วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 12:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2021, 09:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


การที่อาตมาตั้งสัจจะว่า
จะต้องพูดภาษาไทยให้ได้ดี
เพราะมีแรงบันดาลใจว่า
จะต้องตอบแทนคุณของชาวบ้าน
ชาวบ้านที่คอยช่วยอุปถัมภ์
บำรุงศาสนา พระ เณร
เราจะตอบแทนพวกเขาได้ดีที่สุด
โดย #การให้พระธรรมแก่เขา
จึงตั้งใจพูดภาษาไทยให้ดี
ไม่ใช่ให้เก่งภาษา
แต่เพื่อจะตอบแทนเขา...

#พระธรรมพัชรญาณมุนี
(พระอาจารย์ชยสาโร)







#ติดดีก็เป็นทุกข์

“ถ้าเป็นคนดีแล้วต้องรำคาญคนที่ไม่ดี ทุกวันนี้คนที่ไม่ดีมากกว่าคนดีเยอะ ไปที่ไหนก็กลุ้มใจ มีแต่ความไม่พอใจ เหมือนกับคนที่สูบบุหรี่ เลิกแล้วดูคนอื่นสูบก็ไปเทศน์ให้เขาฟัง นี่เรียกว่า ติดดีท่านไม่ให้ติด แม้จะเป็นความดีท่านก็ไม่ให้เราติด เพราะว่า ความติดเป็นทุกข์ สร้างความทุกข์แก่ใจ”

#พระธรรมพัชรญาณมุนี
(พระอาจารย์ชยสาโร)







...ก็เอาข้อที่ง่ายก่อน
เกิดมาก็ไม่ได้ดื่มสุราอยู่แล้ว
ก็อย่าไปดื่มมัน

.แล้วก็มาข้อ ๔ อย่าโกหก
ถ้าพูดความจริงไม่ได้ก็หุบปากไว้เฉยๆ
ไม่ต้องพูดอะไรเท่านั้นเอง

.แล้วก็อย่าไปมีชู้สาว
อย่าไปมีแฟนกันละหลายๆ คน
ถ้าจะมีแฟนก็มีคนเดียว
รักเดียวใจเดียวสามีภรรยากัน

.แล้วก็อย่าไปลักทรัพย์ของคนอื่น
แล้วก็ อย่าไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
.
ค่อยๆ ทำเพิ่มไปทีละข้อ ๒ ข้อ
เดี๋ยวก็ได้ครบ ๕ ข้อ .
………………………………………..
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 2/5/2562
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







"ครูบาอาจารย์ภาวนาแทบล้มแทบตาย พวกเรานี่ภาวนานิดหน่อยก็หนีไปนอน กลัวเจ็บ กลัวปวด กลัวทุกข์ ทุกข์สิดี ทุกข์แล้วจึงจะเห็นธรรม.."

หลวงปู่อ้ม สุขกาโม
วัดป่าภูผาผึ้ง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร

#อัตชีวประวัติหลวงปู่อ้มโดยสังเขป

หลวงปู่อ้ม สุขกาโม ท่านเกิดที่บ้านค้อใหญ่ ตำบลกุดไห อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๘๐ บิดา-มารดาคือ นายสาร-นางกอง ริกำแง มีอาชีพทำนา มีฐานะปานกลาง มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๕ คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง

สมัยเด็กท่านเป็นคนเรียบร้อย ไม่ดื้อเหมือนเด็กทั่วไป ปกติขยันขันแข็งช่วยเหลือการงานของคุณพ่อคุณแม่อย่างดี ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ แล้วจึงออกมาช่วยทางบ้านทำนา เพราะไม่มีทุนเรียนต่อ จนกระทั่งวัยหนุ่ม อยากจะบวชที่วัดในหมู่บ้าน แต่พี่ชายทัดทานไว้ ต่อมาท่านพระอาจารย์สัมมา เดินธุดงค์ผ่านไปทางบ้านค้อใหญ่ ท่านได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วจับจิตจับใจขอตามท่านกลับมาบวชที่วัดดอยธรรมเจดีย์ด้วย จึงได้เป็นนาคผ้าขาวอยู่ระยะหนึ่งจนผ่านการเกณฑ์ทหารแล้วจึงได้บวช

ท่านได้บรรพชาอุปสมบท ณ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๒ มีพระธรรมเจดีย์ เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระครูอุดมธรรมคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ บวชแล้วท่านกลับมาอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์กงมาตลอดพร้อมๆ กับหลวงปู่แบน ธนากโร ซึ่งเป็นพระอาวุโสศิษย์พี่ของท่าน มีอายุพรรษามากกว่าท่านได้สิบพรรษา การไปธุดงค์ในสถานที่ต่างๆ เช่นที่นครพนมและจันทบุรี ท่านก็ได้ไปพร้อมกับพระอาจารย์แบน หลังจากที่หลวงปู่กงมาละสังขารแล้ว ท่านได้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ณ วัดป่าอุดมสมพร ได้ระยะหนึ่ง ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดทั้งหลักการประพฤติบัติธรรมอย่างเข้มข้นจากพ่อแม่ครูอาจารย์ซึ่งเป็นศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ขององค์หลวงปู่มั่นทั้งสององค์ ท่านจำพรรษาส่วนใหญ่อยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์กว่าสามสิบพรรษา หลังจากท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าภูผาผึ้งท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่นี่มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

หลวงปู่อ้ม







ชีวิตเราจงตั้งใจให้มั่นคง
ขยันมานะเพียรพยายาม
สร้างฐานบารมี
สร้างคุณงามความดีในด้าน
รักษาศีล ให้ทาน เจริญจิตภาวนา เป็นประจำ

ปัจจุบันโลกมนุษย์มันชัดเจนแล้วว่า
ชีวิตเราเกิดมาอยู่ในโลกใบนี้ไม่นานแน่
ดูจากความเปลี่ยนแปลงของโลกธาตุและภัยพิบัติที่แสดงผลงานให้เราได้เห็นชัดเจนมากขึ้นทุกวัน

แต่กาลก่อนเราเพียงแต่ฟังกันต่อๆ มาเท่านั้น
แต่บัดนี้มันมาถึงยุคตัวเราแล้ว
จงตั้งใจมั่นขยันสร้างคุณความดีให้กับตัวเองให้มากไว้
เวลาเราๆ มันเหลือน้อยมาก

วันนี้ก็ผ่านไปแล้ว
จะเหลืออีกกี่วันที่เราจะเดินอยู่บนโลกใบนี้ได้...

เมตตาธรรมจาก
หลวงปู่ใหญ่ วัดแจ้ง (เมืองเก่า)









พร แปลว่า "ประเสริฐ"
จะเกิดขึ้นได้ต้องสร้างด้วยตนเอง
การขอพรเป็นจุดเริ่มต้นแต่จะเป็น
จริงหรือไม่ขึ้นอยู่กับ
การกระทำของตนเอง

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร








"กรรมฐานน้ำเย็น ฝึกจิตให้สงบ"

กรรมฐาน คือ การฝึกฝนจิตใจให้มีความสงบสุข ไม่ต้องคิดถึงสิ่งอื่นใดที่ทำให้จิตใจนั้นวอกแวก หรือสิ่งที่ทำให้ไม่มีสมาธิอยู่กับตนเอง ซึ่งการฝึกกรรมฐานนั้นทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเพ่งสมาธิ, การกำหนดจิตไว้ที่ปลายลมหายใจ และกรรมฐานอีกวิธี จาก พระเทพวชิรญาณโสภณ
(หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล)
เจ้าอาวาสวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร จ.สุรินทร์ ที่เผยเคล็ดลับเกี่ยวกับ “กรรมฐานน้ำเย็น” อีกวิธีหนึ่งที่นำมาบรรยายธรรมเชิงปฏิบัติในโครงการ “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” ณ อาคารซีพี ทาวเวอร์ สีลม

ปัญญานั้นเกิดได้จากน้ำเย็นเพียงหนึ่งแก้ว…
พระเทพวชิรญาณโสภณ ได้กล่าวพร้อมสาธิตและให้สาธุชนทดลองดื่มน้ำ หลังจากที่ดื่มน้ำเย็นเพียงหนึ่งแก้วแล้ว ให้ระลึกดูว่าน้ำที่ดื่มนั้น ความเย็นสุดท้ายของปลายน้ำไปอยู่ในส่วนไหนของร่างกาย
ถ้าอยู่ที่ท้อง ให้กำหนดจิตนึกที่ท้อง พยายามนึกไว้แล้วหลับตา เพื่อที่จะได้ใช้ “ตานัย”
ระลึกรู้อยู่กับความเย็นสุดท้ายหลังจากที่ได้ดื่มน้ำลงไป พยายามนึกดูว่าน้ำเย็นนั้น จะมีความเย็นมากหรือน้อย

ถ้าระลึกอยู่ตรงนั้นเพียงชั่วครู่ ก็จะระลึกได้เพียงความเย็นเล็กน้อย แต่ถ้าระลึกนานๆ น้ำเย็นก็จะเพิ่มขึ้น เพิ่มให้ชัดขึ้นเรื่อยๆ และถ้าระลึกที่อื่นน้ำเย็นที่เย็นไปแล้ว ก็จะไม่เย็น เพราะว่าสติไม่ได้อยู่กับน้ำเย็น ดังนั้นน้ำเย็นจึงเปรียบเสมือนเครื่องมือช่วยเรียกเตือนสติให้กลับมา

“วิธีการที่จะเรียกสติเข้ามาในตัวนั้น จะเรียกได้อย่างไร จะนึกอะไรก็ไม่ได้ เลยต้องเอาน้ำเย็นนั้นเป็นตัวเรียกสติขึ้นมา วิธีการคือ ให้ลืมทุกอย่าง เหลือไว้เพียงน้ำเย็น สิ่งอื่นที่นอกเหนือจากน้ำเย็นลืมได้เลย ควรพยายามระลึกไว้อยู่เสมอ ดูปลายสุดของน้ำว่าอยู่ตรงไหน สติก็จะต้องอยู่ตรงนั้น แล้วก็ตั้งสติอยู่ตรงนั้นไม่ต้องไปไหน โดยที่ไม่ต้องระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ เพราะน้ำเย็นเป็นตัวแทนทั้งหมด แล้วก็พยายามทำให้รู้สึกตรงนั้น อย่าไปนึกที่อื่น” หลวงพ่อเยื้อน กล่าว

หลวงพ่อเยื้อน บรรยายธรรมเสริมว่า
จิตใจของมนุษย์จริงๆ นั้น ‘จิต’ ไม่มีรูปร่างอะไรทั้งสิ้น จิตแค่ไปสัมผัสเท่านั้นเอง
ดังนั้นสิ่งที่สัมผัสรู้
ถ้านึกถึงสิ่งที่อยู่ภายใน สิ่งที่อยู่ภายนอกก็จะหายไปเอง พยายามทำความรู้สึกตรงนี้ไปเรื่อยๆ เพราะถ้ามีสติ สมาธิก็จะเกิดขึ้นเอง
เพราะฉะนั้น “น้ำเย็น” จึงเปรียบเสมือนฐานที่ตั้ง
ถ้ามีฐานรู้สึกความเย็นสุดท้ายแล้ว ก็จะสัมผัสรู้ ระลึกได้ว่าความเย็นอยู่ตรงไหน ลองถามตัวเองว่า

“ความเย็นอยู่ตรงท้องน้อยไหม มันก็อยู่ตรงท้องน้อย แล้วอยู่ตรงสะดือไหม ก็อยู่ตรงสะดือ” ระลึกอยู่ที่ไหนก็จะอยู่ที่นั่น แต่ขอให้ระลึกลงที่ท้องให้มากที่สุด ถ้าลงถึงท้องเมื่อไหร่ ก็จะมีความรู้สึกประการหนึ่งขึ้นมาคือ “ความรู้ชัดขึ้น” นั่นเอง

ความชัดขึ้นนั้น ให้ดูความเย็นเป็นหลัก จะเย็นมากเย็นน้อยนั้นอยู่ที่สติ ถ้าเกิดความเย็นหายไป อย่าพึ่งหายไปไหนจากตรงนั้น ให้ระลึกรู้อยู่ตรงนั้น เย็นไม่เย็นไม่เป็นไร แค่ให้ระลึกอยู่ตรงนั้นตรงที่มันหาย
ถ้าถามว่าทำไมต้องระลึกรู้อยู่ตรงนี้ เพราะจะระลึกรู้อยู่ตรงสติ น้ำเย็นเป็นแค่อุบายที่จะทำให้มี “สติ” มากยิ่งขึ้น เพราะงั้นสติก็จะอยู่ตรงที่หาย หายตรงไหนก็จะอยู่ตรงนั้น แต่ถ้ามีความเย็น จับได้ ระลึกได้ ไม่หาย ก็อยู่กับความเย็น จนความเย็นกลายเป็นตัวเดียวกันกับสติ
ถ้าสติกับน้ำเย็นเป็นตัวเดียวกันเมื่อไหร่ ความเบาก็จะเกิดขึ้น ความวุ่นวายทั้งหลายก็จะจบไปและก่อให้เกิด “ปัญญา”

“ส่วนมากการปฏิบัติของมนุษย์ มักจะเอาจากภายนอก มิได้เอาจากภายใน ถ้าเอาจากภายนอกเข้ามาในจิตใจมันก็จะวุ่นวายไม่มีวันจบสิ้น
วิธีที่ปฏิบัตินี้จึงเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เข้าห้องอยู่ในจิตใจ ในห้องก็คือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือความรู้ ตามที่บรรยายไว้ข้างต้นว่าคือจิตจริงๆ มันไม่มีรูปร่าง
แต่จิตจริงๆ คือความว่างเช่นนั้นเอง”

การปฏิบัติธรรมด้วยน้ำเย็นเพียงหนึ่งแก้ว หรือเรียกอีกอย่างว่า “กรรมฐานน้ำเย็น” 
นับว่าเป็นการปฏิบัติสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้จิตใจของมนุษย์นั้นพบความว่างเปล่าปราศจากจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวในการทำอะไรหลายๆ อย่างให้ประสบความสำเร็จ พัฒนาปัญญาให้สามารถทำอะไรได้หลายอย่างโดยไม่มีสิ่งอื่นใดเข้ามากีดขวาง อันเป็นสิ่งที่ทำให้พบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตประจำวันแน่นอน"

หลวงปู่เยื้อน ขันติพโล










#ยังมีพระกรรมฐานอีกรูปหนึ่งที่เราให้ความเคารพคือ #พระอาจารย์สมชาย_ฐิตวิริโย

พระอาจารย์สมชาย ใช้ระบบของหลวงปู่เทสก์ เพราะถ่ายทอดมาจากหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น ก็มุ่งทางสมถะ

องค์นี้สมถะอ่อนไป แต่วิปัสสนาดี เช่น กำหนดเห็นอยู่นี้ อย่าเลยว่าเห็นหญิงเห็นชาย กำหนดสักว่าเห็น ถ้าเห็นเป็นหญิงนั้นเป็นสมมติ หญิงไม่มีในโลกนี้ ให้สักว่าเห็น

เห็นบ้าน เห็นเรือน เห็นสีขาว สีเขียว ให้สักว่าเห็น เอาเสียงกระทบ เสียงใกล้ เสียงไกล เสียงใหญ่ เสียงเล็ก สักว่ากระทบเท่านั้น แล้วก็หายไป

ดูผิวพรรณหน้าตาลูกศิษย์ ท่านก็รู้แล้วว่า นอนมากหรือน้อย หรือปฏิบัติมาก

#หลวงปู่เจริญ #ราหุโล






โลกจะใหญ่มากน้อย เป็นเรื่องของใจไปให้ความหมาย มีใจดวงเดียวเท่านั้นเป็นผู้ไปให้ความหมายต่างๆ

หลวงตามหาบัว







ผู้รู้มันไม่มีสีเขียวสีแดง มันเป็นแค่ธาตุรู้ เห็นแค่ว่ารู้สึกอยู่ตรงนี้ แค่นี้แหละ

ท่านพ่อเยื้อน ขันติพโล






หลวงปู่ดุลย์ท่านบอกว่า ภาวนาเป็นแล้ว มหา9ประโยคก็สู้ไม่ได้

ท่านพ่อเยื้อน ขันติพโล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร