วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 15:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2021, 05:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


…เวลาทำบุญ
จึงอย่าไปหวังผลตอบแทนจากผู้รับ

.ให้ปิดทองหลังพระ
“ จะได้บุญเต็มที่เลย “

.เพราะไม่ได้หวังอะไรจากใครทั้งสิ้น
ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ.
……………………………………….
.
หนังสือตอบปัญหาคาใจเล่ม 1
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี









"เราเข้าใจว่าประเทศไทยเรานี้ถือสันโดษจริงหรือไม่ หรือถือสันกระโดด? และประเทศไทยเรานี้มีพลเมืองประมาณ 60 ล้านมีศีล 5 บริบูรณ์พอหมื่นคนหรือไม่? ถ้าหากว่าไม่มีพอหมื่นคนแล้วสิ่งเหล่านี้ถ้าเราพูดไปมากก็ภัย ๆๆๆ นิ่งเสียดีกว่า
..........คำว่าศาสนาพุทธ พุทธแต่ปาก ความประพฤติตามพุทธก็เป็นของหายากใช่หรือไม่ ได้ทราบข่าวตก ๆ หล่น ๆ ว่าประเทศซาอุฯ ถ้าเขาถูกกลิ่นเหล้ากับท่านผู้ใดเข้าก็จับไปโบย พวกชาวเรา ผู้ใดดื่มสุราราคาแพง ๆ สูง ๆ ถือว่ามีเกียรติใช่หรือไม่ ผู้ใดไม่ดื่มสุราก็หากันว่าขัดสังคม แต่พุทธศาสนาสอนกันไว้อย่างนั้นดอกหรือ? เมื่อเป็นดังนี้ก็พูดหลายตายโหงดังที่ว่ามาแล้วนั้น"

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต







มาด้วยบุญ
อยู่ด้วยบาป
ขาดทุนแล้ว

หลวงปู่ทองมา สุตธมฺโม
พระอริยสงฆ์แห่งเทือกเขาภูเวียง






..ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น
ย่อมเกิดจากตัวเราเอง
มิใช่เกิดจากคนอื่น..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่สุพจน์ ฐิตพฺพโต วัดห้วงพัฒนา จ.ตราด..






สมบัติของเมืองไทย เป็นศาสนาพุทธแท้จริง
และแล้วทุกคนๆที่เกิดในเมืองไทยก็มีวาสนาดีนะ
เกิดในเมืองที่สมบูรณ์ที่สุดในศาสนาธรรม
ในศาสนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านะ แล้วเดี๋ยวนี้ไม่สนใจแล้วนะ

ส่วนมากก็ไม่สนใจนะ มีแต่สนใจเรื่องเงิน สนใจเรื่องอำนาจนะ
แต่ไม่สนใจในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วนะ เลยไม่เชื่อนะ

เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ใหญ่ที่สุดในโลกนี้

ไม่มีใครสู้เขาได้ ไม่ว่าก็เป็นพระ ไม่ว่าก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็สู้เขาไม่ได้ เพราะว่าก็เห็นอดีตนะ รู้นะ โลกนี้ก็มีพระพุทธเจ้าก็5องค์นะ
โลกก่อนก็อาจมี2องค์ โลกนี้ก่อนก็มี3องค์ บางโลกก็มีองค์เดียวนะ

เนี่ย รู้ทั้งหมดนะ รู้ทั้งอดีต รู้ทั้งอนาคต ไม่ได้บอกกี่แสนปีนะ บอกว่าจะมีพระพุทธเจ้าอีกองค์ มาลงในโลกนี้นะ แล้วเป็นองค์สุดท้าย
ของเรานะเป็นองค์ที่4นะพระพุทธเจ้าโคตมะ

แต่เดี๋ยวนี้คนเราก็ไม่เชื่อนะ เดี๋ยวนี้มีแต่นักวิทยาศาสตร์ที่คนเราเชื่อ
นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่เก่งเหมือนพระพุทธเจ้า
เพราะว่าพระพุทธเจ้าเข้าใจเหตุผลนะ
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุแล้วก็มีผลนะ

พระพุทธเจ้าสอนเรา คนไหนที่อายุยืนก็บอก
คนไหนที่ชาตินี้อายุยืน ชาติก่อนก็ไม่ทำร้ายใคร คนไหนที่ร่ำรวยชาตินี้
ชาติก่อนก็น้ำใจนะ ใจมันเป็นน้ำ แล้วคนไหนที่อายุสั้น คนไหนที่ติดบาปนะ
มันคิดฆ่าคนคิดทำร้ายคนแล้วทำร้ายสัตว์นะ คนไหนที่มีอายุสั้นนะ

มันโรคนี้โรคนู้นนะ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดในสมองแตก
ก็เป็นโรคที่มาจากเวรกรรม แล้วของเราก็เป็นชาวพุทธนะ

คนเราสวดมนต์นะ คนเราเกิดมาเพราะว่ามีกรรมใช่ไหม
แต่กรรมนี้ไม่ใช่ชาตินี้นะ กรรมมาจากชาติก่อน
เมื่อไม่มีกรรมคนเราไม่ได้เกิดนะ เข้าใจไหม

แล้วคนเราอาศัยกรรม และอาศัยกรรมที่มาจากชาติก่อน
แล้วคนเราตายเพราะว่ามีกรรม

เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์มันฉลาดนะ เดี๋ยวนี้บอกว่าเออนี่หัวใจวาย
เส้นเลือดในสมองแตก เดี๋ยวนี้ก็มีโรคกี่พันตัวแล้วไม่รู้นะ คนเรามีตายอันเดียว มีสาเหตุอันเดียวนะ “หมดอายุกรรม”

เข้าใจไหม นี่ สาเหตุที่คนเราตายจริงๆ เวลาเกิดมาคนเรามีเวรกรรม
คนนี้ก็มีอายุ20 คนนี้ก็40 คนนี้ก็60 คนนี้ก็80 คนนี้ก็100

ตั้งแต่เกิดมาก็มีเวรกรรมกัน มันเหมือนนาฬิกานะ นาฬิกานี้ก็100ปี
นาฬิกานี้ก็60ปี นาฬิกานี้บางทีก็2ขวบ บางทีก็เกิดมาแล้วตายทันทีนะ
มันเป็นเวรกรรม เดี๋ยวนี้คนก็ไม่เข้าใจนะ เมื่อไม่เชื่อนะ ก็ไม่เป็นชาวพุทธนะ

เมื่อเข้าใจอันนี้นะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดกับเรา มันเป็นเวรกรรมของเรา
เมื่อเชื่ออันนี้ก็ สู้กับใคร มันก็ต้องสู้กับตัวเองนะ
ฟัดตัวเองนะ ฟัดกับกิเลสตัวเองนะ เพราะว่าตัวเราก็มาจากเรานะ
ที่เกิดขึ้นกับเราก็มาจากเรา เมื่อเข้าใจอันนี้มันสู้กับใคร
นอกจากสู้กับกิเลสตัวเอง เข้าใจไหม
เมียกับผัวไม่ต้องทะเลาะกันนะ ทะเลาะกับตัวเองดีกว่า

หลวงพ่อมาร์ติน ปิยธัมโม
วัดภูฆ้องทอง








เรื่อง "การบริโภคเนื้อสัตว์"

(วิสัชนาธรรมโดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ)

สมเด็จพระสังฆราช เคยปรารถเรื่องการกินเจกับพระราชินีว่าคนไทย "เข้าใจผิด" อยู่มาก

การกินเจ (ตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์) จริงๆไม่ได้บุญ

อธิบาย คือ เราไม่กินข้าวขาหมู แล้วคิด(จิตนาการ) ว่า หมูจะไม่ถูกฆ่า เปรียบได้กับเรานั่งอยู่บ้านเฉยๆ แล้วคิด(จิตนาการ) ว่า เราไปช่วยสอนหนังสือคนอนาถา บุญที่เราไปสอนหนังสือคนอนาถานั้น ไม่มี ไม่เกิด เพราะเรา นึกๆคิดๆไปเองไม่ได้ทำ ไม่ได้กระทำจริง ถ้าอยากได้บุญ เราต้องช่วยชีวิตสัตว์ มี ๒ ข้อ คือ

๑.ช่วยชีวิตมันโดยการไถ่ชีวิต ซื้อสัตว์ที่กำลังถูกฆ่านำมาปล่อย
๒.เมตตาสัตว์ไม่ทำร้ายมัน อย่างนี้เป็นบุญ

แต่การกินเจ บุญไม่เกิด เพราะเราไม่ได้ลงมือกระทำจริง(ช่วยชีวิตสัตว์) เป็นเพียงแต่คิดไปเอง

พระเทวทัตเคย มาเสนอให้ชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์
พระพุทธเจ้าปฎิเสธ พร้อมให้เหตุผลว่า
๑. เนื้อสัตว์ไม่ใช่ของเหม็น อกุศลกรรมต่างหากที่เป็นของเหม็น
๒. พระต้อง ควรเป็นผู้เลี้ยงง่าย
๓. อนุญาตในการกินเนื้อสัตว์ที่ -ไม่เห็น -ไม่รู้ -ไม่ใช่เนื้อที่ฆ่าโดยเฉพาะให้ตน
๔. อาหารเป็นแค่ของเลี้ยงกายไม่ให้ตาย อย่าสนใจมาก

การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่ ?

การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็นบุญนั้น ต้องอาศัยกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าด้วย บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง คือ

๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง
เมื่อเทียบเคียงกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ วิธี แล้ว ไม่พบว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ รับประทานแต่พืชผักเป็นวิธีทำบุญข้อใดเลย จึงไม่นับว่าเป็นวิธีทำบุญในพระพุทธศาสนา ลองคิดดูว่าถ้าการกินพืช เช่น ผัก หญ้า ได้บุญ แล้วสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ก็ต้องได้บุญมากกว่ามนุษย์ เพราะสัตว์พวกนี้กินพืชตลอดชีวิตไม่กินเนื้อสัตว์เลย

การกินเนื้อสัตว์ บาป หรือ ไม่ ?

การที่จะวินิจฉัยว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ต้องพิจารณาว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ นั้นจะผิดศีลก็ต่อเมื่อประกอบด้วย องค์ ๕ คือ

๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย

มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า
“นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต”
“บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”

การกินผักก็อาจจะต้องฆ่าสัตว์ทางอ้อมไปด้วยเช่นกัน เพราะต้องไถดิน ใส่ปุ๋ย ใช้ยากำจัดแมลง อาจทำให้แมลงต่างๆ ไส้เดือนตายได้ ถ้าแบบนี้บาปก็คงไม่ต้องทำสัมมาอาชีพกันเลย

หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า

"ไอ้วัวควายกินหญ้าอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

สมเด็จพระญาณสังวร







“..ถ้าเราพิจารณากาย
ให้ลึกลงไปให้เห็นลงไป
จริงๆ ลงไปถึงไส้ใหญ่
ไส้น้อย อาหารใหม่
อาหารเก่า เหล่านี้
มันมีอะไรวิเศษนัก

จึงถือทิฐิมานะไม่ยอม
กราบไหว้ผู้อื่น ทำไม
ยึดถือของเน่าๆ อยู่
เต็มตัว จนไม่ยอมกราบ
ไหว้เคารพนับถือผู้อื่น

ก็ได้ร่างกายเน่าๆ
นี่แหละพิจารณาให้ซึ้ง
ให้ถึงแก่นเถอะ ให้ช่ำ
ชองชำนาญในการเข้า
และออกจนจิตใจผ่องใส
ไม่มีมลทินโทษแล้ว

ทิฐิบริสุทธิ์ ญาณทัศนะ
ธาตุก็จะบริสุทธิ์
ตายแล้วกระดูก
เป็นพระธาตุแน่นอน..”

โอวาทธรรม
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร







#อย่ามัวหาแต่ของขลังภายนอก

หาเรื่อง อยู่เฉย ๆ ไม่อยู่ ไม้จิ้มฟันเอาไปทำอะไร วิเศษวิโสอะไร หาเรื่องไม่เข้าท่า นี่ละที่มาทำให้พระผิดไปเรื่อย ๆ พระอยู่ดี ๆ ก็ลากจมูกไป นี่ก็จะขอไม้จิ้มฟันไป ถ้าเราจับยื่นให้ก็จะมาอีกเต็มศาลานี้ มาแย่งไม้จิ้มฟันกันหมด นี่ละจูงพระให้ผิดให้ขลังในเรื่องไม่ขลัง

ความประพฤติตัวเองให้เป็นคนดีที่ขลัง ๆ ไม่เห็นทำกัน หาแต่ขลังนอก ๆ ใช้ไม่ได้นะ เวลานี้ศาสนาขลังไปข้างนอกแล้วนะ ไม่ได้ขลังอยู่กับใจกายวาจาความประพฤติของชาวพุทธเรานะ

เพราะฉะนั้นโลกถึงเหลวไหลโลเลเวลานี้ ไปที่ไหนมองเห็นแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้มนุษย์เต็มบ้านเต็มเมือง แล้วขลังแท้ ๆ เอานั้นมาขลังเอานี้มาขลัง ชอบขลังนัก เขาว่าอะไรแตกฮือ ๆ ตื่นบ้ากัน

พระพุทธเจ้าไม่ได้พาขลังอย่างนั้นนี่ สอนลงที่กายวาจาใจของชาวพุทธเรานั่นแหละ ปฏิบัติตรงนั้น ธรรมขลังอยู่ตรงนั้นนะ

พระพุทธเจ้าได้ธรรมมาสอนโลกก็ขลังที่หัวใจนะ ไม่ได้มาขลังนอก ๆ นานา มีไม้จิ้มฟันเป็นต้นอย่างนี้ใช้ไม่ได้เลย

อันนี้สำหรับจิ้มฟัน พอจิ้มแล้วก็ทิ้งลงกระโถน จะไปเสกสรรให้เป็นของดิบของดีมาจากไหน เด็กดูก็รู้นี่แล้วทำไมผู้ใหญ่ดูไม่รู้

ไปไหนมีแต่เรื่องขลัง ๆ อย่างนี้แหละเต็มบ้านเต็มเมือง เมื่อเห็นมีคนเคารพนับถือพระ เห็นไปวัดไปวากันบ้างอย่างนี้ หือ ขลังทางไหน ท่านดีทางไหน ๆ

นั่นเห็นไหมมันติดนิสัยสันดานชาวพุทธเมืองไทยเรานี่ มันขลังนอก ๆ แนก ๆ ไปอย่างนั้น ขลังที่กายวาจาใจนี่ซิ พระพุทธเจ้าขลังที่นี่นะ ตรัสรู้ที่นี่ ๆ ไม่ได้ตรัสรู้ที่ไม้จิ้มฟัน ชานหมากอะไรเหล่านี้ ท่านไม่ได้มาขลังกับสิ่งเหล่านี้นะ ท่านขลังอยู่ที่ใจ กิเลสอยู่ที่ใจ ข้าศึกอยู่ที่ใจ ตีกันลงไปที่ใจนี่ ดับกันลงที่นี่แล้วขลังขึ้นมาที่นี่แหละ อย่าไปหาเรื่องขลังนอก ๆ นานา ไปที่ไหนเป็นบ้ากันแต่เรื่องขลังข้างนอกนั่นดูไม่ได้นะ ชาวพุทธเราเวลานี้ดูเลอะไปหมด

ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาของท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ปีพุทธศักราช ๒๕๓๗








"#ลูกหลานเอ๋ย"
พระโสดาบันในคราบของฆราวาสนั้นยังมีสภาพเป็นชาวบ้าน ๆ เหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป ทำมาหากินเป็นปกติ อยู่กับครอบครัวเป็นปกติ แต่ใจของท่านนั้นมีความเคารพในพระรัตนตรัยมาก ไม่ยอมละเมิดศีลสักข้อเดียว และจะทำบุญทำทานอะไรนิด ๆ หน่อย ก็จะปรารภแต่พระนิพพาน

...พระโสดาบันเขารวยอย่างไรหรือ พระโสดาบันเขารวยกันที่ใจ ใจที่มีความรู้สึกว่าพอ มีเท่าไหร่ก็พอเคยเห็นแม่ค้าขายกล้วยทอดที่มีอารมณ์นี้ เขาขายกล้วยทอดแค่ช่วงเช้า ขายด้วยรถเข็นข้างทาง มีแต่อารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส ชอบทำทานเป็นประจำ ไม่ทันเท่าไหร่ของหมดแกก็เลิกขาย กลับบ้านไปภาวนาฟังเทศน์ฟังธรรมของแกไป ปรากฏว่าเงินทองทรัพย์สินของแกไม่เคยเดือดร้อนวุ่นวายกับใครเลย วันไหนมีงานบุญที่ไหนที่แกต้องการจะไปร่วม แกก็หยุดขาย

...ที่ยกตัวอย่างนี้ ไม่ได้บอกว่าต้องทำแค่นี้ บุญอานิสงส์ที่เคยทำมาเป็นอย่างไร ก็จะมีเท่านั้น อาจจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ก็ได้

...ลูกหลานเอ๋ย....เรามาเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันเถิดว่า ถ้าเรามีความเคารพในพระองค์ท่านจริง ๆ และมุ่งที่จะปฏิบัติตนในความเป็นพระโสดาบันแล้วล่ะก็จะมีพรหมเทวดานางฟ้า ที่มีความเคารพในพระพุทธเจ้าคอยคุ้มครองสนับสนุนให้เรามีความคล่องตัวชนิดที่นับจำนวนไม่ได้เลย

...เพราะว่าพระโสดาบันท่านละความชั่วและทำความดีในเบื้องต้นได้ จิตใจก็จะผ่องใสเบิกบานอยู่เป็นประจำ และเทวดานั้น ท่านจะดูที่จิตใจของเราเป็นหลักว่ามีความผ่องใสไหม ถ้าผ่องใสพอสมควรท่านถึงจะยอมอยู่ใกล้ ๆ อุทิศบุญใดให้ท่าน ๆ ถึงจะรับ และคุ้มครองรักษา ถ้ามัวหมองดำมืดขึ้นมาล่ะก็ ท่านจะไม่เข้าใกล้เราเลย

...ลำพังตัวเราถ้าไม่มีบารมีพระ ไม่มีบารมีท่านช่วย....จะไปได้สักกี่น้ำหรือ

โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(วัดท่าซุง)
โสรยา เหระวัน
#นิพพานังสุขัง







#เรื่องกรรมชั่วแม้เล็กๆน้อยๆย่อมส่งผลเหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นมดดำมดแดงตัวเล็กๆ จนถึงช้างที่ใหญ่สุด ย่อมมีผลเหมือนกัน เพราะเขาเหล่านั้นก็มีจิต มีวิญญาณ เหมือนกัน อย่าได้มองข้ามบาปกรรมแม้จะเล็กน้อย เหมือนไฟแม้มีน้อยนิดก็ยังร้อน


#หลวงปู่ได้เมตตาเล่าให้คณะศิษย์ฟังถึงกรรมเก่าของท่านว่า

ในสมัยก่อนชีวิตผู้คนในชนบทต้องพึ่งพาอาหาร จากธรรมชาติที่มีอยู่มากมายเพื่อเลี้ยงชีวิต ต้องจับสัตว์ ฆ่าสัตว์ เพื่อนำมาเป็นอาหาร และค้าขายประกอบอาชีพ

ชีวิตของหลวงปู่ในสมัยที่เป็นฆราวาสก็เช่นกัน ท่านเล่าว่าเมื่อฝนตกใหม่ๆ ก็จะมีสัตว์จำพวก กบ เขียด ออกมาหากิน เวลาจับสัตว์พวกนี้ ท่านจะส่องไฟและใช้ไม้ไผ่ที่ผ่าเป็นริ้วใหญ่ๆ และเหลาให้แบนๆ นำไปตีกบ ตีเขียดเหล่านั้น เวลาไปตีบางที่ก็มีตายบ้าง บางตัวก็ไม่ตาย เพียงแค่สลบไปก็มี การทำกรรมเช่นนี้ ส่งผลให้ท่านมีอาการปวดหลังอยู่บ่อยๆ

และอีกเรื่องหนึ่ง สมัยท่านเป็นฆราวาส ท่านต้องไปตกเบ็ด และปักเบ็ดตามทุ่งนาอยู่เป็นประจำ เวลาปลาติดเบ็ดแล้ว เบ็ดจะเกี่ยวปากปลาทะลุออกบริเวณขอบปากบ้าง ทะลุออกมาบริเวณตาบ้าง ปลาจะเจ็บปวดทรมานมาก มันจะดิ้น จนสายเบ็ดไปเกี่ยวกับกอข้าวจนแน่น ทำให้มีเลือดไหลออกมาเต็มปากของปลา

การกระทำกรรมเช่นนี้ ส่งผลให้ท่านมักจะเป็นแผลในปากหรือร้อนในอยู่บ่อยๆ และเวลาที่ท่านเป็นแต่ละครั้ง มักจะเป็นนานและหายช้ากว่าคนปกติทั่วไป


#เรามีกรรมเป็นของๆตน
#มีกรรมเป็นผู้ให้ผล
#มีกรรมเป็นแดนเกิด
#มีกรรมเป็นผู้ติดตาม
#มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
#เราจักทำกรรมอันใดไว้
#เป็นบุญหรือเป็นบาป
#เราจะเป็นทายาท
#คือว่าจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป


#ฉะนั้นหลวงปู่ท่านจึงเน้นสอนให้เรารู้จักศีล #รักษาศีล

อานิสงส์ของศีล เพราะถ้าเราไม่มีศีล บาปย่อมเกิดมาทาง กาย วาจา ใจ สร้างความเดือดร้อน ให้แก่ตน ทั้งภพนี้และภพหน้า ผลของกรรมชั่วจะพาเราให้ตกต่ำ อันมีนรกภูมิเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน

ถ้าเกิดมาเป็นคน เศษกรรมเหล่านั้นยังจะส่งผลอีกต่อไป บางคนเกิดมาพิกลพิการ อาการ ๓๒ ไม่สมบรูณ์ เป็นบ้าใบ้ หูหนวกตาบอด มีโรคมีภัยเบียดเบียน เกิดไปสถานที่อดอยาก บ้านป่าเมืองเถื่อน ย่อมเกิดจากบาปจากกรรมที่เราทำด้วยกาย วาจา และใจ ทั้งนั้น

#สรุปแล้วศีลนี่แหล่ะคือเครื่องกั้น

คือกรอบกำบัง ที่จะให้เราพ้นจากทุกข์ เมื่อมีศีลมันก็มีธรรม เพราะมันเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า ท่านก็มาเน้นที่ศีลก่อน

รักษากายไม่ให้มีโทษ รักษาวาจาไม่ให้มีโทษ รักษาใจไม่ให้มีโทษ เมื่อรักษาได้มันก็เป็นศีล เมื่อมันเป็นศีลมันก็เป็นธรรม

เมื่อมีธรรมมันก็มีเมตตาต่อตนและบุคคลอื่นสัตว์อื่น ไม่ทำลายชีวิตบุคคลอื่นให้เดือดร้อน มันก็ไม่เป็นบาปเป็นกรรมต่อกัน..

หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม









#อยากได้มรรคผลนิพพานก็ต้องทำให้มากๆ #อดทนให้มากๆ

หลวงปู่ผางท่านว่า เดินทั้งวัน นั่งทั้งคืน พุทโธคำเดียว ทำไม่หยุดจะเห็นนิพพาน

หลวงปู่ก็เลยทำ ทำจนเขาว่าเป็นบ้า แต่บ้าภาวนา มันก็ดีกว่า คนมาว่าบ้า แล้วไม่ภาวนาเลย.

หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต วัดป่าเวฬุวันอรัญวาสี จ.อุบลราชธานี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 119 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร