วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 01:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2021, 06:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“จงเชื่อมั่นในความดี คนทำบุญไม่จำเป็น
ต้องไปประกาศให้ใครรู้ ถ้าจิตของเราเป็นบุญแล้ว
ทำบุญอยู่ที่ไหน มันจะเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ
ไม่ต้องฉลอง ไม่ต้องให้ใครรู้ ไม่ต้องให้คนเห็น
ไม่ต้องมีอะไร มีแต่กำลังจิตที่เชื่อมั่นในความดี”

หลวงปู่ชา สุภัทโท







"โลก เป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุด
ปัญหาที่เข้ามา คือ บทเรียน
มารทั้งหลาย คือ ครูของเรา"

หลวงปู่หา สุภโร








#ถ้าอยากสบายในอนาคต_ก็ควรทำบุญให้มากๆ

พ่อแม่ครูบาอาจารย์..ท่านสอนและย้ำอยู่เสมอว่า

ถ้าอยากสบายในอนาคต ก็ควรทำบุญให้มากๆ ไม่ใช่เฉพาะบุญจากทรัพย์ แต่รวมถึงบุญในการรักษาศีล และบุญในการทำสมาธิภาวนาด้วย

เหตุผลก็คือ.. จะได้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ

การให้ทาน ส่งผลให้ มีทรัพย์มาก ทำอะไรก็รวย

การรักษาศีล ส่งผลให้ รูปร่างหน้าตาดี คนรักคนชอบ มีความสุขกายสบายใจ

การเจริญภาวนา ส่งผลให้ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ไหวพริบดี มีความคิดสร้างสรรค์

หรือบางคนอาจจะคิดว่า ไม่ได้หวังมนุษย์สมบัติ บุญต่างๆเหล่านี้จึงไม่ต้องการ

แต่คนที่เขามีปัญญาจริงๆ สิ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณงามความดีนั้น เขาทำหมดนั่นแหละ แต่ไม่หวังผลตอบแทนเท่านั้นเอง

ดังนั้น.. ถึงแม้เราจะปรารถนาพระนิพพาน ก็ควรทำบุญให้ครบถ้วนด้วยความศรัทธา

เพราะเราจะทราบได้อย่างไรว่า..เราจะทำตนให้ถึง
ที่สุดแห่งทุกข์ได้ในชาตินี้

หากเราเป็นคนประมาท​ ไม่ทำบุญไว้ก่อน

ชาติต่อๆไปนั้น... ลำบากแน่นอน

หลวงปู่ไม อินทสิริ​ วัดป่าเขาภูหลวง
ตำบลระเริง อำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา










#เรื่องหลวงพี่แกงไก่

#อย่าคิดว่าชาตินี้ไม่เคยทำบาปแล้วจะสบาย #เราไม่รู้ว่าทำอะไรไว้บ้างในชาติก่อน

หลังฉันภัตตาหารแล้ว หลวงพี่แกงไก่เล่าให้หมู่คณะฟังว่า

“เมื่อคืนนี้ ผมจำวัดแล้วต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา ช่วงเวลาประมาณตี ๓ ผมได้ยินเสียงในใจ เป็นเสียงพระอาจารย์คม อภิวโร เรียกผมว่า

“แกงไก่ครับ แกงไก่ครับ”

ผมตื่นขึ้นมาแล้วรีบกำหนดภาวนา มีสติเต็มที่ ผมได้ยินเสียงพระอาจารย์คมดังก้องในใจผมต่อไปว่า

“ให้เร่งดูภายในใจ อย่าไปมัวดูข้างนอก มัวดูความไม่ดีคนอื่น มันเป็นเรื่องไร้สาระ

ให้ดูข้างในตัวเอง ความสกปรกเลอะเทอะภายในใจยังมีอีกมาก ไม่อยากจะว่ามาก เพราะยังติดโลกธรรมอยู่”

ท่านอบรมอยู่หลายอย่าง หลักใหญ่คือ

“ให้พิจารณาอย่าติดในโลกธรรม ๘

ได้ลาภ เสื่อมลาภ
ได้ยศ เสื่อมยศ
ได้สุข ได้ทุกข์
สรรเสริญ นินทา

อะไรทั้งปวงเป็นของมายาไม่แน่นอน ให้มีสติพิจารณาเทียบโลกเทียบธรรม”

เท่าที่จำเนื้อหาได้ประมาณนี้ ผมฟังจนเสียงนั้นเงียบไป ผมก็กำหนดภาวนาพิจารณาธรรมะต่ออีกสักพักจึงจำวัดอีกรอบ

ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ฝันแน่ๆ เพราะตื่นมาตอนเช้าก็ยังจำได้ค่อนข้างแม่น แล้วก็มาเปิดอ่านธรรมะในเฟสบุ๊ควัดป่าธรรมคีรี ทราบจากหลวงพี่ว่า เช้าวันนี้ท่านสั่งให้ลงเรื่องโลกธรรม ผมก็คิดในใจว่า ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่คิดไปเองแน่ๆ ตรงเผงขนาดนี้ พลังธรรมท่านคงมาสอนผม มาเมตตาดุเตือนสติธรรมปัญญาธรรมผม”

เล่าถวายเพื่อน้อมกราบบูชาธรรม พระอาจารย์คม อภิวโร ด้วยเศียรเกล้า

จากใจลูกน้อย
พระวิสุทธิ์ ชินวโร (หมอแกงไก่)
ผู้ที่ได้รับเมตตาดูแลจากท่านอย่างหาประมาณมิได้
………………………………………………………………………

หมายเหตุ : พระวิสุทธิ์ ชินวโร หรือหลวงพี่แกงไก่ อดีตทันตแพทย์วิสุทธิ์ วิสุทธิชัยกิจ
อาจารย์สอนเขียนบทภาพยนตร์และที่ปรึกษาบทภาพยนตร์

ปริญญาตรี
ทันตแพทยศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม)
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ปริญญาโท
Master of Creative Media (Film and Television) RMIT University ประเทศออสเตรเลีย

คุณหมอแกงไก่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จทางโลกคนหนึ่ง แต่เมื่อได้เป็นศิษย์พระอาจารย์คม อภิวโร ติดตามไปปฏิบัติธรรมจนค่อนข้างสนิทแล้ว พระอาจารย์คมเมตตาบอกกับคุณหมอแกงไก่ว่า

“…เจ้าไก่เอ้ย รีบลาออกจากงาน รีบไปลาแฟนแล้วมาบวชซะ ชีวิตจะหักกลาง ไม่ตายโหงก็ต้องนอนเจ็บอยู่บนเตียงใครก็ช่วยไม่ได้ มันเป็นกรรมลูกเอ้ย รีบมาบำเพ็ญเอาบุญใหญ่หนีบาปที่เขากำลังไล่ตามอยู่ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม กรรมท่านไม่ได้ง้อให้ใครเชื่อ มาซะก่อนที่จะไกลสุดมือเอื้อม อะไรที่เราช่วยได้เราก็ช่วย เคยมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ถ้ามาช้าเกินกำหนดเวลาใครหน้าไหนก็ช่วยไม่ทันโว้ย

ไม่ใช่ตาย ๆ ไปแล้วก็จบ มันมีภพชาติหลังความตาย มีอบายภูมิเป็นที่ไป ตราบใดที่เรายังมีชีวิตเรายังมีสิทธิ์ปิดอบายภูมิเข้าถึงธรรมได้ ชีวิตเป็นของมีค่ามากนะ…”

๑ ปีถัดมา
คุณหมอแกงไก่จัดการภาระรอบตัวเรียบร้อยจึงมาขอบวช พระอาจารย์คมไม่อนุญาตให้บวช ท่านขอให้เป็นผ้าขาวฝึกตนไปก่อน โดยให้เหตุผลว่า

“ไก่เป็นคนเก่งทางโลกมาก อัตตาสูง ถอดเขี้ยวถอดเล็บเก็บหัวโขน ละอัตตาอยู่เป็นผ้าขี้ริ้ว ฝึกให้จิตเขายอมเป็นผ้าเช็ดเท้าไปก่อน ถึงเวลาจะบอกให้บวชเอง”

อีก ๒ ปี ถัดมา
คุณหมอแกงไก่จึงได้อุปสมบท

ทุกอย่างดูคล้ายจะปกติสุข จนย่างเข้าพรรษาที่ ๓ หลวงพี่แกงไก่ป่วยเป็นโรคประหลาด ได้รับทุกขเวทนาทางกายมาก จนต้องนั่งรถเข็น ตรวจหาสาเหตุอย่างไรก็ไม่พบ ทั้งโยมแม่และโยมน้องชายของหลวงพี่แกงไก่ที่ล้วนเป็นอาจารย์แพทย์หนักใจมาก

หลวงพี่แกงไก่เล่าให้หมู่คณะฟังว่า

“ผมจำได้ พระอาจารย์คมเคยเตือนผมว่า

ให้เร่งภาวนาอย่าประมาท กรรมเป็นของมองไม่เห็น ลึกลับซับซ้อนและมีอำนาจมาก เวลาบาปเก่าติดตามมาส่งผล ผมจะรับแค่เพียงหนึ่งในสี่เพราะผลบุญกุศลที่ทำมาและบารมีครูบาอาจารย์ช่วยไว้ แม้จะลดไปสามส่วนแล้วแต่ถึงกระนั้นก็ต้องนอนเตียงผู้ป่วย นั่งรถเข็นเจ็บปวดทรมานจนอยากจะฆ่าตัวตายวันละหลายรอบ

ตอนนั้นผมเเข็งแรงดี ผมไม่เชื่อเลย นึกว่าท่านหลอกหรือพูดเล่น จนวันนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว ทุกอย่างปรากฏเป็นจริงตามที่ท่านว่าไว้ไม่ผิดเลยสักอย่างเดียว ขอหมู่เพื่อนอย่าประมาทเรื่องกรรม เรื่องจิตตานุภาพของครูบาอาจารย์ ทำเล่นได้เล่น ทำจริงได้จริง ทำดีได้ดีมาก ทำชั่วได้ชั่วมาก“

………………………………………………

คณะศิษย์วัดป่าธรรมคีรีได้กราบขออนุญาตหลวงพี่แกงไก่เผยแผ่ประวัติเป็นธรรมทานแล้ว หลวงพี่แกงไก่อนุญาตตามนั้น แม้หลวงพี่แกงไก่จะไม่ค่อยสะดวกในการเขียนเพราะทุกขเวทนามาก แต่ท่านก็ตั้งใจจะพยายามเขียนเรื่องราวของท่านเองให้คณะศิษย์พระอาจารย์คม อภิวโร และท่านผู้ติดตามทางเฟสบุ๊ค วัดป่าธรรมคีรี ได้รับทราบเป็นธรรมทานเตือนสติต่อไป โปรดรอติดตามกันนะครับ

พระอาจารย์คม อภิวโร เมตตาสอนว่า

“อย่าคิดว่าชาตินี้ไม่เคยทำบาปแล้วจะสบาย เราไม่รู้ว่าทำอะไรไว้บ้างในชาติก่อน

ฟิตสติ ฟิตปัญญา อย่าประมาท
ฝึกจิตใจให้พร้อมยอมรับทุกสถานการณ์

ขณะที่มีชีวิตอยู่ยังมีโอกาสเข้าถึงธรรม ละชั่ว ทำดี ชำระจิตให้ขาวรอบเสมอ”

………………………………………………

#พระอาจารย์คมอภิวโร












#ไม่มีอารมณ์

ท่านอธิบายถึง "สภาวธรรม สภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจากอารมณ์ เป็นต้นเหตุ หู ตา จมูก ลิ้น กาย เป็นผู้รับสัมผัสต่าง ๆ ส่งถึงใจ

ความพอใจ ไม่พอใจเกิดขึ้น จึงเริ่มส่อเค้าของอารมณ์ อารมณ์รัก อารมณ์เกลียด เครียดแค้น พยาบาท อาฆาต
เหตุต่าง ๆ จึงตามมาทุกอย่าง จึงมาจากอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากใจทั้งสิ้น

เป็นผู้ไม่มีอารมณ์
ผู้ไม่มีอารมณ์นั้นล่ะ คือผู้ไม่มีทุกข์.

#เมตตาธรรม
#พระคุณแม่จันดี #โลหิตดี








ความเห็นแก่ตัวไม่อยากตาย ให้คนอื่นตาย ร้อนก็ไม่อยากร้อน ให้คนอื่นร้อน เราอยากได้สุข คนอื่นจะทุกข์อย่างไรก็ช่าง ถ้าเจ็บให้คนอื่นเจ็บ เราเองไม่อยากเจ็บ เขาเรียกว่าคนเห็นปลายข้างเดียวมีดีติดดี มีชั่วติดชั่ว จึงต้องเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ฉะนั้นจำเป็นจะต้องศึกษาเพื่อให้เข้าถึงรู้ทันมันจะยืนเดินนอนนั่งหรือจะอยู่ที่ไหนๆก็มีสติพิจารณาอยู่อย่างนี้ว่า ได้ปฏิบัติตามธรรมนั้น เช่นเรารักลูก รักจนหมด มีความรักเท่าไรมอบให้หมด รักผู้อื่น รักคนอื่นก็เหมือนกัน เขาเรียกว่าคนเห็นปลายข้างเดียวไม่รู้จักอนิจจังทุกขังอนัตตาเมื่อเรารักก็เหลือไว้เผื่อชังบ้างเมื่อชังก็เหลือไว้เผื่อรักบ้างเราต้องรู้ทันอารมณ์ อยู่เหนืออารมณ์คนหลงอารมณ์ก็คือคนหลงโลกคนหลงโลกก็คือคนหลงอารมณ์ พระพุทธองค์ที่ได้รับการยกย่องจากพุทธบริษัทว่า เป็นโลกวิทูผู้รู้แจ้งโลก ก็เพราะพระพุทธองค์รู้อย่างนี้เรามาฟังธรรม ก็เพื่อให้ตัวเราเป็นธรรมมีธรรมอยู่ในใจ ไม่หลงโลกหลงอารมณ์เป็นผู้เข้าถึงธรรมจึง จะมีความสุขความสบาย

หลวงพ่อชา สุภัทโท
เทศนาธรรมเรื่อง"เห็นธรรมดับทุกข์"









อยู่ในสังคมใดก็ตาม
แม้เราจะพูดก็รักษาคำพูดของตัวเอง
แสดงออกก็แสดงออกในทางที่ดี
ให้มีสติ ให้มีปัญญา ตอนที่เราแสดงออก
อย่าให้มันไปกระทบกับคนอื่น
แม้คนอื่นเขาจะไปกระทบเรา
แต่ถ้าจิตของเรามีธรรมะ
เหมือนกับไม่กระทบ มันเป็นอย่างนั้น

คนที่ปฏิบัติธรรมมันต้องคุ้มครองตัวเอง
มีเกราะป้องกันตัวเองดีอย่างนี้
คือสติปัญญาคุ้มครองตัวเองอย่างนี้

หลวงปู่ไม อินทสิริ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 56 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร