วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 16:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2021, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


" เราเผลอไปนาทีหนึ่ง ก็เป็นบ้าไปนาทีหนึ่ง
เราไม่มีสติสองนาที เราก็เป็นบ้าสองนาที
ถ้าไม่มีสติครึ่งวัน เราก็เป็นบ้าอยู่ครึ่งวัน เป็นอย่างนี้ สตินี้คือความระลึกได้
เมื่อเราจะพูดจะทำอะไร ต้องรู้ตัว เราทำอยู่ เราก็รู้ตัวอยู่
ระลึกได้อยู่อย่างนี้ คล้ายๆ กับเราขายของอยู่ในบ้านเรา
เราก็ดูแลของของเราอยู่ คนจะเข้ามาซื้อของหรือจะมาขโมยของของเรา
ถ้าเราสะกดรอยมันอยู่เสมอ เราก็รู้เรื่องว่า คนคนนี้มันมาทำไม
เราจับอาวุธของเราไว้อยู่อย่างนี้ คือเรามองเห็น
พอเราขโมยมันเห็นเรา มันก็ไม่กล้าจะทำเรา
อารมณ์ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติรู้อยู่ มันจะทำอะไรเราไม่ได้
อารมณ์มันจะทำให้เราดีใจอยู่อย่างนี้ ตลอดไปไม่ได้
มันไม่แน่นอนหรอก เดี๋ยวมันก็หายไป จะไปยึดมั่นถือมั่นทำไม
อันนี้ฉันไม่ชอบ อันนี้ก็ไม่แน่นอนหรอก
ถ้าอย่างนี้ อารมณ์นั้น มันก็เป็นโมฆะเท่านั้น
เราสอนตัวของเราอยู่
เรามีสติอย่างนี้ เราก็รักษาอย่างนี้เรื่อยๆ ไป
ทำเรื่อยๆ ไป ตอนกลางวัน ตอนกลางคืน
ตอนไหนๆ ก็ตาม เมื่อเรายังมีสติอยู่ เมื่อนั้นแหละเราได้ภาวนาอยู่ "

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี








#สำเร็จเป็นการบุญ

เรื่องการบริจาคทาน บุญที่จะเกิดขึ้นมากน้อย ขึ้นอยู่กับจิตใจของบุคคลผู้ทำ ไม่ต้องสมมติว่ากองกฐิน ไม่ต้องสมมติว่ากองผ้าป่า...ก็สำเร็จเป็นการบุญ

หลวงปู่แบน ธนากโร








" พระอยู่ที่ใจ ขั่นใจขาดธรรมะ ทำความชั่ว แม่นสิห้อยพระเต็มโต พระกะช่วยอิหยังพวกเจ้าบ่ได่เด้อ แต่ขั่นไผเป็นคนดี ทำดี แม่นบ่ได่ห้อยพระ พระกะอยู่ในใจผุนั่น กุ้มหุ่มฮักษาผุนั่น คือเก่าเนาะ "

...แปลความ " พระอยู่ที่ใจ ถ้าใจขาดธรรมะ ทำความชั่ว แม้จะห้อยพระเต็มตัว พระก็ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้นะ แต่ถ้าใครเป็นคนดี ทำดี แม้นไม่ได้ห้อยพระ พระก็อยู่ในใจคนๆนั้น คุ้มครองรักษาคนนั้นเหมือนเดิมนะ "

หลวงปู่จื่อ พนฺธมุตฺโต









“ถ้าเราภาวนาแล้ว จิตจะไม่ไปที่ต่ำ
ภาวนาก็ “พุทโธ” พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง
พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี
พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า
โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา
ความเจริญสุขสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย"

คติธรรม คำสอน
หลวงพ่อสมบูรณ์ กนฺตสีโล








"คนจะข้ามแม่น้ำไปได้...ต้องมีเรือฉันใด
มนุษย์ปุถุชนจะข้ามฝั่งไปได้...ก็ต้องอาศัยบุญฉันนั้น

คำว่าบุญนี่ยิ่งใหญ่ บุญคือกุศล คือความดีที่จะอุปถัมภ์ค้ำชูให้ไปถึงฝั่งในภายภาคหน้า

ต่อให้เราสุขภาพดีแค่ไหน หากไม่หมั่นทำความดี ไม่สะสมบุญ ย่อมไม่มีวันไปถึงฝั่งนั้นได้..."

หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร
วัดป่าปางกื้ดกิตติธรรม
อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่







เราจะระงับความโกรธได้อย่างไร?

ถ้าเราโกรธแล้วแสดงออกทางกาย ทางวาจา เราอาจจะรู้สึกดีสักพักหนึ่ง รู้สึกสะใจ แต่ว่าผลก็คือ ความโกรธในจิตใจของเราจะเพิ่มมากขึ้นแล้วจะทำให้เรายับยั้งชั่งใจต่อไปยากขึ้น

ในเบื้องต้นสิ่งแรกก่อนอื่น ก็ต้องงดเว้นจากการแสดงออกทางกาย ทางวาจา ไม่เบียดเบียนใครด้วยกาย วาจา เพราะความโกรธ แต่นั่นก็เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นศีล แต่มีประโยชน์มาก เพราะคนเราจะตกนรก ไม่ใช่ตกนรกเพราะอารมณ์ในจิตใจ ตกนรกเพราะกาย วาจา ฉะนั้นถ้าเราระงับโกรธได้เฉพาะ กาย วาจา ก็ยังถือว่าดีมาก

อย่างไรก็ตามในทางจิตใจ เรายังจะต้องปฏิบัติด้วยการสร้างหรือการพัฒนาคุณธรรมที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับความโกรธ เช่น สติ เช่น ความอดทน เช่น เมตตาธรรม ถ้าเราไม่ทำตามความโกรธและคอยพัฒนาสิ่งตรงข้ามกับความโกรธ จะทำให้ความโกรธลดน้อยลง

อย่างไรก็ตามการปฏิบัติทางจิตใจก็ยังไม่พอ เพราะรากเหง้าของความโกรธอยู่ที่ความคิด เราต้องแก้ด้วยปัญญา โดยเฉพาะ 'โยนิโสมนสิการ' การคิดพิจารณาว่า เรามีความคิดผิดอะไรบ้าง หรือมีความอยากอะไรบ้าง ความโกรธจึงจะเกิดขึ้น ซึ่งส่วนมากความโกรธเกิดขึ้นเพราะอยากได้อะไรสักอย่าง แล้วไม่ได้สิ่งที่อยาก อยากให้เขาทำอะไร อยากให้เขาพูดอะไร แล้วเขาไม่ทำ เขาไม่พูดอย่างที่ต้องการให้เขาทำ ต้องการให้เขาพูด ต้องการให้เขาเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาไม่เป็นอย่างที่เราอยากให้เขาเป็น เราก็โกรธ อย่างนี้เป็นต้น

ฉะนั้นการที่คอยขุดความคิดหรือความอยาก หรือว่าตัวตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิดความโกรธนี่ก็สำคัญในการที่จะแก้ปัญหาโดยสิ้นเชิง แต่ความโกรธจะหายจริงๆ ก็หายด้วยวิปัสสนาซึ่งต้องอาศัยการเจริญด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ถึงขั้นที่เราเห็นชัดเลยว่า อารมณ์ทั้งหลายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุตามปัจจัย ตรงนี้ที่กิเลสทั้งหลายรวมถึงความโกรธจึงจะดับโดยสิ้นเชิง

พระอาจารย์ชยสาโร







พระพุทธองค์ทรงสอนว่าหน้าที่หลักของชาวพุทธ คือ การศึกษาชีวิตของตน เพื่อดับปัญหาทั้งหลาย ในการศึกษาตัวชีวิตนั้น จิตที่ขาดสติไม่มีสมาธิ ไม่มีคุณสมบัติพอ เราจึงต้องให้เวลาให้ความสำคัญกับการฝึกจิตให้อยู่ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่องได้เสียก่อน

จิตที่อยู่เป็น รู้เป็นแล้ว จึงควรหันมาดูกายและใจของตนโดยตรง

พระองค์ให้ดูว่า รูป (คือร่างกาย) เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นของไม่แน่นอน

เวทนา (คือความรู้สึก สุข ทุกข์ และเฉยๆ) เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นของไม่แน่นอน

สัญญา (คือความจำได้หมายรู้ เช่น นี่สีดำ นี่สีแดง นี่สวย นี่ไม่สวย นี่สุภาพ นี่ไม่สุภาพ นี่น่ากลัว นี่ไม่น่ากลัว เป็นต้น) เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นของไม่แน่นอน

สังขาร (คือสิ่งที่ปรุงแต่งจิตเป็นบุญ เป็นบาป กล่าวคือ กิเลส และ คุณธรรมต่างๆ) เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นของไม่แน่นอน

วิญญาณ (คือการรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นของไม่แน่นอน

ชีวิตเราดูชัดๆ ก็ไม่เหมือนที่เราคิด ฝึกรู้ชีวิตตามความเป็นจริงมากขึ้น แนวทางปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์โดยสิ้นเชิงจะปรากฏ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มคลี่คลายและเย็นลง

พระอาจารย์ชยสาโร








...ถ้ามัน"สงบ"ก็ถูกทางแล้ว
วิธีการมันมีหลากหลายด้วยกัน
อุบายการปฏิบัติ แต่ละคนนี้ไม่เหมือนกัน
เราใช้วิธีไหนที่ทำให้ใจเราไม่ฟุ้งซ่าน
ไม่คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้
ให้สักแต่ว่ารู้ ให้อยู่กับปัจจุบัน
"ให้ใจว่าง"
อย่างนี้ก็ถือว่าใช้ได้.
....................................
.
คัดลอกช่วงถาม-ตอบ
ธรรมะบนเขา 7/7/2556
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







คนเราได้พบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เมื่อมีบุญวาสนา
ไม่ต้องเรียกร้อง
ถึงเวลาก็มาพบกัน
เมื่อสิ้นบุญวาสนา
จะพยายามอย่างไร
ก็ต้องจากกันไป

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต






ถ้าตั้งสติแล้ว..ไม่ห่วงใคร
ใครจะเป็นใครจะตาย..มันเรื่องของเขา
เรื่องของเรา..มีหน้าที่ภาวนา

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร








"คนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่างเขา
เราอย่าละในสิ่งที่เราบำเพ็ญ"

"การให้ด้วยความเต็มใจนั้นมีอานิสงส์มหาศาล ของที่ให้แม้จะน้อย แต่ให้ด้วยความเต็มใจก็มีอานิสงส์มากกว่าเงินจำนวนมาก แต่ให้เพราะอยากได้หน้า หรือให้แต่เสียดาย เราเหลือกินเหลือใช้ ก็ให้ไปเถอะ เลี้ยงคนไม่ทำให้จนลงหรอก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดเป็นของโลก ตายไปเอาไปไม่ได้ ความมีน้ำใจเป็นสิ่งสำคัญ เราอยากให้ใครดีกับเรา เราต้องดีกับเขาก่อน ทำอะไรด้วยความตั้งใจที่ดี ความบริสุทธิ์ใจ.."

พระธรรมวิสุทธิญาณ
(ท่านพ่อไพบูลย์ สุมงฺคโล)








#สันตุสสโกวาท ตัดอาลัย ตัดห่วง ตัดใจ คงไว้แต่ความดี

นี้แหละ...เรื่องความตาย เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน เพราะฉะนั้น พวกเราท่านทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่ อย่าลุ่มหลง เลินเล่อมัวเมาจนเกินไป ควรประกอบคุณงามความดี สั่งสมบุญกุศลเอาไว้

ชีวิตของเรามันไม่รู้จะวันไหนล่ะ อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ควรประกอบคุณงามความดีไปเรื่อยๆ ถึงคราวตายแล้ว จะทำยังไงได้ เกิดมาแล้วก็ต้องตาย

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา แต่ว่าถ้าเราไม่เตรียมกาย เตรียมใจไว้ ถึงเราจะพูดว่าธรรมดา ธรรมดาขนาดไหนก็เถอะ เวลาจะตายมาไม่ใช่ธรรมดานะ มันว้าเหว่ อ้างว้าง เงียบเหงา เป็นทุกข์ใจไม่ใช่น้อยเหมือนกันถึงคราวมรณะภัยมาถึง

เพราะฉะนั้นขอให้พวกเรา ให้เตรียมพร้อมไว้แต่เนิ่นๆดีกว่า คิดไว้ ทำไว้ทดลองตัวเองตายไว้ มองที่ไหนก็คิดว่าตาย...ไม่เป็นอย่างอื่น แต่ว่าก่อนที่จะตายนี้ เราควรจะทำคุณงามความดีอันไหนไว้บ้าง ไม่ใช่ว่าจะตายแบบห่วงคนนั้น ห่วงคนนี้ ห่วงทรัพย์สมบัติ ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงญาติพี่น้อง ห่วงพ่อห่วงแม่ เรื่องเล่านั้นมันเป็นเรื่องกิเลสทั้งหมด

ถึงจะห่วงขนาดไหนก็ห่วงเถอะ เอาไปด้วยไม่ได้หรอก ถ้าว่าตาย ก็ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างไป ไปของใครของเรา เราต้องตัดความห่วงไว้ในใจ มันต้องฝึกหัดในใจของเราลึกๆอย่างนั้น เราต้องตัดอย่างนั้น

กรรมของข้าทำมา ทำดีหรือทำชั่ว ถ้าเราทำกรรมดีไว้แล้ว เราจะต้องไปดี ถ้าเราทำกรรมชั่ว เราก็ต้องไปชั่ว เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามสั่งสมแต่คุณงามความดี แต่กรรมดี

ถ้าคนที่มีกรรมดีแล้ว มีแต่ความสบายใจ มีความสุขใจในที่สุดนะ

โดย หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา "อย่าห่วงหาอาลัยในโลกนี้"
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๗







"ชีวิตนี้น้อยนัก มัวผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้
พ้นจากชาตินี้ไปแล้ว จะไม่มีโอกาสดี
ให้วิ่งหนีกรรมได้อีกเลย"

สมเด็จพระญาญสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ








"อย่าปล่อยให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ความตายจะมาถึงเมื่อใด ทราบไม่ได้
ต้องเตรียมให้พร้อม ฝึกจิตก่อนตาย
เพราะสังขาร เป็นของไม่เที่ยง"

หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร







"เขาว่าเราจริง
ก็ไม่ต้องโกรธเขา
เพราะเรื่องมันจริง

เขาว่าเราไม่จริง
ก็ไม่ต้องโกรธเขา
เพราะเรื่องมันไม่จริง

เท่านี้ก็จบ"

ท่านพุทธทาสภิกขุ








“ท่านอย่าคิดว่าสร้างความดีแล้ว
เวรกรรมจะไม่ตามสนอง ตรงกันข้าม
ยิ่งสร้างความดี ยิ่งกรรมมาชัด
มารไม่มี บารมีไม่เกิด สร้างความดี
ย่อมมีอุปสรรค เพราะเหตุใด?
เพราะ... กรรมมาทวงหนี้”

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 126 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร