วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 18:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2020, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“การฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรฟังด้วย กาย วาจา ใจ ที่สงบ”

...ทำอย่างไรถึงเรียกว่า
“กายสงบ วาจาสงบ”

.กายสงบ..ก็คือเวลาฟังธรรม
เราไม่ควรทำอะไร เราควรนั่งเฉยๆ
ร่างกายไม่ควรที่จะทำโน่นทำนี่
ให้นั่งเฉยๆ

.ส่วนวาจา..ก็ไม่ให้พูดคุยกัน
ต่างคนต่างนั่งเฉยๆ ไม่พูดไม่คุยกัน
เพราะว่าถ้าเราทำอะไรทางร่างกาย
หรือพูดคุยกัน
ใจของเราก็จะไม่ได้มาฟังธรรมนั่นเอง

.ถึงแม้จะได้ยินเสียงแต่จะไม่เข้าใจ
“ธรรมจะไม่เข้าไปถึงในใจ”
เนื่องจากกายกับวาจาของเรา
ไม่รองรับพระธรรมคำสอนนั่นเอง

.นอกจากกายวาจาที่สงบแล้ว
ใจ..ก็ต้องสงบด้วย คือ
“ใจต้องไม่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ “
ให้คิดอยู่กับเรื่องที่เรากำลังฟังอยู่
คิดถึงเรื่องธรรม ติดตามตั้งใจฟังเสียงธรรม
ที่เข้ามาสัมผัสกับหู “แล้วก็พิจารณาตาม”

. ถ้าเราพิจารณาตามได้
เราก็จะเข้าใจความหมายว่า
ธรรมที่แสดงไว้นั้น แสดงเรื่องอะไรบ้าง
แล้วเราก็จะได้เกิด..ปัญญา..ขึ้นมา
เกิดความรู้ขึ้นมา .
...........................................
ธรรมะบนเขา 22/12/2561
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ณ จุลศาลา ...
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน









" มนุษย์เรานั้นฉลาดมาก
ถ้าจะทำตัวให้ดีก็จะดีเยี่ยม
กว่าสัตว์ทั้งหลาย หากว่า
ปราศจากศีลธรรมเสียแล้ว
มนุษย์ซึ่งฉลาดอยู่แล้วตาม
พื้นเพ จะทำความล่มจม
ฉิบหายป่นปี้ให้แก่กันได้
มากมายที่สุด
ไม่มีใครเกินมนุษย์ได้เลย
จะอยู่ใต้น้ำก็ทำลายกันได้
อยู่บนบกก็ทำลายกันได้
อยู่บนฟ้าอากาศก็ทำลายกัน
ได้ทั้งนั้น

มนุษย์เรานี้ฉลาดนัก แต่เมื่อ
มีศีลธรรมแล้ว อันใดที่เป็น
ความผิดทั้งเขา ผิดทั้งเรา
เดือดร้อนทั้งเขา เดือดร้อน
ทั้งเรา เสียหายทั้งเขา
เสียหายทั้งเรา ทุกข์ทั้งเขา
ทุกข์ทั้งเรา สิ่งนั้นไม่ทำ

เมื่อไม่ทำแล้วความเสียหาย
ทั้งเขาก็ไม่มี ทั้งเราก็ไม่มี
ความทุกข์ของเขาก็ไม่มี
ความทุกข์ของเราก็ไม่มี
มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข
เพราะอำนาจแห่งความดี
มีศีลธรรม

นี่แหละมนุษย์สามารถ
จะทำได้ด้วยความฉลาด
เราสามารถทำตนให้ร่มเย็น
เป็นสุขได้ เพราะอำนาจ
แห่งความฉลาดของตน
หลักของความดีอยู่ที่ตรงนี้ "

โอวาทธรรม
หลวงตาพระมหาบัว
ญาณสัมปันโน









“ ความเมตตา เป็นธรรม
ที่ทำให้คนเรามีคุณธรรม

เมตตา คือความคิดปรารถนา
ให้ผู้อื่นเป็นสุข ผู้ที่มีเมตตา
คือผู้ที่มีความเป็นมิตร
ตรงกันข้ามกับศัตรู
ซึ่งมีจิตพยาบาทมุ่งร้าย

เมตตาตรงข้ามกับโทสะ
พยาบาท เมตตาเป็นเครื่อง
อุปถัมภ์ แต่โทสะพยาบาท
เป็นเครื่องทำลายล้าง

เมื่อเรามีความเมตตาต่อกัน
ย่อมคิดที่จะเกื้อกูลกัน
ให้มีความสุข
ผิดพลาดไปบ้างก็ให้อภัยกัน

แต่ถ้าขาดเมตตาต่อกันแล้ว
ก็จะมีแต่ การทำลาย
มีความพยาบาท
ใครทำความไม่พอใจให้
ก็จะตอบแทน
ด้วยความไม่พอใจเช่นกัน

จึงควรมีเมตตาต่อกัน
เพื่อสังคมที่เป็นสุข ”

พระคติธรรม
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร










"..สรรพสิ่งทั้งหลาย
ไม่แน่นอนเป็น "อนิจจัง"

ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้
ต้องเสื่อมสิ้น แปรปรวน
ดับไป เรียกว่า "ทุกข์"

ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
อ้อนวอน ขอร้อง เร่งรัด
ให้เป็นไปตามความประสงค์
ท่านรียกว่า "อนัตตา"

เมื่อเรารู้เห็นความจริงเช่นนี้
จะทำให้จิตใจของเรา
เข้มแข็ง มั่นคง เด็ดเดี่ยว
ไม่หวั่นไหวไปตาม
เหตุการณ์ทั้งหลาย

เพราะรู้เห็น
ตามความเป็นจริง
ด้วยปัญญาว่า

สิ่งเหล่านั้นมันไม่แน่นอน

มันคงอยู่ไม่ได้
ต้องเปลี่ยนแปลง
เสื่อมสิ้นดับไป

ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
ฝ่าฝืนของเรา.."

โอวาทธรรม
ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต









#ยินดีในปัจจุบันคือปฏิบัติถูกทาง

บางท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าเบื่อชอบแล้ว หน่ายชอบแล้ว พ้นชอบแล้ว ในเรื่องอดีต อนาคตนี้ แต่ทุกวันนี้อาศัยอยู่แต่ในปัจจุบันเท่านั้นดังนี้ก็มี

แต่ข้าพเจ้าผู้เขียนเข้าใจว่า ผู้ยินดีในปัจจุบัน แปลว่าเป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง เดินมรรคภาวนาถูกทาง แต่ยังมิได้หลุดพ้นถึงขั้นอรหันต์ เป็นเพียงเดินมรรคใดมรรคหนึ่งอยู่เท่านั้น และได้รับผลใดผลหนึ่งอยู่ในตัวเท่านั้น

#ยังมิใช่อรหัตผล

เป็นเพียงได้ดื่มปีติความอิ่มใจ ที่พอใจในสมถะและวิปัสสนาในปัจจุบัน แล้วหลงยึดถือเอาปัจจุบันเป็นพระนิพพาน

#ปัจจุบันมิได้เป็นพระนิพพาน

เป็นเพียงทางเดินเข้าสู่พระนิพพานเท่านั้นเอง ด้วยอำนาจมรรคสามัคคี มรรคสามัคคีกับศีล สมาธิ ปัญญารวมพลกันในขณะเดียวกัน ไม่มีอันใดก่อนไม่มีอันใดหลัง

ในชั้นติดอยู่ในปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรมนี้ มิใช่เดินทางถึงปลายทางแล้ว เป็นเพียงใช้คำว่าเดินถูกทางเฉย ๆ

#ท่านผู้ถึงอรหัตผลแล้วมิได้ติดข้องอยู่ในอดีตอนาคตหรือปัจจุบัน

หรือสูญ ๆ สาญ ๆ หรือไม่สูญไม่สาญหรืออะไร ๆ ใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากว่าติดอยู่เงื่อนใดเงื่อนหนึ่งแห่งปัจจุบันแล้ว วิญญาณปฏิสนธิก็มีเกิดมีตายอยู่ในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนั้นเอง

ความทะเยอทะยานในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรม เป็นสมุทัยและตัณหาอันละเอียดมาก เมื่อเป็นตัณหามันละเอียดก็เป็น อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ อันละเอียดอยู่ในตัวด้วยไม่ต้องจำกล่าวไปใยก็ได้

#เหตุไฉนจึงติดอยู่ในปัจจุบันจนลืมตัว

จนสำคัญตนว่าตนพ้นไปแล้วโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุว่า สำคัญตนเป็นปัจจุบัน และ สำคัญปัจจุบันว่าเป็นตน ใน ๒ แง่นี้ แล้วก็แตกแยกออกไปอีกเป็นอีก ๒ แง่รวมเป็น ๔ คือ สำคัญว่า ผู้อื่นเป็นปัจจุบัน สำคัญว่า ปัจจุบันเป็นผู้อื่น

เมื่อสำคัญว่าตนมีอยู่ในปัจจุบัน สำคัญว่าปัจจุบันมีอยู่ในตน แล้วจะไม่หลงไปยึดถืออดีต อนาคตว่าเป็นตัวตนเราเขาสัตว์บุคคลนั้นเป็นไม่มีเลย

เป็นเพียงสติปัญญาไม่กล้า แล้วก็เข้าใจผิดฟิตตัวขึ้นว่าละได้แล้วเรื่องอดีตอนาคต ความสำคัญตัวย่อมเป็นรากเหง้าของกิเลสอยู่โดยตรง ๆ แล้ว จะปฏิเสธไปไหนก็ไม่รอดได้เลย

#อดีตอนาคตปัจจุบันก็คล้ายๆกับปลาตัวเดียวกัน

แต่หัวและหางไม่กิน เพราะไม่อร่อย แต่เป็นยาเสพติด มากินพุงของมันที่ตรงกลางตัว แล้วจะยืนยันว่าเราไม่กินปลาตัวนั้นดอก ดังนี้ก็ไม่พ้นตกอยู่แบบฉลาดแต่แกมโกงซึ่ง ๆ หน้า

ท่านผู้ทรงคุณปัญญาคมคายชำแรกกิเลส ย่อมรู้ได้ไม่ต้องดำดินบินบน เหมือนนกและปลาไหล ก็รู้ได้ไม่ค่อยผิด

#ปัญญาย่อมเป็นนายหน้าของธรรมทุกประเภท

ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ทางโลกีย์หยาบ ๆ ที่เป็นนายหมวด นายพรรคนายพวก นายพัน นายพลเป็นต้น ต้องเอาผู้ฉลาดเป็นหัวหน้า

ทางพุทธศาสนาว่าบัณฑิต ปัณฑิตา ปรินายกา บัณฑิตเท่านั้นจึงควรเป็นหัวหน้าของกาย วาจา คือใจที่ประกอบด้วยปัญญา นัตถิพาลา ปรินายกา

คนพาลมิควรเป็นหัวหน้า ใจที่เป็นพาลไม่ควรเป็นหัวหน้าของกาย วาจา นี้น้อมเข้ามาในฝ่ายปฏิบัติทางธรรมปรมัตถ์ เพื่อให้รู้ชัดปฏิบัติสะดวก เป็นโอปนยิโกไม่ส่งส่ายหนีหลักเดิม

#การนึกคิดทั้งปวงออกไปจากคอกใจ #ต้องกลับเข้าคอกใจ

ใครเป็นเจ้าของใจ ใจที่มีกิเลสย่อมยึดถือเอาใจเป็นตน ตนเป็นใจ ใจที่ไม่มีกิเลสสิงจะบัญญัติและไม่บัญญัติก็มิได้ติดอยู่ในเงื่อนใด ๆ ทั้งสิ้น

นี่ธรรมในพระพุทธศาสนาลึกซึ้งเพียงใดเล่าโลกาเอ๋ย เหตุนั้นพระบรมศาสดาตรัสรู้ใหม่ ๆ จึงใช้กิริยาระอา(ที่)จะสั่งสอนโลก และเป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายต้องใช้กิริยาอย่างนั้นก่อน จึงเป็นเหตุให้พรหมได้อาราธนาตามธรรมเนียม...

องค์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต











#รู้จริงนั้นรู้ได้อย่างไร

รู้จริงนั้นรู้อย่างนี้คือ รู้ได้สองหน้า ละได้สองทาง วางได้ทั้งหมด คือ รู้ของเที่ยง รู้ของไม่เที่ยง รู้ทุกข์ รู้สุข รู้อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน รู้อัตตา คือตัวตน

#นี่เรียกว่ารู้ได้สองหน้า

ไม่ยึดถือในสิ่งเที่ยง และไม่เที่ยง
ไม่ยึดถือทุกข์และสุข
ไม่ยึดถือในอัตตาและอนัตตา

ที่เรียกว่า ละได้สองทาง วางได้ทั้งหมด
ไม่ยึดเอาอดีต อนาคต ปัจจุบัน จิตนั้นจึงไม่ใช่จิตไปข้างหน้ามาข้างหลัง ตั้งอยู่ก็ไม่ใช่

#เมื่อทำได้เช่นนี้เรียกว่าวางได้ทั้งหมด

ยาวเทว ญาณมตฺตาย ปติสฺสติมตฺตาย
อนิสฺสิโต จ วิหรติ น จ กิญจิ โลเก อุปาทิยติ ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ทั้งหมดในโลกนี้

ท่านพ่อลี ธัมมธโร












#ให้เพียรเจริญรอยตามอริยมรรค

จนสู่จุดหมาย ที่เหนือความเกิดและดับ ด้วยการละความหลงจับยึด ในสิ่งมายาทั้งปวง คลายความมัวเมายึดถือตนลง

#เว้นวางการแบ่งเขาแบ่งเรา

อันจะยุติความเบียดเบียน ก้าวร้าว บาดหมาง และชิงชังกัน

เมื่อสมาชิกในสังคมใดทำได้เช่นนั้น ความกรุณาอย่างยุติธรรม ย่อมบังเกิด
สรรพชีวิตในสังคมนั้น ย่อมอิงอาศัยกันได้อย่างปราศจากเวรภัย

สันติสุขที่แท้ย่อมปรากฎให้ประจักษ์เห็นจริง ไม่ใช่เพียงอุดมการณ์

เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมพโร )













#เมื่อมีใจเต็ม100ศรัทธาเต็ม100ทำอะไรก็ได้อานิสงส์เต็ม100

ความปรารถนาของเราก็จะได้สมปรารถนา แม้จะปฏิบัติธรรมก็จะเจริญรุ่งเรืองในธรรม และก็จะเกิดความสงบ รู้ธรรมเห็นธรรมมีสติปัญญาดี

#ถ้าอยู่กับโลกพอดีโลก

ก็หมายความว่า เราอยู่กับโลกก็ประกอบไปด้วยการทำมาหาอยู่หากินอยู่ในโลก อยู่ในโลกของเราก็มีศีล ๕ มีอุโบสถศีลเป็นบางครั้ง

และเราก็ได้ทำบุญให้ทานประกอบไปด้วย การทำมาหาอยู่หากินก็จะเจริญ เหมือนอย่างที่พระพุทธองค์ได้กล่าวเอาไว้ “สีเลน โภคสมฺปทา” บุคคลที่จะมีโภคทรัพย์สมบัติก็เพราะมีศีล นี้แหละคำสอนของพระพุทธเจ้า

#คนมีศีลจะทำอะไรก็จะเจริญรุ่งเรือง

แล้วก็คนมีบุญเมื่อมีทรัพย์สมบัติมา ทรัพย์สมบัตินั้นก็ไม่ร้อน ไม่เป็นพิษไม่ร้อน ทรัพย์สมบัติไม่ร้อน คนที่ได้ทรัพย์สมบัตินั้นมาก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยร่างกายแข็งแรง สติปัญญาดี ลงทุนอะไรก็ให้เจริญรุ่งเรื่อง เงินก็ได้อยู่กับเรา

ถ้าคนไม่มีบุญได้เงินมาก็เที่ยวผับเที่ยวบาร์ เดี๋ยวหายหมด ในหลวงไม่อยากอยู่...หนี (ธนบัตร)ใส่กระเป๋าไว้ก็เปิดกระเป๋าใส่ซิปดีแล้ว รูดจากออกไปเลย ไม่เหลือ นั่นแหละคนไม่มีศีลมีธรรมในหลวงก็ไม่อยากอยู่เด้

ถ้าคนไหนมีศีลมีธรรมแล้ว โอ้ย!! ในหลวงก็อยากอยู่กับเรา บางคนนะได้เงินมาวันละหมืนก็มี วันละแสนก็มี วันละล้านก็มี แต่ไม่ได้ไปทำประโยชน์อะไร ไปทำแต่ในสิ่งที่ไม่ดี ผลสุดท้ายกรรมไปถึงลูกถึงหลานหมดนะ

#แต่สำหรับคนที่มีศีลมีธรรมมีน้อยแต่ก็ใช้เป็น

จากน้อยสะสมน้อยก็มากขึ้นกลายเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เป็นเศรษฐีแล้วอยู่มือเด้ ไม่ไปไหนละเพราะใช้ไปในทางที่ถูก ได้วันละ ๕๐๐ ซื้อกินวันละไม่ถึง ๕๐๐ ได้วันละ ๑๐๐ กินวันละ ๒๕ บาทไม่หมดนะ ก็มีเงินเก็บแล้ว

ใช้ให้มันเป็นเท่านั้นแหละ ต้องแบ่งสัดส่วน กี่ส่วนที่เราจะต้องใช้ กี่ส่วนที่เราจะต้องเก็บ

พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักเก็บหอมรอมริบ ให้ได้ใช้ประโยชน์ และจะต้องขยันไม่ใช่ว่านอนอยู่ มาอาศัยว่าบุญวาสนาบารมี

#ไปสะเดาะเคราะห์มาแล้วไม่ต้องทำอะไรหรอก โชคดีแล้ว...นอนอยู่นั้น

มึงเสร็จ !! ไม่มีอะไรมาล่ะ

ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
หลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง
อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์








ไม่เอาอะไรมา. จิตมันก็หลุด. ก็พ้นล่ะสิ.

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต









"เขาว่าเราจริง
ก็ไม่ต้องโกรธเขา
เพราะเรื่องมันจริง

เขาว่าเราไม่จริง
ก็ไม่ต้องโกรธเขา
เพราะเรื่องมันไม่จริง

เท่านี้ก็จบ"

ท่านพุทธทาสภิกขุ









"เอาชนะคนอื่นนะ มันเป็นเวรเป็นกรรมกัน
สู้เอาชนะตัวเราเองไม่ได้หรอก ชนะตัวเองนั้น
ประเสริฐที่สุด"

ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก








“คนที่เจริญสติเป็น แล้วเห็นความไม่พอใจเกิดได้
แล้วสามารถระงับความไม่พอใจที่เกิดขึ้น หากมีผู้ใด
แสดงออก ทางกาย วาจา ใจ ให้ความไม่พอใจเกิดขึ้น

เราจะระงับใจว่า เพราะเขาไม่มีสติ เจริญสติไม่เป็น
ไม่สามารถยับยั้งการพูด การแสดงออก ไม่สามารถ
ดูแลจิตใจตัวเองได้ เราย่อมให้อภัยทาน แก่ผู้ที่ปฏิบัติ
ได้น้อยกว่า ด้วยความเมตตา

ผู้มีสติปัญญามากกว่า ย่อมหาความสงบสุขให้แก่ใจ
ด้วยอภัยทาน"

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร