันหนึ่งนั่งสมาธิอยู่แล้ว ภายในใจบอกว่าให้อภัย ผมเลยภาวนาคำว่าให้อภัยทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในความคิด ให้อภัยหมด ปรากฏว่าใจเบาสบายผ่อนคลายและสงบลงมากขึ้น ผมเลยมานั่งคิดดู เมื่อในอดีตผมถูกเลี้ยงมาด้วยความรุนแรง ในใจมีแต่ความคั่งแค้นเกลียดชัง ผิดหวัง ไม่ได้ก็ถูกทำโทษว่าทำผิด ผมทิ้งพุทโธมานานแล้วและภาวนาคำว่า “อภัย” อย่างนี้จะได้ไหมครับ

พระอาจารย์: ถ้าทำใจให้สงบก็ได้ เพราะการให้อภัยก็เรียกว่าเมตตาภาวนานี่เอง มันแล้วแต่จิตของเรา ถ้ามันติดอยู่กับอะไร ติดกับความโกรธแค้นก็ต้องใช้เมตตาภาวนาถึงจะหลุด ใช้พุทโธอาจจะไม่หลุด แต่พอหลุดแล้วอาจจะใช้ให้อภัยอาจจะไม่ได้ผลดีเหมือนเมื่อก่อน ก็อาจจะต้องเปลี่ยนเป็นพุทโธ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นต่อไป เปลี่ยนเป็นอาการ ๓๒ หรืออะไร มันถึงจะทำให้จิตปล่อยวางเรื่องอื่นต่อไปได้ เพราะเรื่องความคั่งแค้นในใจเราปล่อยได้แล้ว งั้นให้อภัยต่อไป อาจจะไม่ได้ผลมากไปกว่าที่ได้มา อยากจะได้ผลมากกว่าอาจจะต้องใช้พุทโธหรือดูลมหายใจเข้าออกต่อไป

ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓
#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี








"..คำสอนของ
พระสัมมา​สัมพุทธเจ้า​
มีจริงอยู่​ทุกเมื่อ​ ที่ใจ
ของเรามีสติมั่นคง​ตั้งมั่น
สัมปชัญญะ​ ความรู้​ตัว​
กาย​ เวทนา​ จิต​ ธรรม​
มีอยู่ที่เรา​ ไม่ต้อง
ไปถามผู้อื่น

ผู้ปฏิบัติ​ต้องมีสติ​ เพ่ง
บริกรรม​อยู่​ที่เราเสมอ​
เดิน​ ยืน​ นอน​ นั่ง​ ทุกลม
หายใจ​เข้า-ออก​ ผู้ปฏิบัติ​
ทำเหตุ​อย่าง​นี้ให้ติดต่อ​
แล้ว​ ได้รับผลเหมือน​กัน

กระทำจริง​ เห็นจริง​ เห็น
ทั้งนรก​ เห็น​มนุษย์​โลก​
เห็นสวรรค์​เทวโลก​
พรหมโลก​ มีอยู่ที่เรา​
แจ้งชัดอย่างนี้​ อดีต​
ทั้งดี​ ทั้งชั่ว​ ปัจจุบัน​
ที่เราเป็นอยู่​ อนาคต​
ข้างหน้า​ เราหวังอะไร
เมื่อ​เห็น​ ๓​ กาลนี้ มารวม
อยู่ในปัจจุบั​น

มีแต่ความสุจริต​ กาย​
วาจา​ ใจ​ จำเพาะหน้า​
ละทุจริต​ทั้ง​ ๓​ ละชั่วทำดี​
เป็นผู้เห็นชอบ ว่าเราเป็น
สัมมาทิฐิ กาย​ วาจา​ เป็น
ศีล​ ความมั่นใจเป็นสมาธิ​
ความรู้​ในกองสังขารเป็น​
ปัญญา​ เมื่อน้อมศีล​ สมาธิ​
ปัญญา​ใส่ใจ​แล้ว​ ใจที่เกิด​
แก่​ เจ็บ​ ตาย​ ก็ไม่มี "

โอวาทธรรม
หลวงปู่บุดดา​ ถาวโร







#ตัวยินดี_ยินร้าย_ดีใจ_เสียใจ_เป็นลูกน้องของอวิชชา

"..ถ้าย่นเข้ามามันไม่มากนะความหลงนี้ก็มีนิดเดียว
ถ้าสมมุติว่าแผ่นใหญ่ๆ ก็ย่นเข้ามาให้มันเหลือดินเม็ดเดียว ถ้าเป็นจิตก็จิตดวงเดียว ถ้าจะเปรียบจิตใจเท่ากับวัตถุ ถ้าเป็นจิตก็เป็นจิตดวงเดียว ถ้าจะเปรียบจิตใจเป็นวัตถุ แต่จิตใจมันไม่เป็นวัตถุ มันติดกันอยู่นี่ จะทิ้งหรือไม่ทิ้งดินเม็ดเดียวนี้ ทิ้งได้มันก็จบแล้ว
ถ้าไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่มี เมื่อมันวกเข้ามาหาความจริง รูปก็คือจิต ถ้ามันจะย่นเข้ามาหาตัวผู้รู้ รูปก็คือตัวผู้รู้นี้ เวทนาก็คือตัวผู้รู้นี้ สังขารก็ตัวผู้รู้นี้ วิญญาณก็คือตัวผู้รู้นี้ นี่มันหดเข้ามานี่แล้ว มันมีไหมพวกนี้ รูป ขันธ์ เวทนา มีไหม เวทนาไม่มี รูปไม่มี สัญญามีไหม สัญญาไม่มี รูปก็ไม่มี สังขารมีไหม สังขารไม่มี รูปก็ไม่มี
ทีนี้อยู่ในขันธ์ห้านี้ มันจะไปรวมอยู่ที่ตัววิญญาณคือตัวรู้ ตัววิญญาณ วิญญาณรู้ไปตามขันธ์ รู้ไปตามอาการ อันนี้ล่ะ ท่านให้ชื่อว่าวิญญาณ ถ้าไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่มีพวกนี้ขันธ์ไม่มี ขันธ์หายไป มันก็มาเหลือแต่ดวงจิตมัน เมื่อเหลืออยู่แต่ดวงจิต ท่านก็ให้ย้อนเข้ามาดูจิต มันมีอะไรตกค้างอยู่บ้างไหม มากำหนดดูอยู่ที่นี่ ให้รูปมันเกิดขึ้นที่นี่ ให้มันดับลงที่นี่ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว จิตใจมันยินดีไหม จิตใจมันยินร้ายไหม จิตใจมันดีใจไหม จิตใจมันเสียใจไหม ถ้ามีพวกนี้อยู่ ก็แปลว่าตัวยินดียินร้าย ดีใจเสียใจ อันนี่ล่ะลูกน้องของอวิชชา คนงานของเขา ถ้าเทียบกับทหาร ก็เป็นทหารของอวิชชาตัณหา ดีใจ รัก ชัง กลัว หลง ที่มันมีอาการเกิดขึ้นภายในจิตใจนี้ใช่ทั้งนั้น ที่ท่านให้ชื่อว่าเจตสิกหรือตัวสังขารจิตใช่ทั้งนั้น ทหารของมันทั้งนั้น
ถ้าเราไม่รู้ก็ต้องรู้ น้อมเข้ามาหาดวงจิตดวงใจ ค้นดู พิจารณาดู มันก็ดีกว่านอน นอนแล้วไม่ได้อะไร ทำไมมันจึงสนใจหนักหนา ค้นหาแต่ความสุขในร่างกาย ความสุขทางจิตใจทำไมไม่เอา ทำไมไม่ส่งเสริม ทำไมไม่สนับสนุน มันเป็นอะไร มันเป็นเพราะอะไร.."

โอวาทธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร








ถ้ามันตายแล้ว ตายแบบไหนประเสริฐที่สุดในโลกนี้ ต้องตายแบบพระอริยะเท่านั้น

พระอาจารย์ ปริญญา ธีรปัญโญ






*#เครื่องเศร้าหมองของจิต

คณปลิโพธฺ วุ่นกับหมู่ วุ่นกับบุคคล วุ่นกับเรื่องราว นั่นเขาเรียกว่า คณะปลิโพธ จิตไม่สงบ ถ้าจิตไม่สงบก็ไม่ได้รับความสุข ไม่ได้รับความสะดวกในการนั่งสมาธิ คือสิ่งขัดข้องในการนั่งสมาธิมีอยู่ ๒ อย่าง

๑. เรารู้อยู่ว่ามันเป็นข้าศึก แต่มันต้านทานไม่ไหว ด้วยกระแสกิเลสมันมากอย่างนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบ

๒. มันเกิดจากความไม่รู้ ความไม่รู้สึกตัว ปฏิบัติไม่รอบคอบ เป็นเหตุให้เกิดความเศร้าหมองขึ้น ความเศร้าหมองเป็นสิ่งที่กั้นมรรคกั้นผล เป็นสิ่งห้ามมรรคผล เป็นมัคคาวรณ์ คือเป็นเหตุห้ามไม่ให้บุคคลผู้นั้นเดินไปถูกตามแนวทาง เรียกว่า มัคคาวรณ์

"#ท่านพ่อลี #ธมฺมธโร"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 99 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร