วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 02:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2021, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#อยู่เป็นสุข_จากไปไม่ก่อทุกข์

#หลวงปู่มั่น_ภูริทตฺโต เป็นวิปัสสนาจารย์ที่
ยิ่งใหญ่ที่สุดรูปหนึ่งของเมืองไทยยุคปัจจุบัน ท่านเป็นคนต้นรัชกาลที่ ๕ (เกิด พ.ศ. ๒๔๑๓) แต่กิตติศัพท์และแบบอย่างชีวิตของท่านยังมีอิทธิพลอย่างยิ่งในทุกวันนี้

"ชีวิตของท่านนับแต่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เป็นชีวิตที่แนบเนื่องกับการหลีกเร้นบำเพ็ญธรรมในป่าเขาสมัยที่ยังเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์นานาชนิด ท่านเป็นแบบอย่างของผู้สูงส่งด้วยภูมิปัญญา หากเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่เบียดเบียน เต็มเปี่ยมด้วยเมตตาต่อสรรพชีวิต แม้ในยามที่ท่านใกล้จะมรณภาพ ก็ยังคำนึงถึงสัตว์น้อยใหญ่ที่อาจเดือดร้อนเพราะการดับขันธ์ของท่าน ท่านจึงเร่งรัดให้ลูกศิษย์พาท่านออกจากหมู่บ้านหนองผือ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดสกลนคร จุดหมายปลายทางคือตัวเมืองสกลนครอันเป็นสถานที่ที่สามารถรับการหลั่งไหลของผู้คนที่จะมาเคารพศพท่านได้"

".. ในการกล่าวตักเตือนลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ท่านได้พูดตอนหนึ่งว่า “#ผมน่ะต้องตายแน่นอนในคราวนี้" ดังที่เคยพูดไว้แล้วหลายครั้ง แต่การตายของผมเป็นเรื่องใหญ่ของสัตว์และประชาชนทั่ว ๆ ไปอยู่มาก ด้วยเหตุนี้ผมจึงเผดียงให้ท่านทั้งหลายให้ทราบว่า ผมไม่อยากตายอยู่ที่นี่ ถ้าตายที่นี่จะเป็นการกระเทือนและทำลายชีวิตสัตว์ไม่น้อยเลย สำหรับผมตายเพียงคนเดียว แต่สัตว์ที่พลอยตายเพราะผมเป็นเหตุนั้นมีจำนวนมากมาย เพราะคนจะมามาก ทั้งที่นี่ไม่มีตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน..”

ท่านยังกล่าวต่ออีกว่า....

#นับแต่บวชมาไม่เคยคิดให้สัตว์ได้รับความลำบากโดยไม่ต้องพูดถึงการฆ่าเขาเลย
#มีแต่ความสงสารเป็นพื้นฐานของใจตลอดมา
#ทุกเวลาได้แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศลแก่สัตว์ไม่เลือกหน้าโดยไม่มีประมาณตลอดมา #เวลาตายแล้วจะเป็นศัตรูคู่เวรแก่สัตว์ให้เขาล้มตายลงจากชีวิตที่แสนรักสงวนของแต่ละตัว #เพราะผมเป็นเหตุเพียงคนเดียวนั้น_ผมทำไม่ลง.. ”

สุดท้ายท่านได้สั่งเสียต่อลูกศิษย์ว่า....

#ขอให้นำผมออกไปตายที่สกลนคร_เพราะที่นั้นเขามีตลาดอยู่แล้ว
#คงไม่กระเทือนชีวิตของสัตว์มากเหมือนที่นี่.”

#จากหนังสือลำธารริมลานธรรม
#เขียนโดยพระไพศาล_วิสาโล








ผู้ชายไม่อยากดูผู้หญิงเมื่อไม่มีผิวหนัง

น่ากลัวนะ น่าเกลียดด้วย
ผิวหนังก็บางเหมือนกระดาษทิชชู่นะ
ภายในก็สกปรกไปหมด ไม่ชอบดู

นี่ล่ะพิจารณาร่างกาย ช่วงแรกก็ภายนอก เล็บฟัน ผิวหนัง
เกิดในร่างกายตายในร่างกาย คิดว่าเป็นร่างกาย
เมื่อเกิดในรถยนต์ตายในรถยนต์ จะคิดว่าเป็นรถยนต์ไหม

คิด!!! คิดเหมือนกัน เพราะว่าเกิดในรถยนต์ตายในรถยนต์
ก็ไม่เคยออกจากรถยนต์ จะรู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่รถยนต์
ก็เหมือนกัน เมื่อออกจากร่างกาย นี่ล่ะ ดูร่างกายนี่ เอ้ ดูนั่นเรา แต่ไม่ใช่เรา

เมื่อมองดูมือ
มือตัวเองนะเป็นเรา มองดูมือของเขา
คิดว่าไม่ใช่เราเป็นของเขา

ทำไม มือนี้กับมือนั้นก็ไม่ต่างกัน
แล้วทำไมนี่เป็นของเรานั่นเป็นของเขา
เมื่อตัดมือ ตัดแขน ตัดขา ตัดทุกสิ่งทุกอย่างออกนะ
หัวใจ ตับ อะไรก็ได้ ลองมองดูนะ ร่างกายอยู่ไหน “ไม่มีเลย”

หลวงพ่อมาร์ติน ปิยธัมโม
วัดภูฆ้องทอง







" ไผฮักไผซังไผวา กะซางเขาเด้อ
ทำใจเป็นกลางดีบ่ฮักซัวบ่ชัง
กรรมของเขาสิส่งผลเองเนาะ
เฮาเฮ็ดของเฮาไปเรื่อยๆดีแล้ว
ดีกว่าคนอิจฉาคน ดีแต่เว้าวาผู้อื่น
แต่บ่เฮ็ดบ่สร้างความดีให้เจ้าของ"

#ความอิจฉานี่ล่ะทุกข์ใหญ่เนาะ
พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต









…สิ่งต่างๆ มีเหตุมีปัจจัย
ที่ทำให้เขาดี ..หรือไม่ดี

.หน้าที่ของเรา
ไม่ใช่อยู่ที่การกระทำให้ เขาดีหรือไม่ดี

.หน้าที่ของเราก็คือ
เพียงแต่รับรู้ว่า เขาดีหรือไม่ดี
“ แล้วก็ปล่อยวาง “.
…………………………………….
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๓๓, กัณฑ์ที่ ๔๕๔
วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๖








#ของดีที่หลวงปู่มอบให้…

"เมื่อมีผู้ขอของดีจาก หลวงปู่แหวน
ท่านจะถามกลับ และให้ธรรมะ
เพื่อเป็นข้อคิดเตือนสติเตือนใจ ดังนี้..

#ของดีอะไร_อะไรคือของดี
#ของดีก็มีอยู่ด้วยกันทุกคนแล้ว.. “

การที่ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้พยาธินั้น
ก็มีของดีแล้ว การมีร่างกายแข็งแรง มีอวัยวะครบถ้วน ไม่บกพร่องวิกลวิการ อันนี้เป็นของดีแล้ว

ของดีมีอยู่ในตน ไม่รู้จะไปเอาของดีที่ไหนอีก

สมบัติของดีจากเจ้าพ่อเจ้าแม่ให้มา ก็เป็นของดีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วทุกคน จะไปเอาของดีที่ไหนอีก ของดี ก็ต้องทำให้มันเกิดมันมีขึ้นในจิตใจของตน ความดีอันใดที่ยังไม่มี ก็ต้องเพียรพยายามทำให้เกิดให้มีขึ้น นี่แหละของดี

ของดีอยู่แล้วในตัวของเราทุกๆคน มองให้มันเห็น หาให้มันเห็น ภายในตนของตนนี่แหละ..จึงใช้ได้ ถ้าไปมองหาแสวงหาของดีภายนอกแล้ว..ใช้ไม่ได้

#ศีล_ธรรม_นี่แหละของดี..!!

#ศีล_คือการนำความผิดความชั่ว
#ออกจากกาย_ออกจากวาจา

#ธรรม_ก็คือความดีที่ป้องกันไม่ให้ความผิดหวัง

ความชั่วเกิดขึ้นในกาย วาจา ใจ ทั้งศีล ทั้งธรรม ก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่เราไปแยกสมมติ เรียกไปต่างหาก กาย วาจา ใจ ของเรานี้เป็นที่ตั้งของธรรม เป็นที่เกิดของธรรม เป็นที่ดับของธรรม ความดีก็เกิดจากที่นี่ ความชั่วก็เกิดจากที่นี่ สวรรค์ก็เกิดจากที่นี่ นรกก็เกิดจากที่นี่

เราจะรักษาศีล ภาวนา ให้ทาน ก็ต้องอาศัย กาย วาจา ใจ นี้เป็นเหตุ เราจะทำความผิดความชั่ว ไปนรกอเวจี ก็ต้องอาศัยกาย วาจา ใจนี้เป็นเหตุ

“..เราจะรักษาศีล ทำสมาธิ ภาวนา
ให้เกิดปัญญา ทำมรรค ผล นิพพาน ให้แจ้ง
ให้เกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยกาย วาจา ใจ นี่แหละ..“

หลวงปู่พูดอยู่เสมอว่า...
#คนเรานี้แปลก_เอาของจริงคือธรรมะให้ไม่ชอบ
#ไปชอบเอาวัตถุภายนอกกันเสียหมด_ที่พึ่งที่ประเสริฐ
#คือพระรัตนตรัยนั้นประเสริฐอยู่แล้ว_แต่กลับไม่สนใจ
#พากันไปสนใจ_แต่วัตถุภายนอก..!!“
----------
#สุจิณฺโณวาท
#หลวงปู่แหวน_สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่






"กินแต่เนื้อก็เป็นยักษ์ กินแต่ผักก็เป็นค่าง
ดังนั้น พุทธบริษัท จึงกินแต่อาหารที่บริสุทธิ์
ปราศจากความหมายมั่น ด้วยอุปาทาน
ว่าเป็นนั่น เป็นนี่ นอกจากเป็นเพียงธาตุ
ตามธรรมชาติ ควรแก่การบริโภค
ของบุคคลผู้ปรารถนา ความเป็นอิสระจากกิเลส"

ท่านพุทธทาสภิกขุ







“ถ้ากินเจมันประเสริฐเป็นบุญใหญ่นัก
วัว ควาย ก็คงเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว
คนเราจะกินอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า
กิเลสตัณหาตัดได้หรือเปล่า แล้วการกินเจ
ก็ไม่ช่วยให้กิเลสตัณหาลดลง

แต่จะกินเพื่อสุขภาพละก็อนุโมทนา
แต่การกินเจไม่ช่วยให้พ้นนรกได้หรอก
คนกินเจลงนรกก็เยอะแยะ เพราะกิเลสตัณหา
ยังเต็มหัวมันอยู่ ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่
ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐ
ให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั้นละ

มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน
ไม่ใช่วันๆ เที่ยวแต่ชวนคนมากินผัก
คนเรามันจะประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ
มิใช่เพราะการกิน

ถึงกินเจตลอดชีวิตแต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล
ไม่เจริญภาวนา ก็กินเจเสียเปล่า หาประโยชน์มิได้
แล้วยังไม่ช่วยให้ตัวเองพ้นจากขุมนรก”

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ








#ให้พากันจำเอาไว้ #ใครก็ตามถ้าทำจิตให้ว่างไปหมด #ไม่มีกิเลสเหลือแล้วเป็น #พระโมฆราชด้วยกันหมด

มรรคผลนิพพานอยู่กับธรรมของพระพุทธเจ้า

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ.

ดูก่อนโมฆราช พูดง่ายๆ ก็คือว่าเธอจะเป็นที่หนึ่งตรัสรู้ในระยะนี้ ความหมายว่าอย่างนั้น

ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ สทา สโต สทาทุกเมื่อ สโตคือสติ เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกที่มันแน่นหนา
ไปด้วยฟืนด้วยไฟด้วยกิเลสตัณหานี้ เอาไฟคือธรรมะตปธรรมเผาให้มันแหลกไปหมด ให้กลายเป็นสุญฺญโต โลกํเป็นโลกว่างไปหมด โลกนี้ว่างโลกนี้สูญไปหมด ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเราว่าเขาซึ่งเป็นเหมือนกับก้างขวางคอออกเสีย จะพึงหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้

พอพระโมฆราชได้ฟังธรรมนั้นก็ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในขณะนั้น ธรรมบทนี้จึงเป็นธรรมสำคัญ แต่เราจะไปมอบให้โมฆราชหมดทุกคนไม่ถูก ต้องมอบให้กับผู้ปฏิบัติเรา

ผู้ปฏิบัตินั้นละผู้รอที่จะรับธรรมจากพระโมฆราช ลำดับลำดาจากพระโมฆราชมาจนกระทั่งถึงเรา

ใครก็ตามได้ตรัสรู้ธรรม โลกนี้ว่างเปล่าจากความเกิดแก่เจ็บตาย กิเลสตัณหาซึ่งเป็นเชื้อให้เกิดแก่เจ็บตายมุดมอดไปหมดจากจิตใจ นั้นละโลกว่าง ว่างตรงนั้น

สุญฺญโต โลกํ
โลกว่าง ว่างจากกิเลสซึ่งเป็นขวากเป็นหนามนั้นละ

นี่ละพระพุทธเจ้าท่านสอนพระโมฆราช มันว่างอย่างนี้โลกว่าง ต้นไม้ภูเขาก็มี แต่สิ่งที่เสียดแทงจิตใจคือ อารมณ์ของกิเลส มันเผาอยู่ทั้งวันทั้งคืน นี้เป็นขวากเป็นหนามเป็นฟืนเป็นไฟ เผามันให้แหลก แล้วก็กลายเป็น
โลกว่างขึ้นมาในหัวใจ พญามัจจุราชตามไม่ทัน

นี่แปลออกจากคาถาบทนี้ ให้พากันจำเอาไว้ ใครก็ตามถ้าทำ
จิตให้ว่างไปหมด ไม่มีกิเลสเหลือแล้วเป็นพระโมฆราชด้วยกันหมด

บรรดาพระอรหันต์ล้วนแล้วแต่เป็นโมฆราช ว่างจากกิเลสทั้งปวง หมด นับแต่พระพุทธเจ้าลงมา

#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน
#ยกบางส่วนของเทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑








#การปฏิบัติภาวนา
#ต้องหาอาจารย์ตัวเองให้เจอ

การปฏิบัติภาวนานี่ก็มีผล ผลสำคัญเลยละ คือ ต้องหาอาจารย์ตัวเองให้เจอ หาให้พบ ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือคนนั้นเป็นฆราวาสก็ตาม อันนี้จากประสบการณ์ ไม่เชิงประสบการณ์แต่อย่างเดียว แต่เป็นความจริง

ทำไมถึงว่าอย่างนั้น...
ครูอาจารย์ท่านบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง.. ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตัวเอง กรรมนี้หมายถึง..ทั้งกรรมดี กรรมไม่ดี กรรมส่วนตัว กรรมหมู่ กรรมคู่ มีกันทุกคน

ทีนี้มาพูดถึงกรรมดี กรรมที่คนเราเคยสร้างกันมา อาจจะเป็นพ่อ แม่ ครู อาจารย์ พี่ น้อง มิตรสหาย แม้แต่คู่ชีวิตเป็นต้น ที่เอื้อต่อกันในอดีต ที่มีความเกี่ยวพันกันมาในอดีต จะสอนกันได้ จะพอชี้แนะแนวทางกันได้ เพราะเป็นคู่ทรมานกันมา

ทรมานนี้ หมายถึงเคยอบรมสั่งสอนกันมา เคยเป็นพ่อเป็นแม่เป็นครูเป็นอาจารย์เป็นศิษย์ เป็นพี่เป็นน้อง แล..เคยเป็นคู่ชีวิตกันมา เป็นต้น

กลุ่มนี้พอมาเกิดชาติใหม่.. ถึงแม้เกิดต่างพ่อต่างแม่ก็ตาม.. ด้วยวิบากกรรมของใครของเราก็ตาม แต่ก็ยังมีความเกี่ยวพันกันในอดีตอยู่

ชาติใหม่ใครผ่านก่อนก็เป็นครูเป็นอาจารย์สอนต่อไป แลสอนรู้เร็วเห็นเร็วด้วย ก็เนื่องด้วยการสร้างกรรม.. สร้างบารมีร่วมกันมาแต่อดีต

บางครั้งแทบไม่ต้องสอนเลย พูดคำสองคำก็เข้าใจความหมายกันแล้ว สอนนิดเดียวจิตก็รวมลงแล้ว บางครั้งแค่เห็นหน้าจิตก็รวมลงแล้ว นี่เป็นอย่างนี้ เพราะลงใจกันโดยธรรมชาติ

ด้วยเหตุนี้แล...จึงเป็นที่มาว่า...เราจะปฏิบัติภาวนา เราต้องหาครูอาจารย์ของเราให้เจอ เพราะเหตุนั้น จะทำให้เรารู้ตามได้เร็วขึ้น ดังนี้

หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร จ.สุรินทร์








จิตที่เป็นธรรมชาติ
จะมีความรู้ที่ปราศจากรูปร่าง
แต่จะเป็นความรู้สึกที่ชัดเจน

ไม่เกาะเกี่ยวกับขันธ์ กับธาตุ
แยกออกเป็นส่วน
ไม่เกี่ยวข้องเศร้าหมองต่อกัน
เป็นสภาวะที่เป็นปกติ
ไม่ใช่เป็นทาสของอะไร

หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล








การปฏิบัติธรรมเราต้องหัดปฏิเสธ
ปฏิเสธ...การปรุงแต่งของเจ้าของ
รู้ปั๊บ...ปฏิเสธไว้
ถ้ามันปรุงได้ เราก็หยุดได้
จิตของเราจะออกไปข้างนอก
เราต้องปฏิเสธบอกว่า...
ที่ออกไป ไม่ใช่ธรรม
ธรรม ต้องไม่ออก
ธรรม ต้องหยุด
ถ้าเราหยุดได้
เรา ก็หยุดการเกิดได้
ถ้าเราหยุดไม่ได้
การเกิดของเรา ก็หยุด...ไม่ได้
หยุดแล้วจะถึง...สุญญตา
ความสิ้นสุดของการปรุงแต่ง
ให้มาเห็นจิต...เจ้าของ
เห็นจิตเจ้าของแล้ว...จบเลย.

หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล







#ความว่างหลวงปู่ดูลย์

หลวงปู่ดูลย์ท่านมีกระจกบานหนึ่งอยู่ในห้องท่าน เข้าไปจับเส้นท่าน ท่านบอก

ท่านเยื้อนเห็นไหมในกระจกเห็นตัวท่านไหม

เห็นครับ.... รูปผมอยู่ครับ...ตาเห็นรูปครับ

ท่านบอกสองอย่างนี้เกิดหมดนะ ผู้เห็นกับผู้ถูกเห็นนะ ถ้าไม่อยากเกิดก็อยู่ตรงกลาง ก็คือความว่าง นั่นนะไม่เกิด!

ความว่างหลวงปู่นะ พูดง่าย (หัวเราะ)พูดง่ายมาก! หลวงปู่ทำยังไงถึงว่าง ก็ตอนที่จิตเราว่างเราเข้าใจ เพราะจิตเราว่างแล้ว เราเข้าใจว่าว่างข้างในนี่เอง คือ

ไม่ให้ติดทั้งกายทั้งสังขาร ให้อยู่ตรงกลางทั้งสองอย่างนี้

เหมือนที่เรามีตัวรู้เย็นนี้ มีอยู่ในกายแต่ไม่เกี่ยวกับกาย มีอยู่ในขันธ์ก็ไม่เกี่ยวกับขันธ์

คำว่าว่างตรงกลางคืออยู่ตรงนี้ แต่ใครมันจะตีความแตกล่ะ เป็นจังหวะพอดีเราไปเข้าใจเข้า มันก็เลยเข้าใจปัญหาเลย.

:พระราชวิสุทธิมุนี วิ.(หลวงพ่อเยื้อน ขนฺติพโล)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 105 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร