วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 10:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2021, 05:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“แล้วทำอย่างไรจะหมดกรรม?” การที่จะหมดกรรม ก็คือ ไม่ทำกรรมชั่ว ทำกรรมดี และทำกรรมที่ดียิ่งขึ้น คือแม้แต่กรรมดีก็เปลี่ยนให้ดีขึ้น จากระดับหนึ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

พูดเป็นภาษาพระว่า เปลี่ยนจากทำอกุศลกรรม เป็นทำกุศลกรรม และทำกุศลระดับสูงขึ้นไป จนถึงขั้นเป็นโลกุตตรกุศล
ถ้าใช้ภาษาสมัยใหม่ ก็พูดว่า พัฒนากรรมให้ดียิ่งขึ้น เราก็จะมีศีล มีจิตใจ มีปัญญา ดีขึ้นๆ ในที่สุดก็จะพ้นกรรม

พูดสั้นๆ ว่า กรรมไม่หมดไปด้วยการชดใช้กรรม แต่หมดกรรมด้วยการพัฒนากรรม คือปรับปรุงตัวให้ทำกรรมที่ดียิ่งขึ้นๆ จนพ้นขั้นของกรรมไป ถึงขั้นทำ แต่ไม่เป็นกรรม คือทำด้วยปัญญาที่บริสุทธิ์ ไม่ถูกครอบงำหรือชักจูงด้วยโลภะ โทสะ โมหะ จึงจะเรียกว่า พ้นกรรม

หนังสือ เหตุปัจจัยในปฏิจจสมุปบาท และกรรม
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
หน้า ๒๐











ถาม : หลังจากภาวนาแล้วอยากพัก
เมื่อหลับไปแล้วฝัน ความฝันนั้น
บอกอะไรให้เรารู้
.
หลวงพ่อ : ความฝันเป็นวิบากกรรม เป็นอดีตไปแล้ว
ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องถามให้มากเรื่อง
ทุกคำถามมีคำตอบอยู่ในตัวแล้ว
ขึ้นอยู่กับปัญญาของเราเอง
ที่จะปฏิบัติ ค้นคว้า แล้วจะรู้คำตอบเอง
ยิ่งถามมากก็ยิ่งมากเรื่อง
คำตอบที่ดีที่สุดของทุกคำถาม
ก็คือ..”ปล่อยวาง”

เราต้องปฏิบัติให้มากที่สุด
จนมีปัญญา แล้วจะรู้คำตอบเอง
เมื่อรู้คำตอบแล้วก็จะรู้ว่า ไม่สำคัญเลย
รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เราเองไม่เคยถามหลวงตาเลย
เพราะเวลาท่านเทศน์
ท่านก็ได้ให้ข้อมูลไว้หมดแล้ว
ให้แนวทางไว้แล้ว
“เราต้องลงมือปฏิบัติเอง”
ท่านช่วยเราได้แค่นั้น
เราต้องปฏิบัติเองจึงจะรู้.
...................................
.
หนังสือตอบปัญหาคาใจ
เล่ม3หน้า 93 ธรรมะบนเขา
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










คู่ชีวิตของคนนั้น คือ ธรรมะ
.
…. “คู่ชีวิต” ของคนนั้นคือ “ธรรมะ” ไม่ใช่เพศตรงกันข้าม นั้นมันเรื่องของชาวบ้าน คู่ชีวิตในภาษาคน เรื่องของชาวบ้าน ก็คือเพศตรงกันข้าม นั้นเป็นคู่สืบพันธุ์ เป็นคู่ทำมาหากิน เป็นคู่ปรับทุกข์ปรับสุข แล้วก็ไม่พ้นไปจากทุกข์ ชีวิตยังต้องเป็นทุกข์
…. แต่ถ้าเราเอาธรรมะอันถูกต้องแท้จริงเข้ามาก็ป้องกันได้ ไม่ให้ชีวิตนี้เป็นทุกข์ นี่ คู่ชีวิตนี้จริงกว่า เป็นคู่ชีวิตในทางธรรม
…. ฉะนั้น อย่ามีคู่ชีวิตแต่ในเรื่องโลก เรื่องคน เรื่องภาษาคน มันจะต้องเป็นทุกข์ บางทีจะเพิ่มความทุกข์เข้าอีกเป็น ๒ เท่า แต่ถ้าเราเอาธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เราบอกแฟนบอกคู่ของเราว่า เราทั้งสองคนนี้แต่ละคนนี้ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิตด้วยกัน เธอก็มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต ฉันก็มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต แล้วก็อยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์
…. ถ้าไม่มีธรรมะเป็นคู่ชีวิตแล้ว ก็ต้องกัดกัน คู่ชีวิตนั้นแหละจะกัดกัน มันช่วยไม่ได้ ที่ว่า..คู่ชีวิต คู่ชีวิต จะกลายเป็นคู่กัดกัน เอาธรรมะเข้ามาเป็นคู่ชีวิตทั้งสองฝ่าย ก็เลยอยู่กันเป็นสุขสวัสดี เพราะมี “คู่ชีวิต”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายปัจฉิมนิเทศ มหาวิทยาลัยต่อหางสุนัข เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๓ ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ธรรมบรรยายต่อหางสุนัข ระดับมหาวิทยาลัย” หน้า ๓๔๔
-------------------------------
ธรรมะ เป็น คู่ชีวิต
.
…. “คู่ชีวิต” นั้นหมายความว่า ทําให้ชีวิตไม่เป็นทุกข์ คู่ชีวิตที่แท้จริงต้องทําให้ชีวิตไม่เป็นทุกข์ ก็คือ “ธรรมะ” นั่นแหละ คู่ชีวิตที่เขาพูดๆกันภาษาชาวบ้านนั้นไม่จริงดอก แต่งงานไม่กี่วันมันก็กัดกันแล้ว แต่งงานได้ไม่กี่วันมันก็กัดกันแล้ว ไม่เท่าไรมันก็หย่ากันแล้ว นี้จะเรียกว่าคู่ชีวิตได้อย่างไร?
…. ที่จะเป็นคู่ชีวิตได้ตลอดไปก็คือ “ธรรมะ” ที่คอยประคับประคองให้ชีวิตเดินถูกทาง แล้วก็มีความสุขตลอดไป ฉะนั้น คู่สมรสที่มีธรรมะนั่นแหละจะเป็นคู่ชีวิตแก่กันและกันได้ ฝ่ายชายก็มีธรรมะ ฝ่ายหญิงก็มีธรรมะ นั้นจะเป็นคู่ชีวิตแก่กันและกันได้ ถ้าไม่มีธรรมะแล้วมันจะเป็นคู่กัดกัน มันฟังหยาบไปไหม แทนที่จะเป็นคู่ชีวิตมันจะเป็นคู่กัดกัน ลองไม่มีธรรมะสิ ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายไม่มีธรรมะแล้วมาสมรสกันจะเป็นคู่กัดกันมากกว่า ไม่เท่าไรมันก็หย่ากันแหละ
…. เห็นประโยชน์ของธรรมะในฐานะที่เป็นคู่ชีวิตจริงๆ คือต้องอยู่คู่กับชีวิตตลอดไป พอปราศจากธรรมะเมื่อไร ชีวิตนี้ก็จะเป็นของร้อน เป็นของทุกข์ ทนทรมาน เหมือนกับตกนรกอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้เลย เป็นการตกนรกทั้งเป็น ถ้าขาดธรรมะเป็นคู่ชีวิต”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “ธรรมะเป็นคู่ชีวิต” จากหนังสือชื่อ “ธรรมะเป็นคู่ชีวิต การอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกโดยวิถีแห่งธรรมะ”








"ถ้าเรามีภรรยา
แล้วต้องคอยกลัวภรรยา
จะไปคบชายอื่น เราก็ไม่อยากได้

หรือเรามีสามี
แล้วสามีไปคบกับหญิงอื่น
เราก็ไม่อยากได้ คิดดูซี่

หรือเรามีลูก มีเต้า
มีคนมาเบียดเบียน
เราก็ไม่อยากได้ หรือใครอยากได้

ตัวเรานี่ซิ ถ้าเรามีศีลแล้ว
รู้จักลูกเขา ภรรยาเขา สามีเขา
ก็ไม่เบียดเบียนซึ่งกันแลกัน
เราก็อยู่เป็นสุข

ถ้าเราไปล่วงเกินเขาแล้ว
กรรมนั้น ก็ติดตนไปหลายภพ
หลายชาติ ได้บุตรภรรยาอย่างนี้
ภรรยาสามีก็ทะเลาะกัน ไม่ถูกกัน
เหตุนั้น พระพุทธเจ้า จึงห้ามกาเม"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร








หลวงปู่เปลี่ยน เมตตาตอบปัญหาธรรม

หลวงปู่เปลี่ยน :: เรื่องภัยพิบัตินั้น ก็จะเกิดมีอยู่
อาตมาเห็นอยู่ แต่อาตมาไม่ทราบว่า จะเกิดขึ้นช่วงไหน
จึงขอเตือน ให้ญาติโยมภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ กันไว้

โยมถาม :: คนที่ภาวนาพุทโธ แล้วจะรอดพ้นจากภัยพิบัติหรือครับหลวงปู่

หลวงปู่เปลี่ยน :: เปล่า.. คนภาวนาพุทโธ ตายแล้วจะไปสู่สุคติ

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป











ในบรรดาขันธ์ที่มีอยู่ ซึ่งเป็นเครื่องปกปิดกำบัง หรือรวมเข้ามาว่า "เป็นตน" โดยความสำคัญของจิต แยกออกด้วยปัญญาให้เห็๋นชัดเจน นี่แหละ ตัดกิ่งก้านสาขา ตัดรากใหญ่ รากฝอยของกิเลสเข้ามา เหลือแต่ "รากแก้ว" พอถึง "รากแก้ว" แล้วก็ถอนขึ้น

รากแก้ว คืออะไร? คือ ตัวจิต มีกิเลสตัวสำคัญอยู่ในน้ันหมด ผู้ปฎิบัตจึงมักจะหลงที่ตรงนี้ ถ้าหากไม่มีผู้แนะเลย จะต้องมาติดที่ตรงนี้แน่นอน ถือสิ่งนี้เป็นตน คิดว่า "อะไรๆ ก็หมดแล้ว รู้หมดแล้ว รู้แล้ว" ยกเราว่ารู้หมด แต่เราหาได้รู้ "เรา" ไม่ นั้นคือ เราหลงเรา รู้สิ่งภายนอก แต่มาหลงตัวเอง

สิ่งภายนอกในสถานที่นี้ ไม่ต้องพูดถึง สิ่งภายนอกทึ่นอกจากตัวเรา หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่้แหละ รู้สิ่งเหล่านี้แล้ว ยังไม่รู้ตัวจริง คือ จิต จิตเลยยกตัวขึ้นว่ารู้สิ่งทั้งหลายเสีย ทั้งๆ ที่ตัวกำลังหลงอยู่ในตัวเอง จึงต้องใช้ปัญญาคลีคลาย หรือขยี้ขยำเข้าไปที่ตรงนี้ เพื่อความรู้รอบตัว ไม่ให้มีอะไรซุ่มซ่อนอยู่เลย

ขึ้นชื่อว่า "ยาพิษ" คือ กิเลสประเภทต่างๆ แม้จะละเอียดเพียงไร มี "อวิชชา" เป็นต้น ก็ให้กระจายไปด้วยอำนาจแห่งปัญญาคลื่คลาย จนกระทั่งกระจายไปจริงๆ หรือสลายไปจริงๆ ด้วยอำนาจปัญญาอันแหลมคม แล้วคำว่า "เรา คำว่า "ของเรา" ก็หมดปัญหา
คำว่า "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือว่า ขันธ์ ๕ อาการท้ังห้านี้ เป็นเรา เป็นของเรา"ก็หมดปัญหาไปตามๆ กัน ว่าเป็น "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ก็หมดปัญหาไปตามกัน เพราะสิ้นปัญหาภายในใจ คือ "อวิชชา" ซึ่งเป็นตัวปัญหาได้สิ้นไปแล้ว ปัญหาทั้งหลายจึงไม่มีภายในใจ ใจจึงเป็นใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ

นั้นแหละ คือ บ่อแห่งความสุข เมื่อกำจัดความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ออกจากใจหมดสิ้นไปแล้ว ใจจึงกลายเป็นใจที่บริสุทธิ์ขึ้ืนมา

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"อุบายวิธีถอดถอนอุปาทานขันธ์"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 76 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร