ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ขัดเกลากิเลส
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=59946
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 19 ม.ค. 2021, 07:22 ]
หัวข้อกระทู้:  ขัดเกลากิเลส

...ถ้าอยู่คนเดียว
ในสถานที่สงบสงัดวิเวก
การเจริญสติก็จะ
ง่ายกว่าอยู่ ๒ คนหรือ ๓ คน

.พออยู่ ๒ คน ๓ คนแล้ว
จิตมักจะคิดถึงกัน..อยากจะคุยกัน
แต่ถ้าอยู่คนเดียว
ก็ไม่รู้จะไปคุยกับใคร

.จะทำให้การดูแลการรักษาสติ
เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
เวลานั่งสมาธิ..”ก็จะสงบได้ง่ายกว่า”
เพราะไม่มีอะไร
“มาฉุดกระชากลากใจไป”.
....................................
จุลธรรมนำใจ 8 กัณฑ์ 299
ธรรมะบนเขา 25/3/2550
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี









4 ข้อก็ถึงฝั่งได้...

หลวงปู่เทสก์ สอนการปฏิบัติ มี 4 ข้อ

1. ให้รักษาศีลข้อเดียว คือ รักษาใจให้ปกติ

2. อย่าส่งจิตออกนอก คือ อย่าส่งออกไปปรุงแต่งเรื่องคนโน้น คนนี้หรือเรื่องภายนอก ถึงไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายได้ ถ้าเราไม่ส่งจิตออกนอก

3. อยู่กับผู้รู้อยู่เสมอ ๆ ไปอยู่ป่าเขามันว้าเหว่ ก็ให้รู้ให้ดูว่าใครมันว้าเหว่ จะกวาดลาน ถูพื้น อาบน้ำ ทำทุกอย่างให้อยู่กับผู้รู้ แม้แต่คิดก็ให้ดูว่า ใครเป็นผู้รู้ ผู้คิด แม้แต่ปวดหัว ก็เอาไว้ดูว่าใครเป็นผู้ปวด

4. หาใจให้เจอ ใจคือความเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปทาง ชอบ ชัง ถูก ผิด ดี ชั่ว เจอใจที่เป็นกลาง

ศาสนาพุทธจบลงเท่านี้

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี












หลวงปู่สอนศิษย์
เราเป็นพระหรือนักบวชอย่าลืมตัวเองให้รู้จักที่ต่ำที่สูง ให้รู้จักสัมมาคารวะ อย่าลืมกำพืดตัวเองว่าเป็นใครมาจากไหน มีชื่อเสียงแล้วอย่าลืมบุคคลที่ช่วยเหลือเรา แล้วหลวงปู่ก็พูดเปรียบให้ฟัง มีกาสีดำบินไปจับภูเขาทองแล้วก็พูดว่าตัวเองเป็นกาทองคำ ประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นกาทองคำ แท้จริงแล้วเป็นกาดำ หลวงปู่ก็ยกตัวอย่าง นี่แหละหลงตัวเอง อย่าให้เป็นนะ
อย่าลืมครูบาอาจารย์ อย่าอยากเก่งกว่าครูบาอาจารย์ อย่าเทียบเท่าครูบาอาจารย์ ให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าไปแสดงความเก่งกว่าครูบาอาจารย์หรือครูบาอาจารย์องค์นั้นจะไม่เก่งกว่าก็ตาม อย่าทำตัวเด่นกว่าครูบาอาจารย์ ให้จำไว้นะ ถ้าทำได้ตัวของเราจะเป็นคนเจริญ

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่สุธัมม์ ธัมมปาโล
วัดเทพกัญญาราม อ.เมือง จ.สกลนคร









"คนที่มีความอ่อนน้อมย่อมส่อถึงความเป็นคนดีภายใน ตรงกันข้าม ถ้าเป็นคนแข็งกระด้างไม่อ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม ย่อมประสบความหายนะ ท่านสอนให้เราไปดูตัวอย่างรวงข้าวในนา ตามธรรมดารวงข้างมีเมล็ดเต็มอ้วนภายใน มักอ่อนรวงลงเสมอ ส่วนรวงใดลีบไม่มีเนื้อภายในมักชูรวงแข็งกระด้างไม่อ่อน เปรียบเหมือนคนอ่อนน้อมซึ่งแสดงว่ามีความดีภายใน ส่วนคนแข็งกระด้าง แสดงว่าภายในลีบไม่มีน้ำหนักแห่งความดีเลย มนุษย์จึงควรสำนึกในข้อนี้ และประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ จะถึงความเจริญไม่หยุดยั้ง"

คำสอน หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง










ธรรมะหลวงปู่ดุลย์ อตุโล สอนเรื่องจิตก่อนตาย

เรื่องจิตก่อนตายนั้น สำคัญมากหากเวลาดับจิต หากจิต"ดี" ก็ได้ไปที่ "ดีๆ"หากจิต “หมอง” จิต “ร้าย” ก็จะไปสู่ “อบายภพ” ที่ร้อนร้ายในทันใด ซึ่งจิตก่อนตายนี้ เป็นของไม่แน่นอน บังคับไม่ได้ แล้วแต่วาระหรือกรรมจะพาให้เป็นไป ด้วยเหตุนี้บางคน แม้เคยทำบุญมามากต่อมากแต่ตายไปกลับไปตกนรกทั้งนี้เป็นเพราะ"จิตหมอง"ก่อนตาย บางคน แม้จะทำบาปทำกรรมมามากมาย แต่ตายไป กลับไปอยู่บนสวรรค์ทั้งนี้เพราะเกิด"จิตใส"ตอนดับจิต กรณีทั้งสองแบบ ล้วนมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมาแล้วทั้งสิ้นแต่สำหรับคนที่เคย"ฝึกจิต"มาก่อนวินาทีที่รู้ตัวว่า อย่างไรเสียจะต้องตายหรือดับจิตลงไปแน่ๆหาก"ทำเป็น" ก็อาจพลิกจิตยกขึ้นสู่ภูมิสูง ไปสู่"สุคติ"หรือ"อริยะ" ไป "สุคติภพ"หรือ"อริยภูมิ" เลยก็ได้

สำหรับวิธีตกกระไดพลอยกระโจน (สู่สุคติภพหรืออริยภูมิ) ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์ ก็คือ

ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันอยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต ไม่มีอะไรเลยไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง

พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอกจิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อมมีสติอย่างสมบูรณ์เป็น วิหารธรรมมีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่วิธีทำหยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอกมีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่แต่เรื่องของการ "พลิกจิต" ช่วงสุดท้ายนี้ หลวงปู่ดุลย์ท่านว่าบุคคลนั้นๆต้องเคย "ฝึก" มาก่อน จึงจะทำได้จริง พอดี

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล










#ชาติหน้ามีจริงภพชาติมีอยู่จริงนะลูกนะ

ต้องมาเกิดมาตายไม่มีจบสิ้นนะ บุญไม่มี ศีลไม่มี สมาธิไม่มี เกิดเป็นคนไม่ได้เลย ศีล สมาธินี้ต้องมีนะ ต้องทำให้เกิดในใจเรา ขาดไม่ได้เลยนะลูก

ศีล สมาธิ นี้แหล่ะลูกเอ๋ย กลับมาเกิดเป็นคนได้ เป็นนางฟ้าเทวดาได้ #ถ้าไม่มีแล้วไปเกิดเป็นปลา เป็นวัว เป็นควาย เป็นไก่ ให้เขาฆ่า หาที่จบไม่ได้เลยนะ

คุณย่าชีบุญเรือน #โตงบุญเติม












#ขั้นตอนการปฏิบัติเข้าสู่ทางนิพพาน

1 -

ให้ตั้งสัจจะบารมีว่า เราจะรักษาศีล 5 ให้เป็นปกติทุก ๆ วัน นับต่อจากนี้ - ศีลบารมี ศีล จะเป็นตัวควบคุมกาย และ วาจาของเรา

2-

สร้างสมาธิบารมี โดยการปฏิบัติกรรมฐานทุกวัน สมาธิ จะเป็นตัวควบคุมจิต และใจของเราจากกิเลสต่าง ๆ ถ้าสมาธิดี สติจะเกิด และมีกําลังมากขึ้น ปัญญาจะเกิดตามมา เมื่อกิเลสมากระทบ ก็จะเห็นสัจธรรมของไตรลักษณ์ ทุกสิ่งมีเกิด ตั้งอยู่และดับไป ไม่มีสิ่งใดอยู่คงทนถาวร แล้วสติจะทําให้จิตเราปล่อยวางจากกิเลสต่าง ๆ ที่มากระทบได้เอง จิตก็เข้าสู่ภาวะอุเบกขา เข้าสู่ความสงบต่อไป

ใช้สติ ให้เห็นอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตของเรา กรรมฐานที่ใช้เจริญสติ : สติปัฏฐาน 4, กาย 32, มรณานุสติ

~
#ขั้นตอนการปฏิบัติเข้าสู่ทางนิพพาน

1. -

แยกกาย จิต เวทนา ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน

2. -

ใช้จิตพิจารณากายในกายบ่อย ๆ จะสามารถปล่อยวางจิตจากกายหยาบที่ยึดมั่นอยู่ได้

3. -

สติพิจารณาเห็นกายเป็นขันธ์ 5 มีการแตกดับ เห็นจิตไม่ใช่กาย และกายไม่ใช่จิต แยกกันชัดเจน จะเข้าสู่ขั้นโสดาบัน

4. -

สติมีกําลังมากขึ้น และละเอียดขึ้น ถ้ายังคงรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์และคงสมาธิไว้ได้ดี จะสามารถเข้าสู่ระดับ พระสกิทาคามีผล

▪️ละความโลภ ด้วยการปล่อยวางได้
▪️ละความโกรธด้วยจิตที่มีเมตตากรุณาได้
▪️ละจากกามได้ ด้วยการปฏิบัติอสุภกรรมฐาน พิจารณากายในกาย เป็นของไม่สวยงาม เพื่อละจากกามได้ (พิจารณากายในกาย)

5. -

เริ่มรักษาศีล 8 เพื่อเพิ่มกําลังสติให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ความโลภ โกรธ ความไม่พอใจ จะถูกละจากจิตได้ง่ายขึ้น สติคงตัว เห็นกิเลสเกิดขึ้นและดับลงได้เร็วขึ้น

6. -

สติ จะไปพิจารณากายในกายที่ละเอียดมากขึ้น ปฏิบัติกรรมฐาน อสุภกรรมฐาน ธาตุกรรมฐาน เพื่อให้จิตเข้าสู่ความว่างบ่อย ๆ ขึ้น จิตจะเห็นกายในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตว่ามันไม่เที่ยง ทั้งของตนเอง ผู้อื่นและทุกสิ่งในโลกนี้เข้าสู่ พระอนาคามีผล จะดับความโลภ โกรธ กาม สิ้นออกจากใจได้

7. -

จิตจะเดินทางเข้าสู่ความเงียบ ความสุขเกิดขึ้น แต่จิตจะไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด ๆ จิตเริ่มปล่อยวางจากกายของตนเอง กายของผู้อื่นและวัตถุต่าง ๆ ในโลกนี้แต่จิตยังมีความหลงในจิตปัจจุบันว่าเป็นตัวจิตอยู่ เป็นอวิชชาในส่วนที่ละเอียด the คือ จิตเป็นกิเลสทั้งก้อนเลย จิตกับอวิชชาเป็นสิ่งเดียวกัน แยกกันไม่ได้เลย เป็นจิตสะอาด แต่ไม่บริสุทธิ์

8. -

ต้องแยกกาย และจิตออกจากเวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา (ขันธ์ 5) ด้วยสติที่ละเอียดมาก ๆ ขึ้นเท่านั้น สติที่ละเอียดถึงจะทําลายอวิชชาที่ละเอียดออกได้

9. -

จิตเข้าสู่ภาวะธรรมธาตุ สะอาด และ บริสุทธิ์ แยกจิตจาก ขันธ์ 5 ได้ว่าจิตนี้ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขาร ไม่มี สัญญา ไม่มีวิญญาณ สติอัตโนมัติ จะทำลายกิเลสเองทั้งหมดโดยสิ้นเชิง เข้าใจอริยสัจ 4 แท้จริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค จึงจะเข้าสู้ภาวะนิพพานในที่สุด

#หลวงพ่ออัครเดช(#ตั๋น) #ถิรจิตโต
#วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕











#พระรัตนตรัยย่อมมีอานุภาพมากกว่าผี

ให้ภาวนาว่า ตายๆ ผีกะย่าน บ่กล้ามาใกล้ดอก (ให้ภาวนาว่า ตายๆ ผีก็จะกลัว ไม่กล้าเข้ามาใกล้)

ในสมัยก่อนชาวบ้านแถวมัญจาคีรีนับถือภูตผีมาก แต่ละหมู่บ้านก็มีตูบตาปู่ (ศาลเจ้า) ไว้ประจำหมู่บ้านเพื่อกราบไหว้ เซ่นสรวงบนบาน บอกกล่าวขอความคุ้มครอง

-หลวงปู่ผางสั่งสอนชาวบ้าน ให้เลิกนับถือผี หันมานับถือพระรัตนตรัย-

แต่ชาวบ้านเกรงกลัวผีจะมาทำร้าย ทำให้เกิดความลำบาก ไม่อาจเลิกนับถือผีได้ หลวงปู่มีอุบาย อันชาญฉลาด เพื่อที่จะให้ชาวบ้านได้เห็นว่า พระรัตนตรัยย่อมมีอานุภาพมากกว่าผี ท่านจึงให้ชาวบ้านเผาตูบตาปู่ทิ้ง เมื่อชาวบ้านไม่กล้าเผา ท่านก็ให้กำลังใจชาวบ้าน และบอกว่า ถ้าเจ้าปู่เจ้าผี เจ้าของตูบตาปู่มีจริง ก็ให้เข้ามาดับไฟเอาเอง ชาวบ้านจึงได้กล้าเผา

-บางครั้งเมื่อมีคนถามหลวงปู่ว่า เชื่อว่าผีมีจริงไหม-

หลวงปู่ก็ตอบว่า เชื่อมาตั้งนานแล้ว เมื่อถามว่าหลวงปู่เคยเห็นผีไหม หลวงปู่ตอบว่าเคยเห็นอยู่บ่อยๆ และเมื่อถามว่าหลวงปู่คิดกลัวผีบ้างไหม หลวงปู่ตอบว่า กลัวอยู่เหมือนกัน เพราะผีพวกนี้ มันพูดยากสอนยาก แล้วก็ถามว่าผีมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ผีพูดเป็นด้วยหรือ หลวงปู่ก็ตอบว่าก็ที่กำลังนั่ง กำลังถาม อยู่นี่แหละคือผีทั้งนั้นเลย

หลวงปู่สอนไม่ให้เชื่อมงคลตื่นข่าว ไม่ให้เชื่อถือฤกษ์ยาม แม้ว่าในปัจจุบันการถือฤกษ์ยามนับเป็นเรื่องสำคัญ จะเดินทางประกอบธุรกิจ ขึ้นบ้านใหม่ และอะไรหลายๆ อย่างต้องมีฤกษ์ ถ้าถูกวันอุบาทว์ โลกาวินาศ วันลอย วันจม แล้วต้องงด ควรเป็น วันวันธงชัย อธิบดี และวันฟู จึงจะเป็นมงคล

มีครั้งหนึ่งคุณนายท่านหนึ่งมากราบหลวงปู่ ปรารภถึงวันเปิดร้านเพื่อประกอบธุรกิจการค้า คุณนายถามหลวงปู่ถึงวันที่จะเป็นมงคลสำหรับการเปิดร้าน หลวงปู่ก็บอกว่า ดีทุกวัน เป็นพรุ่งนี้ได้ยิ่งดี คุณนายแย้งว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันโลกาวินาศ หลวงปู่บอกว่าไม่เคยได้ยินวันโลกาวินาศ เคยได้ยินแต่วันอาทิตย์ วันจันทร์

คุณนายก็เลยเรียนหลวงปู่ว่า “เขามีมานานแล้วหลวงปู่ วันธงชัย วันอธิบดี วันฟู นี่ถึงเป็นมงคลเจ้าข้า” หลวงปู่ก็เลยถามว่า แล้ววันนี้ล่ะวันอะไร ก็ได้คำตอบจากคุณนายว่าเป็นวันฟู แต่ร้านไม่เรียบร้อยก็เลยเปิดไม่ทัน หลวงปู่จึงบอกให้คุณนายลองโยนก้อนหินลงไปในที่ล้างเท้า

แล้วหลวงปู่ก็ถามว่า แล้วก้อนหินมันฟูไหม ได้คำตอบว่า “จม” หลวงปู่จึงสั่งสอนว่า “ที่ว่าวันฟู มันทำไมจึงไม่ฟู นี่แหละมันฟูไม่จริง” นี่แสดงให้เห็นถึงปฏิภาณไหวพริบในการสอนธรรมะของหลวงปู่ สอนให้เห็นของจริง ให้รู้ชัดว่าทุกสิ่งทุกอย่างประกอบด้วยเหตุและผล

หินเป็นวัตถุที่จมน้ำ มันก็ย่อมจะจมน้ำ ไม่ว่าจะเป็นวันลอย วันฟู ท่านชี้ให้เห็นว่า วัน เดือน ปี ก็เป็นกาลเวลา ไม่มีผลต่อความเป็นอยู่ความเจริญรุ่งเรืองของเรา แต่การกระทำของเราต่างหากที่จะมีผลต่อตัวเราเอง

#หลวงปู่ผาง #จิตตคุตโต











#เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้

การที่ขัดเกลากิเลสของพวกเรามาแต่ชาติอดีตที่ผ่านมานั้น ใครจะขัดเกลาได้มากน้อยเท่าไร

บุคคลใดขัดเกลาได้มาก เมื่อมาเกิดในชาตินี้กิเลสก็เบาบางจากจิตใจ บุคคลใดขัดเกลากิเลสได้น้อย กิเลสก็ยังมืดมน บุคคลใดไม่ได้ขัดเกลากิเลสเลย จึงมืดมนไม่รู้จักบุญบาป

ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จิตของบุคคลเป็นคนใจดำอำมหิตทั้งหลายอยู่ในปัจจุบันนี้ มันจึงมีหลายระดับหลายขั้นหลายตอน

ธรรมะคำสอน :
พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่








"หูเรา ก็มี ๒ หู
ปาก ก็มีปากเดียว
แสดงว่า เราต้องฟังให้มาก
ต้องพูดให้น้อย"

ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก









"ให้ระมัดระวังการกระทำของเรา
อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ดี เป็นการทำลายตัวเอง
ต้องได้คิด ได้อ่านเสียก่อนจะทำอะไร เพราะทำแล้ว
ไม่หายไปไหน บาปกับบุญมันติดอยู่กับผู้ทำนั่นละ
ให้พากันระวังให้ดี”

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน







"ความตาย กระชากเราไปได้ทุกวันเวลา
เรารู้ได้อย่างไรว่า เรายังมีเวลา"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/