วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 11:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2021, 05:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : การใส่บาตรและการถวายอาหารแด่พระควรเป็นอาหารสด แต่ถ้าบางคนการถวายมาม่าหรือของแห้งที่จะต้องเอาไปประกอบอาหารใหม่จะบาปหรือไม่

ตอบ : ไม่บาปหรอก เพียงแต่ว่าพระท่านเก็บไว้ไม่ได้ อาหารที่เป็นอาหารนี้ ท่านเก็บไว้ได้เพียงแค่ช่วงระยะเที่ยงวันเท่านั้นเอง หลังจากเที่ยงวันแล้ว ส่วนที่เป็นอาหารนี้ ท่านต้องสละไปหมด เพราะพระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้พระสะสมของไว้ในกุฏิของตน แต่ทรงอนุญาตให้สะสมไว้ในคลังของวัดได้ เช่นถ้าญาติโยมอยากจะถวายของให้เก็บไว้นานๆ อย่าไปใส่บาตร อย่าไปประเคนกับมือ

อย่างที่อาตมารับของนี้ ส่วนใหญ่จะให้วางไว้เฉยๆ ถ้าญาติโยมวางไว้เฉยๆนี้ ถือว่าพระยังไม่ได้รับประเคน พระยังเอาไปใช้ไม่ได้ แต่เก็บไว้ได้ตลอดเวลาไม่มีวันหมดอายุ เวลาต้องการจะใช้ก็ให้ลูกศิษย์หยิบมาประเคนให้ จึงจะใช้ได้ แต่ถ้ารับประเคนด้วยมือเอง ของมันจะมีอายุ

ของนี้ท่านแบ่งไว้ ๓ ชนิดด้วยกัน ชนิดอาหารนี้มีอายุแค่ถึงเที่ยงวัน หลังจากเที่ยงวันไปแล้ว ถึงแม้รับตอนนี้ก็หมดอายุทันทีเลย ใครถวายมาม่า ถวายปลากระป๋องมา รับปั๊บนี้ก็ต้องสละแล้ว เก็บไว้กินพรุ่งนี้ไม่ได้ เรียกว่า อาหาร ดังนั้นถ้าของเป็นอาหารอยากจะถวายพระให้เก็บไว้นานๆ เอาวางตั้งไว้เฉยๆ ตั้งไว้ตรงหน้าก็ได้ บอกขอถวาย อันนี้ก็ได้เท่ากับถวายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำให้มันถูกพระวินัย พระยังไม่ถือว่าเป็นของของตน เป็นของของส่วนกลางอยู่ ของสงฆ์ แต่เวลาต้องการจะใช้ค่อยให้ลูกศิษย์มาประเคน เอาไปเก็บไว้ที่กุฏิไม่ได้ ต้องเก็บไว้ที่ที่เก็บของของวัด วัดจะมีที่ที่เก็บของส่วนกลางไว้ ของทั้งหมดที่ไม่ได้รับประเคนก็ให้เอาไปไว้ที่นั่น เวลาจะใช้ค่อยให้ลูกศิษย์เอามาประเคนให้อีกที พวกอาหารก็มีอายุเพียงครึ่งวัน เช้าถึงเพล

พวกที่เรียกว่าเภสัช คือพวกน้ำตาล น้ำอ้อย เนยข้น เนยใส น้ำผึ้งนี้ ท่านอนุญาตถ้ารับประเคนนี้ท่านให้เก็บไว้ได้ ๗ วันและฉันได้ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงถือว่าเป็นยา สมัยก่อนเขาคงกินพวกยา พวกนี้รักษาอาการเจ็บท้องปวดท้อง มันคงจะไปเคลือบกระเพาะหรือไปทำอะไร ท่านก็เลยอนุญาตให้มีเภสัช ๕ ชนิดด้วยกัน พวกนี้เก็บไว้ได้ไม่เกิน ๗ วัน พอหลังจาก ๗ วันแล้วถ้ายังมีเหลืออยู่ก็ต้องสละให้คนอื่นไป สละให้กับพระด้วยกันไม่ได้ ต้องสละให้ฆราวาสญาติโยมไป ลูกศิษย์ลูกหาไป หรือเอาไปทำบุญทำทานไป

แล้วชนิดที่ ๓ เรียกว่า ยาจริงๆ เช่นยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาอะไรต่างๆ เหล่านี้ รับประเคนแล้วก็เก็บไว้ได้ตลอดเวลาเก็บไว้ที่กุฏิด้วย เพราะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะได้หยิบได้ทันถ่วงที ถ้าเป็นยานี้ถวายได้ตลอดเวลา และเก็บไว้ได้ตลอดเวลาไม่มีวันเสื่อม นอกจากตามที่เขาเขียนไว้ที่ในสลาก เสื่อมไปตามวันที่เขาเขียนไว้ในสลากเท่านั้น

นี่คือเรื่องของการประเคนของให้กับพระ เราต้องรู้จักแยกแยะ แต่สมัยนี้ญาติโยมไม่รู้กันก็เลยรวมกันหมดเลยที่เขาใส่ในกระเเป๋งสีเหลืองนี้ เขาอยากจะถวายให้ครบทั้ง ๔ คือ ปัจจัย ๔ ยาก็ใส่เข้าไป อาหารก็ใส่เข้าไป จีวรก็ใส่เข้าไป ถึงแม้จีวรจะเอามาห่มไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นผ้าเหลืองๆ ชิ้นหนึ่งก็ถือว่าเป็นจีวรแล้ว กระเเป๋งก็คงถือว่า เป็นกุฏิมั๊ง… ไว้ครอบหัวเวลาฝนตก ทำบุญก็อยากจะถวายปัจจัย ๔ ให้ครบ เขาก็เลยใส่มา แล้วมาถึงก็บังคับให้พระรับประเคน ให้วางไว้เฉยๆ ก็กลัวว่าไม่ได้บุญอีก บางทีบางคนขนกลับไปก็มี พอบอกว่าให้วางไว้เฉยๆ ได้ถวายแล้ว ฉันไม่ได้บุญ ท่านไม่รับฉันไม่ได้บุญ ฉันไปดีกว่าไปถวายที่อื่นดีกว่า อย่างนั้นก็มีเพราะการไม่รู้ ไม่มีการสอนไม่มีการบอก แล้วพระที่มาบวชใหม่ทีหลังก็ไม่รู้เรื่อง เขาเอาอะไรมาถวายก็รับประเคนหมด แล้วเขาก็แบบถือว่าไปว่ากันใหม่ คือตอนนี้รับประเคนแบบหลอกๆไปก่อน รับประเคนให้ญาติโยมดีอกดีใจ แล้วค่อยไปแยกแยะของทีหลัง ของที่เป็นอาหารก็เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าอยากจะได้อะไรค่อยให้ลูกศิษย์มาประเคนให้ใหม่ เขาทำกันแบบนี้

ซึ่งทางสายวัดป่าท่านไม่ทำ ท่านทำแบบไม่หลอก ทำแบบจริงๆ เลย บอกประเคนไม่ได้ก็ประเคนไม่ได้ วางไว้ต้องวางไว้ เพื่อจะได้สอนญาติโยมไปในตัว ญาติโยมที่ไปทำบุญที่วัดป่าจึงได้ปัญญาด้วย ได้บุญคือความสุขใจ แล้วก็ได้ปัญญาความเห็น ความรู้ที่ถูกต้องในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพระให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แทนที่จะส่งเสริมให้พระปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย เพราะด้วยความเกรงใจญาติโยม

นี่คือเรื่องของการถวายของ ที่เราต้องควรจะศึกษา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๗










การที่จิตของเรามันคิดไม่ดีน่ะ
ก็แสดงว่าเราเนี่ยเคยทำกรรมไม่ดีมา
จิตก็เลยเคยชินต่อการที่คิดไม่ดี
อยู่ดีๆ มันก็คิดขึ้นมาได้
เพราะว่าความเคยชินของจิต
หรือว่ากรรมที่เราเคยคิดในทางไม่ดีมันให้ผล
ถ้าเราไปหลงยึดว่า "ความคิดเป็นเรา"
เราไม่สบายใจ อันนั้นเป็น "บาป"
แต่ถ้าเรารู้...เห็นว่า...มันเกิดแล้วก็ดับ
#มันเป็นแค่อาการของจิต
#มันเป็นวิบาก ผลของกรรมในอดีตให้ผลในปัจจุบัน
... เราก็อยู่เหนือกรรม ! ...
เราใช้กรรมแล้วก็ปล่อยวางกรรมนั้น
....เราไม่บาป....

แต่ถ้าเราไป "ยึด" ว่า ความคิดเป็นเรา
แล้วไปหลงยินดียินร้ายกับมัน
ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มีเจตนา
มันคิดของมันเอง ด้วยอำนาจของกรรมเก่า
มันคิดของมันเอง ด้วยอาการของจิต
ความเคยชินของจิตที่มันเคยสั่งสมมาในอดีต
แต่เราไปยินดียินร้าย ไปเป็นทุกข์เดือดร้อน
เราบาป....ตรงที่เราไปยึดความคิด
ที่มันเกิดขึ้นเองนี้ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา
แล้วเราก็เป็นทุกข์ไปกับมัน
ทุกข์นี้... ถ้าหากว่ามันติดอยู่ในจิต
ใกล้จะตายไปตกนรกได้ด้วย ถ้าไม่วาง
แต่ถ้าใครวางเป็นปัญญา ไปสุคติได้
เห็นมั้ย ? อันเดียวกันนี่
อันนึงไปสุคติ... อันหนึ่งไปทุคติ...
#เพราะฉะนั้นสติต้องดีใช่มั้ยล่ะ ?
#ถ้าสติดี.... #เห็นแล้วมันจะวาง
สติต้องดีขึ้นรื่อยๆ จนเห็นความคิดอันนี้
ว่ามันเกิดแล้วก็ดับไป มันก็ไม่มีอะไร
.
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
วัดป่าภูไม้ฮาว จ.มุกดาหาร










...ถ้ารอเวลาตาย
นี้จะมีแต่บุญกรรม ที่จะฉุดเราไป
.
เราทำไมไม่สมมุติว่า
เราตายไปเสียแต่วันนี้
“ตายจากทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว”
.
เราก็จะได้ “ ไปปฏิบัติ “
ได้เดินทางไปสู่ พระนิพพานได้.
...............................................
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 13/7/2556
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










#ถ้าอยากให้ชีวิตมีความสุขจริง_ต้องฝึกสติ
โดยเฉพาะการภาวนานี่สำคัญมาก
"พวกเราทุกคนอยู่กับสัญญา คือความจำได้ ส่วนใหญ่ชอบเอาสัญญามาปรุงมาแต่ง ให้เกิดทุกข์เกิดสุข แต่ส่วนมากจะทุกข์เพราะควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้

แต่ถ้าเรามีสติฝึกสติให้แก่กล้า คิดถึงพุทธโธบ่อยๆ ว่างเมื่อไหร่ก็พุทธโธ ๆๆ ก็จะบังคับสัญญาได้ ทำสติให้อยู่กับปัจจุบันได้ ทำความรู้สึกตัวอยู่ตลอด จะทำอะไรก็รู้ จะโกรธใครก็รู้ จะคิดอะไรก็รู้"

"#ถ้ามีสติแล้วไม่เป็นบ้าหรอก"

คนไม่มีสติคือมีแต่ผู้รู้ ทำอะไรต่างๆนานาก็เพราะไม่มีสติไตร่ตรอง...ผิดหรือถูกก็ไม่รู้ อยากทำอะไรก็ทำ

เพราะฉะนั้นให้เราสอนจิตสอนใจของเรา #มีสติอยู่กับพุทโธ สอนจิตสอนใจให้เห็นถึงความเป็นจริง ตราบจนกว่าจะถึงพระนิพพาน"

โอวาทธรรม
หลวงปู่บุญทัน ฐิตสีโล
วัดเขาเจริญธรรม









"คนที่พูดโกหกได้ ก็หมายความถึง
เป็นคนที่ไม่อายต่อบาป เมื่อไม่เกรงกลัว
และไม่อายต่อบาปเเล้ว ก็ทำได้ทุกๆ อย่าง
บรรดาเรื่องความชั่วทั้งปวงหมด"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล







"อัตตนา โจทยัตตานัง
จงเตือนตน ด้วยตนเอง
กล่าวโทษความผิดของตนไว้เสมอ
อย่าไปสนใจความผิดของคนอื่น
ถ้าเราดีแล้ว ก็ไม่เห็นว่าใครเลว
ถ้าเรายังเห็นว่าคนอื่นเลว
ก็แสดงว่าเรา ก็ยังเลวเช่นกัน"

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ








"คนที่พูดโกหกได้ ก็หมายความถึง
เป็นคนที่ไม่อายต่อบาป เมื่อไม่เกรงกลัว
และไม่อายต่อบาปเเล้ว ก็ทำได้ทุกๆ อย่าง
บรรดาเรื่องความชั่วทั้งปวงหมด"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล








"เอกลักษณ์ของกัลยาณมิตร คือ
เป็นผู้ดึงความดีของเราให้ปรากฏ"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ









" คนเราเกิดมาต่างกัน
แต่จุดหมายปลายทางเดียวกัน
คือ ป่าช้า

ความเที่ยงแท้
คือของหลอก

ความแตกดับ ความตาย
คือของจริง

หมั่นทำบุญ รักษาศีล
ประพฤติธรรม "

โอวาทธรรม
หลวงปู่บุญมา สุชิโว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร